- ดนตรีช่วยทำให้สมองสองซีก ทำงานเชื่อมโยงกันได้ดี เพราะเสียงเพลงและจังหวะที่เหมาะสม จะกระตุ้นให้เกิดคลื่นสมอง ที่ช่วยเรียบเรียงความคิด การใช้เหตุผลความคิดสร้างสรรค์ การทบทวนความจำต่างๆ ได้
- ดนตรีเป็นเสียงที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวลูก มีอิทธิพลต่อการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม หรือสติปัญญา หากเลือกใช้ดนตรีที่เหมาะสมก็จะช่วยพัฒนาระบบต่างๆ ภายในสมองของลูกให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น
- ดนตรีมีส่วนช่วยทำให้เด็กฉลาดได้จริง เพราะการฟังและการเล่นดนตรีมีผลต่อกระบวนการคิดทั้งระยะสั้น-ระยะยาว
ทำไมในยุคนี้ เราถึงเห็นเด็กตัวเล็กๆ เริ่มเรียนดนตรีกันเยอะขึ้น
โดยเฉพาะเปียโน ที่เป็นเครื่องดนตรียอดฮิต ที่พ่อแม่มักส่งให้ลูกไปเรียนตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็กน้อย
แล้วการเรียนดนตรีมันมีประโยชน์อย่างไร ทำไมจึงเป็นหนึ่งในวิชาที่ลูกควรจะได้เรียน?
หนังสือ เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี เขียนโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มนสิการ เหล่าวานิช จะช่วยไขคำตอบให้ทุกคนเข้าใจว่า เสียงดนตรีช่วยสร้างจินตนาการและเสริมพัฒนาการของลูกน้อยได้อย่างไร
ลูกชอบเสียงร้องเพลงของแม่มากกว่าเสียงพูด
พัฒนาการด้านการฟัง เป็นพัฒนาการลำดับแรกสุดของเด็ก ลูกสามารถฟังทุกๆ เสียงที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ โดยจะตอบสนองผ่านทางร่างกาย โดยพัฒนาการจะเพิ่มขึ้นตามแต่ละช่วงวัยไป ซึ่งการได้ยินของลูกจะเริ่มต้นตั้งแต่เขายังเป็นตัวอ่อน (fetus) อายุ 16 สัปดาห์ในท้องแม่ โดยระบบในการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่ออวัยวะและประสาทส่วนกลางทำงานเชื่อมต่อกันในช่วงวัย 25 สัปดาห์ ดังนั้นในช่วงเวลานี้คุณแม่จะสามารถสื่อสารกับลูกได้ โดยวิธีการสื่อสารนั้นจำเป็นต้องสอดคล้องกับพัฒนาการด้านการรับรู้ของพวกเขาด้วย
เด็กวัยทารกจะมีความพึงพอใจในเสียงดนตรีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาสามารถรับรู้ระดับเสียงสูงๆ ต่ำๆ หรือในทางดนตรีเรียกว่า pitch ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ รวมถึงสามารถแยกแยะเสียงพูด-เสียงร้องเพลงของแม่ออกจากเสียงผู้หญิงคนอื่นได้
โดยที่ลูกจะตอบสนองต่อเสียงต่างๆ ได้ตั้งแต่ช่วง 3 สัปดาห์แรกหลังคลอด หากได้รับการกระตุ้นทางการได้ยินอยู่เสมอ ผ่านการฟังดนตรีตั้งแต่อยู่ในท้อง จะทำให้เขามีการตอบสนองต่อเสียงได้ดีขึ้น เมื่อเวลาแม่ปลอบหรือร้องเพลงให้ลูกฟัง จะทำให้เขารู้สึกสงบและผ่อนคลาย จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ‘ลูกชอบเสียงร้องเพลงของแม่มากกว่าเสียงพูด’
เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมความสามารถทางดนตรีและภาษา
ดนตรีและภาษา สองสิ่งนี้ล้วนมี ‘เสียง’ เป็นองค์ประกอบเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระดับเสียง ความถี่ เวลา และน้ำเสียง เด็กตั้งแต่วัยทารก เมื่อเกิดมาเขาจะมาพร้อมความรู้สึกที่ไวต่อเสียงทั้งดนตรีและเสียงพูดติดตัวออกมา และมีความสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้
- แยกความต่างของระดับเสียงและจังหวะได้
- จดจำการเคลื่อนที่ของแนวทำนองเพลงกับระดับเสียงในการพูด
- รับรู้องค์ประกอบของเสียงในประโยคเพลงและประโยคคำพูด
- จดจำเสียงดนตรีและคำพูด
- สามารถออกเสียงได้
ดนตรีช่วยพัฒนาสมองได้
สมองของเด็กเรียนรู้ได้ดีมากกว่าผู้ใหญ่หลายพันเท่า โดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี สมองจะมีความตื่นตัวในการทำงานอย่างมาก จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะเร่งพัฒนาการและการเจริญเติบโต จากการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ
นอกจากพันธุกรรมแล้ว พบว่า ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยพัฒนาสมองได้ เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น โภชนาการ การเคลื่อนไหว ความรัก ความท้าทาย และ ‘ศิลปะ-ดนตรี’
“ดนตรีเป็นเสียงที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวลูก มีอิทธิพลต่อการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม หรือสติปัญญา หากเลือกใช้ดนตรีที่เหมาะสมก็จะช่วยพัฒนาระบบต่างๆ ภายในสมองของลูกให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น”
ดนตรีช่วยทำให้สมองสองซีกทำงานเชื่อมโยงกันได้ดี เพราะเสียงเพลงและจังหวะที่เหมาะสมจะกระตุ้นให้เกิดคลื่นสมอง ที่ช่วยเรียบเรียงความคิด การใช้เหตุผลความคิดสร้างสรรค์ การทบทวนความจำต่างๆ ได้
เมื่อมีการกระตุ้นสมองส่วนการได้ยิน (Auditory area) จากการได้ยินดนตรีมากเท่าใด ก็จะยิ่งช่วยให้กลุ่มใยประสาท (Corpus callosum) ทำหน้าที่เชื่อมข้อมูลของสมองซีกซ้าย-ขวา ได้สื่อสารและทำงานร่วมกัน
เสียงเปียโนกระตุ้นสมอง
ใครจะรู้ว่าเสียงเปียโนที่ออกมาจากปลายนิ้วของลูกๆ กำลังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้สมองทั้งสองซีกของพวกเขาทำงานอย่างพร้อมกัน เริ่มจากสมองซีกซ้ายที่มีหน้าที่สั่งการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว กระตุ้นให้ต้องคิดวิเคราะห์สิ่งที่กำลังเล่น
ในขณะที่เล่นเปียโนอยู่นั้น สมองจะสร้างเส้นใยประสาทในการคิดเชื่อมโยงภาพของนิ้วมือที่ขยับไปมาบนคีย์กับเสียงที่เกิดขึ้น เพิ่มการเรียนรู้ได้มากขึ้น และหลังจากการวิเคราะห์แล้ว สมองซีกขวาจะทำหน้าที่ควบคุมในส่วนของอารมณ์ สร้างสรรค์ สร้างจินตนาการ ให้สื่อสารบทเพลงออกมาให้ได้อย่างไพเราะ
การเล่นดนตรีทำให้ลูก ‘ฉลาด’ ได้จริง
การที่สมองสองซีกเชื่อมโยงกันได้ดี ทำให้การสื่อสารส่งผ่านข้อมูลเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลต่อการเรียนรู้ที่ดีขึ้น จากงานวิจัยเรื่อง ‘Music and Cognitive Abilities’ ของ E. Glenn Schellenberg (2005) ตอบคำถามเรื่องนี้ได้อย่างน่าสนใจว่า ดนตรีมีส่วนช่วยทำให้เด็กฉลาดได้จริง เพราะการฟังและการเล่นดนตรีมีผลต่อกระบวนการคิดทั้งระยะสั้น-ระยะยาว
การฟังดนตรีช่วยกระตุ้นความสนใจ เกิดการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการฟังตามประสบการณ์ของผู้ฟัง แต่จะส่งผลเพียงระยะสั้นเท่านั้น หากต้องการประโยชน์ในระยะยาวต้องลงมือเรียนรู้ ให้ลูกเล่นดนตรีด้วยตัวเอง เพราะความฉลาดเกิดได้ในกระบวนการเรียนรู้ และการฝึกที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้นอยากให้ลูกมีพัฒนาการที่ดี ควรหาหรือส่งเสริมกิจกรรมให้ลูกได้เรียนรู้ตรงกับช่วงเวลาที่สมองแต่ละซีกกำลังพัฒนา ในช่วง 3 ปีแรก อาจเน้นที่สมองซีกขวาก่อน หลังจากนั้นคำนึงถึงการพัฒนาสมองทั้งสองซีกให้ทำงานไปพร้อมกันอย่างสมดุล เพราะการเลือกมุ่งเน้นพัฒนาสมองไปด้านใดด้านเดียว ไม่ได้แปลว่าลูกจะเก่งด้านนั้นไปเลย แต่จะทำให้สมองทำงานอย่างไม่สมบูรณ์
และเสียงดนตรีก็เป็นตัวช่วยที่ดี ที่จะทำให้ลูกได้พัฒนาทักษะร่างกายต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในอนาคต