Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Unique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long LearningEveryone can be an Educator
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
Dear Parents
23 August 2025

ปลดปล่อยตัวเองจากความคาดหวัง เพราะบางครั้งพ่อแม่ก็คือผู้ใหญ่ในร่างเด็กแปดขวบที่โตแต่ตัว

เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • จะทำอย่างไรเมื่อครอบครัวไม่เป็นเหมือนในอุดมคติ… บทความนี้เขียนถึงพ่อแม่ที่ปฏิเสธการแสดงออกซึ่งความรัก และไม่เคยยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของลูก หรือชื่นชมในสิ่งที่เขาทำ ซ้ำร้ายยังสร้างแผลใจด้วยการเปรียบเทียบ กดดัน และด้อยค่าในรูปแบบต่างๆ
  • แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อปัญหาเกิดขึ้นจากคนในครอบครัว แต่เครื่องมือจากทฤษฎีปล่อยเขา ได้แก่ ‘กรอบประสบการณ์’ และ ‘การเห็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กแปดขวบ’ นับเป็นวิธีที่ได้ผลในการพาตัวเองออกจากวังวนของความทุกข์กังวลด้วยความเข้าใจ
  • “ผู้ใหญ่ส่วนมากก็เหมือนเด็กแปดขวบที่โตแต่ตัว ครั้งต่อไปเมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองถูกกระตุ้นอารมณ์จากสิ่งที่เขาพูดหรือกระทำ ขอให้นึกภาพตัวเขาในเวอร์ชันเด็กเกรดสอง เพราะโดยแก่นแท้แล้วผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ยังมีภาวะทางอารมณ์ไม่ต่างจากเด็ก ความแตกต่างคือพวกเขาซ่อนมันเก่งขึ้น”

ช่วงวันแม่ที่ผ่านมา อาจเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของใครหลายคนที่มีโอกาสได้อยู่กับแม่ พาแม่ไปกินข้าว และอัปโหลดภาพคู่กับแม่พร้อมแคปชันซึ้งๆ บนโซเชียลมีเดีย

แต่สำหรับผม มันไม่เคยเป็นเช่นนั้น 

แม่ของผมแตกต่างจากแม่ของใครหลายคน นิสัยใจคอของเราไม่ค่อยเข้ากันนัก โดยเฉพาะทัศนคติและวิธีการแสดงความรักของเรานั้นต่างกันสิ้นเชิง 

เรื่องหนึ่งที่ยังติดอยู่ในใจผม คือการที่แม่แอนตี้มาตลอดว่า การกอดหรือการแสดงความรักต่อลูก ‘เป็นวัฒนธรรมฝรั่งที่ดูดัดจริต’ และกำชับว่าเป็นสิ่งต้องห้าม “ครอบครัวเราเลี้ยงลูกให้เป็นเสือ ไม่ใช่แมว” ดังนั้นตอนเด็กๆ เวลาที่ผมพยายามกอดแม่ แม่จะด่าผมอย่างรุนแรง และหากพ่ออยู่ด้วยพ่อก็อาจจะมีฝ่ามือหรือคำหยาบพ่วงเข้ามาราวกับผมคือศัตรู 

ครอบครัวผมจึงไม่ได้มีภาพจำที่อบอุ่นนัก พ่อแม่อยากให้ผมเป็นเหมือนพี่และไม่เคยพอใจในสิ่งที่ผมเป็น ขณะที่ผมก็ไม่ชอบนิสัยของพ่อแม่ เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างไม่ถูกใจกัน จนกระทั่งไม่กี่ปีก่อน ผมเริ่มค้นหาคำตอบว่าทำไมพ่อแม่ถึงเป็นแบบนั้น แต่ยิ่งค้น ก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งเปรียบเทียบ ก็ยิ่งดิ่งลงไปเรื่อยๆ 

