Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Character building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learning
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
BookEarly childhood
7 June 2019

THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ตัวอักษรในหนังสือ The Happiest Kids in the World พ่อแม่ดัตช์เลี้ยงแบบนี้หนูแฮปปี้สุดๆ กำลังถ่ายถอดเรื่องราวว่าด้วยการเลี้ยงลูกบนความต่างทางวัฒนธรรม
  • หนึ่งในสไตล์การเลี้ยงเด็กแบบชาวดัตช์คือการปล่อยให้เล่นอย่างอิสระโดยปราศจากสายตาของผู้ใหญ่ หากคนทั่วไปเห็นเด็กเล่นกับเพื่อนในสวนจะไม่มีการเดินเข้าไปถามว่า “พ่อแม่หนูอยู่ไหน” หรือแจ้งตำรวจจับพ่อแม่อย่างที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในอเมริกาและอังกฤษ
  • หนังสือเล่มนี้พร้อมจะตบหลังตบไหล่ผู้ปกครอง และบอกว่า “ใจเย็นก่อนคุณแม่ คุณแม่ต้องได้นอน คุณแม่ต้องมีเวลาเป็นของตัวเอง คุณแม่ต้องมีความสุข คุณแม่ต้องมีชีวิต ปรัชญาของคุณแม่ชาวดัตช์คือการปล่อยวางความวิตกกังวลและปล่อยให้เด็กๆ เจอข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง

คุณเคยปล่อยให้ลูกเล็กๆ-สมมุติอายุราว 4 ขวบเล่นไกลตาที่สุดในระยะกี่เมตร?

ถามคนที่ไม่ใช่ผู้ปกครอง เคยสงสัยไหมว่าหน้าที่ของพ่อแม่คือ การวิ่งตามป้อนข้าวลูกในสนามเด็กเล่นอย่างนั้นจริงๆ หรือ?

และถ้าหนังสือเล่มนี้ The Happiest Kids in the World พ่อแม่ดัตช์เลี้ยงแบบนี้หนูแฮปปี้สุดๆ จะกล่าวว่า “เมื่อเด็กดัตช์อายุ 4 ขวบขึ้นไปพวกเขาจะได้ออกไปเล่น ‘กลางแจ้ง’ ด้วยตัวเองและไกลจากสายตาพ่อแม่โดยสิ้นเชิง” ทั้งเป็น ‘กลางแจ้ง’ ที่ไม่ได้หมายถึงแค่ในสวนหรือลานกว้างเสมอไป แต่หมายถึงตรอกข้างบ้าน ทางเดิน ปีนป่ายอยู่บนต้นไม้ใหญ่โดยไม่มีเบาะรองกันกระแทก และถ้าผู้ใหญ่ละแวกนั้นเห็นเด็กวิ่งเล่นอยู่คนเดียว พวกเขาไม่แสดงอาการตกใจและปรี่เข้าไปถามว่า “พ่อแม่หนูอยู่ไหนทำไมปล่อยให้มาเดินเล่นคนเดียว” ยังไม่รวมภาพขบวนจักรยานทั้งเด็กน้อยและผู้ใหญ่ที่ใช้ปั่นไปโรงเรียนและทุกสถานที่ด้วยตัวเอง โดยปราศจากผู้ปกครองขี่ตามท้าย

ทั้งหมดนี้จะน่าสนใจและน่าตั้งคำถามต่อวิธีคิดในการเรียนรู้ของเด็กๆ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประเทศที่ติดอันดับ1 ด้านความสุขและการศึกษา จัดอันดับโดยองค์การยูนิเซฟเมื่อปี 2013 มากขึ้นอีกนิดหรือเปล่า

The Happiest Kids in the World พ่อแม่ดัตช์เลี้ยงแบบนี้หนูแฮปปี้สุดๆ ชวนตั้งคำถามและมีคำตอบให้กับประเด็นเหล่านี้

ทารกดัตช์นอนหลับได้นานกว่า
เด็กดัตช์มีการบ้านน้อยมากหรือไม่มีเลยในโรงเรียนประถม
เด็กดัตช์ไม่เพียงมีตัวตน แต่ยังมีสิทธิมีเสียงในสายตาผู้ใหญ่
เด็กดัตช์ได้รับความไว้วางใจให้ขี่จักรยานไปโรงเรียนเอง
เด็กดัตช์ได้รับอนุญาตให้เล่นกลางแจ้งโดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่คอยดูแล
เด็กดัตช์กินอาหารปกติของครอบครัว
เด็กดัตช์ได้ใช้เวลากับพ่อแม่มากกว่า
เด็กดัตช์เพลิดเพลินกับความสุขง่ายๆ และพอใจกับของเล่นมือสอง
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เด็กดัตช์ได้กินเกล็ดช็อกโกแลตตอนมื้อเช้า!

ที่มา: The Happiest Kids in the World (หน้า 15)

การเลี้ยงลูกแบบปล่อยอิสระคืออะไร?

“การปล่อยให้พวกเขาเบื่อก็สำคัญ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเล่นคนเดียวเป็นได้อย่างไร งานของพ่อแม่ไม่ใช่การเล่นกับลูกตลอดเวลา เด็กต้องหาอะไรทำเองเล่นสนุกเองบ้างเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และความฉลาด” – หน้า 165

อ่านมาถึงหน้านี้แล้วก็ตบเข่าฉาด ทำไมเราต้องคอยเอนเตอร์เทนเด็กตลอดเวลา หนังสือเล่มนี้บอกว่า หนึ่งในสไตล์การเลี้ยงเด็กแบบชาวดัตช์คือการปล่อยให้เล่นอย่างอิสระโดยปราศจากสายตาของผู้ใหญ่ หากคนทั่วไปเห็นเด็กเล่นกับเพื่อนในสวนจะไม่มีการเดินเข้าไปถามว่า “พ่อแม่หนูอยู่ไหน” หรือแจ้งตำรวจจับพ่อแม่อย่างที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในอเมริกาและอังกฤษ

ในวัยทารกหัดคลานไปจนถึงราว 4 ขวบจะเห็นพวกเขาเดินเตาะแตะที่ทางเดินหรือเล่นอยู่หน้าบ้าน แต่เมื่อ 4 ขวบขึ้นไปซึ่งถือเป็นวัยที่จะได้ออกไปเล่นกลางแจ้ง ออกไปเล่นที่สวนสาธารณะ หรือสนามเด็กเล่น ซึ่งมีอยู่ทุกหัวมุมถนนในกรุงอัมสเตอร์ดัม แค่เฉพาะในเมืองก็มีสนามเด็กเล่นถึง 1,300 แห่งเข้าไปแล้ว 

และมันไม่ใช่การปล่อยให้เล่นอย่างเลยเถิด พวกเขามีกติกาสำคัญด้วย คือเด็กๆ (แค่) จะสื่อสารกับผู้ปกครองว่าจะกลับถึงบ้านภายในเวลาเท่าไรและจะต้องกลับบ้านให้ตรงตามเวลานั้นๆ ซึ่งนี่เป็นเรื่องเดียวกับ ‘วินัย’ ที่ชาวดัตช์ให้ความสำคัญ

หลายๆ คนทราบกันดีอยู่แล้วว่าเด็กๆ วัย 0-7 ปีควรเล่นมากกว่าเรียน แต่ชาวดัตช์ให้ความสำคัญกับการเล่นในระดับที่รับรู้ทั่วไปในสังคมจริงจังขนาดว่าการสอบของที่นี่เป็นไปแค่การบอกพัฒนาการและ ‘คำแนะนำ’ ว่าลูกคุณควรเรียนอะไรหรือไปต่อสายไหน

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเขาเชื่อตรงกันว่าองค์ประกอบสำคัญของวัยเด็กคือ ‘อิสรภาพ’ จากการได้เล่น การเล่นกลางแจ้งโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแลคือพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านให้พวกเขามีอิสระและแข็งแกร่งขึ้น มีวินัย ทรหด ยืดหยุ่น เป็นหนุ่มสาวที่พึ่งพิงตัวเองได้

หนังสือเล่มนี้ยังพูดถึงการเล่นในแง่การสร้างทักษะทางสังคมผ่านการเล่น เพราะถ้าคุณได้เล่นและได้ล้มอย่างมีอิสระโดยไม่รู้สึกถูกควบคุม คุณจะมั่นใจเคารพตัวเอง รู้ว่าจะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าอย่างยืดหยุ่นโดยไม่รอคำสั่งจากพ่อแม่ได้อย่างไร และยังทำให้คุณเป็นคน ‘เข้าอกเข้าใจ’ ผู้อื่นผ่านการเล่นกับผู้คนหลากหลายอีกด้วย

นี่มันปรัชญาแห่งการเรียนรู้และเติบโตชัดๆ

พ่อแม่แบบดัตช์ ‘พ่อแม่ที่ดีพอไม่ใช่พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ’ 

อันที่จริงเรื่องอิสรภาพจากการเล่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของวิธีคิดการเลี้ยงเด็กสไตล์ดัตช์ หากปรัชญาที่ลึกลงไปก็คือ คนดัตช์เชื่อเรื่องการเป็นพ่อแม่ที่ดีพอไม่ใช่พ่อแม่ที่สมบูรณ์

“คนดัตช์จริงจังเรื่องนี้ พวกเขามีมุมมองที่สมจริงเรื่องความเป็นพ่อแม่ และเข้าใจว่าตนเอง (และลูกๆ) ไม่ได้สมบูรณ์แบบ พวกเขาคือพ่อแม่ที่อาศัยอยู่ในโลกแห่งความจริง พวกเขายังคงดิ้นรนกับความเป็นจริงในชีวิตประจำวันและความยุ่งเหยิงของชีวิต แต่เพราะพวกเขาให้อภัยความไม่สมบูรณ์และความบกพร่องของตัวเองพวกเขาจึงมีความสุขกับความเป็นพ่อแม่ได้

