- การที่พ่อแม่พยายามค้นหาวิธีการเลี้ยงลูกแบบต่างๆ ก็เพราะลึกๆ ในใจแล้วมีความคาดหวังให้ลูกของตนเติบโตขึ้นมามีนิสัยใจคอไปในทิศทางหนึ่งๆ เช่น ต้องการเลี้ยงลูกแบบเข้มงวดก็เพราะอยากให้เขาโตขึ้นมาเป็นคนมีระเบียบวินัย
- การที่เด็กสักคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนอย่างไรก็มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม สังคมรอบข้าง ฯลฯ การหยิบยก ‘วิธีการเลี้ยงลูก’ เพียงอย่างเดียวมาใช้คาดคะเนว่าเด็กคนหนึ่งจะโตขึ้นมาเป็นคนอย่างไรอาจทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้อง
- พ่อแม่ต้องไม่ลืมการใช้ชีวิตอยู่กับ ‘ปัจจุบัน’ ด้วย อย่ามัวแต่กังวลว่าลูกจะเป็นอย่างไรในอนาคตจนลืมใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน อย่าโทษตัวเองหากลูกไม่ได้เติบโตมาตามที่หวัง ขอให้เข้าใจว่าเด็กแต่ละคนมีเส้นทางของตัวเอง
ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางยอดนิยมที่ผู้คนใช้สืบค้นข้อมูลต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ ‘การเลี้ยงลูก’ ซึ่งข้อมูลที่ปรากฎบนแพลตฟอร์มต่างๆ นั้นมีตั้งแต่การเลี้ยงดูแบบเข้มงวดไปจนถึงการเลี้ยงแบบปล่อยอิสระ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเรื่องการดูแลเด็กอีกมากมายที่อ้างอิงแนวทางจากต่างประเทศ เช่น เน้นระเบียบวินัยแบบคนญี่ปุ่น หรือส่งเสริมเสรีภาพแบบคนอเมริกัน
ท่ามกลางข้อมูลมหาศาลเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงลูก พ่อแม่หลายคนเกิดความสับสนและกังวลว่าแนวทางไหนคือแนวทางที่ดีที่สุด อีกทั้งการเข้าถึงข้อมูลที่มากมายนี้ก็อาจก่อให้เกิดความเครียดหากตัวเองไม่สามารถทำตามแนวทางที่ถูกกล่าวอ้างว่ามาจากผู้เชี่ยวชาญ หรือเป็นแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม
แน่นอนว่าการที่พ่อแม่พยายามค้นหาวิธีการเลี้ยงลูกแบบต่างๆ ก็เพราะลึกๆ ในใจแล้วมีความคาดหวังให้ลูกของตนเติบโตขึ้นมามีนิสัยใจคอไปในทิศทางหนึ่งๆ เช่น ต้องการเลี้ยงลูกแบบเข้มงวดก็เพราะอยากให้เขาโตขึ้นมาเป็นคนมีระเบียบวินัย
Yuko Munakata ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์ที่ University of Colorado Boulder กล่าวในเชิงเปรียบเทียบว่า “การพยายามทำนายว่าลูกจะเป็นอย่างไรจากการตัดสินใจของพ่อแม่ ก็เหมือนกับการพยายามทำนายว่าจะเกิดพายุเฮอริเคนหรือไม่จากการกระพือปีกของผีเสื้อ”
แค่ดู ‘การกระพือปีกของผีเสื้อ’ จะรู้ได้อย่างว่าจะเกิด ‘พายุเฮอริเคน’ มันก็ต้องดูสภาพอากาศ ทิศทางลม ความชื้น และอื่นๆ อีกด้วย การจะเกิดพายุเฮอริเคนมีหลายตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นการดูเพียงการกระพือปีกของผีเสื้อจึงเป็นไปไม่ได้ที่นำมาทำนายว่าจะเกิดพายุเฮอริเคนหรือไม่ ซึ่งก็เหมือนกับการเลี้ยงลูกเช่นกัน
การที่เด็กสักคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนอย่างไรก็มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม สังคมรอบข้าง ฯลฯ ดังนั้นการหยิบยก ‘วิธีการเลี้ยงลูก’ เพียงอย่างเดียวมาใช้คาดคะเนว่าเด็กคนหนึ่งจะโตขึ้นมาเป็นคนอย่างไรอาจทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้อง
ยิ่งไปกว่านั้น ศาสตราจารย์ Munakata ยังชี้ว่าการเลี้ยงลูกวิธีหนึ่งไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันในเด็กทุกคน แม้ว่าเด็กจะเป็นพี่น้องหรือฝาแฝดที่เติบโตมาในบ้านเดียวกัน เลี้ยงดูโดยพ่อแม่คนเดียวกัน อาศัยอยู่สิ่งแวดล้อมเดียวกัน แต่เมื่อโตขึ้นทั้งสองกลับมีนิสัยใจคอที่ต่างกัน
เช่น เด็กคนหนึ่งมองว่าการที่พ่อแม่ถามเรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละวันคือความใส่ใจ แต่เด็กอีกคนหนึ่งอาจมองว่าพ่อแม่จุ้นจ้านยุ่งวุ่นวาย
ศาสตราจารย์ Munakata เรียกสิ่งนี้ว่า ‘เหตุการณ์เดียวกัน ประสบการณ์ต่างกัน’ (Same event, different experience.) กล่าวคือ แม้ทุกคนจะประสบกับเหตุการณ์เดียวกัน แต่ทุกคนไม่ได้มีมุมมองต่อเหตุการณ์นั้นที่เหมือนกัน ทำให้แต่ละคนมีความคิดความรู้สึกต่อเหตุการณ์นั้นที่แตกต่างกัน
ถึงแม้วิธีการเลี้ยงลูกอาจไม่ได้ทำให้ลูกโตขึ้นมาเป็นคนอย่างที่พ่อแม่คาดหวัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ไม่สำคัญ สิ่งที่ต้องการสื่อคือ การเลี้ยงดูไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อเด็ก แต่ยังมีอีกหลายๆ ปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พ่อแม่ไม่ควรมุ่งสนใจแต่การหาวิธีการเลี้ยงดูเพียงอย่างเดียวจนละเลยปัจจัยอื่นๆ
เมื่อการเลี้ยงดูเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ปัจจัยที่ส่งผลต่อเด็ก ดังนั้นการคาดคะเนว่าเด็กจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างไรจึงเป็นเรื่องซับซ้อน พ่อแม่ควรทำความเข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็ก แต่ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมพัฒนาการของเด็ก
นอกจากนี้ ความคิดที่ว่าวิธีการเลี้ยงดูจะควบคุมให้เด็กเติบโตขึ้นมาตามที่พ่อแม่คาดหวังอาจเกิดจากแนวคิด ‘เด็กคือผ้าขาว’ ที่สามารถเติมแต่งสีต่างๆ ลงไปได้ โดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น เคยกล่าวไว้ว่า ‘เด็กไม่ใช่ผ้าขาว’ เด็กแต่ละคนมีสีที่ต่างกัน เปรียบได้กับพื้นฐานอารมณ์และรสนิยมที่ติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิด
สีของเด็กในที่นี้ถ้าแบ่งอย่างคร่าวๆ ก็จะได้เป็น โทนร้อน กับ โทนเย็น เด็กที่มีสีโทนเย็นจะมีอารมณ์สงบ ปรับตัวปรับอารมณ์ได้เร็ว เช่น เวลาโดนฉีดยาก็ร้องไห้นิดหน่อย ปลอบแป๊บเดียวก็หาย แต่เด็กที่มีสีโทนร้อนจะมีอารมณ์ฉุนเฉียว มีพลังสูง อยู่ไม่สุข เช่น เวลาเมื่อรู้ว่าจะพาไปฉีดยาก็เริ่มร้องไห้โวยวาย มาถึงก็ต้องช่วยกันจับตัวกันชุลมุนกว่าจะฉีดยาได้
เมื่อเด็กไม่ใช่ผ้าขาวที่เติมแต่งสีได้ตามใจ การเลี้ยงลูกจึงไม่มีสูตรสำเร็จ วิธีการที่ได้ผลกับบ้านหนึ่ง อาจไม่ได้ผลกับอีกบ้านหนึ่ง หรือแม้แต่ในครอบครัวเดียวกัน วิธีการที่ได้ผลกับลูกคนหนึ่งอาจใช้ไม่ได้กับลูกอีกคน พ่อแม่จึงควรพิจารณาว่าเด็กมีพื้นฐานอารมณ์อย่างไร รวมทั้งมีสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างไร เพื่อค้นหาการเลี้ยงดูที่เหมาะสมกับลูกของเรามากที่สุด
ท่ามกลางการแสวงหาวิธีการเลี้ยงลูกของแต่ละบ้าน ศาสตราจารย์ Munakata เน้นย้ำว่า พ่อแม่ต้องไม่ลืมการใช้ชีวิตอยู่กับ ‘ปัจจุบัน’ ด้วย อย่ามัวแต่กังวลว่าลูกจะเป็นอย่างไรในอนาคตจนลืมใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน อย่าโทษตัวเองหากลูกไม่ได้เติบโตมาตามที่หวัง ขอให้เข้าใจว่าเด็กแต่ละคนมีเส้นทางของตัวเอง
การเติบโตของเด็กเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ไม่มีใครควบคุมได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ความรักและความเข้าใจจากพ่อแม่จะเป็นรากฐานสำคัญให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาอย่างมั่นคง
อ้างอิง
AMARINBOOKS TEAM. (2019). “เด็กไม่ใช่ผ้าขาว อย่าเข้าใจผิด” เขียนโดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี (หมอเดว).
TEDx Talks. (2019). Why Most Parenting Advice is Wrong | Yuko Munakata | TEDxCU.
2020 ENTERTAINMENT. (2023). “เลี้ยงลูกตามในเน็ต” หาข้อมูลจากเว็บ ไม่ได้เหมาะสำหรับเด็กทุกคน l เยียวยาใจ.