ระหว่างอ่านหนังสือ The Let Them Theory ของเมล ร็อบบินส์ ผมพบแนวคิดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ที่เธอมักพูดซ้ำๆ ถึง ‘ทฤษฎีปล่อยเขา’ ว่ามันคือการปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตในแบบของเขา โดยที่เรามีหน้าที่แค่หันกลับมารับผิดชอบหัวใจตัวเอง วิธีนี้ช่วยให้ใจที่หนักอึ้งของผมเบาลงอย่างน่าประหลาด แค่ปล่อยเขา อย่าไปคาดหวังกับคนอื่น และกลับมาโฟกัสกับตัวเอง 

เมลยอมรับว่าทฤษฎี ‘ปล่อยเขา’ ทำได้ง่ายกว่ามากเมื่อคนๆ นั้นเป็นคนแปลกหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนๆ ของเรา เพราะเรายังมีระยะห่างกับคนกลุ่มนี้ และอาจคิดไปได้ว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่คนอื่น แต่กับครอบครัวที่มีความผูกพันทางสายเลือดยึดโยงเราไว้ ดูเหมือนว่าจะยิ่งทวีความซับซ้อนและยากกว่ามาก เพราะไม่ว่าร้ายดียังไง ครอบครัวก็คือคนที่อยู่กับเราไปตลอดชีวิต 

“ครอบครัวมักจะแสดงความเห็นใส่หน้าคุณแบบไม่ถนอมน้ำใจ…ครอบครัวมักจะพูดใส่หน้าคุณแบบแรงๆ เพราะพวกเขามีส่วนได้ส่วนเสียกับความสุขและความสำเร็จของคุณ

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์เช่นนี้ยากจะหาทางออกก็เพราะคุณทั้งคู่ย่อมเชื่อว่าตนถูก จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหรือจากกรอบประสบการณ์ พวกเขาจะเชื่อว่าความคิดเห็นของเขาถูกต้องแล้ว ส่วนจากประสบการณ์ของคุณหรือกรอบประสบการณ์ของคุณ คุณก็รู้ว่าความคิดเห็นของคุณเองถูกต้องเหมือนกัน”

ผมเชื่อว่านี่คือความจริงที่หลายคนพยักหน้ารับ เพราะเรามักเกรงใจและถนอมความรู้สึกคนอื่น แต่กลับลืมมอบความละมุนแบบเดียวกันนี้ให้กับคนในครอบครัว ผ่านการอ้าง ‘ความหวังดี’ หรืออะไรก็ตามที่สนับสนุนให้การพูดจาไม่ถนอมน้ำใจนั้นฟังดูชอบธรรม ดังนั้นเมลจึงแนะนำเครื่องมือสองอย่างเพื่อช่วยให้ทฤษฎีปล่อยเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะกับครอบครัวที่เราผูกพันอย่างลึกซึ้ง

เครื่องมือแรกมีชื่อว่า ‘กรอบประสบการณ์’ เมลบอกว่ามันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราจัดการกับสถานการณ์ที่พ่อแม่ไม่ชอบในสิ่งที่เราเป็น ผ่านการมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยกรอบประสบการณ์ชีวิตของอีกฝ่าย (ไม่ใช่จากมุมของเราเอง) เพื่อจะช่วยให้เราเข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงคิดและแสดงออกเช่นนั้น โดยการทำความเข้าใจพ่อแม่ผ่านเลนส์ชีวิตของเขา อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการซ่อมแซมความสัมพันธ์ 

“ผู้คนมองเห็นคุณได้ลึกแค่เท่าที่พวกเขามองเห็นตัวเอง คนส่วนใหญ่ไม่เคยเข้ารับการบำบัด ไม่เคยพิจารณาปัญหาของตัวเองและไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น…ปล่อยเขา 

ปล่อยให้พ่อแม่เป็นพ่อแม่ที่ดีน้อยกว่าที่คุณควรจะมี ปล่อยให้ชีวิตครอบครัวของคุณไม่เป็นเหมือนในเทพนิยาย พวกเขาทำดีที่สุดแล้วตามทรัพยากรและประสบการณ์ชีวิตที่พวกเขามี 

ตอนนี้คุณเลือกได้ว่าต่อไปข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่ได้พูดเช่นนี้เพื่อหาเหตุผลอธิบายสิ่งเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้น ฉันไม่ได้บอกว่าคุณไม่สมควรได้สิ่งที่ดีกว่านั้น ทุกคนล้วนสมควรจะรู้สึกว่ามีคนมองเห็น สนับสนุน และรักพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากครอบครัว แต่ความเป็นจริงก็คือมนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่เคยทำความเข้าใจตัวเอง เยียวยาอดีต หรือบริหารจัดการอารมณ์ ถ้าพวกเขายังไม่เคยทำเช่นนั้นให้ตัวเอง พวกเขาก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นให้คุณได้ หรือไม่อาจแสดงท่าทีในแบบที่คุณสมควรจะได้รับ

ปล่อยให้ครอบครัวของคุณเป็นตัวของพวกเขาเอง พ่อของคุณจะไม่เปลี่ยน แม่ของคุณจะไม่เปลี่ยน พี่น้องของคุณจะไม่เปลี่ยน ครอบครัวสามีหรือภรรยาจะไม่เปลี่ยน คนเดียวที่คุณสามารถเปลี่ยนได้คือตัวคุณเอง 

เมื่อคุณพูดว่าปล่อยเขา คุณอาจจะได้เห็นตัวตนของคนในครอบครัวอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิต พวกเขาเป็นมนุษย์ คุณไม่อาจควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คุณไม่อาจควบคุมตัวตนที่พวกเขาเป็น คุณทำได้แต่ควบคุมสิ่งที่ตัวเองจะทำนับตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไป…เมื่อคุณให้คนอื่นมีพื้นที่ในการหาข้อสรุปของเขาเอง โดยที่ตัวคุณโฟกัสอยู่กับการเป็นตัวเองกับเขาอย่างเต็มที่ด้วยความรักและความเข้าใจ บ่อยครั้งเมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นก็จะเปลี่ยนความคิดเอง ดังนั้นแม้ว่าจะฟังดูยาก แต่จงปล่อยเขาให้มีความคิดเห็นของเขาเองและโฟกัสไปที่การตอบสนองของคุณ”

เครื่องมือถัดมาคือ ‘การเห็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กแปดขวบ’ ซึ่งผมมองว่าง่ายกว่าการมองจากกรอบประสบการณ์ของพ่อแม่ โดยให้ลองจินตนาการว่าในร่างของพ่อแม่มี ‘เด็กแปดขวบที่เจ็บปวด’ อาศัยอยู่ 

“ผู้ใหญ่ส่วนมากก็เหมือนเด็กแปดขวบที่โตแต่ตัว ครั้งต่อไปเมื่อคุณอยู่กับคนคนนี้และรู้สึกว่าตัวเองถูกกระตุ้นอารมณ์จากสิ่งที่เขาพูดหรือกระทำ ขอให้นึกภาพตัวเขาในเวอร์ชันเด็กเกรดสองที่อยู่ในห้องนั้นกับคุณ เพราะคนที่คุณกำลังบรรยายถึงเป็นคนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ของเด็กแปดขวบ และไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้แหละ

โดยแก่นแท้แล้วผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ยังมีภาวะทางอารมณ์ไม่ต่างจากเด็ก ความแตกต่างคือพวกเขาซ่อนมันเก่งขึ้น 

แต่สิ่งที่สวยงามของทฤษฎีปล่อยเขาอยู่ตรงนี้ มันไม่ได้ทำให้คุณตัดสินคนอื่นมากขึ้น แต่มันทำให้คุณเห็นใจพวกเขามากขึ้น แทนที่จะรู้สึกหงุดหงิดท้อแท้ คุณจะเริ่มเข้าใจว่า คนส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องมือสำหรับจัดการอารมณ์ของตัวเองอย่างมีวุฒิภาวะ”

เมื่อผมลองใช้วิธีนี้ ผมรู้สึกเห็นใจพ่อแม่ของผมมากขึ้น อารมณ์ขุ่นมัวต่างๆ ค่อยๆ คลายกลายเป็นความเข้าใจ น่าแปลกที่ผมรู้สึกสงสารเด็กน้อยสองคนนั้น เพราะพ่อแม่เองก็เคยเป็นเด็กที่ไม่ได้รับการเยียวยา และเมื่อเติบโตขึ้น พวกเขาก็เผลอทำซ้ำในสิ่งที่ตัวเองเกลียด

“ความเป็นจริงก็คือผู้ใหญ่ก็ชอบใช้อารมณ์เหมือนเด็กๆ และมันไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะต้องไปบริหารจัดการปฏิกิริยาของใคร ตราบใดที่คุณยังยอมให้ความไร้วุฒิภาวะทางอารมณ์ของคนอื่นมาบงการสิ่งที่คุณเลือก คุณจะกลายเป็นคนที่สำคัญน้อยที่สุดในชีวิตของตัวเอง

การเฝ้าหวังว่าใครจะเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่ทำให้คุณติดอยู่ในความสัมพันธ์กับคนที่ไร้วุฒิภาวะทางอารมณ์ หรือแย่กว่านั้นคือคนที่ชอบทำร้ายความรู้สึกคนอื่น 

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย คนคนนี้จะไม่เปลี่ยน คุณต่างหากคือคนที่ต้องเปลี่ยน และนี่แหละที่ทฤษฎีปล่อยเขาเป็นทฤษฎีเปลี่ยนชีวิต ปล่อยเขา เวลาใดก็ตามที่ผู้ใหญ่ทำตัวเป็นเด็กแปดขวบ จงปล่อยเขา

เมื่อใช้ทฤษฎีปล่อยเขา คุณจะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของพวกไร้วุฒิภาวะทางอารมณ์หรือชอบทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นอีกแล้ว เพราะคุณจะรู้เลยว่าตัวเองต้องทำอย่างไร ประการแรก มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่ต้องบริหารจัดการอารมณ์ของผู้ใหญ่คนอื่น เวลาที่ใครทำเป็นไม่ยอมพูดกับคุณหรือเล่นบทเหยื่อ หรือระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียว ปล่อยเขา จากนั้นฉันขอให้คุณลองนึกภาพเด็กอายุแปดขวบถูกขังอยู่ในร่างกายของเขา เมื่อคุณทำเช่นนั้น สิ่งที่ประหลาดที่สุดจะเกิดขึ้น คุณจะไม่กลัวคนผู้นั้นอีกต่อไป แต่คุณจะสงสารเขาแทน คุณเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจแทนที่จะเป็นความเกลียด…มันไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของคุณที่จะต้องบริหารจัดการหรือพยายามแก้ไขอารมณ์ของพวกเขา หน้าที่ของคุณคือการปกป้องตัวเองจากการดิ่งทางอารมณ์ของเขา และมองเห็นมันตามสภาพจริง กล่าวคือ บุคคลผู้นี้ไม่รู้จักวิธีที่จะรับมือหรือแสดงออกถึงอารมณ์ต่างๆ ในแบบที่เป็นปกติสุข”

ผมอยากส่งกำลังใจให้ลูกทุกคนที่มีแผลใจ แม้มันอาจดูไม่ยุติธรรมที่เราต้องเป็นฝ่ายเยียวยาตัวเอง แต่การเยียวยานั้นคือการคืนอำนาจให้กับหัวใจ และเป็นประตูสู่ชีวิตที่สงบสุขขึ้น มีอิสระยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องรอให้ใครมาเปลี่ยนเพื่อให้เรามีความสุขอีกต่อไป

Tags:

พ่อแม่dear parentsครอบครัว

Author:

illustrator

อัฒภาค

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Dear Parents
    แทนที่พ่อจะสอนผมเรื่องความกตัญญู ช่วยทำให้ดูก่อนดีไหม?

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear Parents
    แค่ผมเรียนไม่เก่ง(เท่าที่คาดหวัง)…พ่อกับแม่เลยไม่ภูมิใจใช่ไหม

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    คุณยายผมดีที่สุดในโลก: ความรักความใส่ใจละลายความแข็งกระด้างของเด็กได้ดีกว่าการขู่บังคับ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    The love of Siam: รักแห่งสยาม ‘เดอะแบก’ ของบ้านที่ไม่พูดความต้องการและรู้สึก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel