- จากเด็กนิเทศศาสตร์ หันเหเข้าสู่วงการฟุตบอลเยาวชน ธัชธีรพนธ์คือตัวอย่างของนักเรียนรู้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เขาประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะและประสบการณ์พัฒนาตัวเองและพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนผ่านการทำงานที่ STB Football Academy
- เขานำหลักคิดของฟุตบอลสมัยใหม่มาสร้างวัฒนธรรมในอะคาเดมีเปิดให้เด็กๆ มีอิสระทางความคิด เน้นการตั้ง ‘คำถาม’ เพื่อสร้างความเข้าใจ และสร้างวินัยบนหลักเหตุผล ที่สำคัญคือทุกคนจะต้องมีความรับผิดชอบทั้งในฐานะนักฟุตบอลและนักเรียน
- เขาเชื่อว่ามนุษย์ที่มีวินัยและมีมายด์เซ็ตที่ดีจะต่อสู้ดิ้นรนในทางของตนเองได้เรื่อยๆ ถึงจะแพ้จะพังก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้ ซึ่งชัยชนะที่แท้จริงคือการที่เด็กๆ สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง
ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าความสำเร็จหรือการไปถึงเป้าหมายในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลการเรียนหรือวุฒิการศึกษา แต่เกิดจากการมี Growth Mindset ที่เชื่อว่าความสามารถและศักยภาพของเราพัฒนาได้จากความใฝ่รู้ การฝึกฝน และการมองอุปสรรคเป็น ‘บันได’ ไม่ใช่กำแพง
เช่นเดียวกับเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้เรียนสายศิลป์-คำนวณ ทั้งที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์ ก่อนเบนเข็มมาศึกษาด้านภาพยนตร์ และก้าวสู่เส้นทางที่ไม่คาดคิดอย่างวงการฟุตบอลเยาวชน แต่นั่นไม่ได้แปลว่าชีวิตของเขาจะล้มเหลว กลับกันเขาได้ใช้มายด์เซ็ตที่รักในการเรียนรู้มาเป็นใบเบิกทางเพื่อสร้างเส้นทางความสำเร็จให้กับตัวเอง ผ่านการนำทักษะเชิงบริหารจัดการและมองภาพรวมแบบโปรดิวเซอร์ มาผสมผสานกับความรู้ฟุตบอลสมัยใหม่ที่เรียนรู้จากพันธมิตรระดับโลกอย่าง ‘บาเยิร์น มิวนิก’
The Potential ชวน ‘ลิ้ม’ ธัชธีรพนธ์ ลี่สันธิติกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทสปอร์ตไทย-บาวาเรีย มาพูดคุยถึงเส้นทางของเด็กนิเทศที่แม้จะไม่มีพื้นฐานด้านฟุตบอลมาก่อน แต่ด้วยแรงหลงใหลในเกมลูกหนัง ผสานกับทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้และปรับตัว ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่มีบทบาทสำคัญต่อการปั้นอนาคตฟุตบอลเยาวชน ผ่านแนวคิดการทำงาน มุมมองการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อในพลังของการตั้งคำถาม การให้อิสระทางความคิด และการสร้าง ‘วินัยเชิงบวก’ ที่ไม่ใช่การบังคับข่มขู่ หากแต่เป็นสะพานที่จะพาเด็กๆ ก้าวข้ามข้อจำกัด และเชื่อมไปสู่การปลดล็อกศักยภาพภายในตัวเอง

วิชาการไม่ได้การันตีความสำเร็จ แต่ไม่ได้แปลว่าไร้ประโยชน์
“ตอนเป็นนักเรียน ผมเป็นเด็กทั่วไปเลยครับ ไม่ได้มีเป้าหมายในชีวิต ไม่ได้เป็นนักบอล แต่ชอบเตะบอลเพราะมันเป็นวัฒนธรรมของโรงเรียน (กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย) ผมเลยซึมซับความชอบตั้งแต่ตอนนั้น”
ลิ้มเริ่มต้นบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม ชีวิตวัยเด็กของเขาน่าจะคล้ายกับชีวิตของใครหลายคน มีความสุขเรียบง่ายจากการไปโรงเรียน ได้เจอเพื่อนๆ ได้เตะฟุตบอล และนั่งเล่นเกมสนุกๆ ตามประสาเด็กหลังห้อง แต่ขณะเดียวกันก็มีความทุกข์จากการถูกบังคับให้เรียนในสายที่ไม่ถนัด โดยเฉพาะสูตรคณิตศาสตร์มากมายที่แม้เวลาจะผ่านไป ก็ยังไม่เคยได้ใช้
