- บางครั้งเป้าหมายของการบ้านก็คือการให้เด็กฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนทักษะนั้นๆ เช่น การทำโจทย์คณิตศาสตร์ แต่สิ่งที่สำคัญคือการเปิดช่องให้นักเรียนแสดงวิธีคิดวิธีทำ โดยไม่ควรเน้นที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว
- เมื่อครูให้คุณค่ากับกระบวนการ เด็กก็จะใส่ใจกับวิธีการทำงาน ไม่ได้ใช้เอไอแบบขอไปทีเพื่อให้งานเสร็จ เด็กจะเกิดการคิดวิเคราะห์ว่าคำตอบจากเอไอเหมาะสมแล้วหรือยัง และทำการปรับแก้ต่อไป ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้และออกมาเป็นงานที่ดีได้
- แม้ว่าเด็กจะใช้เอไอ แต่หากมันช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเด็ก ครูก็ไม่ควรที่จะปิดกั้น หากครูมีความกังวลว่าเด็กจะใช้เอไอทำงานให้แบบส่งๆ ก็ขอให้ครูมุ่งตรวจสอบกระบวนการทำงานของเด็ก ซึ่งจะนำไปสู่การใช้เอไอในเชิงสร้างสรรค์ได้ในที่สุด
ลีห์ เบอร์เรลล์ (Leigh Burrell) นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จาก University of Houston-Downtown รายงานกับ The New York Times ว่า เธอได้รับศูนย์คะแนนจากงานในคลาสเรียน เนื่องจากเครื่องมือตรวจจับเอไอ (AI Detection Tool) ชี้ว่างานของเธอนั้นสร้างขึ้นโดยเอไอ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ใช้เอไอเลยแม้แต่นิดเดียว
จากการตรวจสอบประวัติการแก้ไขไฟล์งานใน Google Docs ที่มีความยาวถึง 15 หน้ากระดาษพบว่า เธอร่างและแก้ไขงานด้วยตัวเอง ซึ่งมีการประทับเวลาการแก้ไขในงานแต่ละส่วนไว้ชัดเจน ดังนั้นเธอจึงใช้หลักฐานนี้ในการพิสูจน์ข้อกล่าวหาและได้รับคะแนนกลับคืนมา
กรณีลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งตั้งแต่การมาถึงของเอไอ หากมีข้อสงสัยที่ทำให้ครูเชื่อได้ว่างานของนักเรียนใช้เอไอทำ ครูก็พร้อมที่จะปัดตกงานชิ้นนั้นทันที ทำให้ภาระการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตกอยู่ที่นักเรียน โดยภาระในที่นี้ทำให้การทำงานยุ่งยากมากขึ้น เช่น ต้องใช้โปรแกรมที่มีการบันทึกประวัติการทำงานอย่างชัดเจน หรือบางคนถึงขั้นอัดวิดีโอหน้าจอเป็นชั่วโมงๆ เพื่อใช้ปกป้องข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเอไอ
ศาสตราจารย์แดนนี่ หลิว (Danny Liu) จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าวว่า ครูคือผู้สอนไม่ใช่ตำรวจ ครูควรจะต้องตรวจสอบว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่ ไม่ใช่ตรวจสอบว่านักเรียนกำลังโกงอยู่หรือไม่ ดังนั้นงานที่มอบหมายให้เด็กควรที่จะใส่ใจกับวิธีการเรียนรู้ มากกว่าผลลัพธ์สุดท้ายเพียงอย่างเดียว
เมื่องานแบบเดิมๆ ใช้ไม่ได้ในยุคเอไอ
งานหรือวิธีการที่ครูใช้ประเมินผลเด็กแบบดั้งเดิมมักมุ่งเน้นไปที่การวัดผลจาก ‘ผลลัพธ์’ เช่น การเขียนเรียงความ ครูก็ไม่ได้สนใจมากนักว่านักเรียนจะเขียนอย่างไร เขียนร่างก่อนไหม แล้วหาข้อมูลอย่างไร แต่จะสนใจว่าผลลัพธ์สุดท้ายออกมาเป็นอย่างไร
