- แม้เอไอจะสามารถสร้างประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับครูและนักเรียนได้ แต่การใช้งานเอไอก็ยังมีความเสี่ยงและความท้าทาย เช่น เอไอเน้นย้ำอคติให้เข้มข้นมากขึ้น คนเชื่อมั่นในเอไอมากเกินไป และครูไม่มีความรู้ในการใช้เอไออย่างมีประสิทธิภาพ
- สมาคมการศึกษาแห่งชาติสหรัฐ (NEA) เสนอหลักการ 5 ข้อ เพื่อเป็นกรอบการใช้เอไอในระบบการศึกษา ดังนี้ 1.มนุษย์ต้องยังคงเป็นศูนย์กลาง 2.เอไอที่นำมาใช้ต้องมีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าสามารถยกระดับผู้ใช้ได้จริง 3.การพัฒนาหรือใช้งานเอไอต้องมีจริยธรรม 4.ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานเอไอได้อย่างเท่าเทียม และ 5.ทุกคนทำความเข้าใจเอไอและเรียนรู้วิธีนำมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง
- หากห้องเรียนหรือโรงเรียนเลือกที่จะนำเอไอเข้ามาใช้ในการเรียนการสอน สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การตรวจสอบว่าทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเอไอได้หรือไม่ เด็กบางคนอาจไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานเอไอได้ตลอดเวลา ดังนั้นโรงเรียนหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องพิจารณาด้วยว่าจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือในด้านนี้ เช่น มีอุปกรณ์ให้ยืม หรือเงินสนับสนุน เป็นต้น
ในบทความชุด ‘ห้องเรียน AI’ ที่ผ่านมา เราได้สำรวจการปรับตัวที่สำคัญหลายด้านสำหรับการนำเอไอมาใช้ในการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการนำเอไอมาใช้เป็นผู้ช่วยครู หรือใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้กับเด็ก ไปจนถึงการออกแบบการบ้านที่มุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้ และการสอนจริยธรรมเอไอด้วยการเชื่อมโยงกับชีวิตจริง
ตอนนี้เราอาจรู้สึกว่าได้ค้นพบ ‘จิ๊กซอว์’ ทั้งหมดแล้วสำหรับการนำเอไอมาใช้ในการศึกษา ที่ผ่านมาเราได้เจาะลึกไปที่จิ๊กซอว์แต่ละชิ้นและทำความเข้าใจมันเป็นอย่างดี แต่อีกมิติสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ การสร้าง ‘แผ่นกระดาน’ ที่ให้จิ๊กซอว์แต่ละชิ้นนำมาประกอบกันได้อย่างสมบูรณ์
แผ่นกระดานที่ว่านี้คือ การวางกรอบ ‘นโยบาย’ ที่ชัดเจน เพื่อเป็นเข็มทิศหรือกฎกติการ่วมกันในการพัฒนาจิ๊กซอว์ทุกชิ้นอย่างเป็นระบบในทิศทางเดียวกัน โดยสมาคมการศึกษาแห่งชาติสหรัฐ (NEA) ได้นำเสนอหลักการ 5 ข้อที่ชัดเจนต่อการนำเอไอมาใช้ในระบบการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถนำมาปรับใช้ในบริบทของไทยได้
ปัญญาประดิษฐ์: เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกที่มาพร้อมกับ ‘โอกาส’ และ ‘ความเสี่ยง’
สมาคมการศึกษาแห่งชาติสหรัฐ (NEA) เป็นสหภาพแรงงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐฯ ปัจจุบันสมาคมมีสมาชิกเกือบ 3 ล้านคน ซึ่งรวมตัวกันเพื่อเป็นตัวแทนในการสนับสนุนครู อาจารย์ และบุคลากรในทุกระดับการศึกษา
NEA มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแนวทางการนำเอไอมาใช้ในการศึกษา เห็นได้จากประธาน NEA เบ็คกี้ พริงเกิล (Becky Pringle) ได้รับเลือกเป็นหนึ่งใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในด้านเอไอแห่งปี 2024 จากนิตยสาร TIME โดยเธอได้จัดตั้ง ‘คณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยเอไอในระบบการศึกษา’ เพื่อสำรวจการใช้งานเอไอในระบบการศึกษา พร้อมทั้งวางแนวทางในการจัดการและใช้งานเอไออย่างเหมาะสม