“ตอนม.ปลาย ผมถูกแม่บังคับให้เรียนสายศิลป์-คำนวณ เพราะถ้าเรียนสายภาษา ที่บ้านจะส่งผมไปเรียนต่อต่างประเทศ ผมเลยเลือกอดทนยอมเรียนห้องบ๊วยเพื่อจะอยู่เมืองไทยต่อ จากนั้นผมก็เลือกเรียนนิเทศ ม.รังสิต ตอนนั้นเรียนเกี่ยวกับภาพยนตร์ ได้ไปออกกอง ได้เรียนรู้งานสายโปรดิวเซอร์ หน้าที่ของผมคือการจัดสรรกระบวนการความคิดต่างๆ ให้เป็นระเบียบ วางแผนติดต่อประสานงาน แยกแยะกระบวนการแก้ปัญหาเป็นขั้นเป็นตอน ผมจะมีภาพทุกอย่างในหัวและอธิบายทุกอย่างออกมาให้ทุกคนเข้าใจได้ ซึ่งทุกวันนี้ ผมก็เอาทักษะตรงนั้นมาประยุกต์ใช้ เพราะการบริหารบริษัทจะให้ทำคนเดียวทั้งหมด ผมทำไม่เป็นหรอก แต่ถ้าจัดเรียงแล้วแบ่งหน้าที่ให้ต่างคนต่างรับผิดชอบในหน้าที่ตัวเองตามความถนัด มันก็ออกมาดี”
หลังเรียนจบปริญญาตรี เขาได้รับโอกาสให้มาทำงานในวงการฟุตบอลเยาวชน โดยเริ่มจากการเป็นพนักงานตัวเล็กๆ ที่ทำทุกอย่าง ตั้งแต่ปั๊มลูกบอล ยกของ ไปจนถึงดูแลระบบออนไลน์ของบริษัท กระทั่งได้รับมอบหมายให้สร้างความร่วมมือกับ ‘บาเยิร์น มิวนิก’ ยอดทีมอันดับหนึ่งจากเยอรมัน เพื่อเปิดหลักสูตรฟุตบอลสำหรับพัฒนาโค้ชและเยาวชนไทย
“ผมเริ่มมาทำงานช่วงปี 2015 ไม่ได้ทำงานที่ไหนมาก่อนเลยครับ ช่วงสามปีแรกผมทำทุกอย่าง จะออนไลน์ ให้ช่วยยกน้ำ ซื้อของใช้ให้นักกีฬา เลือกบ้านเช่าที่เป็นเหมือนหอพักนักกีฬาให้เด็กๆ ในอะคาเดมี หรือใครให้ทำอะไรผมก็ทำได้หมดไม่เกี่ยง ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นผมคนเดิม
จุดเปลี่ยนคือผู้ใหญ่ของ STB คุณวินิจ เลิศรัตนชัย คุณศุภฤกษ์ โรจน์วงศ์สุริยะ คุณศวัสกร วิบุญวิริยะวงศ์ มีเป้าหมายอยากยกระดับฟุตบอลเยาวชนไทยเพื่อให้บอลไทยไปไกลกว่านี้ วันนั้นเลยเริ่มจากไปติดต่อกับเบอร์ 1 ของโลกในตอนนั้นคือเยอรมัน เพราะเขาเพิ่งได้แชมป์โลกที่บราซิล ซึ่งถ้าพูดถึงเยอรมันก็ต้อง ‘บาเยิร์น มิวนิก’ ก็คุยดีลกับเขาร่วม 2-3 ปี ก่อนเซ็นสัญญาเป็น Strategic Partner (พันธมิตรเชิงกลยุทธ์) พอได้หลักสูตรก็เอามาแปลเป็นภาษาไทยและสร้างหลักสูตรให้เข้ากับวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับไทยที่สุด จากนั้นก็เริ่มเปิดอบรมโค้ชไทยประมาณสี่พันกว่าคน แต่จบอบรมไป ปรากฏว่าส่วนใหญ่มาสมัครไม่อยากได้ความรู้…อยากได้ใบเซอร์เพื่อเอาไปเติมในโปรไฟล์ ไปอัพเงินเดือน ซึ่งผิดกับวัตถุประสงค์ที่เราอยากให้ครูพละและโค้ชเยาวชนได้ศึกษาหลักคิดแบบโมเดิร์นฟุตบอลเพื่อพัฒนารูปแบบฟุตบอลของไทยแลนด์เวย์”
แม้จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ แต่ด้วยความเชื่อมั่นในหลักสูตรฟุตบอลสมัยใหม่ที่เน้นความยั่งยืน ลิ้มจึงหยิบหลักสูตรดังกล่าวมาต่อยอดเพื่อเปลี่ยนความฝันให้เป็นจริง ผ่านการลงมือทำอย่างจริงจัง โดยเชิญโค้ชยุโรปดีกรี ‘ยูฟ่า เอ ไลเซนส์’ เข้ามาช่วยถ่ายทอดประสบการณ์ และเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการพัฒนาฟุตบอลเยาวชน
“ผมบังคับโค้ชคนอื่นไม่ได้ แต่ผมเชื่อมั่นและเคารพองค์ความรู้ของเขา (บาเยิร์น มิวนิก) เราก็เลยสร้างของเราขึ้นมาเองคือ STB Football Academy โดยใช้หลักสูตรนั้น ซึ่งโค้ชฝรั่งที่มาอยู่ตรงนี้จะเป็นสเปเชียลลิสต์ที่มียูฟ่าไลเซนส์ด้านนี้ อย่างเทรนด์นิ่งแพลน ผมกับทีมงานก็ได้เรียนรู้ว่า นอกจากจะวางว่าวันนี้ซ้อมอะไรบ้างเป็นเวลากี่นาที ฝรั่งจะชอบอัดเสียงทุกเซกชั่นว่าวันนี้ทำอะไร คือคุยอัดเสียงกันทั้งวัน เพราะเดินๆ อยู่เขาอาจปิ๊งไอเดียว่าจะทำอะไร ทั้งเรื่องสนาม เด็กๆ และการจัดการต่างๆ แต่ถ้าเป็นคนไทยอาจจะคิดแล้วค่อยทำ พอจะทำก็ลืมไปแล้ว แต่ฝรั่งเขาอัดเสียงและนำมาฟังทุกคืนก่อนนอน เพื่อวางแผนสิ่งที่จะทำรุ่งขึ้นอย่างละเอียด ผมว่าพอทำงานคลุกคลีกับเขาเรื่อยๆ เราก็ได้ความละเอียดนี้ติดตัวมาด้วย
แน่นอนว่าตอนเริ่มต้นจะให้เขาคุมทีมโค้ช แล้วค่อยๆ ถอยห่างออกมา เพราะเป้าหมายของผมคือการพัฒนาบุคลากรไทย อย่างทุกวันนี้เขาก็นั่งไกด์ไลน์ให้โค้ชคนไทย ถามว่าเขาสั่งหรือทำเองเลยได้ไหม…ใช่ เขาทำเองได้ แต่มันไม่ใช่แนวทางเรา โค้ชทุกคนต้องก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนโค้ชฝรั่งเขาเองก็ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมบ้านเราเพื่อปรับประยุกต์ประสบการณ์ของเขาให้เข้ากับคนไทย ซึ่งผมเองก็ต้องคอยขับเคลื่อนเรื่องพวกนี้ให้ทีมงานกว่า 40 ชีวิต เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เป็นมืออาชีพ
ผมเชื่อว่าถ้าเราพัฒนาผู้ใหญ่ได้ แล้วผู้ใหญ่เอาสิ่งที่ได้รับไปสอนเด็กๆ ต่อ ฟุตบอลมันก็จะพัฒนาทั้งระบบ”

เปิดอิสระทางความคิด เรียนรู้จากการตั้งคำถาม สู่การได้ยินเสียงของใจตัวเอง
หลายคนคงเคยได้ยินวลีฮิตในวงการกีฬาที่ว่า ‘Mentality Always Beats Quality’ (จิตใจที่แข็งแกร่งเอาชนะคุณภาพหรือพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวเสมอ) ดังนั้นแม้ฟุตบอลจะเป็นกีฬาที่ใช้เท้าเป็นหลัก แต่ต้องไม่ลืมว่าเท้าถูกสั่งการมาจากสมอง ดังนั้นสมองจึงเป็นตัวแปรสำคัญในการติดสินเกม
นี่คือแก่นที่ลิ้มนำมาสร้างวัฒนธรรมในอะคาเดมีฟุตบอล ให้เด็กๆ มีอิสระทางความคิด และออกแบบการเรียนรู้ผ่านการตั้ง ‘คำถาม’ ไม่ใช่ด้วย ‘คำสั่ง’ เหมือนระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมของไทย เพราะเขาเชื่อว่าการถามเป็นเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชน ทำให้กล้าคิด กล้าลอง กล้าแสดงออก และสำคัญที่สุดคือการได้ยินเสียงของใจตัวเอง
“ที่บอกว่าฟุตบอลที่นี่สอนเด็กๆ ด้วยการตั้งคำถาม ไม่ใช่ด้วยคำสั่ง เพราะผมเติบโตมากับรูปแบบ “ฉันสั่ง…เธอทำ…สิ่งที่ฉันสั่งคือคำตอบ” แต่ผมรู้สึกว่า หนึ่ง มันทำให้เด็กไม่เกิดกระบวนการคิด สองคือ ไม่กล้าคิด สามคือ ไม่กล้าตอบ
ถามว่าเด็กเจนวาย เจนแซด เผลอๆ อาจถึงเจนอัลฟ่า เด็กที่กล้ายกมือถามตอบ หรือแลกเปลี่ยนความคิด ถือว่ามีน้อยมากเลยนะ ถามต่อว่าเขาเข้าใจเหรอถึงไม่ถาม ผมว่าส่วนใหญ่แล้วเขาไม่เข้าใจแต่ไม่กล้าถาม เพราะถูกสั่งให้ฟังแล้วทำตามซ้ำๆ กระบวนการความคิดมันไม่ได้ทำงาน แล้วยิ่งเด็กถูกปิดกั้นการแสดงออก การให้ความเห็น หรือถามปุ๊บ…ผู้ใหญ่ตวาดสวนกลับทันที “แค่นี้ก็ไม่รู้เหรอ” ถามว่าเด็กคิดจะกล้าถามอีกเหรอ ซึ่งตัวผมเองสมัยเด็กๆ ก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาและรู้สึกว่าวันนั้นเราไม่ได้พัฒนานะ
แต่พอผมทำงานกับฝรั่ง ปรากฏว่าเขาถามยับเลย แล้วพอเราไม่ถาม เขาก็จะตั้งคำถามกลับมาให้ เพราะเขาอยากรู้ว่าเรารู้จริงหรือเปล่า แล้วพอผมตอบไม่ได้ ก็มานั่งทบทวนกับตัวเองจนสรุปได้ว่า เออว่ะ เป็นเราที่ไม่กล้าถาม จากนั้นเลยเปลี่ยนมุมมองในการพัฒนาทีม ดังนั้นผมจะให้เด็กๆ ได้ถาม ต้องให้เขากล้าพูด ฟุตบอลไม่ใช่แค่เรื่องความคิด มันมากกว่านั้น คือคิดแล้วต้องทำด้วย
