- “ใจเย็นๆ! หยุด… หยุด” คือประโยคที่ปันปันวันนี้ อยากจะกลับไปบอกปันปันวันนั้น วันที่ขนาดคนในวงการยังเรียกเธอว่า ‘เด็กบ้า’
- ครั้งหนึ่งเคยเป็น geek อนาโตมีควบชีววิทยาและฝันถึงอาชีพนักบินอวกาศ แต่จับพลัดจับผลูมาอยู่ในวงการนานกว่า 15 ปีแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวและข่าวฉาวเกินหน้ารุ่นพี่ค่อนวงการ แต่เธอก็ยังยืนยันว่าวันนี้ในวัย 20 ปี มีความรับผิดชอบ ไม่งอแง และจะไม่ยอมเสียตัวตนให้กับคนที่ไม่ชอบเธอ
- เพราะเธอเชื่อมั่นสุดใจว่า “ถ้าใครรู้จักหนู ก็คงไม่เกลียดหนู”
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล
จะเรียกว่าเป็นโชคดีของนักแสดงวัยรุ่นสมัยนี้หรือไม่ ค่าที่โลกเราก้าวมาไกล ความคาดหวังต่อนักแสดงให้เป็นบุคคลต้นแบบของสังคมลดระดับลง นักแสดงไม่ต้องงดงามราวผ้าพับไว้ ทำผิดได้ ทำพลาดเป็น และแม้ฟังก์ชั่นการสื่อสาร 2 ทางจากโซเชียลมีเดียจะทำให้เวลานักแสดงถูก ‘คุ้ย’ จากคนในสังคม แต่ก็เป็นกระดานเดียวกันที่จะมีคนเห็นต่างเข้ามาแสดงความเห็นและแลกมุมมอง
หมายความว่า แม้นักแสดงจะโดนจวกยับจากความพลาดพลั้ง (ที่สังคมเห็นว่าผิด) แต่จะคงมีพื้นที่กลางๆ ไว้ให้ -ไม่ว่าใครก็ตาม- ได้ลองพิสูจน์ตัวเอง
ถ้าพูดถึงนักแสดงวัยรุ่นที่มีภาพลักษณ์แก่น เซี้ยว เปรี้ยว ซ่า เผชิญมรสุมข่าวทั้งร้ายและดี แต่ยังคงมีผลงานอย่างต่อเนื่องและทำงานตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ชื่อของ ปันปัน-สุทัตตา อุดมศิลป์ อาจติดอยู่ในลิสต์รายชื่อนั้น
ผลงานชิ้นแรกของเธอในวัย 4 ขวบคือโฆษณาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก จากนั้นชีวิตก็ถูกฝึกให้เคยชินกับการรอคิวเข้าไปแคสต์งาน เพื่อนวัยเด็กกลุ่มหนึ่งคือพี่ๆ ในกองถ่าย ยังคงแซวจนถึงทุกวันนี้กับเรื่องที่เธอฉีกสร้อยคอกลางกองเพราะอึดอัดกับมัน
งานหน้าจอที่ทำให้เธอเป็นที่คุ้นตาคือโฆษณาคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง
และหลังจากนั้นก็ดังเป็นพลุแตกจากซีรีส์วัยรุ่นยอดฮิต ฮอร์โมน เดอะซีรีส์ มีรางวัลการันตีคุณภาพการแสดง อาทิ
- รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 21 สาขาผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง ลัดดาแลนด์
- คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 9 สาขาผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง ลัดดาแลนด์
- รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 23 สาขาผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย
- รางวัลรองชนะเลิศของสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ครั้งที่ 6 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง เมย์ไหน…ไฟแรงเฟร่อ
