ศิลปินในวงการเพลงป๊อปมากมายได้รับรางวัล MTV’s Vanguard Award รางวัลอันทรงเกียรติที่ MTV จะมอบให้กับบุคคลที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมทางดนตรี ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา บริทนีย์ สเปียรืส, จัสติน ทิมเบอร์เลค, เคนเย เวสต์, บียอนเซ หรือริฮานนาล้วนเคยได้รับรางวัลนี้กันมาแล้วทั้งนั้น ตามธรรมเนียม นี่คือช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองผลงานที่อยู่ในระดับท็อป, การกระหน่ำเมดเลย์เพลงฮิตและการกล่าวสุนทรพจน์อันงดงามแก่ศิลปินที่ผลิตผลงานมาจนถึงจุดนี้ได้ ซึ่งในเดือนสิงหาคมนี้เป็นคิวของอลีเซีย มัวร์ หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม ‘พิงค์’
ตอนที่เธอขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์บนเวที VMAs พิงค์ไม่ได้มาพูดขอบคุณซึ้งๆ ธรรมดาแล้วเดินจากไป แต่เธอใช้เวลาบนเวทีถ่ายทอดเรื่องราวของวิลโลว์ ลูกสาววัย 6 ขวบเกี่ยวกับการยอมรับความบกพร่องของคนอื่นและพลังแห่งการเป็นคนประหลาด
เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งวิลโลว์กลับมาจากโรงเรียนพร้อมประกาศว่าเธอเป็นเด็กที่ “หน้าตาหน้าเกลียดที่สุดเท่าที่ตัวเองเคยเจอมา” หลังจากที่ได้ฟังลูก มัวร์ก็ลงมือทำ powerpoint โชว์ศิลปินเพลงป๊อปที่มีลักษณะของความเป็นสองเพศ (Androgynous)ให้ลูกดู เช่น เดวิด โบวี, ปรินซ์ หรือแอนนี เลนน็อกส์
“เราจะไม่เปลี่ยน” เธอประกาศแก่เหล่าเซเล็บที่กำลังนั่งฟังด้วยความปีติ
“แต่เราจะช่วยให้คนอื่นเปลี่ยนเพื่อที่พวกเขาจะได้มองเห็นความงามในรูปแบบอื่นบ้าง”
ตลอดระยะเวลาที่เธอประกอบอาชีพศิลปิน อาจจะกล่าวได้ว่าครั้งนี้พิงค์กลั่นกรองสุนทรพจน์ออกมาได้อย่างสะอาดสะอ้าน เธอพูดถึงเรื่องการต่อต้านตัวตนและความจริงใจด้วยอารมณ์ที่ท่วมท้นและพลุ่งพล่าน ซึ่งทำให้สุนทรพจน์ครั้งนี้กลายเป็นไวรัลยิ่งใหญ่ในอินเทอร์เน็ต สัปดาห์ต่อมา มัวร์เผยว่าเธอมีความรู้สึกผสมปนเปหลังจากที่โลกออนไลน์รับรู้ รู้สึกได้ถึงชีวิตหลังไวรัลที่แข็งแรง
“ฉันคิดว่ามันสวยงามนะ เพราะนี่คือประสบการณ์ของฉันกับลูกสาว ถ้ามันทำให้ใครสักคนรู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมาได้ ฉันก็พร้อมที่จะยืนหยัด แต่มันก็น่าเศร้าที่เรื่องนี้กระทบใจคนจำนวนมาก ฉันเกลียดการที่รู้ว่าคนเราเกลียดตัวเองมากขนาดไหน การเกลียดตัวเองมันเป็นเรื่องที่ยังสดใหม่มาก แล้วมันยากที่จะมองดูภาวะเช่นนี้”
แต่มีอยู่หนึ่งคนที่ไม่ได้รู้สึกประทับใจไปกับสุนทรพจน์และบรรยากาศจับใจ วิลโลว์หัวเราะคิกคัก เห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรกับคำพูดของแม่
“เธอคิดว่าฉันโชว์เด๋อ”
ความผัวเดียวเมียเดียว คือการทำงาน