สิ่งที่โค้ชที่นี่ทำคือ ‘การตั้งคำถาม’ จะไม่มีว่าคำตอบนี้ถูกหรือผิด เพราะมันอยู่ที่ทำออกมาแล้วผลลัพธ์เป็นยังไง นักบอลบางคนถูกแฟนบอลคอมเมนต์ว่า ‘ขี้เลี้ยง’ หรือ ‘หวงบอล’ แต่สำหรับผมกับทีมงานคิดว่าดีแล้วที่เขากล้า เพราะกล้าแล้ววันนึงห้าม ง่ายกว่าการที่ห้ามแล้ววันนึงไปสั่งให้เขากล้า ฉะนั้นผมจะให้เขากล้าเลี้ยงกล้าทำไปก่อน แล้วพอเข้าภาคทฤษฎี โค้ชก็ค่อยมาคุยว่าอันไหนควรทำตอนไหน หรือบางทีทีมเราทำถูกหมด แต่อีกฝั่งอ่านเกมแล้วรู้ทันก็ดักเราได้ มันไม่ใช่ว่าเราผิด แต่เขาเองก็ใช้ความคิดอ่านเราเหมือนกัน
ดังนั้นนอกจากการให้อิสระและการตั้งคำถาม ผมจะให้เด็กๆ ได้ Learning by doing จากประสบการณ์จริงด้วย”

นอกจากการสอนทักษะฟุตบอลที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์และเล่นอย่างอิสระแล้ว อีกด้านหนึ่งลิ้มก็มีกฎเหล็กที่ยึดมั่นเสมอ นั่นคือเด็กๆ ต้องไปโรงเรียนและส่งการบ้านให้ครบถ้วน เพราะสำหรับเขาการศึกษาคือรากฐานของชีวิต แต่ถ้าเด็กๆ ฝ่าฝืน เขาก็จะมีบทลงโทษในแบบฉบับของตัวเอง
“สำหรับเด็กๆ เราจะมีทุนนักบอล 100% ให้เขาได้รับการศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ผมให้ความสำคัญกับการเรียนมาก เขาต้องเรียนหนังสือไว้เพื่อพัฒนาความรับผิดชอบกับมีความรู้ไว้เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันในฟุตบอล เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะนักบอลที่มักมีอาการบาดเจ็บเข้ามาเป็นตัวแปร ดังนั้นจะทำยังไงให้เขามีทางออกหรือแพลนบี เพราะสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การที่เขาจะเป็นนักบอลที่เก่งระดับไหน แต่คืออนาคตว่าถ้าเลิกเล่นบอล เขามีอนาคตต่อไปแบบไหนยังไงมากกว่า
ผมจะมีศัพท์ว่า ‘อุบัติเหตุทางการศึกษาที่ทำให้ไม่ได้ลงแข่งบอล’ ไม่ส่งการบ้าน ตื่นสาย ไปโรงเรียนไม่ทัน ไม่มีความรับผิดชอบ ต่อให้แข่งรายการอะไรอยู่ผมตัดชื่อเลยนะ
อย่างไม่นานนี้ที่ทีมของเรากำลังจะตกชั้นรายการกรมพละ 14 ปี ผมก็ปล่อยให้เกิดเลยนะ นักบอลตัวหลักตื่นสาย ไม่รับผิดชอบเรื่องเรียน กินข้าวไม่เก็บ ผมบอกให้โค้ชตัดชื่อเลย ผลคือทีมเราตกชั้น อันนี้แหละที่เราให้ Learning by doing ให้เขาสะเทือนใจแล้วไม่กลับมาผิดซ้ำอีก เพราะประสบการณ์จะทำให้เขาเรียนรู้และจดจำได้ดีที่สุด จนตอนนี้ทีม 14 ปีเปลี่ยนไป ไม่มีวันไหนที่เอื่อยเฉื่อย แต่มันก็เทรดมากับบทเรียนราคาแพง ดังนั้นถ้าไม่แก้เด็กตั้งแต่วันนี้ปล่อยให้เขาสบายๆ อะไรก็ได้ พอโตขึ้น 15 16 17 เขาก็จะไม่จำ ไม่แคร์ ไม่สนใจอะไรแล้ว ดังนั้นผมขอเทรดเพื่อแลกกับการสร้าง Turning Point สำคัญให้กับเด็ก ผมว่ามันคุ้มนะ”
วินัยไม่ใช่กฎศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเครื่องมือปลดล็อกศักภาพอันยิ่งใหญ่
ถ้าถามว่าใครคือนักกีฬาฟุตบอลเยาวชนที่โดดเด่นขึ้นมาในช่วง 2-3 ปีมานี้ เชื่อว่าอย่างน้อยแฟนบอลย่อมคุ้นเคยกับชื่อของ ‘ไมคอน คาร์โดโซ’ วันเดอร์คิดชาวบราซิลที่เติบโตในเมืองไทยและเพิ่งจรดปากกาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะของสโมสรบาเยิร์น มิวนิก, ‘ชัยวัฒน์ เงินมา’ กองกลางทีมชาติไทยชุด U17 รวมถึงเจ้าหนุ่มหัวฟูขวัญใจแฟนบอลอย่าง ‘ปรเมศ ละอองดี’
สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่พรสวรรค์ แต่ดาวเตะทั้งสามผ่านการหล่อหลอมจาก ‘วินัย’ ซึ่งลิ้มบอกว่าเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 1 ที่ทำให้เด็กๆ ของเขาเปล่งประกาย และเป็น ‘สะพาน’ ให้พวกเขาข้ามพ้นสิ่งยั่วยุหรือการใช้ชีวิตแบบไร้เป้าหมาย