หรือการสอบแบบปรนัย ครูก็ไม่ได้สนใจว่านักเรียนจะคิดเห็นกับคำถามอย่างไร จะเลือกใช้วิธีไหนในการคิดคำตอบ แต่สนใจว่านักเรียนตอบตรงกับคำตอบที่วางไว้หรือไม่
การประเมินผลในลักษณะนี้จะให้คุณค่ากับ ‘ผลลัพธ์’ เป็นหลัก กล่าวคือ วิธีการไม่ใช่สิ่งที่สำคัญมากนัก แต่สิ่งที่สำคัญคือผลลัพธ์นั้นออกมาดีเยี่ยมหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้บางคนอาจคิดว่า เมื่อวิธีการไม่สำคัญ เราจะใช้วิธีไหนก็ได้เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะทำด้วยตัวเอง จ้างคนอื่น คัดลอกจากอินเทอร์เน็ต หรือใช้เอไอ
หนังสือ Teaching with AI: A Practical Guide to a New Era of Human Learning กล่าวว่า เด็กโกงเพราะระบบเปิดโอกาสให้ทำได้ การประเมินผลแบบดั้งเดิมเปิดโอกาสให้เด็กใช้วิธีการที่สุจริตหรือไม่สุจริตก็ได้ เพราะขาดการตรวจสอบวิธีการทำงานของเด็ก โดยเน้นที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว
อาจารย์คณะครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในไทย รายงานกับบีบีซีไทยว่า อาจารย์รุ่นเก่าๆ ที่รู้ไม่เท่าทันเทคโนโลยี จะมอบหมายงานให้นักศึกษาไปเลยแล้วให้มานำเสนอ ซึ่งแน่นอนว่านักศึกษาไม่ได้อะไรจากงานนั้นเลย เพราะเขาไม่ได้ใช้ความคิดของตัวเอง แต่ใช้เอไอทำให้
เห็นได้ว่า เมื่อครูขาดการตรวจสอบวิธีการทำงานของเด็กและมุ่งเน้นแต่การดูผลลัพธ์สุดท้าย จะเปิดช่องให้เด็กใช้วิธีการใดก็ได้ที่ทั้งสุจริตและไม่สุจริตเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนั้นการประเมินผลเด็กในยุคเอไอจะต้องไม่เน้นที่ ‘ผลลัพธ์’ เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องใส่ใจ ‘กระบวนการ’ ด้วย
นอกจากนี้ อาจารย์คนดังกล่าวยังรายงานว่า นักศึกษาบางคนมีพฤติกรรมเสิร์ชหาข้อมูลตลอดเวลาเมื่ออาจารย์ถามคำถาม ไม่ว่าจะค้นหาจากอินเทอร์เน็ตหรือใช้เอไอ โดยอาจารย์ชี้ว่าคำถามเหล่านี้ไม่ได้มุ่งเน้นการหาคำตอบที่ถูกต้อง แต่ต้องการทราบกระบวนการคิดของนักศึกษา
พฤติกรรมเช่นนี้อาจเป็นผลมาจากการประเมินผลแบบดั้งเดิม กล่าวคือ เด็กได้รับการปลูกฝังให้มุ่งผลิตผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการได้มาซึ่งผลลัพธ์นั้น เมื่อเด็กไม่ได้ใส่ใจกระบวนการและมุ่งทำงานให้เสร็จๆ ไป เด็กจะขาดการเรียนรู้และไม่ได้สนใจว่าตัวเองคิดอย่างไร ขอแค่ทำงานให้เสร็จก็พอ
อย่างไรก็ดี นักศึกษากลุ่มดังกล่าวเมื่อขึ้นปี 2 ก็เริ่มเข้าใจแนวทางของอาจารย์ว่าต้องการประเมินวิธีคิด ไม่ได้ต้องการคำตอบที่ถูกต้องสมบูรณ์ 100% ดังนั้นนักศึกษากลุ่มนี้จึงพึ่งพาการค้นหาในโทรศัพท์น้อยลง และกล้าตอบคำถามอาจารย์ในชั้นเรียนมากขึ้น
ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นว่าวิธีการประเมินมีส่วนสำคัญในการเรียนรู้ของเด็ก หนังสือ Teaching with AI สรุปว่า ถ้าครูอยากให้เด็กเห็นถึงคุณค่าในการเรียนรู้ ครูต้องให้คุณค่ากับกระบวนการ เมื่อครูให้คุณค่ากับผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว เด็กก็จะไม่เห็นถึงความสำคัญของกระบวนการ และจะใช้วิธีการไหนก็ได้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์มา
ออกแบบการบ้านยุคใหม่ท่ามกลางเอไอ
ซัลมาน คาน (Salman Khan) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Khan Academy องค์การการศึกษาไม่แสวงหากำไร ชวนตั้งคำถามว่า อยากให้ครูกลับมาทบทวนว่าการสั่งงานสักอย่างให้เด็กทำ เป้าหมายของงานนั้นคืออะไร
เช่น การเขียนเรียงความ การเขียนคือการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง ครูคาดหวังให้นักเรียนทำความเข้าใจเรื่องนั้นๆ มาก่อนแล้วจึงเรียบเรียงออกมาเป็นการเขียนที่มีโครงสร้าง เป้าหมายคือครูต้องการประเมินว่านักเรียนเข้าใจเรื่องนั้นๆ หรือไม่
เมื่อเป้าหมายคือการประเมินความเข้าใจของเด็ก การดูแค่ผลลัพธ์สุดท้ายอาจไม่เพียงพอ เพราะในปัจจุบันเรามีเอไอที่สร้างสรรค์ข้อความออกมาได้อย่างง่ายดาย เราต้องดูกระบวนการทำงานของเด็กด้วย เมื่อครูใส่ใจวิธีการทำงานของเด็ก ครูจะมีโอกาสได้ตรวจสอบว่าเด็กมีวิธีคิดและเรียนรู้อย่างไร
การตรวจสอบกระบวนการทำงานของเด็กก็มีหลายวิธี เช่น ให้อธิบายขั้นตอนการทำงาน ขอดูร่างงาน หรือแม้กระทั่งขอดูคำสั่ง (Prompt) ที่ใช้กับเอไอและคำตอบจากเอไอ โดยครูอาจให้นักเรียนวิเคราะห์ว่าผลลัพธ์จากเอไอเป็นอย่างไร ถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งจะเป็นการฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์
ในหนังสือ Teaching with AI ได้ให้ตัวอย่างแนวทางในการออกแบบงานที่เน้น ‘กระบวนการ’ โดยนำเอไอเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานของเด็กด้วย ซึ่งจะทำให้เด็กได้ฝึกฝนการใช้เอไออย่างสร้างสรรค์และเกิดการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์

เมื่อครูให้คุณค่ากับกระบวนการ เด็กก็จะใส่ใจกับวิธีการทำงาน ไม่ได้ใช้เอไอแบบขอไปทีเพื่อให้งานเสร็จ เด็กจะเกิดการคิดวิเคราะห์ว่าคำตอบจากเอไอเหมาะสมแล้วหรือยัง และทำการปรับแก้ต่อไป ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้และออกมาเป็นงานที่ดีได้
นอกจากนี้ คานยังเสนอว่า บางทีครูอาจไม่จำเป็นต้องมอบหมายงานให้ไปทำที่บ้านด้วยซ้ำไป ถ้าเป้าหมายของงานคือการประเมินความเข้าใจเด็ก การเขียนเรียงความสั้นๆ ในชั้นเรียนก็อาจเพียงพอแล้ว วิธีนี้จะช่วยป้องกันเด็กใช้เอไออย่างไม่สร้างสรรค์ได้ อีกทั้งครูก็จะรู้ได้ทันทีว่าเด็กเกิดการเรียนรู้อย่างไรและให้คำแนะนำได้อย่างตรงจุด
อย่างไรก็ตาม บางครั้งเป้าหมายของการบ้านก็คือการให้เด็กฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนทักษะนั้นๆ เช่น การทำโจทย์คณิตศาสตร์ แต่สิ่งที่สำคัญคือการเปิดช่องให้นักเรียนแสดงวิธีคิดวิธีทำ โดยไม่ควรเน้นที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว
นิโลบล สุภัทราธรรม หรือครูแอม ครูคณิตศาสตร์จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย กล่าวว่า การบ้านส่วนใหญ่ของเธอจะให้นักเรียนแสดงวิธีทำด้วย ไม่ใช่เขียนเฉพาะผลลัพธ์การคำนวณ โดยวิธีทำนี้เองจะสามารถจับสังเกตได้ว่าเด็กเขียนตามความเข้าใจของตัวเองหรือคัดลอกคำตอบจากเอไอ
เมื่อตรวจพบการบ้านที่มีลักษณะต้องสงสัย เช่น วิธีทำละเอียดแปลกๆ หรือใช้สูตรที่ครูไม่เคยสอน วิธีการต่อมาที่ครูใช้คือการถามต่อยอดจากคำตอบที่เด็กให้มา เช่น ให้อธิบายว่าได้คำตอบนี้มาได้อย่างไร
เด็กที่คัดลอกคำตอบมาจากเอไอและไม่ได้ผ่านการคิดด้วยตัวเอง จะไม่สามารถตอบคำถามได้ และครูจะให้กลับไปหาคำอธิบายวิธีทำมา ทั้งนี้ ถึงแม้เด็กจะใช้เอไอจริง แต่หากสามารถอธิบายคำตอบได้อย่างถูกต้อง ก็แสดงให้เห็นถึงการใช้เอไออย่างสร้างสรรค์ นั่นคือ ใช้เพื่อช่วยทำความเข้าใจวิธีทำ ในกรณีนี้ครูจะไม่ได้ว่าอะไร
จากกรณีของครูแอม เราอาจสอนนักเรียนเพิ่มเติมว่า แม้นักเรียนจะเข้าใจคำอธิบายของเอไอ แต่ก็ไม่ควรคัดลอกข้อความมาโดยตรง เพราะเอไออาจให้ข้อมูลที่ผิดหรือใช้ภาษาที่ไม่เป็นธรรมชาติ ควรตรวจสอบเพิ่มเติมและปรับแก้ให้เป็นภาษาของตัวเอง
หากครูสามารถมอบหมายแบบฝึกหัดเพิ่มเติมที่ให้นักเรียนนำเอไอมาใช้ร่วมในการทำงานด้วยก็จะยิ่งดี เพราะเด็กจะได้ทำความคุ้นเคยกับเอไอมากขึ้นและพัฒนาการพิมพ์คำสั่งอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งได้เรียนรู้ถึงข้อดี-ข้อเสียของเอไอไปด้วยในตัว ซึ่งจะนำไปสู่การใช้งานอย่างสร้างสรรค์ได้ (ดูกรณีศึกษาได้จาก EP2)
จากตัวอย่างทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการให้คุณค่า ‘กระบวนการ’ มากกว่า ‘ผลลัพธ์’ สุดท้าย เมื่อครูมุ่งตรวจสอบว่าเด็กเกิดการเรียนรู้หรือไม่ มากกว่าที่จะหาวิธีจับผิดว่าเด็กใช้เอไอหรือไม่ จะช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง
และแม้ว่าเด็กจะใช้เอไอ แต่หากมันช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเด็ก ครูก็ไม่ควรที่จะปิดกั้น ทั้งนี้ หากครูมีความกังวลว่าเด็กจะใช้เอไอทำงานให้แบบส่งๆ ก็ขอให้ครูมุ่งตรวจสอบกระบวนการทำงานของเด็ก ซึ่งจะนำไปสู่การใช้เอไอในเชิงสร้างสรรค์ได้ในที่สุด
เอไอจะทำให้เด็กเก่งขึ้นหรือแย่ลง ขึ้นอยู่ที่ว่าครูจะขับเคลื่อนแนวทางการใช้เอไอไปในทิศทางไหน
อ้างอิง
นงนภัส พัฒน์แช่ม. (2025). “ถ้าเป็นอะไรที่ไว เด็กจะคิดสั้น ๆ เลยว่าถาม ChatGPT” ครูไทยรับมืออย่างไรในยุคที่เอไอทำการบ้านแทนนักเรียน.
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2568). คู่มือการใช้ AI สำหรับครู นักเรียน โรงเรียนและผู้ปกครองในประเทศไทย พ.ศ. 2568.
Bowen, J. A., & Watson, C. E. (2024). Teaching with AI: A Practical Guide to a New Era of Human Learning. Johns Hopkins University Press.
Callie Holtermann. (2025). A New Headache for Honest Students: Proving They Didn’t Use A.I.
Julia Bergin. (2025). University wrongly accuses students of using artificial intelligence to cheat.Khan, S. (2024). Brave New Words: How AI Will Revolutionize Education (and Why That’s a Good Thing). Viking.