หลายผลงานหลากรางวัล ปันปันคว้ามาได้ก่อนอายุจะถึง 20 ปีด้วยซ้ำ เธอผ่านวันทำงานมานักต่อนัก หนักเกินหน้าเพื่อนร่วมวัยไปหลายช่วงตัว แต่ทำไมเวลาพูดถึงนักแสดงวัยรุ่นคนนี้ ข่าว(ฉาว)มักจะดังกลบงานเสมอ
ในวัย 20 ปี เธอมองตัวเองในวัยเด็กอย่างไร? ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธอมีอะไรจะบอกกับเด็กผู้หญิงคนนั้น
ขณะที่หลายคนอาจกังวลกับแรงเสียดทานในวงการมายาที่ประเดประดังทั้งจากคนทำงานด้วยกันจนถึงท่านผู้ชมทางบ้านที่มีทั้งคนรักและผู้คนที่ไม่ถนัดในการทะนุถนอมดารา ทำไมเธอจึงกล้าๆ พูดว่า “ไม่เสียใจ (regret) อะไรเลยจากการเข้ามาในวงการนี้”
ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง
หลักๆ ตอนนี้ปันปันเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ (นานาชาติ) ชั้นปีที่ 3 กำลังเวิร์คช็อปเตรียมถ่ายซีรีส์เรื่องใหม่ในปีนี้ ชื่อ รูปทอง ทางช่อง GMM 25 ค่ะ
เข้าวงการนี้ตั้งแต่ 4 ขวบจนถึงตอนนี้ก็ 20 ปีแล้ว มันเริ่มต้นอย่างไร
ตั้งแต่เด็กๆ จะถ่ายโฆษณา จำได้ว่าตอนอยู่อนุบาล พี่ที่เขาคอยมองหาเด็กๆ มาบอกพ่อแม่ว่าลองเอาน้องไปถ่ายงานดูไหม เราก็ลองไป โฆษณาชิ้นแรกน่าจะเป็นแป้งหรือยาสีฟันเด็กนี่แหละ จำไม่ได้ชัดๆ แต่พอมีโอกาสได้งานโฆษณาเราก็เข้าโมเดลลิ่ง จำได้ว่าตอนเด็กๆ ไปแคสต์งานเยอะมาก (เน้นเสียง) ได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ยังแคสต์ไปเรื่อยๆ จนอายุประมาณ 13 ปี ก็มีโฆษณาตัวหนึ่งเกี่ยวกับคลินิกเสริมความงาม ซึ่งเป็นตัวที่คนเริ่มจำเราได้ หลังจากนั้นมาเราก็เริ่มได้เล่นภาพยนตร์
‘ปันปัน’ ในวัยเด็กเป็นอย่างไร มีวีรกรรมอะไรที่เซี้ยวๆ บ้าง
ตอนเด็กๆ ปันได้โฆษณาค่อนข้างเยอะ ซึ่งถ้าคนในกองรู้ว่าปันปันเป็นคนเล่น เขาจะแบบ… โอ้ มายก็อด! เขาเรียกปันปันว่า ‘เด็กบ้า’ (หัวเราะ) เพราะมีประวัติกับพี่สไตลิสต์เยอะมาก อย่างพี่ผู้กำกับที่สนิทกันตอนนี้ ก็มาเล่าให้ฟังตอนเราโตแล้วว่า ตอนนั้นพี่ในกองเอาสร้อยไข่มุกมาให้ใส่ แต่หนูอึดอัด หนูฉีกเลย (หัวเราะ) คือเป็นเด็กขนาดนั้นเลยอะ แต่ตอนที่แอ็คชั่นเราเล่นนะ ไม่งอแง แต่ถ้าคัทเมื่อไหร่ก็จะบ่นๆๆ งอแง
อย่างละครก็เหมือนกัน ครูสอนแอ็คติ้งคนหนึ่งที่สนิทกันมาก เขาเล่าว่าหนูขี้บ่น บ่นตลอดว่าไม่เล่นๆๆ แต่ถ้าแอ็คชั่นปุ๊บก็คือเล่น แต่ตอนนั้นคือเด็กนะ พอโตขึ้น รู้เรื่องแล้วก็โอเคขึ้น
ช่วงเด็กที่ต้องแคสต์งานหนักมาก จำความรู้สึกตอนนั้นได้ไหม ชอบหรือไม่ อึดอัดหรือเปล่า
จริงๆ ช่วงนั้นไม่ค่อยชอบ รู้สึกว่าทำไมต้องมาด้วย ไปแคสต์ทีก็ต้องนั่งรอ บางทีต้องรอทั้งวัน มาตั้งแต่เก้าโมงเช้ากว่าจะได้เข้าไปถ่ายก็ห้าโมงเย็น ด้วยความเป็นเด็กก็จะคิดว่ามาทำไม ทำไมต้องเสียเวลามานั่งรอ เลิกเรียนแล้วทำไมไม่ได้กลับบ้าน ทำไมต้องมาบังคับให้ปันทำนู่นทำนี่
