- ห้องเรียนคณิตศาสตร์ชั้นป.1 ของ ครูบอย – มานะ คำจันทร์ โรงเรียนบ้านโก จังหวัดศรีสะเกษ ใช้นวัตกรรม Pro-Active ที่เน้นการสร้างโจทย์และออกแบบสถานการณ์ที่ท้าทาย แก้โจทย์ด้วยวิธีที่หลากหลาย ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหา และพบข้อสรุปด้วยตนเอง
- ผลลัพธ์คือเด็กๆ มีส่วนร่วมและสนุกกับการเรียนมากขึ้น มีอิสระในการคิดโดยไม่จำกัดรูปแบบการหาคำตอบ แต่ได้ผลลัพธ์เป็นกระบวนการคิดที่เด็กๆ ค้นพบด้วยตัวเอง กระตุ้นความกระหายอยากเรียนรู้ เกิดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
- ในฐานะครูผู้สอนครูบอยอยากจะสร้างห้องเรียนที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย ในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ถูกจำกัดความคิด หรือตัดสินจนเด็กกลัว สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น มีกิจกรรมให้เด็กได้สนุกกับการเรียนและเรียนอย่างมีความสุข
“ผมจะเน้นการสอนคณิตศาสตร์โดยไม่เริ่มต้นจากตัวเลข แต่จะเน้นกระบวนการคิดของนักเรียนเป็นหลัก”
ครูบอย – มานะ คำจันทร์ โรงเรียนบ้านโก จังหวัดศรีสะเกษ นำเสนอห้องเรียนที่เปลี่ยนไปสู่ผลลัพธ์นักเรียนที่เปลี่ยนแปลง ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดประสบการณ์การขับเคลื่อนโครงการ TSQM-A จ.ศรีสะเกษและภูเก็ต โดยยกกรณีตัวอย่างการออกแบบการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้นวัตกรรม Pro-Active เรื่องการบวกลบตัวเลขหนึ่งหลักและสองหลัก
“คณิตศาสตร์แบบเดิมสอนเน้นเนื้อหา การจำ การท่องสูตร และเน้นนิยามมุ่งสู่คำตอบ แต่การสอนคณิตศาสตร์ Pro-Active ไม่เริ่มด้วยตัวเลขแต่เป็นการสร้างโจทย์และออกแบบสถานการณ์ที่ท้าทาย แก้โจทย์ด้วยวิธีที่หลากหลาย ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหา และพบข้อสรุปด้วยตนเอง โดยจะไม่สอนวิธี แต่จะสร้างกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ค้นพบวิธีการแก้ปัญหา มุ่งให้เข้าใจคณิตศาสตร์และให้เกิดทักษะทางคณิตศาสตร์”
นี่คือหลักการของคณิตศาสตร์ Pro-Active ที่ครูบอยนำไปในห้องเรียนคณิตศาสตร์ของตนเอง ทำให้เด็กๆ มีส่วนร่วมและสนุกกับการเรียนมากขึ้น มีอิสระในการคิดโดยไม่จำกัดรูปแบบการหาคำตอบ แต่ได้ผลลัพธ์เป็นกระบวนการคิดที่เด็กๆ ค้นพบด้วยตัวเอง กระตุ้นความกระหายอยากเรียนรู้ เกิดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์

สอนคณิตศาสตร์ Pro-Active ด้วยกระบวนการชง-เชื่อม-ใช้
ห้องเรียนคณิตศาสตร์ที่หลายคนคุ้นเคยอาจจะเป็นแค่การนั่งแก้โจทย์ที่ครูโยนให้ แล้วรอฟังเฉลยท้ายคาบ แต่ห้องเรียนคณิตศาสตร์ของครูบอยต่างออกไป มีเกมที่ชวนคิดก่อนเข้าบทเรียน มีบทสนทนาที่ชวนให้แสดงความเห็นโดยไม่ถูกตัดสินว่าถูกหรือผิด เน้นกระบวนการทำงานกลุ่ม ที่สำคัญเด็กๆ มีความกระตือรื้อร้นที่จะมีส่วนร่วมในห้องเรียน
ครูบอยเล่าถึงเบื้องหลังกระบวนการออกแบบหน่วยการเรียนรู้ว่า เริ่มจากการวิเคราะห์ภูเขาน้ำแข็งก่อน ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้มีอะไรบ้าง เช่น นักเรียนแก้ไขปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ได้ แต่ไม่เข้าใจ เพราะเป็นการท่องจำเพื่อนำไปสอบ จากนั้นจึงกำหนดสิ่งที่อยากให้เป็น เช่น ทักษะการคิด การแก้ปัญหา เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาในชีวิตจริงได้ และที่สำคัญครูจะต้องกระตุ้นให้เกิดการแชร์ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีความกระตือรือร้น อีกทั้งสอดแทรกความสนุก นักเรียนจึงจะค้นพบข้อสรุปหลักการของตนเองได้
“กระบวนการคณิตศาสตร์ Pro-Active ของผมจะมีอยู่ 3 กระบวนการหลักๆ ขั้นแรกคือ ขั้นเตรียมผู้เรียน ขั้นที่สองคือ ขั้นสอน และสุดท้ายคือ ขั้นสรุป หรือ AAR”
ในขั้นสอน จะใช้กระบวนการชง-เชื่อม-ใช้ เป็นหลัก ซึ่งข้อมูลจากเว็บไซต์โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ระบุว่า การสอนคณิศาสตร์แบบ Pro-Active ด้วยกระบวนการชง-เชื่อม-ใช้ สามารถพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ Creative Thinking ได้อย่างดี เพราะทุกคนจะถูกท้าทายด้วยโจทย์ ได้แสดงความคิดของตน ได้ฟังความคิดของคนอื่น ทุกคนรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของการค้นพบคำตอบ

