- Roy Petitfils ที่ปรึกษาและนักบำบัดผู้เชี่ยวชาญในวัยรุ่น กล่าวว่า สิ่งที่เป็นต้นตอของปัญหาต่างๆ มากมายของวัยรุ่นคือ การที่พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตน ถูกมองข้าม ไม่ถูกมองเห็น ไม่มีใครสนใจ โดยลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ‘ภาวะไร้ตัวตน’ (Invisibility)
- สิ่งที่วัยรุ่นต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใดคือ ‘การถูกมองเห็น’ ในบริบทที่ได้สร้างปฏิสัมพันธ์อย่างมีความหมายกับผู้ใหญ่
- หากในโลกจริงวัยรุ่นเหล่านี้ได้รับความสนใจและถูกมองเห็น พวกเขาก็ไม่ต้องไปไขว่คว้าหาความสนใจจากคนบนโลกออนไลน์ที่แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจและปลอดภัยได้มากกว่าคนในโลกจริงเสียอีก
“ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราคือการไร้ตัวตน” –Roy Petitfils
บ่อยครั้งเรามักได้ยินคนกล่าวถึงวัยรุ่นว่าเป็นกลุ่มคนที่เข้าใจยาก ไม่แคร์ใคร หรือแม้กระทั่งต่อต้านสังคม ความคิดเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นภาพจำปกติที่ผู้ใหญ่มีต่อวัยรุ่น แต่แท้จริงแล้ววัยรุ่นเป็นแบบนั้นจริงหรือ?
เมื่อวัยรุ่นแสดงความเห็นหรือต้องการอธิบายความคิดของตัวเอง มีผู้ใหญ่เข้ามารับฟังเขาอยู่หรือไม่? ผู้ใหญ่หลายคนเลือกที่จะเมินเฉย เหนื่อยหน่าย เพราะคิดว่าเป็นความคิดแบบเด็กๆ ทำให้วัยรุ่นจำนวนมากรู้สึกว่าไม่มีใครมองเห็นพวกเขาเลยจริงๆ
‘ความไร้ตัวตน’ ในวัยรุ่น
Roy Petitfils ที่ปรึกษาและนักบำบัดผู้เชี่ยวชาญในวัยรุ่น กล่าวว่า สิ่งที่เป็นต้นตอของปัญหาต่างๆ มากมายของวัยรุ่นคือ การที่พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตน ถูกมองข้าม ไม่ถูกมองเห็น ไม่มีใครสนใจ โดยลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ‘ภาวะไร้ตัวตน’ (Invisibility)
Roy เล่าให้ฟังว่า ในช่วงวัยเด็กเขาถูกเพื่อนบูลลี่มาโดยตลอดจากรูปลักษณ์ที่เป็นคนอ้วน จนกระทั่งเขาขึ้นมัธยมปลาย การบูลลี่เหล่านั้นก็หายไป ตอนแรกเขารู้สึกดีใจมากที่ไม่มีใครบูลลี่เขาแล้ว แต่แล้วเขาก็ค้นพบว่า ที่ไม่มีใครบูลลี่เขาแล้ว เพราะไม่มีใครสนใจเขาแล้วต่างหาก ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขามีตัวตนอยู่
การถูกบูลลี่มันเจ็บนะ แต่การที่ไม่มีใครสนใจเขาเลยมันเจ็บยิ่งกว่า Roy กล่าวว่า “การถูกปฏิเสธไม่ใช่สิ่งที่เรากลัวมากที่สุด แต่ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราคือการไร้ตัวตน”
หลังจากที่ Roy จบมัธยมปลายและเข้าเรียนต่อในวิทยาลัย มีคนมากมายเข้ามาทำความรู้จักและปฏิบัติกับเขาอย่างเป็นมิตรโดยไม่ได้สนใจรูปลักษณ์ของเขา มีคนชวนเขาไปทำกิจกรรมด้วยและได้พบปะเพื่อนในวัยเดียวกัน จากวันนั้นเขารู้สึกว่ามีคนมองเห็นและยอมรับเขา ทำให้เขาสามารถลดน้ำหนักได้โดยไม่ต้องผ่าตัดเลย
วัยรุ่นต้องการถูกมองเห็นอย่างแท้จริง
จากประสบการณ์ในวัยเด็กของ Roy และการทำงานกับวัยรุ่นมามากกว่า 20 ปี ทำให้เขารู้ว่า สิ่งที่วัยรุ่นต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใดคือ ‘การถูกมองเห็น’ ในบริบทที่ได้สร้างปฏิสัมพันธ์อย่างมีความหมายกับผู้ใหญ่
ยกตัวอย่างเด็กหญิงคนหนึ่งที่ Roy เจอ พ่อแม่ของเธอบินไปต่างประเทศบ่อยครั้ง โดยปล่อยให้ลูกอยู่บ้านคนเดียว แต่ก็มีคนรับใช้และของจำเป็นต่างๆ ไว้อย่างไม่ขาดมือ เธอบอกว่าเธอไม่ต้องการของพวกนั้นหรอก เธอรักพ่อแม่มากกว่าของพวกนั้นอีก เธอต้องการความสัมพันธ์กับพ่อแม่
พ่อแม่อาจคิดว่า แม้ตัวไม่อยู่ แต่ถ้าให้ของต่างๆ ไว้กับลูกก็จะเป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ทำให้วัยรุ่นมีตัวตน พวกเขาต้องการปฏิสัมพันธ์กับคนจริงๆ มีคนมองเห็น มีคนรับฟัง มีคนโต้ตอบ อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่หลายคนก็อาจจะยังไม่เข้าใจ เพราะวัยรุ่นไม่ได้แสดงความต้องการเหล่านี้ออกมาโดยตรง
Roy อธิบายพฤติกรรมเช่นนี้ของวัยรุ่นโดยใช้คำพูดของศาสนาจารย์ Dr. Bob McCarty ที่ว่า “วัยรุ่นรุ่มรวยไปด้วยประสบการณ์ แต่ขาดแคลนภาษาที่ใช้อธิบาย”(Experience-rich but Language-poor) กล่าวคือ วัยรุ่นมีโอกาสได้สัมผัสกับประสบการณ์มากมาย แต่พวกเขาไม่มีภาษาที่จะใช้อธิบายประสบการณ์เหล่านั้น
ย้อนกลับไปที่เด็กหญิงก่อนหน้านี้ เธอบอกกับ Roy ว่า เธอต้องการความสัมพันธ์กับพ่อแม่ เธอรู้ดีว่าตัวเองชอบหนีห่างพ่อแม่ พ่อแม่ก็เลยหนีห่างเธอ แต่เธอไม่อยากให้พ่อแม่หนีห่างเธอ เธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเลิกหนีห่างพ่อแม่
Roy กล่าวว่าของขวัญที่ดีที่สุดของพ่อแม่ไม่ใช่ของแพงๆ แต่คือ ‘ความใส่ใจ’ (Attention) ใส่ใจว่าลูกของเราต้องการอะไรจริงๆ ไม่ใช่คิดเอาเองว่าลูกต้องการอะไร พร้อมกับรับฟังความคิดของลูกอย่างจริงใจ ไม่ด่วนตัดสินว่าเขาเป็นคนไม่มีเหตุผล
ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า สิ่งที่วัยรุ่นต้องการคือ ความใส่ใจ การถูกมองเห็น การมีตัวตน เพียงแต่วัยรุ่นไม่รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไร อีกทั้งวัยรุ่นก็เริ่มมีพฤติกรรมห่างเหินจากพ่อแม่เพราะต้องการอิสระ
Ruth Oelrich ผู้เชี่ยวชาญด้านการสนับสนุนนักเรียน กล่าวว่า พ่อแม่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงลูกในแต่ละช่วงวัย ในตอนเด็กพ่อแม่มีหน้าที่ปกป้องลูกให้ปลอดภัยผ่านการบอกหรือสั่ง เช่น ‘อย่าเอาอันนั้นเข้าปาก’ ‘อย่าคุยกับคนแปลกหน้า’ แต่พอลูกโตขึ้นเป็นวัยรุ่นหน้าที่ของพ่อแม่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากการสั่งเป็นการซัปพอร์ต การสั่งมักไม่ได้ผลแล้ว
การซัปพอร์ตลูกอย่างแท้จริงคือ ‘การฟังอย่างตั้งใจ’ (หรือในแนวคิดของ Roy ใช้ว่า ‘ความใส่ใจ’) เมื่อพ่อแม่ตั้งใจฟัง ลูกจะกล้าพูดสิ่งต่างๆ ออกมา ทำให้พ่อแม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ต่อมาพ่อแม่ให้การซัปพอร์ตโดยใช้ประโยค เช่น ‘พ่อแม่อยู่ข้างลูกนะ’ ‘มีอะไรให้ช่วยไหม’
การทำเช่นนี้ทำให้ลูกมีอิสระในการใช้ชีวิต และในขณะเดียวกันพ่อแม่ก็คอยชี้แนะแนวทางได้ด้วย Ruth กล่าวว่า หน้าที่ของพ่อแม่ไม่มีวันหยุด การสอนลูกเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ในทุกช่วงวัย เพียงแต่วิธีการในแต่ละช่วงวัยจะไม่เหมือนกัน พ่อแม่บางคนเลิกสอนหรือไม่สนใจลูกเมื่อเป็นวัยรุ่นแล้ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก
‘ภาวะไร้ตัวตน’ คือต้นตอของปัญหาทั้งปวงในวัยรุ่น
เมื่อมองย้อนกลับไปที่แนวคิดของ Roy ปัญหาของวัยรุ่นในปัจจุบันล้วนมีต้นเหตุมาจาก ‘ภาวะไร้ตัวตน’ ยกตัวอย่างเรื่อง ‘เด็กแว้น’ จากการศึกษาเชิงลึกของ ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข ที่คลุกคลีอยู่กับกลุ่มเด็กแว้นนานถึง 3 ปี พบว่า “พวกเขาคือเด็กวัยรุ่นที่ถูกสังคม ครอบครัว ชุมชน และโรงเรียนเบียดขับให้เป็นเด็กชายขอบ พวกเขาไม่สามารถก่อร่างอัตลักษณ์ตัวตนในลักษณะที่สังคมให้การยอมรับและให้คุณค่าได้”
พูดง่ายๆ คือ กลุ่มเด็กแว้นเกิดขึ้นมาจากเด็กที่ครอบครัวหรือสังคมขาดความใส่ใจ เช่น เด็กหลังห้อง เรียนไม่ดี หรือมีฐานะยากจน ไม่ว่าเด็กพวกนี้ทำอะไรก็มักถูกมองข้าม ไม่ได้รับความสนใจ รู้สึกไร้ตัวตน เมื่อด้านสว่างไม่สามารถทำให้พวกเขามีตัวตนขึ้นมาได้ พวกเขาจึงหันเข้าด้านมืดเพื่อสร้างตัวตนและการยอมรับจากผู้อื่น
การมีมอเตอร์ไซต์และขับขี่มันด้วยลีลาหวาดเสียวทำให้พวกเขามีตัวตนและได้รับการยอมรับจากคนในกลุ่ม แม้สังคมภายนอกจะมองว่าพฤติกรรมเช่นนี้เป็นสิ่งไม่ดี แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในด้านการทำให้ตัวเองถูกมองเห็น
หรือแม้แต่ ‘การเสพติดโซเชียลมีเดีย’ ของวัยรุ่นก็เป็นผลพวงมาจากภาวะไร้ตัวตน ภาวะไร้ตัวตนก่อให้เกิดความเหงา แม้จะมีผู้คนอยู่รอบกายมากมาย แต่หากปราศจากคนที่มองเห็นและรับรู้ว่าเรามีตัวตนอยู่ ความเหงาและความรู้สึกไร้ตัวตนย่อมเกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา
ดังนั้นโซเชียลมีเดียจึงเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ในการถูกมองเห็นจากคนอื่น ทำให้เรารู้สึกมีตัวตนท่ามกลางโลกภายนอกที่เราไร้ตัวตน บนโซเชียลมีเดียเราสามารถเป็นใครก็ได้ ได้พบปะ และสร้างความสัมพันธ์กับคนมากมาย ในขณะที่โลกความจริงเรากลับเป็น Nobody ที่ไม่มีใครสนใจ
หากในโลกจริงวัยรุ่นเหล่านี้ได้รับความสนใจและถูกมองเห็น พวกเขาก็ไม่ต้องไปไขว่คว้าหาความสนใจจากคนบนโลกออนไลน์ที่แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจและปลอดภัยได้มากกว่าคนในโลกจริงเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้น การเข้ามาของเทคโนโลยี ‘ปัญญาประดิษฐ์’ หรือ ‘เอไอ’ ทำให้การใฝ่หาความสนใจจากโลกออนไลน์เป็นไปได้สมจริงมากขึ้น ในปัจจุบันเอไอสามารถโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติคล้ายกับคนจริงๆ ทำให้คนที่ประสบกับภาวะไร้ตัวตนในโลกจริงสามารถได้รับความรู้สึกถึงการมีตัวตนผ่านการคุยกับเอไอ
เอไอกลายเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่มองเห็น โต้ตอบ และแม้กระทั่งสร้างความสัมพันธ์กับเรา จึงไม่แปลกใจหากวัยรุ่นที่ไม่ได้รับความสนใจบนโลกจริง จะพุ่งเข้ามาบนโลกออนไลน์อย่างสุดตัว จมปลักกับเทคโนโลยีเหล่านี้จนถึงขั้นเสพติดก็เป็นไปได้
สุดท้ายคำพูดของ Roy ย้ำเตือนว่า ‘ความใส่ใจ’ ‘การมองเห็นคนอื่น’ เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้โดยไม่ได้ต้องเป็นนักจิตบำบัดหรือเรียนจบจิตวิทยา ขอแค่เรารับฟังคนคนหนึ่งอย่างไม่ตัดสิน ไม่เอาอคติหรือภาพจำต่างๆ ไปยัดเยียดใส่เขา เท่านี้ก็ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว
มองเห็นในสิ่งที่เป็นจริงๆ ไม่ใช่มองเห็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น
อ้างอิง
ทัศนา พุทธประสาท. (2567). AI เป็น ‘เพื่อน’ เราได้จริงหรือ? ว่าด้วยบทสนทนา ปัญญาประดิษฐ์ และความเหงาของมนุษย์.
ปนัดดา ชำนาญสุข. (2551). เร่ง รัก รุนแรง: โลกชายขอบของนักบิด. มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.).
Julie Sly. (2020). “We don’t have a belief issue, we have a belonging issue”.
Käcko, E., Hemberg, J., & Nyman-Kurkiala, P. (2024). The double-sided coin of loneliness and social media – young adults’ experiences and perceptions. International Journal of Adolescence and Youth, 29(1).
Roy Petitfils. (2016). What Teenagers Want You to Know | Roy Petitfils | TEDxVermilionStreet.Ruth Oelrich. (2022). Parents and Teens Can Communicate If You Know How | Ruth Oelrich | TEDxDavenport.