“สิ่งที่ผมสอนจริงๆ เรียกได้ว่าให้ความสำคัญที่สุดคือเรื่องวินัย ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ จัดการกับตัวเองได้ รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร ผมอยากให้เด็กๆ ผลักดันตัวเองไปข้างหน้าโดยอาศัยความพยายามไม่ย่อท้อ เพราะต่อให้เขาไม่ได้เป็นนักฟุตบอล อนาคตยังไงก็ไม่มีวันอดตายแน่นอน
อย่าง ‘ไมคอน’ เยาวชนของเราที่ตอนนี้ไปอยู่กับบาเยิร์น มิวนิกแล้ว ผมก็จะพูดทุกครั้งที่มีโอกาสให้สัมภาษณ์ว่า ตอนที่ไป ไมคอนไม่ใช่เบอร์ 1 ที่เก่งที่สุดของที่นี่ แต่เขาเป็นเบอร์ 1 เรื่องวินัย มีความเป็นมืออาชีพมาก ในสนามคือตายเป็นตาย เขาโดนเตะนอกเกมมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยออกลูกนักเลง และเลือกเอาคืนคู่ต่อสู้ด้วยการเลี้ยงบอลผ่านเพื่อเอาชนะ ส่วนเรื่องนอกสนาม ถ้าสิ่งไหนไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้น เขาจะไม่สนใจเลย
ถามว่าเขาอยากเล่นเกมเหมือนเด็กคนอื่นไหม ผมว่าเขาก็อยาก เขาก็เด็กคนนึง แต่เขาเทคแคร์ตัวเองได้ว่าวันนี้เล่นแค่นี้พอ ส่วนเวลาว่างอื่นๆ เขาก็จะพาตัวเองไปโบสถ์เพื่อรับพลังบวก ดังนั้นทีมสเปเชียลลิสต์ของผมจะกำหนดว่าเด็กอายุ 10-13 เรียนพื้นฐานสนามเล็ก, 14-16 เรียนแท็กติกและทบทวนพื้นฐานที่เรียนมา, 17-19 เอาแค่มายด์เซ็ตคือทำยังไงให้เป็นนักกีฬาอาชีพ เช่น ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ เป็นแบบอย่างที่ดีมากๆ เราจะไม่มานั่งดูว่าเขายิงสวยแค่ไหน แต่จะโฟกัสกิจวัตรว่าวันๆ หนึ่งเขาทำอะไรบ้างกว่าจะประสบความสำเร็จ แล้วเราหยิบอะไรมาทำได้บ้าง เอาสัก 10% ของเขาก็พอ ซึ่งถ้าทำได้ เด็กๆ ของเราจะเก่งขึ้นแน่นอน”
แม้จะมุ่งเน้นเรื่องวินัยมากที่สุด แต่ในทางกลับกัน วินัยในความหมายนี้ไม่ใช่การบังคับให้ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีเหตุผล ลิ้มเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนมีอิสระอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบที่กำหนด และสามารถเข้ามาพูดคุย ต่อรอง หรือตั้งคำถามได้เสมอหากคิดว่ากรอบนั้นไม่สมเหตุสมผล
“ผมจะมีระเบียบว่า 24 ชั่วโมงจะต้องทำอะไร แต่ระหว่างทางเด็กๆ จะคิดจะทำอะไรก็ได้แล้วแต่เขา ถ้าอันไหนไม่โอเค เขาสามารถมาคุยได้ อย่างไปโรงเรียนให้ทัน ผมไม่สนใจว่าเขาจะตื่นสายแค่ไหน แต่ไปให้ทันนะ มีครั้งหนึ่งเด็กมาบอกว่าผมนั่งมอเตอร์ไซค์ไปครับ ผมก็จะถามแค่ว่าถ้ารีบมากๆ แล้ววันหนึ่งมีอุบัติเหตุจะทำยังไง ผมจะเน้นให้เด็กๆ รักชีวิต เพราะฟุตบอลส่วนหนึ่งวัดกันที่ร่างกาย จนวันหนึ่งเขาก็มาบอกว่าจะแก้นิสัยตื่นสายด้วยการไม่นอนดึกและนอนให้พอ
หรือการเก็บมือถือตอน 3 ทุ่มครึ่ง เคยมีเด็กมาบอก “พี่ครับ ผมขอไม่เก็บมือถือได้ไหม” ก็ถามเขาว่าแล้วจะนอนกี่โมง เขาบอกสี่ทุ่มครึ่ง โอเค แต่พอลองแล้วเป็นยังไง ตี1 ตี2 ครับ ผมให้เขา Learning by doing กันตอนนั้นเลยว่าประเด็นมันไม่ใช่มือถือหรือเวลา แต่คือการที่เขาหยุดตัวเองไม่ได้ แล้วเขาเป็นนักกีฬา สิ่งสำคัญคือการ Recovery ร่างกายด้วยการนอน ยิ่งเยาวชน 12-15 ปี จะมีเรื่อง Growth Hormone จังหวะที่ผู้ชายจะเติบโตได้เยอะที่สุด จังหวะนั้นเขาต้องกินเยอะๆ นอนเยอะๆ แต่เด็กไทยมักคิดว่ามีสาวคุยยิ่งดึกยิ่งเท่ ยิ่งถ้าออกไปเที่ยวดึกๆ ได้ยิ่งโคตรเท่ มันก็เลยทำให้ร่างกายเติบโตได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร ซึ่งบางครั้งผมก็ให้เด็กที่เป็นรุ่นพี่ในอะคาเดมีมาแชร์ประสบการณ์จริงกับรุ่นน้อง เพราะเขาอยู่หอด้วยกัน เห็นกันมาตลอดว่าตอนเด็กๆ เขาเป็นโกลที่ตัวสูงเกือบที่สุดในทีม แต่นอนน้อย ติดมือถือ แอบทิ้งนม เลยสูงได้แค่นี้ เคยเข้าแคมป์ทีมชาติแต่ตอนนี้เขาไม่เลือกเราแล้ว ไม่ใช่เพราะฝีมือแต่เพราะไม่สูง เพื่อให้รุ่นน้องไม่มาซ้ำรอยเดิม”

กฎเด็ก vs กฎผู้ปกครอง ในสนามคือนักกีฬากับกองเชียร์ นอกสนามคือลูกกับพ่อแม่
สิ่งที่ผมสนใจไม่แพ้เรื่องวินัยก็คือ ‘การแยกบทบาทให้ชัดเจน’ ระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง ลิ้มกล่าวว่าเขามีกฎของเด็กและกฎของผู้ปกครองแยกกันอย่างชัดเจน เริ่มจากเด็กๆ ที่ยามลงสนามต้องทุ่มเทเต็มร้อยในฐานะนักกีฬา แต่เมื่อก้าวออกนอกสนาม…พวกเขาต้องแยกบทบาทกลับมาเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ พร้อมกับเป็นนักเรียนที่ดีของครูและเพื่อนๆ
“เวลาซ้อมหรือแข่งบอล เด็กๆ ทุกคนจะรู้ว่าเวลาก้าวเข้าสนาม คุณต้องทุ่มเต็มที่ใส่ให้สุดใน 90 นาทีนั้น ปัจจัยที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างหนึ่ง คือการแยกให้ได้ว่าตอนไหนเขาเป็นนักฟุตบอล ตอนไหนเขาต้องเป็นลูกหรือนักเรียน ผมว่าสองสิ่งนี้มันอยู่ในตัวคนๆ เดียวกันแต่เด็กมักแยกไม่ออก บางคนต้องเล่นหนักในสนามด้วยตำแหน่งหน้าที่ บางทีต้องตัดเกม หรือมีบุคลิกแบดบอยแต่ต้องไม่ก้าวร้าว ซึ่งผมใช้คำว่าถ้าในสนามคุณกลัวหรือมัวแต่ก้มหัว คุณแพ้เรียบร้อยนะ โดนคู่ต่อสู้กดยับแน่นอน แต่บางทีเด็กไทยเอาเรื่องพวกนี้มาใช้นอกสนามด้วย ซึ่งผมถามว่าเอานิสัยนี้ไปใช้กับพ่อแม่ กับครู หรือกับเพื่อนๆ ได้เหรอ
นักฟุตบอลดังๆ หลายคนโดนเตะนอกเกม เขาก็ลุกขึ้นมาชี้หน้าไม่พอใจได้ แต่จบเกมเขาแยกสองบริบทนี้และตีบทแตก ก็กลับมาเป็นคนไนซ์ ยิ้มแย้ม และพูดจาให้เกียรติผู้อื่นอยู่เสมอ อะไรแบบนี้คือสิ่งที่เด็กไทยขาด เพราะนักเลงคือเท่ ทรามคือเจ๋ง ผมคิดว่าเราต้องพัฒนาหรือทำให้เขาสามารถแยกสองก้อนนี้ออกมาได้
ผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนะ เพราะมนุษย์ที่มีวินัยมีมายด์เซ็ตที่ดีจะไม่มีทางล้มเหลว เขาจะสู้และดิ้นรนในทางของเขาไปได้เรื่อยๆ และคนแบบนี้ยังไงก็รอด ถึงจะแพ้จะพังก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้ แต่กลับกัน เก่งแค่ไหนแต่ถ้าลำดับความคิดของตัวเองผิด วันหนึ่งก็ดับครับ”
สำหรับกฎของผู้ปกครอง ลิ้มเข้าใจดีว่าพ่อแม่ทุกคนต่างอยากเห็นลูกประสบความสำเร็จ แต่ต้องไม่ลืมว่า พ่อแม่ไม่ใช่โค้ช บทบาทในการฝึกซ้อมและพัฒนาด้านฟุตบอลเป็นความรับผิดชอบของโค้ชและทีมงาน ส่วนพ่อแม่มีหน้าที่สำคัญที่สุดคือการเป็นแรงสนับสนุนทางใจ…ไม่ใช่แรงกดดันที่ทำให้ลูกสูญเสียความสุขในเกมฟุตบอลที่เขารัก
“ที่นี่มีกฎให้ผู้ปกครองตั้งแต่วันแรกที่เรารับเด็กเข้ามา ผู้ปกครองเป็นพลังที่ดีที่สุดของเด็ก ไม่ว่าเขาจะอายุกี่ขวบ เขาก็คือลูกของคุณ ผมเข้าใจว่าพ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกเก่งดังเหมือนนักกีฬาในทีวี แต่ต้องแยกแยะว่าความคาดหวังของคุณอาจเป็นความกดดันมากที่สุดในชีวิตเขา ผมเชื่อว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่อยากเห็นลูกไม่มีความสุข ดังนั้นสนับสนุนเขาดีกว่า ถ้าเขาทำดีก็ชื่นชม อย่าเพิ่งไปหลงใหลในแสงสี ส่วนวันที่เขาล้มก็ยื่นมือดึงเขาขึ้นมา ผมเห็นมาเยอะว่าล้มแล้วทับ ล้มแล้วเหยียบซ้ำ สุดท้ายมันเป็นยังไง ดังนั้นไม่เป็นไรให้กำลังใจกัน ส่วนทางเราจะมีภาคทฤษฎีมาตั้งคำถามคุยกับเด็กๆ หลังเกม เพื่อให้เขาเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แล้วผมจะนำประสบการณ์ที่เกิดขึ้นมาพูดคุย มา Workshop กับผู้ปกครองทุกปี”

แพ้ชนะไม่สำคัญเท่าการได้เรียนรู้และยกระดับศักยภาพ
ในการแข่งขันกีฬา ทุกคนต่างอยากเป็นผู้ชนะ แต่เมื่อมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ ซึ่งเสน่ห์ของกีฬาคือไม่มีใครเป็นผู้ชนะหรือแพ้ไปตลอด ลิ้มเองก็เช่นกัน เขายอมรับว่าตัวเองชอบชัยชนะเหมือนทุกคน แต่เมื่อได้คลุกคลีอยู่กับโลกของฟุตบอลเยาวชน สิ่งที่เขาเรียนรู้ชัดเจนที่สุดคือชัยชนะในสนามอาจเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ทว่าชัยชนะที่แท้จริงคือการที่เด็กๆ ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง เพราะนั่นคือบทเรียนที่จะอยู่กับพวกเขาไปตลอดชีวิต
“ฟุตบอลมีแบดเดย์กับกู๊ดเดย์ แล้วบางครั้งต่อให้เราทำดีแต่มันดันเป็นเพอร์เฟกต์เดย์ของคู่ต่อสู้ก็มี ดังนั้นสิ่งที่ผมโฟกัสคือมาตรฐานในการเล่น แม้ชัยชนะจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าเกิดแพ้แล้วผมเห็นว่าเบสิกบอล สปีดบอล และความเข้าใจเกมของเราดีกว่า ผมแฮปปี้นะ เพราะคุณสมบัติทั้งสามข้อจะช่วยให้เด็กๆ มีอนาคตที่ดีกว่า
ผมเข้าใจว่าประเทศเราจะมีความคิดว่า คนไทยแพ้ไม่ได้ ซึ่งผมเข้าใจนะ แต่มีใครไม่อยากชนะบ้าง ผมก็อยากชนะ แต่ชัยชนะในสนามด้วยรางวัล กับชัยชนะที่เห็นเด็กๆ ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเองแล้วพัฒนา อันไหนสำคัญกว่า ดังนั้นถ้าทุกคนเต็มที่แล้ว ถึงแพ้ผมก็เสียดายแต่ไม่เสียใจ”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีทีมฟุตบอลใดบนโลกที่จะทำให้แฟนบอลทุกคนพอใจได้ทั้งหมด การเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะคำต่อว่าหยาบคายที่มักลุกลามบานปลายบนโลกโซเชียล ซึ่งแม้แต่ทีมเยาวชนเองก็ไม่อาจรอดพ้นจากแรงกดดันนี้ ลิ้มยอมรับว่าแม้แต่ตัวเขาในฐานะผู้ใหญ่ยังรู้สึกเครียดกับคอมเมนต์รุนแรงเหล่านั้น แล้วเด็กๆ ที่ยังอยู่ในวัยเรียนรู้และกำลังสร้างความมั่นใจในตัวเองจะรับมือกับแรงกดดันเหล่านี้ได้ยากเพียงใด
“เรื่องสื่อก็มีทั้งที่ให้กำลังใจและพยายามลงข่าวลบๆ เพื่อเรียกยอด Engagement (การมีส่วนร่วม) แล้วทุกวันนี้ทุกคนมีเครื่องมือสื่อสาร มันก็ไม่มีใครที่ไม่อ่านคอมเมนต์ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะลามปามกันไปเรื่องอื่นๆ ขนาดผมยังอยากถอยออกไปห่างๆ เลย กลับกันเด็กที่เป็นนักกีฬาจะรู้สึกยังไง เขาไม่ได้คิดได้เหมือนผู้ใหญ่ แพ้ก็ถูกด่า บางครั้งชนะก็ยังโดนเพราะชนะแค่ลูกเดียว ต่างกับบอลเด็กต่างประเทศที่ผมไปดู เอะอะเขาตบมือให้กำลังใจ ขนาดทีมคู่ต่อสู้ยิงได้เขายังชมว่าไนซ์โกล แบบโยนพลังบวกใส่กันมากๆ แล้วพอจบเกมผมได้ยินโค้ชเรียกเด็กๆ ที่เพิ่งแพ้มารวมกันแล้วพูดว่า “ยินดีกับผู้ชนะแล้วยอมรับความพ่ายแพ้ให้เป็น กลับไปทำงานของเราให้หนักกว่าเดิม วันนี้กลับไปพักผ่อน แล้วพรุ่งนี้มา Recovery กัน”
ที่นี่ผมจะให้เด็กๆ เรียนจิตวิทยาตั้งแต่อายุ 13 เราได้ ‘อาจารย์ปลา’ ผศ.วิมลมาศ ประชากุล นักจิตวิทยาการกีฬาที่ดูแลน้องเทนนิส พาณิภัค (เจ้าของเหรียญทองเทควันโดโอลิมปิกสองสมัย) กับวิว กุลวุฒิ (เจ้าของเหรียญเงินแบดมินตินโอลิมปิก) มาดูแลให้ความรู้เด็กๆ เพราะมันจำเป็นและดีสำหรับเขา ซึ่งผมทำไม่ได้ แต่แค่ Put the right man on the right job โดยมีมายด์เซ็ตเหมือนกันว่าเราจะทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาเด็ก
พอทำงานร่วมกันพบว่าเด็กๆ มีปัญหามาปรึกษาหลายอย่างครับ มีตั้งแต่กลัว เครียด นอนไม่หลับ บางคนถูกแฟนๆ กดดันว่าติดทีมชาติแล้วต้องเลี้ยงให้ผ่านทุกคนและยิงให้ได้ทุกนัด บางคนมีปัญหาติดทีมชาติมาหนนึงแต่รอบสองไม่อยากติดทีมชาติแล้ว เพราะยิ่งไทยเป็นเจ้าบ้านยิ่งเครียดหนักกว่าเดิม ทุกเสียงที่ดังรอบสนามเขาฟังรู้เรื่องหมด บางคนตอนเล่นทีมชาติเครียดถึงขั้นอ้วกตอนพักครึ่งก็มี ถามว่าอะไรพวกนี้ฝึกได้ไหม…ฝึกได้ครับ แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นพลังบวก…ไม่ใช่พลังบวกเชิงลบนะครับ หรือจะตำหนิก็ตำหนิแบบคนญี่ปุ่นที่ตำหนิทีมของเขาแบบคนที่มีการศึกษา เพราะที่ผ่านมาปัญหาคือ เรามักคิดกันไม่รอบคอบว่าสิ่งที่คอมเมนต์ไปนักกีฬาอ่านแล้วจะรู้สึกยังไง”

เรียนรู้ตลอดชีวิตและนำประสบการณ์ทุกอย่างกลับมาสะท้อนคิดเพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า
ตลอดเกือบ 2 ชั่วโมงที่ผมได้พูดคุยกับลิ้ม สิ่งที่เห็นเด่นชัดในตัวเขาคือการไม่เป็น ‘น้ำเต็มแก้ว’ แต่เลือกเปิดใจเรียนรู้อยู่เสมอ ทั้งจากโค้ช ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมถึงเด็กๆ ที่เขาได้คลุกคลีและอยู่เคียงข้างเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง ซึ่งประสบการณ์ทั้งหมดนี้ เขาไม่ได้เก็บไว้อย่างเดียว แต่ยังนำมาสะท้อนคิดเพื่อต่อยอดและพัฒนาตัวเอง ซึ่งผมมองว่านี่แหละคือภาพของ Growth Mindset ที่มุ่งยกระดับศักยภาพของตนอย่างต่อเนื่อง มากกว่าการไล่พิสูจน์ชัยชนะหรือคุณค่าในกรอบที่คนอื่นกำหนด
“ทุกวันนี้ผมยังต้องเรียนรู้พัฒนาอีกเยอะ เหมือนที่ผมบอกว่าทุกคนต้องก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่เข้าใจอะไรก็ถาม และพยายามทำทีมด้วยการเปิดกว้างมากที่สุด นอกจากนี้ ผมยังชอบศึกษาแนวคิดการทำฟุตบอลในต่างประเทศ เพื่อดูสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการทำทีมฟุตบอลว่าเขามีกระบวนการคิดยังไงถึงได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น
กับเด็กๆ ผมยอมรับว่าโลกทุกวันนี้ไปเร็วมาก ผมรู้ว่าเราไม่อาจเข้าถึงโลกในแชทกลุ่มของพวกเขา ว่ากำลังคิดหรือวางแผนชวนกันไปทำอะไร แต่ถ้ามีเวลาว่างผมก็ชอบมาคุยกับเด็ก หรือวันไหนอยากกรอกข้อมูลหลักคิดแบบไหนให้เขาก็กรอก แล้วเด็ก 160 คน ก็ 160 แบบ วิธีการของผมต้องหลากหลาย บางคนต้องคอยเติมฟืน บางคนต้องใช้น้ำมัน หรือบางคนเร็วไปแล้วก็ต้องชะลอให้ใจเย็นๆ ผมพยายามสร้างบุคลากรให้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ เขาก็ทำกันได้ดี เพราะเป้าหมายของผมคือ การเห็นเด็กๆ เติบโตขึ้นด้วยการพัฒนาตัวเอง ซึ่งผมไม่ได้มองว่าเด็กคือคอมพิวเตอร์ที่พอป้อนมูลหรือเสียบ USB ไปแล้วต้องเก่งขึ้นทันที ขอแค่วันนี้เขาทำได้ดีกว่าเมื่อวาน อาจจะแค่ 1% สำหรับผมก็ถือว่าเขาพัฒนาขึ้น แล้วพอเห็นเขามีอนาคตที่ดีขึ้นเจริญขึ้น ผมก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันคุ้มค่าและย้อนกลับมาเป็นพลังในการทำงานให้ผมเช่นกัน”