ครูบอยนำกระบวนการชง-เชื่อม-ใช้ มาออกแบบหน่วยการเรียนรู้ของตนเอง โดยกำหนดไว้ว่า
- ขั้นชง: ครูให้โจทย์ ซักถามหรือชวนสนทนา เพื่อทำความเข้าใจโจทย์ร่วมกัน โดยนั่งล้อมวงกัน
- ขั้นเชื่อม: ให้เด็กแต่ละคนคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยทำกระบวนการกลุ่ม สามารถใช้สื่อและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ได้หลากหลาย และสามารถอธิบายวิธีการคิดนั้นได้
- ขั้นใช้: เด็กได้มีค้นพบวิธีคิดและแก้โจทย์ปัญหาด้วยตนเอง และใช้วิธีคิดของตนเองแก้โจทย์ใหม่ได้
“เมื่อถึงคาบคณิตศาสตร์ เด็กๆ มีความอยากเรียน ยกตัวอย่างในขั้นชง ครูจะให้สถานการณ์เด็ก ให้ตั้งตาราง 9 ช่อง โดยใช้แท่งไม้หรือหลอดที่มีความยาวเท่ากัน และมีสี่เหลี่ยมเล็กๆ แทนหน่วยจิ๋ว โจทย์คือให้เอาหน่วยจิ๋วมาวางในช่องแนวตั้งและแนวนอน โดยจำนวนจิ๋ว ต้องไม่ซ้ำกัน และผลรวมต้องเท่ากันทั้งแนวตั้ง แนวนอน แต่ละคนก็จะค้นหาคำตอบกัน และนำเสนอให้กับเพื่อน”
เด็กสนุกและท้าทายกับการคิดแก้โจทย์ปัญหา
ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ครูบอยเห็นได้ชัด แน่นอนว่าเด็กๆ สนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์มากขึ้น และมีความกระหายอยากที่จะเรียนรู้และท้าทายตนเอง ในการค้นหาวิธีคิดใหม่ๆ
“เด็กๆ ได้มีกระบวนการกลุ่ม ได้ลองสร้างโจทย์เอง อย่างในสถานการณ์การบวกและลบ ครูให้เด็กคิดโจทย์มากลุ่มละ 2 ข้อ และให้เด็กๆ เลือกแก้โจทย์ โดยที่ก็ไม่ได้บอกว่าจะต้องทำทุกข้อ แต่ผลลัพธ์คือเด็กๆ มีความกระหายอยากที่จะแก้โจทย์เองทุกข้อ
ทำให้ครูได้มองเห็นว่าเด็กเขามีแพทเทิร์นของเขา มีกระบวนการคิดของเขา ซึ่งกระบวนการคิดของเขาได้มาซึ่งคำตอบเดียวกัน ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกว่าคำตอบนี้ถูก แต่ให้เขาได้ลองพิสูจน์เอง แล้วเด็กๆ ก็ท้าทายกันเอง อยู่ในขั้นใช้ อยากให้เพื่อนได้แสดงวิธีการคิด แข่งกันว่าใครจะมีวิธีการคิดที่หลากหลาย ใครจะได้กี่วิธี เขาก็สนุกสนานกัน เป็นบรรยากาศการเรียนที่ดี”

“คนอาจจะมองว่าที่เด็กคิดมันเป็นเส้นทางการคิดที่ซับซ้อน แต่ครูได้มองเห็นว่าเด็กๆ เขาได้มีเส้นทางการคิด ซึ่งไม่มีถูกผิด แต่เขาสร้างข้อสรุปเชิงหลักการของเขาเองได้
หลังจากนั้นก็จะมาขั้นสรุป AAR กัน ให้เขาเขียนว่า เขาได้เรียนรู้อะไรบ้าง เช่น เขาก็จะบอกว่าได้เรียนรู้การบวกการลบ แล้วได้มีความรู้ใหม่อะไรบ้าง เขาก็บอกว่า ได้เรียนรู้วิธีคิดการบวกการลบและตั้งโจทย์เองในกลุ่ม”
สุดท้ายนี้ ครูบอยมองว่า ในฐานะครูผู้สอนอยากจะสร้างห้องเรียนที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยในการเรียน ในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ถูกจำกัดความคิด หรือตัดสินจนเด็กกลัว ไม่กล้าที่จะแสดงวิธีที่หลากหลายของตนเอง อีกทั้งอยากสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น มีกิจกรรมให้เด็กได้สนุกกับการเรียนและเรียนอย่างมีความสุข