จากการสำรวจของคณะทำงานเฉพาะกิจพบว่า เอไอสามารถสร้างประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับครูและนักเรียนได้ เช่น ช่วยครูทำงานซ้ำซากจำเจ ปรับแต่งเนื้อหาให้เข้ากับนักเรียนเป็นรายบุคคล ยกระดับการเรียนรู้ผ่านการระดมความคิด ฝึกฝนการคิดวิเคราะห์ และทำให้เด็กได้รับฟีดแบ็กแบบเรียลไทม์
อย่างไรก็ตาม การใช้งานเอไอก็ยังมีความเสี่ยงและความท้าทาย เช่น เอไอเน้นย้ำอคติให้เข้มข้นมากขึ้น คนเชื่อมั่นในเอไอมากเกินไป และครูไม่มีความรู้ในการใช้เอไออย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น NEA จึงสร้างหลักการ 5 ข้อ เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการนำเข้ามาใช้เอไอในระบบการศึกษา
หลักการ 5 ข้อ เพื่อการใช้งานเอไออย่างเหมาะสมในการศึกษา
- มนุษย์ต้องยังคงเป็นศูนย์กลาง
มีงานวิจัยพบว่า เด็กมีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้เมื่อมี ‘สัมพันธภาพ’ (Relationship) ที่แน่นแฟ้นเกิดขึ้น สัมพันธภาพในที่นี้ไม่ใช่แค่การที่ครูรู้จักชื่อนักเรียน แต่คือการสร้างความเคารพซึ่งกันและกัน ความไว้ใจ และความรู้สึกปลอดภัย นักเรียนที่สัมผัสได้ถึงความเกื้อกูล (เช่น เป็นที่รัก ได้รับความเคารพ มีครูเห็นคุณค่า) มีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จในการเรียนและเห็นถึงความสำคัญของการเรียนวิชานั้นๆ
ไอเอไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพในลักษณะนี้ได้ ดังนั้นสัมพันธภาพระหว่าง ‘ผู้เรียน’ กับ ‘ผู้สอน’ ที่เป็นคนจริงๆ จึงไม่สามารถถูกแทนที่ด้วยเครื่องมืออย่างเอไอได้ แม้ปัจจุบันเทคโนโลยีเอไอจะสามารถช่วยเหลือพัฒนาการศึกษาได้จริง แต่อุปกรณ์เหล่านี้ต้องได้รับการปฏิบัติภายใต้หลักการ ‘ช่วยเหลือแต่ไม่แทนที่’ (Aid but Not Replace)
นอกจากนี้ การตัดสินใจที่มีผลกระทบสูงหรือสามารถชี้เป็นชี้ตายได้ ไม่ควรใช้ข้อมูลหรือการวิเคราะห์จากเอไอเป็นแหล่งอ้างอิงเดียว เนื่องจากเอไออาจเกิดข้อผิดพลาด มีอคติ หรือไม่สามารถอธิบายย้อนกลับได้ว่าทำไมถึงเลือกทางเลือกหนึ่งๆ
การพึ่งพาหรือมั่นใจในเอไอมากเกินไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง เช่น กรณีจาก Texas A&M University ที่อาจารย์จะให้นักศึกษาไม่ผ่านทั้งห้อง เนื่องจากเอไอตรวจพบว่างานของนักศึกษาเขียนโดยใช้เอไอ ทั้งนี้ จากหนังสือ Teaching with AI ก็มีกรณีที่คล้ายคลึงกัน แต่นักศึกษาโต้กลับว่า บทคัดย่อในงานวิจัยของอาจารย์ที่ตีพิมพ์ก่อนจะมี ChatGPT ก็ตรวจพบว่าเขียนโดยใช้เอไอเหมือนกัน ทั้งหมดล้วนแสดงให้เห็นว่าเอไอไม่ได้ถูกต้องและแม่นยำ 100%
หรือในรัฐเนวาดาที่สหรัฐฯ ก็ได้นำเอไอมาใช้วิเคราะห์การให้ทุนแก่เด็กนักเรียนที่ขาดแคลน ผลคือจำนวนนักเรียนที่ถูกระบุว่าขาดแคลนลดลงกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ อีกทั้งเด็กที่ถูกคัดออกนี้ก็มีจำนวนมากที่ขาดแคลนจริง ทำให้เด็กเหล่านี้ขาดโอกาสในการเข้าถึงทุนการศึกษา กรณีทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า เอไอไม่ควรนำมาใช้เป็นเครื่องมือชี้เป็นชี้ตาย โดยปราศจากการพิจารณาอย่างรอบคอบจากมนุษย์
- เอไอที่นำมาใช้ต้องมีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าสามารถยกระดับผู้ใช้ได้จริง
เวย์น โฮมส์ (Wayne Holmes) ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาเชิงวิพากษ์ด้านปัญญาประดิษฐ์และการศึกษา กล่าวว่า “ปัจจุบันมีหลักฐานเพียงน้อยนิดที่บ่งชี้ว่า สิ่งที่ได้รับการส่งเสริมจากอุตสาหกรรมเอไอจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับนักเรียนและครู”
พูดง่ายๆ คือ สิ่งที่ผลิตภัณฑ์เอไอกล่าวอ้างสรรพคุณว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ อาจไม่ได้เป็นจริงเสมอไป การเลือกใช้เทคโนโลยีเอไอในการศึกษา (หรือในบริบทอื่นๆ ก็ตาม) ควรพิจารณาจากหลักฐาน ไม่ใช่การตลาด เช่น มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือว่าการใช้งานเอไอในลักษณะหนึ่งๆ จะช่วยยกระดับความสามารถของผู้ใช้ได้จริง
คณะทำงานเฉพาะกิจของ NEA ทราบดีว่า การบังคับให้หยุดใช้เอไอในปัจจุบันไม่สามารถทำได้และไม่ควรทำอย่างยิ่ง อีกทั้งการวิจัยเพื่อหาหลักฐานมายืนยันสรรพคุณของเอไอก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ดังนั้นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ครูหรือผู้วางนโยบาย ควรติดตามการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเอไออยู่เป็นเนืองๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการนำเอไอมาใช้ในการศึกษาจะช่วยพัฒนาบุคคลจากทุกภาคส่วนได้จริง
นอกจากนี้ เมื่อนำเอไอมาใช้แล้ว ก็ควรติดตามการวิเคราะห์หรือการวิจัยเกี่ยวกับเอไอเพิ่มเติมด้วย เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้มีการอัปเดตปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งการอัปเดตในบางกรณีก็อาจเปลี่ยนวิธีการใช้งานผลิตภัณฑ์ตัวนั้นๆ ไปเลย ทำให้ต้องมาฝึกฝนและเรียนรู้กันใหม่
- การพัฒนาหรือใช้งานเอไอต้องมีจริยธรรม
ปัจจุบันเทคโนโลยีเอไอยังห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบ เอไอยังมีข้อผิดพลาด เช่น มีอคติ ให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง หรือใช้ข้อมูลที่ล้าสมัย ดังนั้นการออกแบบหรือใช้งานเอไอต้องมีมนุษย์คอยตรวจสอบและกำกับดูแลอยู่เสมอ (Human-in-the-Loop) เพื่อลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากเอไอ
เช่น อคติต่อผู้ใช้ภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา โดยข้อความภาษาอังกฤษที่บุคคลกลุ่มนี้เขียนขึ้นมักถูกเอไอตรวจจับว่าเขียนโดยใช้เอไอ เนื่องจากมีลักษณะการใช้ภาษาที่แตกต่างจากเจ้าของภาษา หรืออคติต่อชนกลุ่มน้อยหรือผู้หญิงในสถานการณ์หนึ่งๆ เช่น การซื้อรถหรือการทำนายผลเลือกตั้ง โดยเอไอมีแนวโน้มที่จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไรนัก เมื่อเทียบกับบุคคลกลุ่มอื่นๆ ในสถานการณ์เดียวกัน
คณะทำงานเฉพาะกิจของ NEA แนะนำว่า ครูควรต้องมี ‘สมรรถนะและความเปิดกว้างทางวัฒนธรรม’ (Cultural Competence and Responsiveness) เพื่อจะได้รู้เท่าทันอคติและปรับการสอนให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมต่างๆ สมรรถนะเหล่านี้นอกจากจะช่วยพัฒนาทักษะทางสังคมแล้ว ยังช่วยพัฒนาทักษะในการใช้เอไอได้ด้วย เพราะจะทำให้ครูเห็นและเข้าใจอคติที่เกิดขึ้นจากเอไอ ซึ่งจะช่วยพัฒนาการสอนให้กับเด็กได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
นอกจากนี้ เอไออาจสร้างผลลัพธ์ที่ผิดด้วยน้ำเสียงที่ดูมั่นใจ ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ เช่น อ้างอิงบทความที่ไม่มีจริง ให้คำแนะนำทางการแพทย์ที่ไม่ถูกต้อง ฯลฯ ดังนั้นที่ปรึกษาด้านการกำกับดูแลเอไอและข้อมูล อะเลคซันดร์ ตยูล์คานอฟ (Aleksandr Tiulkanov) จึงเสนอขั้นตอนวิธีเบื้องต้นในการพิจารณาเลือกใช้ ChatGPT ตามผังงานด้านล่างนี้

ยิ่งไปกว่านั้น การใช้งานเอไอในสถานศึกษาก็ต้องมีความโปร่งใส กล่าวคือ ครู ผู้ปกครอง และเด็กควรรู้ว่าในโรงเรียนมีการใช้เอไออะไรบ้างและใช้เพื่ออะไร อีกทั้งการใช้เอไอในห้องเรียนควรมีแนวปฏิบัติหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าสิ่งไหนทำได้หรือไม่ได้ เพื่อไม่ให้ครูต้องวิเคราะห์เอาเองว่าสิ่งไหนคือการประพฤติมิชอบ (Academic Misconduct)