“(…) คนดัตช์ไม่สนใจเรื่องให้ลูกเป็นเด็กฉลาดที่สุด พวกเขาดูเหมือนจะแค่อยากให้ลูกเป็นเด็กเลี้ยงง่ายที่สุด” – หน้า 65

หนังสือเล่มนี้พร้อมจะตบหลังตบไหล่ผู้ปกครอง และบอกว่า “ใจเย็นก่อนคุณแม่ คุณแม่ต้องได้นอน คุณแม่ต้องมีเวลาเป็นของตัวเอง คุณแม่ต้องมีความสุข คุณแม่ต้องมีชีวิต ปรัชญาของคุณแม่ชาวดัตช์คือการปล่อยวางความวิตกกังวลและปล่อยให้เด็กๆ เจอข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง เพราะนั่นคือวิถีการเติบโตที่ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้ว”

“ปล่อยให้ลูกจัดการกับสถานการณ์อันตรายอย่างมีศักยภาพ และพวกเขาจะเรียนรู้วิธีประเมินความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงปัญหาเมื่ออยู่นอกบ้าน” – หน้า 153 

มากไปกว่าการส่งสารถึงคุณแม่ หนังสือเล่มนี้ยังทำงานเพื่อบอกกับสังคมด้วยว่าการสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้เต็มพร้อมคนหนึ่ง…

อย่างแรก–เลิกกดดันพ่อแม่ให้ ‘ควบคุม’ จัดการลูกได้แล้ว

สอง–ทั้งสังคมต้องหารือกันอย่างจริงจังว่าการเรียนรู้แบบไหนที่จะสร้างทักษะในการเป็นมนุษย์คนหนึ่งจริงๆ เช่น ถ้าอยากให้เด็กๆ เล่นอย่างอิสระ สนามเด็กเล่นที่ปลอดภัยมีเพียงพอหรือยัง, จะให้เด็กๆ ขี่จักรยานไปโรงเรียนด้วยตัวเอง เครือข่ายเส้นทางจักรยานมีครบพร้อมและทั่วถึงไหม, จะให้เด็กเรียนใกล้บ้านจนสามารถขี่จักรยานไปโรงเรียนได้ แล้วโรงเรียนมีคุณภาพเท่าเทียมกันหรือยัง? และอื่นๆ อีกมากที่เมื่ออ่านจบแล้วอยากตายแล้วเกิดใหม่ แล้วขอให้ “ชาติหน้าเกิดเป็นคนดัตช์” อย่างโปรยปกหลังจริงๆ

ผู้เขียนไม่มีลูกแต่อ่านแล้วยังสนุกราวกับมีเพื่อนเป็นคนดัตช์เองจริงๆ แถมอ่านจบยังอยากจับตั๋วเครื่องบินไปเนเธอร์แลนด์เดี๋ยวนั้น ไปขี่จักรยาน ไปดูสวนสาธารณะ ไปดูเด็กๆ วิ่งเล่นโดยไม่มีพ่อแม่ควบคุมจนแก้มแดง จนผมหลุดลุ่ยกระเซอะกระเซิง ไปให้เห็นกับตาว่าการเลี้ยงเด็กสไตล์ดัตช์มันสบายๆ เช่นนั้นจริงหรือ? แล้วทำไมการเป็นแม่ต้องดูเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดด้วย

อยากไป!

The Happiness Kids in the World พ่อแม่ดัตช์เลี้ยงแบบนี้หนูแฮปปี้สุดๆ บอกเล่าโดย รีนาเมอะคอสต้า และ มิเชล ฮัทชิสัน คุณแม่ชาวอเมริกันและอังกฤษซึ่งแต่งงานกับผู้ชายดัตช์ 

แม่ทั้งสองถูกเลี้ยงดูมาในวัฒนธรรมแบบอเมริกันและอังกฤษที่ซึ่งอาจถูกฟ้องได้หากคุณปล่อยลูกเล่นที่ระเบียงเพียงคนเดียว! หรือวัฒนธรรมที่พ่อแม่ต้องจับตาดูลูกน้อยตลอดเวลา ที่ซึ่งการสอบเข้าโรงเรียนอนุบาลประถมมัธยมเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด และการแทงข้างหลัง

เมื่อต้องมาอยู่ในวัฒนธรรมการเลี้ยงเด็กสไตล์ดัตช์ต้องเปลี่ยนแนวคิด ‘การเป็นแม่ที่สมบูรณ์’ เป็น ‘แม่ที่ดีพอ’ ทั้งคู่จึงร่วมกันเขียนหนังสือเล่มนี้รวบรวมจากประสบการณ์ชีวิต และการสัมภาษณ์ผู้ปกครองชาวดัตช์และต่างชาติร่วมกับนักวิชาการด้านการศึกษามากมาย

Tags:

ปฐมวัยหนังสือการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกวินัยเชิงบวกการเล่นอิสระ(free play)พ่อแม่สนามเด็กเล่น

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • BookEarly childhood
    พลังแห่งวัยเยาว์: ขอผู้ใหญ่ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ เด็กเล็กควรเล่นอิสระมากกว่าฝึกฝน

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhoodBook
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นBook
    บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน: แค่คำว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโลกได้

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel