- หนึ่งในสาเหตุที่พ่อแม่ในยุคปัจจุบันมีความเครียดมากขึ้นเกิดมาจากมนุษย์ไม่ได้วิวัฒนาการไปในทิศทางของ ‘ครอบครัวขนาดเล็ก’
- การเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของทั้งพ่อและแม่ แต่สังคมก็มักคาดหวังให้การเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของแค่ ‘พ่อ’ กับ ‘แม่’ ทั้งๆ ที่พ่อแม่ในยุคนี้ต้องทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกด้วยถึงจะเพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ทำให้ลูกอาจขาดการดูแลเอาใส่ใจอย่างเหมาะสม
- เด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่เพราะพ่อแม่ดูแลดี แต่เพราะมีครู เพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง และชุมชนที่ช่วยกันดูแล ให้คำแนะนำ และเป็นแบบอย่างที่ดี
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ครอบครัว’ ภาพในอุดมคติของใครหลายคนมักนึกถึงพ่อแม่ลูก หากย้อนไปในอดีต ครอบครัวไม่ได้หมายถึงแค่พ่อแม่ลูก แต่รวมไปถึงปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ญาติพี่น้องด้วย มโนทัศน์ของครอบครัวที่เปลี่ยนไปเป็นผลมาจากครอบครัวในปัจจุบันมีขนาดที่เล็กลง
ในสังคมสมัยใหม่ แนวคิดของ ‘ครอบครัวเดี่ยว’ ที่มีเพียงพ่อแม่ลูกเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้เด็กที่เกิดมามีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น พ่อแม่สามารถเลี้ยงลูกได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาญาติพี่น้อง อย่างไรก็ตาม กลับมีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่ยังมีความเครียดสูงและมีความสุขน้อยกว่าพ่อแม่ที่ไม่มีลูก
Nichola Raihani ศาสตราจารย์ด้านวิวัฒนาการและพฤติกรรมที่ University College London ระบุว่า หนึ่งในสาเหตุที่พ่อแม่ในยุคปัจจุบันมีความเครียดมากขึ้นเกิดมาจากมนุษย์ไม่ได้วิวัฒนาการไปในทิศทางของ ‘ครอบครัวขนาดเล็ก’
ย้อนไปในอดีตยุคดึกดำบรรพ์ มนุษย์อาศัยอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มเครือญาติที่ประกอบไปด้วยคนหลายรุ่นและหลายครอบครัว การเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ที่กระจายกันไป ไม่ใช่แค่พ่อแม่ แต่รวมถึงญาติพี่น้องและคนในกลุ่มเดียวกัน โดยในสัตว์จะเรียกพฤติกรรมเช่นนี้ว่า ‘Cooperative Breeding’ หรือ ‘การเลี้ยงลูกแบบร่วมมือกัน’ กล่าวคือ เด็กคนหนึ่งได้รับการเลี้ยงดูจากคนมากกว่า 2 คน
แม้ว่าสัตว์ที่มีบรรพบุรุษร่วมกันกับมนุษย์ เช่น ลิงไร้หาง (Ape) จะสามารถเลี้ยงลูกได้ด้วยตัวเอง แต่มนุษย์มีแนวโน้มที่จะอาศัยการช่วยเหลือจากกลุ่มเครือญาติมากกว่า เนื่องจากเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์แตกต่างจากลิงชนิดอื่น
ลิงชนิดอื่นวิวัฒน์มาในสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ท่ามกลางป่าไม้ แต่มนุษย์วิวัฒน์มาในสภาพแวดล้อมแบบทุ่งหญ้าสะวันนา ทำให้ขาดแคลนอาหารและทรัพยากร อีกทั้งยังมีภยันตรายมากกว่าการอาศัยอยู่ในป่า ดังนั้นการที่มนุษย์จะอยู่รอดจึงต้องพึ่งพาอาศัยกัน อยู่กันเป็นกลุ่ม ทำงานร่วมมือกัน ไม่เว้นแม้แต่การเลี้ยงลูก
การอยู่อย่างโดดเดี่ยวในสภาพแวดล้อมเช่นนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะนำไปสู่ความตาย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่มนุษย์มีการพัฒนา ‘ความเหงา’ ขึ้นมาเพื่อผลักดันให้ตัวเองไปเข้าร่วมกับกลุ่มต่างๆ
ครอบครัวขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า ‘ครอบครัวเดี่ยว’ เป็นแนวคิดที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่สั้นมากเมื่อเทียบกับกระบวนการวิวัฒนาการที่ต้องใช้เวลาหลายล้านปี
การทำงานในอุตสาหกรรมทำให้แรงงานมีรายได้ที่แน่นอน ไม่เหมือนกับการทำเกษตรที่จะมีรายได้เข้ามาเป็นช่วงๆ ทำให้พ่อสามารถหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียวได้ โดยปล่อยให้แม่อยู่บ้านคอยดูแลลูก เมื่อเวลาผ่านไป แนวปฏิบัตินี้ทำให้ภาระการเลี้ยงลูกตกอยู่ที่แม่เพียงฝ่ายเดียว เกิดความกดดันสูงและนำไปสู่ความเครียด
แม้ว่าในปัจจุบันบทบาททางเพศเหล่านี้จะไม่ได้เข้มข้นเหมือนแต่ก่อน กล่าวคือ การเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของทั้งพ่อและแม่ แต่สังคมก็มักคาดหวังให้การเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของแค่ ‘พ่อ’ กับ ‘แม่’ ทั้งๆ ที่พ่อแม่ในยุคนี้ต้องทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกด้วยถึงจะเพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ทำให้ลูกอาจขาดการดูแลเอาใส่ใจอย่างเหมาะสม
จากมุมมองทางวิวัฒนาการ เราควรทำความเข้าใจว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่เลี้ยงลูกแบบร่วมมือกัน พ่อแม่จึงไม่ควรรู้สึกผิดเมื่อต้องส่งลูกไปเนอสเซอรี่ จ้างพี่เลี้ยง หรือให้ญาติช่วยเลี้ยง
ศาสตราจารย์ Raihani กล่าวว่า ในสังคมที่ยังไม่ได้ผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรม คุณยายหรือคุณย่า (Grandmother) มีส่วนช่วยให้เด็กมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น ซึ่งสมเหตุสมผลในเชิงวิวัฒนาการ การที่ผู้หญิงมีวัยหมดประจำเดือนก็เพราะจะได้ช่วยเลี้ยงลูกรุ่นต่อไปได้ แทนที่จะมีลูกของตัวเอง ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้มีลูกมากเกินกว่าทรัพยากรที่มีอยู่
แม้เส้นทางวิวัฒนาการชี้ว่ามนุษย์มีแนวโน้มเหมาะกับ ‘ครอบครัวขยาย’ แต่เราต้องไม่ลืมว่าบางครอบครัวอาจไม่ได้เหมาะกับรูปแบบนี้เสมอไป การเลี้ยงลูกผ่านครอบครัวขยายจะมีประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อทุกคนให้ความร่วมมือและสมาชิกทุกคนต่างก็เข้าใจซึ่งกันและกัน
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวในปัจจุบันก็มีหลากหลายรูปแบบ คำว่า ‘ครอบครัวเดี่ยว’ และ ‘ครอบครัวขยาย’ เป็นการแบ่งประเภทครอบครัวตามโครงสร้างแบบผิวเผินเท่านั้น ครอบครัวในความเป็นจริงมีความซับซ้อน และแปรผันไปตามสภาพสังคม เช่น ครอบครัวพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวคู่รักเพศเดียวกัน ครอบครัวที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ฯลฯ
ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัวรูปแบบไหน เราต้องไม่ลืมว่าสังคมรอบข้างก็มีส่วนสำคัญ ในภาษาอังกฤษมีสำนวนที่ว่า It takes a village to raise a child. แปลว่า ‘การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งใช้คนทั้งหมู่บ้าน’
เด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่เพราะพ่อแม่ดูแลดี แต่เพราะมีครู เพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง และชุมชนที่ช่วยกันดูแล ให้คำแนะนำ และเป็นแบบอย่างที่ดี
ดังนั้น รูปแบบของครอบครัวจึงไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อเด็ก การที่เด็กสักคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาต้องอาศัยความร่วมมือจากสมาชิกในครอบครัวและคนในชุมชนด้วยเช่นกัน
อ้างอิง
กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว. (2562). นิยามและประเภทครอบครัว.
เมริษา ยอดมณฑป. (2020). ด้วยรัก ภาระ และบาดแผล จากการเติบโตในครอบครัวใหญ่ที่ต้องทำตามความต้องการของสมาชิกหลายคน.
รุอร พรหมประสิทธิ์. (2024). “เลี้ยงเด็ก 1 คนใช้คนทั้งหมู่บ้าน” วลีนี้มีที่มาอย่างไร และเพราะอะไรแค่เพียงการเลี้ยงเด็กสักคน เราทุกคนจึงมีส่วนสำคัญ.
Janis Dickinson, & Walter Koenig. (2018). Social interactions involving cooperative breeding and eusociality. In, animal social behaviour.
National Geographic Thailand. (2019). วิวัฒนาการของมนุษย์ (Human Evolution) โฮโมเซเปียนส์ การคัดเลือกโดยธรรมชาติ.
Nichola Raihani. (2022). The real reason modern parenting is so hard | Nichola Raihani | TEDxManchester.