- การกลับมากักตัวอยู่บ้านรอบนี้ แม้ทุกคนจะมี how-to มากขึ้น แต่ในแง่จิตใจดูเหมือนว่าจะเริ่มไม่ไหวและอาจกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย
- เมื่อบ้านกลายเป็นที่รวมของภาระหน้าที่ที่ซ้อนทับกัน ทั้งความเป็นพ่อแม่/ความเป็นพนักงาน/ความเป็นสามีภรรยา, ความเป็นลูก/ความเป็นนักเรียน จัดการอย่างไรไม่ให้กลายเป็นชวนทะเลาะ
- “การตั้งเป้าหมายควรเป็นเป้าหมายที่มาจากการตกลงร่วมกันระหว่างสองฝ่าย ไม่ใช่เป็นการสั่ง คุยกันว่าตอนนี้แม่ต้องทำงาน หนูต้องเรียน หนูจะนั่งตรงไหน อยากให้แม่ทำอะไร ถ้าเรียนเสร็จแล้ววันนี้อยากทำอะไร”
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้น ทำให้หลายครอบครัวต้องกลับมาประจำการอยู่ที่บ้านอีกครั้ง เมื่อโลกการทำงานของพ่อแม่ โลกการเรียนของลูก กับโลกในบ้านต้องกลายมาเป็นโลกใบเดียวกัน เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองต้องรับผิดชอบหลายอย่างพร้อมๆ กัน ความกังวลสารพัดเรื่องที่ประดังกันเข้ามาทำให้หลายบ้านจับต้นชนปลายไปต่อไม่ถูก
ไหนจะการเรียนของลูก… ค่าใช้จ่าย… ภาระงานของตัวเอง… ความสัมพันธ์สามีภรรยา… รวมๆ กันแล้วทำเอาหลายบ้านใกล้ถึงจุดเดือด ภาวนาขอให้ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติในเร็ววัน แต่นั่นก็เป็นแค่ความคาดหวัง เพราะในความเป็นจริงยังไม่อาจทราบได้ว่า สถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป พ่อแม่ลูกหลายๆ บ้านยังคงต้องใช้บ้านเป็นทั้งที่เรียน ที่ทำงาน รวมไปถึงใช้เป็นสถานที่ปลอดภัยจากโรคระบาด
The Potential นำความกังวลนี้ไปคุยกับ ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ หัวหน้าศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อหาแนวทางในการรับมือกับความยุ่งเหยิงทางอารมณ์ จัดการความสัมพันธ์ในวันที่ทุกคนต้องอยู่บ้าน ซึ่งน่าจะช่วยพ่อแม่ยุคโควิด-19 ผ่อนหนักให้เป็นเบาลงได้บ้าง
ไม่มีช่วงโปรโมชั่น สำหรับการกลับมาอยู่บ้านรอบสอง
“ในแง่ how-to เรารู้มากขึ้น แต่ในแง่จิตใจมันยากมากขึ้น”
ผศ.ดร.ณัฐสุดา เกริ่นก่อนจะอธิบายถึงความกังวลที่ทวีคูณขึ้นในใจของพ่อแม่
“อยู่ดีๆ มันกลับมาอีก ภาวะอารมณ์ของคนรู้สึกช้ำ รู้สึกผิดหวัง รู้สึกเหนื่อย รู้สึกล้า ไม่พร้อมที่จะกลับไปสภาพนั้นอีก มีความกลัว มีความกังวล รอบแรกกับรอบสองนี้ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่กำลังเจอ ลูกกำลังเจอ มันคือความรู้สึกว่า รู้แหละว่าจะต้องทำยังไง แต่เห็นไหมว่าความรู้สึกกระตือรือร้นที่จะทำมันลดลง แล้วมันยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ขึ้น”
คำแนะนำในมุมของนักจิตวิทยาคือ ขั้นแรกเมื่อพ่อแม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยังไม่ทันได้ตั้งรับเช่นนี้ว่าให้ “เข้าใจ” เริ่มตั้งแต่การเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดก่อนว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านไปได้ ความเข้าใจจะทำให้พ่อแม่รู้ว่าถ้ามีความเครียดเกิดขึ้นมาบ้างคือเรื่องปกติ ยิ่งเมื่อหน้าที่ที่สมบูรณ์แบบ (picture-perfect) ของพ่อแม่ถูกสั่นคลอน โดยเฉพาะครอบครัวที่เคยไม่ให้ลูกนั่งเฝ้าจอหรือให้เวลากับกิจกรรมการเล่นของลูกอย่างเต็มที่ก็ต้องมายอมรับว่า “จอ” คือทางออกที่ดีที่สุด พ่อแม่ก็ยิ่งเครียดได้ง่ายขึ้น
“บางคนไม่สามารถที่จะทำงานได้เลยถ้าเกิดลูกเข้ามากวน ก็ต้องยอมให้ลูกดูจอ บางทีมันเกิดขึ้นแล้วเราก็รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง งานก็ทำได้ไม่เต็มที่ บทบาทของพ่อแม่ที่เคยเป็น ที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีสมบูรณ์แบบก็รู้สึกไม่เต็มที่ ขั้นที่หนึ่งก็คือให้เข้าใจ แล้วก็ให้เข้าใจด้วยว่า ความยากที่เราเจอมันไม่ได้เป็นเพราะว่าเราไม่ดี หรือเพราะว่าเราทำงานไม่สำเร็จ เราเป็นพ่อแม่ที่ดีแบบที่เราตั้งใจไว้ไม่ได้ แต่มันเป็นเพราะว่าเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากจริงๆ”
ผศ.ดร.ณัฐสุดา อธิบายโดยย้ำว่า พ่อแม่ต้องตระหนักด้วยว่า สถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่อง “ปกติ” ที่ทุกคนต้องเผชิญ ไม่เช่นนั้นพ่อแม่จะมีสิ่งที่ต้องจัดการเพิ่ม นั่นคือความรู้สึกไม่ดีต่อตัวเอง
“หน้างานที่หนึ่งคืองานที่มันไม่มีเวลาทำเพียงพอ เพราะเราต้องดูแลลูกด้วย หน้างานที่สองก็คือลูก เราต้องมีเวลาให้ลูกเท่าที่เคยให้ แต่เพราะเราต้องทำงานด้วย ก็จะเกิดหน้างานที่สามแล้ว เกิดความไม่พึงพอใจในตัวเราเอง มันก็จะส่งผลต่อการรับรู้ตัวเรา ส่งผลต่อปัญหาต่างๆ ที่มันจะเกิดขึ้นตามมาอีก”
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วพ่อแม่ก็ต้องหันมามองในมุมของลูก เข้าใจสถานการณ์ของลูกให้ได้เช่นกันว่า เขาต้องเจอกับอะไร รู้สึกอย่างไรอยู่
“ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดเฉพาะกับตัวพ่อแม่นะ กับลูกก็เป็นเหมือนกัน” ผศ.ดร.ณัฐสุดาเอ่ย ก่อนจะยกตัวอย่างว่า ลูกเองก็เคยรับรู้ว่าเวลาที่พ่อแม่อยู่บ้านคือ เวลาของเขา แต่สถานการณ์เป็นแบบนี้ การรับรู้ของลูกก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นพ่อแม่ทำงานอยู่ที่บ้าน พ่อแม่ต้องพยายามถามถึงความรู้สึกลูก พยายามให้ลูกมีโอกาสได้เล่ามุมมองที่เขารับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ว่า เขาเป็นอย่างไร เขารู้สึกอย่างไร มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง หรือบางทีลูกอาจจะบอกไม่ได้ว่าตัวเองเครียด หากพ่อแม่เริ่มเห็นความผิดปกติก็ต้องหาวิธีที่จะสื่อสารกับลูก เมื่อลูกบอกปัญหาของเขาแล้ว อย่างแรกที่พ่อแม่ต้องทำก็คือ การแสดงความเข้าใจ
“บอกเขาว่า เราเข้าใจนะว่ามันไม่ง่ายเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดเวลาคนแสดงอารมณ์อะไรต่อเรา คือการรับรู้อารมณ์นั้นและการแสดงความเข้าใจที่เรามีต่ออารมณ์นั้น ความรู้สึกในขั้นต้นนี้จะเบาไปเยอะเลย เพราะมีคนเข้าใจฉัน แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่จะตอบว่าก็ทนๆ กันไปเถอะ แม่ก็ไม่ชอบเหมือนกัน มันก็กลายเป็นว่า ฉันไม่ดีเหรอที่อดทนไม่ได้”
กล่าวโดยสรุปก็คือ การพูดคุยต้องเริ่มจากพยายามเข้าใจ ไม่ด่วนเสนอแนะ จากนั้นก็สำรวจลึกลงไปว่าปัญหาคืออะไร แล้วลงมือแก้ไข โดยระลึกเสมอว่าความกังวลที่พ่อแม่แสดงออกจะกระทบกับอารมณ์และจิตใจของลูกด้วย เพราะฉะนั้นไม่ควรแสดงออกถึงความกังวลมากไป
ตัวอย่างคำพูดที่พ่อแม่ควรจะสื่อสารกับลูก
: เมื่อลูกบอกว่า ไม่ชอบเรียนออนไลน์
“แม่รู้มันไม่ง่ายเลยลูก เป็นยังไงบ้าง เล่าให้แม่ฟังซิ หนูไม่ชอบยังไง แล้วทำยังไงดีคะ ให้มันดีขึ้น ให้แม่ช่วยอะไรได้มั้ย”
: เมื่อลูกถามว่า เราต้องอยู่กันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน
“ไม่มีใครตอบได้เลยลูก แต่แม่เข้าใจ หนูไม่ชอบที่จะอยู่อย่างนี้ใช่มั้ยคะ จริงๆ เราก็ยังไม่รู้ว่าถ้ามีวัคซีนจะดีขึ้นมั้ย ภาวะที่เราอยู่มันยากมากจริงๆ แม่เข้าใจเลยนะว่ามันยาก แต่ถ้าเราอยู่อย่างนี้ เราก็สามารถดูแลตัวเองได้นะ”
ชวนกันจัดตารางเวลาและหากิจกรรมทำด้วยกัน
เมื่อเส้นแบ่งของโลกการทำงานและโลกที่บ้านไม่ชัดหรือเริ่มหายไป พ่อแม่ต้องทำเส้นแบ่งขึ้นมาใหม่เพื่อจัดสรร ‘เวลา’ และ ‘พื้นที่’ ของตัวเองและของลูกให้ชัดเจน โดยอธิบายให้ลูกได้เข้าใจถึงพื้นที่ เวลา และกิจกรรมที่เขาต้องทำ ผศ.ดร.ณัฐสุดาแนะว่า ตารางสำหรับลูกควรทำให้เหมือนกับตารางที่ลูกอยู่โรงเรียน พ่อแม่ลูกช่วยกันเขียนเลยว่า ตื่นเช้ากี่โมง เดินเล่นถึงกี่โมง ใช้เวลาไหนเล่นกับพี่น้อง ดูทีวี เรียนหนังสือ ทำการบ้าน ฯลฯ
“เราคงต้องค่อยๆ บอก ถ้าเกิดเมื่อไหร่แม่อยู่ในห้องนี้แปลว่าแม่ทำงานนะ อาจจะต้องขอ ถ้าหนูเรียน หนูต้องเรียนตรงนี้นะ ไม่ใช่เรียนไปแล้วหนูก็ดูการ์ตูนไปอีกช่องนึง คือทุกคนต้องมีพื้นที่เพื่อให้รู้ว่า ตอนนี้เราต้องทำอะไร”
คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ที่ทำงานที่บ้านทั้งคู่ก็คือ แบ่งเวลาช่วยกันดูลูก เช่น แบ่งให้ชัดเลยว่า ตอนเช้าลูกจะได้อยู่กับแม่แล้วตอนบ่ายจะได้อยู่กับพ่อ เพื่อที่ตัวพ่อแม่เองก็จะได้จัดการเวลาที่ต้องทำงานของตัวเองด้วย สำหรับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ผศ.ดร.ณัฐสุดามองว่า อย่างไรก็ต้องจัดตารางเวลาและสถานที่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้แต่ละบ้านควรทำตารางเวลาเหล่านี้โดยการชวนลูกคุย ชวนลูกทำ แล้วตกลงร่วมกัน
“การตั้งเป้าหมายที่ดีมันควรเป็นเป้าหมายที่มาจากการตกลงร่วมกันระหว่างสองฝ่าย ไม่ใช่เป็นการสั่ง การตั้งเป้าหมายก็คือเราคุยกันว่าตอนนี้แม่ต้องทำงาน หนูต้องเรียน หนูจะนั่งตรงไหน อยากให้แม่ทำอะไร ถ้าเรียนเสร็จแล้ววันนี้อยากทำอะไร อย่าลืมให้เขารู้ว่าเขายังมีโอกาสที่จะได้คุยกับเพื่อน เขายังต้องมีกิจกรรมที่ทำกับคนในครอบครัวด้วย”
พ่อแม่ต้องไม่ลืมที่จะจัดตารางให้ลูกมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนเพื่อช่วยเตรียมให้ลูกกลับไปเรียนตามปกติได้โดยไม่สะดุดและไม่รู้สึกแปลกแยกกับเพื่อน ผศ.ดร.ณัฐสุดามองว่า ถ้าเด็กอายุต่ำกว่าเจ็ดขวบนั้นให้เจอกับเพื่อนระหว่างการเรียนออนไลน์ของโรงเรียนก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นวัยที่มากขึ้นที่เริ่มถอยห่างจากพ่อแม่ การจัดให้มีการวิดีโอคอลคุยกับเพื่อนในตารางเวลาของลูกจะช่วยลดความรู้สึกคิดถึงเพื่อนได้ หรือถ้าบ้านไหนมีเด็กที่เข้าสู่วัยรุ่น เรื่องเหล่านี้ลูกๆ อาจจัดการเองได้เลย เพียงแต่พ่อแม่ต้องแบ่งเวลาให้ชัดว่าควรจะเป็นเวลาไหนที่เขาจะได้มีอิสระ
ทั้งนี้การสื่อสารระหว่างกันเป็นสิ่งจำเป็นเสมอโดยเฉพาะในภาวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เพราะเด็กอาจไม่เข้าใจ ไม่ได้รับรู้จริงๆ ว่าสิ่งที่เป็นอยู่คืออะไร เรื่องนี้ ผศ.ดร.ณัฐสุดา ยกตัวอย่างประสบการณ์ตรงของตัวเองอีกว่า การทำงานที่บ้านครั้งที่แล้ว ระหว่างที่กำลังสอนนักศึกษาผ่านโปรแกรมอยู่ ลูกที่ยังเล็กก็เคาะประตูเข้ามาในห้องแล้วร้องไห้บอกว่า “นักเรียนไม่ใช่ลูกของแม่” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะแบ่งตารางเวลากับลูกชัดแล้ว แต่ลูกยังต้องการการสื่อสารการอธิบายให้เข้าใจด้วย
นอกจากนี้พ่อแม่ควรใช้โอกาสนี้ที่มีเวลาอยู่กับลูกเพิ่มทักษะต่างๆ ให้ลูกไปพร้อมๆ กับกิจกรรมการผ่อนคลาย เช่น ฝึกหายใจเข้า-ออกลึกๆ ระบายสี เล่นทราย ออกกำลังกาย พ่อแม่สามารถชวนลูกวางแผนได้เลย โดยการถามเขาว่าเวลาที่ไม่สบายใจอยากจะทำอะไรแล้วเพิ่มลงไปให้ตาราง โดยผศ.ดร.ณัฐสุดา เน้นว่าสิ่งที่จะต้องทำคือต้องเข้าใจความต้องการของเด็กในแต่ละช่วงวัย หากลูกอยู่ในวัยรุ่นที่อยากจะทำอะไรด้วยตัวเอง พ่อแม่ก็เพียงจัดพื้นที่และโอกาสให้ลูก
“การเรียนมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในห้องเรียน ในห้องเรียนเป็นการเรียนเอาความรู้ ถ้าเกิดว่าตอนนี้เป็นช่วงที่อยู่นอกห้องเรียน เรียนเนื้อหาผ่านออนไลน์ แต่ว่าการอยู่บ้าน เขาก็สามารถจะเรียนรู้ได้ บางทีก็คือการให้เรียนรู้ที่จะเข้าใจอารมณ์ตัวเอง มาช่วยกันทำกับข้าว ชั่งตวงวัดก็เป็นการเรียนรู้เรื่องเลขได้ การทำสวนก็เป็นการได้ออกกำลัง หากิจกรรมเถอะที่มาทำร่วมกันกับลูก อย่าตีค่ากิจกรรมต่างๆ ที่จะทำร่วมกันว่าเป็นการเล่น”
เปลี่ยนความล้าเป็นพลังแล้วดูแลใจตัวเอง
เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่จะรู้สึกล้าในเวลานี้ อาจจะมีบ้างที่เอาพลังงานด้านลบไปใส่ลูก ฉะนั้นสิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ การตั้งสติแล้วตระหนักว่าตอนนี้ลูกไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก เด็กประถมหรือวัยรุ่น คนที่เขาหวังพึ่งก็คือ พ่อแม่