การมีมาตรการจัดการกับการกลั่นแกล้ง (Bullying) หรือการคุกคาม (Harassment) ด้วยเอไอก็มีความสำคัญ อาทิ การใช้เอไอประเภทสื่อสังเคราะห์ (Deepfake) สร้างภาพไม่เหมาะสมต่อบุคคลหนึ่งๆ เป็นต้น ปัจจุบันสถานศึกษาหลายแห่งยังมิได้เตรียมการต่อเหตุการณ์ทำนองนี้ โดยแนวทางที่แนะนำในเบื้องต้นคือ การระบุว่าพฤติกรรมเหล่านี้มีความผิดทางวินัย ซึ่งจะทำให้เกิดกระบวนการในการพิจารณาความผิดได้
- ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานเอไอได้อย่างเท่าเทียม
ปัจจุบัน ‘ช่องว่างทางการศึกษา’ ทำให้นักเรียนได้รับการเรียนรู้อย่างไม่เท่าเทียมกัน เช่น นักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่ที่ได้รับทรัพยากรจำนวนมาก มีโอกาสเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมการศึกษาได้ ในขณะที่นักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดแคลนทรัพยากร ก็ไม่มีโอกาสเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ อาจทำให้ไม่สามารถพัฒนาระดับการศึกษาได้ทัดเทียมกับนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่
อุปกรณ์ที่พูดถึงกันมากในปัจจุบันคือ ‘อุปกรณ์ดิจิทัล’ เพราะตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ‘ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล’ (Digital Divide) ก็สูงขึ้นเป็นอย่างมาก บางโรงเรียนสามารถปรับการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่บางโรงเรียน การปรับเปลี่ยนกลับเป็นไปอย่างยากลำบาก เช่น นักเรียนไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย หรือที่บ้านไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้
การศึกษาในปัจจุบันกำลังรับเอาอุปกรณ์ดิจิทัลชนิดใหม่อย่าง ‘เอไอ’ เข้ามาใช้ โดยเทคโนโลยีนี้เองก็มีประโยชน์มหาศาลต่อทั้งครูและนักเรียน เอไอสามารถเติมเต็มช่องว่างทางการศึกษาของเด็กแต่ละคนได้ เช่น เด็กที่เรียนในห้องไม่ทันก็สามารถใช้เอไอช่วยอธิบายเนื้อหานั้นๆ ในรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเองได้
ดังนั้น หากห้องเรียนหรือโรงเรียนเลือกที่จะนำเอไอเข้ามาใช้ในการเรียนการสอน สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การตรวจสอบว่าทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเอไอได้หรือไม่
เด็กบางคนอาจไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานเอไอได้ตลอดเวลา ดังนั้นโรงเรียนหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องพิจารณาด้วยว่าจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือในด้านนี้ เช่น มีอุปกรณ์ให้ยืม หรือเงินสนับสนุน เป็นต้น
- ทุกคนทำความเข้าใจเอไอและเรียนรู้วิธีนำมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันเอไอเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของเราในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน การมี ‘ความฉลาดรู้ทางเอไอ’ (AI Literacy) จึงเป็นทักษะพื้นฐานที่ทุกคนควรมีติดตัว จากรายงาน Work Trend Index 2024 พบว่า ผู้บริหารไทยกว่า 74% ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษะทางด้านเอไอ ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 66%
ดังนั้น เด็กที่ได้เรียนรู้และใช้เอไอเป็น จึงมีโอกาสสูงที่จะสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างราบรื่น นอกจากการพัฒนาทักษะทางเทคโนโลยีแล้ว การพัฒนาทักษะที่เอไอไม่มีวันแทนที่ได้อย่าง ‘ทักษะทางสังคม’ (Soft Skills) ก็มีส่วนสำคัญ เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร และจริยธรรมเอไอ
นอกจากนี้ การพัฒนาทางฝั่งครูก็มีส่วนสำคัญ หากครูมีทักษะทางด้านเอไอด้วยก็จะสอนให้เด็กสามารถใช้เอไอได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อีกทั้งยังเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตให้แก่เด็กได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีครูจำนวนมากที่ไม่เคยใช้และไม่มีความรู้ในเทคโนโลยีเอไอ
จากการสำรวจของ EdWeek Research Center ที่สหรัฐฯ ในปี 2024 พบว่า ครูกว่า 37% ไม่เคยใช้และไม่คิดที่จะใช้อุปกรณ์เอไอ และครูอีก 22% ไม่เคยใช้อุปกรณ์เอไอแต่อาจจะใช้ในอนาคต โดยเหตุผลอันดับหนึ่งที่ครูกลุ่มนี้ยังไม่ใช้อุปกรณ์เอไอคือ ‘มีภาระงานอย่างอื่นที่สำคัญกว่า’ และเหตุผลรองลงมาคือ ‘ไม่รู้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้ใช้งานอย่างไร’
คณะทำงานเฉพาะกิจของ NEA เชื่อว่า การสร้างโอกาสในการฝึกฝนและเรียนรู้การใช้เอไอเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับครู ไม่แพ้กับเด็กเลย เมื่อครูได้รับการฝึกฝนการใช้งานเอไอ ครูจะสามารถนำเอไอมาใช้ในการศึกษาได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังเข้าใจความเสี่ยงของเอไอ ทำให้สามารถหาวิธีรับมือและจัดการได้อย่างรอบคอบ
แม้การสำรวจของ NEA พบว่า การใช้เอไอจะช่วยสร้างคุณประโยชน์ต่อการศึกษาได้จริง แต่คุณประโยชน์ที่สาธยายมาจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากผู้สอนเองยังไม่เข้าใจวิธีใช้งานเทคโนโลยีนี้ เมื่อผู้สอนยังไม่เข้าใจและไม่เคยใช้เอไอ แล้วเราจะคาดหวังให้ผู้เรียนใช้เอไออย่างถูกต้องและเหมาะสมได้อย่างไร
อ้างอิง
ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์. (2024). AI Literacy (2): ทักษะจำเป็นที่จะทำให้มนุษย์ไม่ถูกกลืนหายในโลกที่ AI ฉลาดขึ้นทุกที.
Aleksandr Tiulkanov. (2023). Is it safe to use ChatGPT for your task?
Andrew R. Chow. (2024). Becky Pringle: The 100 Most Influential People in AI 2024.
Bowen, J. A., & Watson, C. E. (2024). Teaching with AI: A Practical Guide to a New Era of Human Learning. Johns Hopkins University Press.
Jordan Abbott. (2024). When Students Get Lost in the Algorithm: The Problems with Nevada’s AI School Funding Experiment.
Lauraine Langreo. (2024). Most Teachers Are Not Using AI. Here’s Why.
Liang, W., Yuksekgonul, M., Mao, Y., Wu, E., & Zou, J. (2023). GPT detectors are biased against non-native English writers. Patterns, 4(7), 100779.
McKay, C., & Macomber, G. (2021). The Importance of Relationships in Education: Reflections of Current Educators. Journal of Education, 203(4), 751-758.
National Education Association. (2024). Report of the NEA Task Force on Artificial Intelligence in Education.
Pranshu Verma. (2023). A professor accused his class of using ChatGPT, putting diplomas in jeopardy.
Salinas, A., Haim, A., & Nyarko, J. (2024). What’s in a Name? Auditing Large Language Models for Race and Gender Bias (Version 3). arXiv.Wariya Khamchana. (2024). ‘ไมโครซอฟท์’ เปิดผลวิจัย ผู้บริหารในไทยกว่า 74% ไม่จ้างพนง.ที่ไม่มีทักษะ AI.