- ในนามความรักและความหวังดี พ่อแม่มักจะส่งให้ลูกเรียนนั่นโน่นนี่ เพื่อมีวิชาติดตัวให้มากที่สุด
- หลายครั้งลูกไม่ชอบ ไม่มีความสุข จะขอเลิกเรียนก็ไม่ได้ กลัวพ่อแม่เสียใจ หรือขออย่างไรคำตอบก็คือไม่ได้อยู่ดี
- จะดีกว่ามากๆ ถ้าพ่อแม่ลงมาดูแล เอาใจใส่ และเปิดใจกว้าง มองว่าสิ่งที่ให้ลูกเรียนอยู่นี้ ทุกข์มากกว่าสุข
- แล้วเป็นฝ่ายบอกลูกเองว่า “ถ้ามันไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก” แต่จะบอกตอนไหน บทความนี้มีคำตอบ
พ่อๆ แม่ๆ ทุกคนน่าจะเคยผ่านจุดนี้ จุดที่ลูกๆ เว้าวอน ร้องขอ เลิก ไม่เรียนนั่นโน่นนี่ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูเลอค่าหรือมีประโยชน์แค่ไหนก็ตาม เช่น ว่ายน้ำ ฟุตบอล เปียโน บัลเล่ต์ จินตคณิต ญี่ปุ่น ไปจนถึงอานาปานสติแบบง่ายๆ (ฝึกกำหนดลมหายใจเข้าออก – แหม ก็หนูไม่ชอบนี่นา)
เมื่อคำขอถูกปฏิเสธ เราจึงเห็นเด็กๆ หนีเรียน มุ่งเล่นเกม หรือเรียนไปงั้นๆ จบวันก็ส่งคืนครู บางรายขยับขั้นเป็นความไม่ชอบ เกลียดฝังใจไปเลย
เรื่องของเรื่องก็คือ เหตุผลของเด็ก = ข้ออ้างของผู้ใหญ่
เมื่อเหตุผลของเด็กโดนตีตกแทบจะทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเมื่อมันไม่เวิร์ค เขามีสิทธิ์ที่จะลาออก (เหมือนผู้ใหญ่ลาออกจากงานนั่นแหละ) แต่สำหรับเด็ก เขาต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ว่าเมื่อไหร่ถึงจะเลิกได้ เพื่อจะได้ไปเริ่มและลองสิ่งใหม่ๆ ที่น่าสนใจกว่า
ขึ้นอยู่กับว่าพ่อแม่ใจกว้างพอหรือไม่ที่จะยอมรับและเอ่ยออกมาเองว่า “ถ้าไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก”
แต่จะบอกอย่างไร และบอกเมื่อไหร่ เรามีคำแนะนำอย่างเป็นระบบจากผู้เชี่ยวชาญ
เด็กๆ ควรเลิกก็ต่อเมื่อ…
ดร.แคเธอรีน เพิร์ลแมน (Catherine Pearlman) นักเขียน โค้ช และผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัว กล่าวว่า สำหรับเด็กบางคน การได้เริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นำมาซึ่งความกลัวและความกังวลระดับพายุถล่ม
“ความกลัวมีเสมอ มันไม่สำคัญว่าพวกเขาต้องการทำหรือเรียนสิ่งนั้นมากแค่ไหน หรือ มันมาจากความคิดริเริ่มของเด็กเองหรือเปล่า”
ความกังวลที่มีต่อสถานการณ์ใหม่ๆ ทางสังคม หรือ ข้อเรียกร้องให้เด็กๆ ทำโน่นทำนี่ในกิจกรรม ยิ่งกลายเป็นหินก้อนใหญ่ยักษ์ที่หล่นทับลงมา
ถ้าเป็นเช่นนั้น “การเลิกหรือหนี” ของเด็กอมทุกข์คนหนึ่งจากหินก้อนใหญ่ อาจกลายมาเป็นวิธีหลักในการแก้ปัญหาของชีวิตเมื่อเติบโตต่อไป ถ้าเด็กคนนั้นไม่เคยถูกสอนให้รับมือกับความเสียใจ
เพื่อไม่ให้ปรากฏการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น สิ่งที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ควรทำคือ คอยดุนหลัง รับฟัง สนับสนุน ระหว่างการเรียนหรือทำกิจกรรม ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะเต็มไปด้วยความสุข ความกดดัน การชนะ ความแข็งแกร่ง ฯลฯ ทั้งหมดนี้จะหลอมรวมกันกลายเป็นการรู้จักยืดหยุ่น – เกราะสำคัญของอนาคต
พวกเขาคือนักสู้
ไม่มีมนุษย์คนไหนอยากพ่ายแพ้ แต่สำหรับเด็กบางคน เป้าหมายที่ไม่ได้อยากจะเป็นเลิศหรือเป็นที่หนึ่งนั้น เป็นเหตุผลเพียงพอที่พวกเขาจะโบกธงขาว
“โดยทั่วไปแล้ว เด็กๆ ที่มีแนวโน้มว่าจะถอยหรือเลิก ก็ต่อเมื่อสิ่งที่ทำอยู่นั้นไม่ได้รับความใส่ใจและคำแนะนำจากผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ว่าควรไปต่อหรือเลิกดี”
เพิร์ลแมนยังบอกอีกว่า “เด็กจำนวนไม่น้อยติดกับอยู่ความพ่ายแพ้, ทำดีที่สุดไม่ได้ หรือหาคุณค่าในตัวเองไมได้สักที
“ไม่ว่าจะลำเอียง โดนดูถูก หรือเหยียดหยามเด็กๆ เหล่านี้ควรถูกผลักให้มีความสู้ มุ่งมั่น ฝ่าฟัน สถานการณ์จริงไปได้ – แล้วพวกเขาจึงจะเติบโตขึ้น” เพิร์ลแมนย้ำ
เมื่อทุกข์มากกว่า ก็หยุดเถอะ
“เด็กๆ ในชั้นเรียนดนตรี พวกเขาไม่ได้ born to be แต่พวกเขาถูกฝึกฝน” เป็นคำพูดของศาสตราจารย์โรเบิร์ต คูเตียตตา (Robert Cutietta) นักวิจัย นักเขียน และผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการดนตรีและการศึกษา
“จากจุดเริ่มต้น พ่อแม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ในเวลาที่เด็กๆ ไม่ได้ชอบที่จะเล่นเครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆ อีกแล้ว” ด้วยการตั้งเป้าหมายที่มีโอกาสสำเร็จมากกว่าและออกแบบชั่วโมงการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับกีฬา ข้อพึงปฏิบัติง่ายๆ มีอยู่ว่า อยู่ไปให้จบฤดูกาล หลังจากเด็กๆ ถูกดุนหลังให้อดทนขยันซ้อมจนรู้ทางเพื่อนร่วมทีม จากนั้นพวกเขาจะประเมินได้เองว่าจะไปต่อหรือหยุด
“ถ้าเด็กๆ ขอร้องที่จะเลิกเล่นหรือเลิกเรียนกิจกรรมนั้นๆ ที่พวกเขาใช้เวลาไปอย่างคุ้มค่าและมุ่งมั่น แต่สุดท้ายแล้วความสนอกสนใจกลับไม่ไปต่อ ก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ” เป็นคำแนะนำจากเพิร์ลแมน เพราะหลังจากนั้น สิ่งที่พวกเขาจะมีติดตัวคือประสบการณ์จากกิจกรรมที่ผ่านไป และระบบประสาทตั้งต้น (ในทุกครั้งที่เริ่มลองสิ่งใหม่ๆ) จะไม่ใช่แค่ “ทำเล่นๆ ” อีกต่อไป
“บางครั้งการเป็นส่วนหนึ่งของทีมหรือห้องเรียน ก่อให้เกิดความเครียดแก่เด็กหรือครอบครัวโดยไม่ได้ตั้งใจ และเมื่อความทุกข์ล้ำหน้าความสนุกไป ก็หยุดเถอะ”
ก็แค่มันไม่เหมาะ
เด็กบางคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักว่ายน้ำท่าผีเสื้อ แต่ชอบที่จะนั่งเล่นหมากรุกมากกว่า และเมื่อเด็กและกิจกรรมไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สิ่งที่ได้กลับมาคือ ‘การรู้จักตัวเอง’ ซึ่งได้จากการหันหลังให้บางสิ่ง
“ข้อสังเกตคือ การยืนยันหรือยืนกราน คือเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จและความสุขอย่างแท้จริง” ประโยคนี้ปรากฏในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Psychological Science
“อย่างไรก็ตาม เมื่อใครก็ตาม เผชิญกับสถานการณ์ที่รู้ตัวเองว่านั่นไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของชีวิตแน่ๆ” ปฏิกิริยาตอบรับทางกายและใจ อาจเป็นการไม่เอาตัวผูกพันกับเป้าหมายนั้นๆ และหลายครั้งการยืนกรานหรือยืนยัน อาจจำให้สุขภาพและความเป็นอยู่ดีขึ้นแบบไม่รู้ตัว
เพียงแค่พ่อแม่ตอบคำถามง่ายๆ ให้ได้ว่า
“กิจกรรมนั้น ทำให้เด็กๆ มั่นใจในตัวเองมากขึ้น หรือ หายไปเลย” โดยไม่โกหกหรือเข้าข้างตัวเอง