“แม้จะล้า เราจะต้องกลับมามองให้เห็นว่าตัวเรามีความหมายกับคนอีกคนนึงที่เราดูแลมากขนาดไหน บางทีความล้าอาจจะหายไปเมื่อเราเห็นความหมายของคนที่เราต้องดูแล ยิ่งเห็นความยากของสถานการณ์ที่เจอแล้วต้องผ่านไปให้ได้ ก็จะยิ่งเห็นความหมาย สิ่งนี้จะกลับมาเป็นกำลังใจ เป็นพลังใจให้คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ฮึดขึ้นมา”
ผศ.ดร.ณัฐสุดา อธิบายและเตือนด้วยว่า “ลูกก็อาจจะล้าอยู่เหมือนกัน” พ่อแม่จึงยิ่งต้องเป็นหลักให้ลูก หากพ่อแม่เกิดความกังวลก็ต้องเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองโดยการทำในสิ่งที่ควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากอนามัย การดูแลความสะอาดให้ลูก การลดความเสี่ยงต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่พ่อแม่สามารถทำและควบคุมได้เพื่อลูก
เมื่อพ่อแม่ตั้งสติ จัดการตารางให้ลูกและตัวเองได้แล้ว การจัดการอีกอย่างหนึ่งที่พ่อแม่จะลืมไม่ได้ก็คือ การกลับมาดูแลตัวเอง ทั้งพ่อและแม่ต้องยอมให้ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสได้พักจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่อาจเกิดขึ้นได้ การจัดตารางเวลาแบ่งหน้าที่กันจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้พ่อแม่ออกห่างจากความเครียดในชั่วระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้พ่อควรจะต้องหาวิธีคลายเครียดอื่นๆ มาเสริมกันด้วย เช่น พูดคุยกับเพื่อน ทำกิจกรรมที่ชอบ
“เราพูดเหมือนกับพ่อกับแม่เป็นยอดมนุษย์ แต่ความจริงพ่อกับแม่ก็เหนื่อย พ่อกับแม่ก็ล้า แม้จะมีความหมายเกิดขึ้นแล้วว่าฉันจะต้องทำเพื่อลูก แต่บางทีมันก็มีความล้า มันก็มีความเครียดเนอะ หาวิธีที่จะจัดการกับความเครียด ดูว่ามีอะไรบ้างที่เราเคยทำได้ที่เราเคยทำแล้วรู้สึกว่ามันช่วยเรา”
ผศ.ดร.ณัฐสุดาเห็นว่า ข้อดีอย่างหนึ่งเมื่อได้อยู่บ้านอย่างพร้อมหน้ากันก็คือ ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะเพิ่มขึ้นเองโดยธรรมชาติในกรณีที่ครอบครัวนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว การจัดการแบ่งเวลา จัดพื้นที่ หากิจกรรมทำระหว่างที่อยู่ที่บ้านจึงไม่ใช่แค่การลดความกังวล ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่เป็นทางที่จะเพิ่มความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ และพ่อแม่ยังใช้โอกาสในวิกฤตนี้รู้จักตัวเองในด้านอื่นๆ ที่อาจจะยังไม่เคยเห็นมาก่อนได้ด้วย
“เราอาจจะเคยเชื่อเกี่ยวกับตัวเรา ฉันคงเป็นคนแบบนี้แหละ ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่อยู่ๆ เหตุการณ์โควิดเกิดขึ้น ทำให้เราต้องสู้สุดชีวิต สู้ที่สุด อดทนที่สุด นี่อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เรานิยามตัวเราใหม่ก็ได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่เหนื่อยมากๆ อย่างการระบาดรอบสองนี้คนเหนื่อยขึ้นเยอะเลย ถ้าเกิดเรากำลังเหนื่อยอยู่ อยากให้บอกตัวเองว่า เอ้อ เหนื่อยอยู่ เราอดทน ถ้าเราผ่านไปได้ อย่างน้อยเหมือนเราได้ปลดล็อกความสามารถใหม่นะ” ผศ.ดร.ณัฐสุดากล่าวทิ้งท้าย