ในโลกของเพลงป๊อป พิงค์มักจะถูกมองว่าผิดปกติอยู่เสมอ เพราะพิงค์ไม่เคยพริ้งมากพอที่จะเป็นนักร้องหน้าใหม่ที่ฉายแสงได้ ถึงแม้ว่าจะใส่พลังเต็มที่ในอัลบั้มแรก ‘Can’t Take Me Home’ แนวคลาสสิกที่ไม่ค่อยน่ายกย่องของยุคอาร์แอนด์บี ป๊อปปลาย 90 แต่ในอัลบั้มสองในปี 2544 ‘Missundaztood’ ต่างหากที่เธอเริ่มจะออกนามบัตรแจกทุกคนเพื่อบอกความเป็นพิงค์ได้แล้ว เนื้อร้องที่มีเนื้อหาเหมือนวรรคขึ้นต้นแสนจริงใจในไดอารีผสานกับแนวดนตรีป๊อปร็อคเฟรนด์ลี่แต่เหลี่ยมจัด เธอเติบโตจากลุคเด็กสาววัยรุ่นขี้ยาจากดอยเลสทาวน์ที่วันๆ เอาแต่ก่อเรื่องไม่เข้าท่า ไปสู่การเป็นคุณแม่ลูกสองอายุ 38 ปีที่มีชีวิตแต่งงานที่มั่นคง ใสสะอาดตั้งแต่อายุ 15 และกลายเป็นคนที่บอกว่าจะไม่จัดปาร์ตี้ระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตอีกแล้ว แต่จะพาทีมงานและลูกไปเที่ยวสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์ในพื้นที่แทน
“ตอนที่ยังเด็ก พ่อแม่ของคนอื่นมักจะไม่อนุญาตให้ฉันไปเล่นที่บ้าน” เธอทวนความทรงจำ
“ฉันเป็นเด็กเวร ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกมาอยู่ใกล้ๆ ฉันเป็นเด็กป่วน ฉันเป็นเด็กแห่งความฉิบหาย ฉันเป็นเด็กที่มีปากมีเสียง ฉันมักจะมากับปัญหาเสมอ แต่ตอนนี้ พวกแม่ๆ กลับบอกว่า “พวกเรารู้สึกดีที่ลูกสาวของเราชอบเธอนะ” มัวร์นอนพิงโซฟา “โลกมันก็กลับตาลปัตรแบบนี้แหละ”
มัวร์และสามีแต่งงานกันในปี 2545 ใช้ชีวิตแต่งงานด้วยกันมา 11 ปี และเพิ่งจะมีเจมส์สัน ลูกชายคนที่สองเมื่อปีที่แล้ว เธอยินดีที่จะเปิดเผยชีวิตแต่งงาน ดูสบายๆ และไม่มีอะไรปิดบัง จริงๆ ก็ดูจะหลุดๆ นิดหน่อยด้วยเหมือนกัน
“บางครั้งฉันมองฮาร์ทแล้วก็คิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ชอบใช้ความคิด, มีเหตุมีผลและคงเส้นคงวา…และเหมือนหินผา เขาเป็นผู้ชายที่ดี พ่อที่ดี เป็นพ่อในแบบที่ฉันคิดว่าเขาจะเป็นได้ แต่ฉันก็จะมองเขาแล้วคิดว่า ฉันรักเธอไม่ลงหรอกเพราะฉันไม่ได้ชอบอะไรในตัวเธอเลย เราไม่มีอะไรที่เหมือนกันสักอย่างแล้วฉันก็ไม่ได้ชอบสิ่งที่เธอชอบด้วย ฉันไม่อยากจะเจอเธออีกครั้งด้วยซ้ำ แต่สองสัปดาห์ต่อมาฉันกลับคิดว่าความสัมพันธ์กำลังเป็นไปอย่างดี ดีมากๆ เลย แล้วคุณก็จะผ่านช่วงเวลาที่ไม่ได้มีเซ็กส์ไปปีหนึ่ง เหมือนเตียงตายไปแล้ว? มันมาได้สุดแค่นี้ใช่ไหม? ฉันต้องการเขาจริงๆ หรือเปล่า? แล้วเขาล่ะต้องการฉันไหม?” เธอสูดลมหายใจ
“ความผัวเดียวเมียเดียว (monogamy) มันคือการทำงาน! แต่คุณต้องตั้งใจทำงาน มันถึงจะออกมาดี”
มัวร์เล่าว่าเธอเป็นคนเปิดเช่นนี้มาโดยตลอดทั้งในเนื้อร้องและทำนองของชีวิต อย่างเดียวที่เธอตัดสินใจว่าจะไม่พูดถึงมันเลยคือเรื่อง “ความรุนแรงของผู้หญิงต่อผู้หญิง” (girl-on-girl violence) เพราะเมื่อนักข่าวถามเธอเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวล่าสุดในวงการป๊อป (เรื่องเทย์เลอร์ สวิฟต์ กับเคธี แพร์รี ทะเลาะกัน) เธอก็คิดได้ว่าการไม่ให้ความเห็นอะไรสบายใจกว่าเยอะ
“ฉันเกลียดเรื่องพวกนี้ เกลียดที่มันมีแพร่หลายไปทั่ว” เธอกล่าว “ฉันแค่ชอบใช้ความคิดมากกว่าที่จะเสียเวลาไปคิดถึงมัน”
แต่พอเป็นประเด็นอื่น เธอกลับอดที่จะปลดปล่อยออกมาไม่ได้ การเขียนเนื้อเพลงในเชิงสารภาพความคิดไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก่อนที่โซเชียลมีเดียจะทำให้ขอบเขตเรื่องส่วนตัวของผู้คนป่นรวมกัน มัวร์ก็ถ่ายทอดเรื่องเหล่านั้นออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งการเสพยา, ความสับสนอลหม่านของการหย่าร้างในครอบครัว หรือแม้กระทั่งการแยกกันอยู่ชั่วคราวกับฮาร์ท ที่กลายมาเป็นท่อนแสบๆ ในซิงเกิล So What ที่ร้องว่า “รู้สึกว่าฉันจะทำสามีหาย ไม่รู้ว่าเขาไปไหน” เธอแซะตัวเองขำๆ ว่ามันคือ “การอาเจียนความจริง”
“ฉันผลิตมันออกมาอย่างชัดเจน และคิดว่าไม่ได้รับรู้ถึงความสำคัญของมันจนกระทั่งได้ออกเพลง Family Portrait” ซิงเกิลออกมาในปี 2544 มัวร์จำได้ว่ามีแฟนเพลงคนหนึ่งยื่นจดหมายที่ร่ายยาวเรื่องชีวิตเลวร้ายที่เต็มไปด้วยการโดนข่มเหง และเขียนบอกว่าถ้าตอนนั้นไม่ได้ฟังเพลงของพิงค์ เธอคงคิดที่จะฆ่าตัวตายไปแล้ว
“ฉันนั่งร้องไห้เป็นอีบ้าอีบออยู่ตรงนั้นและส่งคนออกไปตามเธอกลับมา ฉันไม่อยากให้เธอกลับบ้าน แต่เธอหายตัวไปแล้ว และฉันก็ไม่มีโอกาสได้เจอเธออีกเลย” มัวร์ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อีกเรื่อยๆ เธอมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนทางอารมณ์กับแฟนเพลงและได้รับจดหมายมากขึ้น
“ฉันเริ่มที่จะเข้าใจว่าเวลาที่ฉันอึดอัดสุดขีด อ่อนแอสุดขีด ป่าวร้องในสิ่งที่ซื่อสัตย์สุดขีด น่าอายสุดขีด นั่นคือสิ่งที่คนฟังจะรับรู้ได้มากที่สุด และฉันก็ได้บำบัดตัวเองไปด้วยในขณะที่คนอื่นๆ ก็จะได้ผลพลอยได้จากมันไป นั่นคือสิ่งเดียวที่มีความหมายสำหรับฉัน ฉันไม่แคร์ว่าจะต้องชนะรางวัลหรือโพสท่าอยู่บนปกนิตยสารอะไร หรือจะมีใครมาชอบฉัน”
เธอเอ่ย “มันไม่เคยเปลี่ยนจุดยืนฉันได้เลย”
ในปี 2555 มัวร์ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารเกย์ the Advocate เกี่ยวกับเรื่องที่เธอโดนข่าวลือและการคาดเดาเพศที่แท้จริงของเธอเป็นปีๆ สื่อบรรยายว่าเธอเป็นประเภท “หลากหลายได้หมด” เมื่อถกถึงประเด็นว่าเธอกำลังชอบใครอยู่ ในช่วงที่พิงค์เป็นนักร้องป๊อปใสๆ ในยุคแรกของช่วงทศวรรษ 2000 มีข่าวออกในหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์บ่อยๆ ว่าเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ 15 ปีต่อมา ประเด็นเรื่องความกำกวมของรสนิยมทางเพศ (sexual orientation) ผูกติดอยู่กับป๊อปสตาร์สมัยใหม่ เทรนด์ของโลกจึงเปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง
“แต่ฉันคิดว่าคนชอบไมลีย์ ไซรัสนะ….ฉันรู้สึกว่าคนเริ่มไม่ค่อยจะอยากโดนแปะป้ายกันแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันชอบมาก” เธอยักไหล่
“มันคือสิ่งที่ฉันเป็นมาโดยตลอด ปล่อยๆ มันไปเถอะ ฉันแค่อยากใช้ชีวิตของฉัน ฉันไม่ต้องการให้คุณมาจับฉันยัดใส่กล่องเพื่อที่จะมาวิเคราะห์ว่าฉันคิดอะไร หรือเป็นอะไร เพราะตัวฉันเองก็ยังสรุปไม่ได้เลย”
เธอหัวเราะเสียงแหลมเพราะรู้สึกตลก “ยังลองไม่หมดเลยอ่ะ…”
มัวร์คือส่วนผสมที่น่ารักระหว่างความขบถและความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เธอยอมรับว่าเธอมี “ความเซนซิทีฟสูงมาก” ซึ่งบางครั้งมันขับให้เธอลงมือทำอะไรห้าวๆ ที่รังแต่จะสร้างปัญหาให้ตัวเอง “IRHBA” เธอหัวเราะ ความหัวร้อนแบบฉับพลันน่ะ (Instant Red Hot Burning Anger) มันคล้าย IBS (โรคลำไส้แปรปรวน) แหละ แต่ไม่เหมือน”
จงซื่อสัตย์กับตัวเอง
มัวร์เผยว่าพ่อของเธอเป็นทหารที่ต่อสู้ในสงครามเวียดนาม เขาสอนให้เธอยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง “ชื่อเล่นของเขาคือนายเจ้าปัญหา เขาเลี้ยงฉันมาจากประโยคของเช็คสเปียร์ที่ว่า “จงซื่อสัตย์กับตัวเอง” (to thine own self be true) บางครั้งคุณต้องยืนอย่างโดดเดี่ยวเพื่อสิ่งที่คุณเชื่อมั่นและช่วยเหลือคนตัวเล็กๆ คือฉันค่อนข้างมาในสไตล์ราชากำปั้น (Rocky Balboa) ฉันมาจากฟิลาเดลเฟีย ฉันมีวิญญาณนักสู้ในตัว”
ในปี 2549 เธอเลยใส่วิญญาณนักสู้ลงใน Dear Mr.President เพลงบัลลาดบาดหัวใจเกี่ยวกับการต่อต้านสงครามเพื่อส่งสารให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช โดยตรง ช่วงนั้นการวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดียังไม่แพร่หลายเหมือนอย่างทุกวันนี้ ปฏิกิริยาโต้กลับจึงดีดค่อนข้างฉับพลัน
“ฉันโดนโห่ไล่ตอนขึ้นแสดงบนเวที โดนปามะเขือเทศใส่ไม่ยั้ง ฉันเลยหยุดแสดงแล้วพูดว่า “พวกคุณได้ยินเสียงนั้นไหม” แล้วพวกเขาทุกคนก็ตอบว่า “ได้ยิน” ” เธอเว้นจังหวะเพื่อสื่อให้รู้ว่าผลกระทบมันร้ายแรง “ฉันเลยบอกว่า “นั่นแม่งเป็นเสียงของความไร้พลัง ไอ้เ_ี้ยเอ๊ย!” เธอตะโกนพร้อมชูนิ้วกลาง ซึ่งตอนนี้เธอก็ยังภูมิใจอยู่เลยขอพูดสักหน่อย “มันคือการแบ่งขั้วอย่างเห็นได้ชัดนั่นแหละ แต่ฉันคิดชัดแล้วว่าไม่ว่าคนจะเห็นด้วยกับฉันหรือไม่ พวกเขาก็จะไม่บอกว่าฉันเป็นคนปลอมๆ ฉันโอเคกับมันเพราะจุดนี้สำคัญมากกว่า ไม่จำเป็นต้องมาเห็นด้วยกับฉันหรอกเพราะฉันต้องการเรียนรู้”
ตอนนี้พ่อแม่ทั้งหลายคงไม่ต้องกังวลแล้วว่าอลีเซีย มัวร์จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับลูกของพวกเขา แต่จริงๆ พิงค์ก็ยังแฮปปี้ที่จะมีส่วนสร้างความป่วนเล็กๆ น้อยๆ เป็นบางครั้งบางคราว “ฟังนะ” เธอเริ่ม “ฉันน่ะมีส่วนผสมของ “คนเ_ี้ย อยู่ เรื่องมันก็มีอยู่แค่นั้นแหละ”