ส่วนจุดที่ทำให้ยังไปกองถ่ายอยู่ น่าจะเป็นความรู้สึกว่า ‘เราต้องทำ’ รู้สึกว่าที่พี่ๆ เขายังให้ลองมาถ่ายงานอยู่เพราะเห็นว่าเราโอเค ไม่งอแงตอนที่ต้องเข้าฉาก คือรู้ว่าถ้าเรารับงาน รับหน้าที่มาแล้วก็ต้องทำให้เสร็จ
ความคิดที่ว่า ‘รับงานมาแล้วต้องทำ ห้ามงอแง’ เกิดขึ้นตอนไหน
ตั้งแต่เด็กๆ เลยนะ ไม่งั้นเราคงงอแงขอกลับบ้านเลย
จุดไหนที่เริ่มรู้สึกว่า เราชอบทำงานนี้
เด็กๆ ไม่ชอบ โตขึ้นมาตอนเล่นหนังเรื่องแรกก็ยังไม่ชอบเลย ง่วง เบื่อ ทำไมต้องตื่นตี 5 แต่พอผลงานออกมาแล้วมีคนชอบ เราเริ่มรู้สึกว่า เออ… เราทำงานนี้ได้ดีนะ เด็กที่อายุแค่นั้น ไม่ค่อยมีใครที่จะหา profession หรือสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีเจอ
ชีวิตหนูไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง ทำอาหารก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรดีเลย แต่หนูทำเรื่องนี้ได้ดี เลยรู้สึกว่า เออ… มันเป็นจุดที่เราควรจะ pursue ตัวเองต่อไปนะ
อาชีพนักแสดงเป็นสิ่งที่เด็กๆ หลายคนใฝ่ฝัน ซึ่งคุณก็เป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็ก จริงๆ แล้วนี่คืออาชีพในฝันของเด็กหญิงปันปันหรือเปล่า
อุ้ย ไม่เลย ห่างไกล หนูอยากเป็นนักบินอวกาศ อยากไปนาซ่า อยากเป็นหมอผิวหนัง เพี้ยนๆ หน่อย คืออยากเป็นอะไรไปเรื่อย ตอนเด็กหนูชอบอ่านหนังสือ Anatomy หรืออะไรที่เกี่ยวกับ Human Body พ่อก็คิดว่าเราต้องเรียนสายวิทย์แน่ๆ แต่พอเราเริ่มมีงาน ก็เริ่มห่างหายไป
มันเลยเป็นจุดเปลี่ยน เพราะเด็กๆ เราจะมา interfere งานกับการเรียนเยอะไม่ได้ หนูแบ่งไม่ไหว เลยเลือกสิ่งที่ต้องทำ ตอนนั้นก็ไม่ได้มีใครบังคับให้ปันต้องเรียนแบบนั้น แต่งานบังคับให้ปันต้องทำ เลยเลือกมาทางฝั่งนี้มากกว่า
ถ้าไม่ต้องทำงานบันเทิง มีอิสระที่จะเลือกเรียน คุณจะเลือกอะไร
ตอนเด็กๆ ชอบ Biology สอบได้ A แต่ชีววิทยาต้องเรียนคู่กับเคมี และฟิสิกส์ ซึ่ง หนูวาดอิออนไม่ได้อะ ตารางนิวตรอนอะไรเนี่ย ยาก คือเราชอบ แต่วิชาพวกนี้มันต้องไปคู่กันไง เรื่องจบที่ว่า… ‘ช่างมันเถอะพ่อป็อบ (คุณพ่อปันปัน) เคมีมันไม่ได้จริงๆ อะ’ ง่ายๆ แค่นั้นแหละ เท…
ฟังดูแล้วเหมือนคุณจะเป็นเด็ก geek ที่รักการเรียนหน่อยๆ
ไม่ชอบ อ่านหนังสือสอบนี่เกลียดมาก แต่ก็ต้องเรียนอะ คือเราอาจจะไม่ได้ใช้ context ที่เขาสอน แต่การไปเรียน คุยกับคน คุยกับอาจารย์ ด้วยการทำงานทั้งหมดมันจะ shape เรา ให้เราได้อะไรมากกว่าหนังสือที่อ่านในห้องเรียน
ถามว่าหนูจำได้ไหมว่าปี 1 ถึงปี 3 หนูเรียนอะไร หนูจำไม่ได้นะ ออกจากห้องสอบก็ลืมหมด แต่ถามว่าหนูโตขึ้นไหม หนูโตขึ้นมาก
เป้าหมายของหนูตอนนี้ คือต้องเรียนให้จบ 4 ปี ต้องได้เกรดที่ไม่น่าเกลียด สิ่งที่ทำตอนนี้ก็พยายามจะ maintain ระหว่างการเรียนและการทำงานให้ได้
ลูกฮึดแบบนี้ เป็นเพราะอยากจะลบคำสบประมาทว่านักแสดงมักเรียนไม่จบรึเปล่า
คนจะชอบพูดว่ามีงานแล้ว ไม่ต้องเรียนก็ได้ แต่มันคือโพรไฟล์ของตัวเอง ปันไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นนักแสดงไปตลอดชีวิตเพราะมันเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง แต่ถ้าเรามีความรู้ เราไปต่อยอดได้ และหนูไม่อยากแค่แสดงไปอย่างเดียว อยากเป็นนักแสดงที่มีความรู้ นี่เป็นเหตุผลที่พยายามทำให้ตัวเองได้เรียนรู้อะไรอื่นๆ ให้มาก
หลายรางวัลการแสดงที่ได้รับ คุณมีวิธีการทำงาน ทำการบ้านอย่างไร หา reference จากไหนบ้าง
ไม่ดูนะ คือเราจะอ่านบทและก็ทำการบ้านเลย เพราะมีความเชื่อเลยว่าเราไม่สามารถจะเล่นเป็นคนอีกคนหนึ่งได้อย่าง completely สุดท้ายบทมันก็ออกมาจากตัวเรา ปากเรา เสียงเรา มันต้องมีเอกลักษณ์หรือ identity ที่ไม่สามารถจะก๊อปแบบอย่าง หรือ reference ใครได้แบบเต็มๆ ขึ้นอยู่กับบทว่าตัวละครนี้เขาเขียนและอ้างอิงจากใคร
ส่วนใหญ่บทที่ผู้กำกับเขียนมา เขาจะมีภาพตัวละครในหัวอยู่แล้วว่าต้องการตัวละครแบบไหน อย่างล่าสุดเรื่องรูปทอง เราเล่นเป็นตัวละครชื่อเรียวข้าว ผู้หญิงสมัยใหม่ เปรี้ยว แก่น ตรงไปตรงมา เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเขาน่าจะเห็นภาพเราในข่าวว่าเราน่าจะเป็นแบบนี้นะ เราก็ refer ตัวเองมาเลยว่าถ้าเราเป็นดีไซเนอร์ที่มีความคิดแบบนี้ๆ จะออกมาเป็นยังไง เสียงหรือวิธีการพูดอาจจะคล้ายๆ ปันปันก็ได้ แต่ก็จะไม่ได้เหมือนทั้งหมด อาจจะไม่ได้งอแงง้องแง้งเท่าเรา แต่สุดท้ายแล้วคือตัวเอง คือจะ base ตัวเองเป็นหลัก ว่าถ้าเป็นเรา เล่นเป็นแบบนี้แล้วจะเป็นยังไง
ด้วยวิธีที่ต้องกลับไปทำความเข้าใจตัวละครแบบนี้ เคยมีครั้งไหนมั้ยที่ตัวละครนั้นเปลี่ยนชีวิตของเรา ทำให้เข้าใจโลกอีกใบ หรือเข้าใจตัวละครอื่นที่ใช้ชีวิตแบบอื่นมากขึ้น
อาจจะยังไม่เจอถึงขั้นเปลี่ยนชีวิต แต่อย่างเรียวข้าวก็ใช่ มองตัวละครนี้ครั้งแรกก็คิดว่าคล้ายๆ ตัวเอง แต่เราไม่เข้าใจความคิดของเขา ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำสิ่งนี้ ก็ต้องไปเวิร์คช็อป ทำความเข้าใจตัวละครใหม่ ทำไมถึงทำแบบนี้ เพราะถ้าในตรรกะของปันปันจะไม่ทำ แต่ในลอจิคของเรียวข้าวเขาคิดแบบนี้ไง เพราะพื้นหลัง เพราะครอบครัวเขา ทำให้เขาทำอย่างนี้
โอเคว่าเราอาจจะนิสัยคล้ายกัน แต่พื้นหลังครอบครัวเราไม่เหมือนกัน เรียวข้าวอยู่ในครอบครัวคนจีนที่ไม่สนใจลูกสาว แต่ครอบครัวหนูไม่ใช่แบบนั้น ฉะนั้นเราเอาตัวเองไป base ไม่ได้ ต้องทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ นี่คือการเวิร์คช็อปที่ตัวเองกำลังทำอยู่
เรากำลังคบกับผู้ชายคนนี้อยู่นะ เขาเป็นคนแบบนี้ ทำไมถึงรัก ทำไมถึงไม่รัก แม่เขาเป็นยังไง เพื่อนเขาเป็นยังไง ต้องหลับตาแล้ววาดทุกอย่างขึ้นมาในหัว สร้าง scenery ขึ้นมาร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ สมมุติว่าเรากำลังเถียงกัน เราจะเถียงกันว่าอะไร ถ้าเป็นเขา เขาจะพูดยังไง คุยกันให้มากถึงจะค่อยๆ เข้าใจตัวละครนั้นๆ มากขึ้น นี่คือการบ้านที่นักแสดงทุกคนต้องทำ ซึ่งจะทำให้เราค่อยๆ เข้าใจตัวละครนี้มากขึ้น
การทำงานตั้งแต่เด็กขนาดนี้ เคยรู้สึกว่าชีวิตวัยเด็กถูกพราก เพราะต้องรับผิดชอบหน้าที่เกินกว่าเด็กในรุ่นเดียวกันไหม
ถามว่ามีชีวิตวัยเด็กไหม? มี (ลากเสียง) แต่อาจจะน้อยกว่าคนอื่น คือเราทำงาน แต่ไม่ได้เอางานมากันเราไม่ให้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป เอาจริงๆ ปันเป็นคนมีเพื่อนเยอะมากเลยนะ ติดต่อกับเพื่อนตลอด ไม่ใช่คนที่ทำแต่งาน บ้างาน ไม่ไปเรียน ไม่เข้าสังคม ปันมีชีวิตวัยเด็ก แต่อาจจะมีลิมิตเรื่องเวลา
แต่คิดว่าเราก็ใช้ชีวิตเต็มที่ในระดับหนึ่ง ตามปกติวัยรุ่นกับเพื่อนมากๆ ถ้าคนเห็นหนูในชีวิตประจำวันจริงๆ จะเห็นเลยว่าหนูไม่ได้ทำตัวเป็นดาราแบบ… ใส่แว่น ใส่นู่นใส่นี่ปิดบังหน้าตา เป็นคนปกติและก็คิดด้วยซ้ำว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าดาราก็เป็นคน
แต่วัยรุ่นทั่วไป จะไม่โดนวิจารณ์ ถูกจับตามอง และถูกว่าเพียงเพราะเผลอพูดอะไรตลกๆ อย่างปันปัน?
เวลาที่คนเห็นหนูตามข่าว จะเห็นว่าเราเป็นคนที่ชอบ make joke แบบไม่ค่อยคิด ทำให้บางคนรู้สึก offended หรือขุ่นเคืองกับคำพูดของเราได้ อย่างข่าว ‘ยิ้มตลอดได้ไง เมื่อยปาก’ เงี้ย… หนูก็พูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ (ออกเสียงให้ฟัง) ตลกๆ ใช่ไหม แต่พอเป็นภาษาเขียนมันจะอ่านได้อีกแบบหนึ่ง
จากข่าว จากสิ่งที่หนูเคยพูด เคยทำ บางครั้งมัน shape เราออกมาแบบหนึ่ง ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้รู้จักเรา เราก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เชื่อว่าถ้าใครรู้จักหนู ก็คงไม่เกลียดหนูนะ (หัวเราะ) คือหนูเป็นคนชิลล์อะ
ตอนที่ข่าว ‘ยิ้มตลอดได้ไง เมื่อยปาก’ กลายเป็นไวรัล ถูกทำเป็นมีม หรือไปไกลขนาดเข้านิยามของการถูก bully ความรู้สึกตอนที่คุณอ่านข่าวเป็นอย่างไร
มันเซ็งอะ แต่เซ็งตัวเองนะ เซ็งที่พูดอะไรไม่คิด ทำไมต้องไป make joke แบบนี้ ถ้าเราพูดกับพี่ๆ พี่จะเข้าใจบริบทที่หนูพูดใช่ปะ? (ถามกองบรรณาธิการ) เราก็จะขำๆ กัน แต่พอมันออกไปในวงกว้าง สื่อสารกับทุกคนมันอาจจะไม่โอเค ซึ่งหนูก็ไม่ได้หมายความว่าหนูเมื่อยปากจริงๆ หนูพูดอย่างเป็นมุกตลกเฉยๆ แต่พอเขียนเป็นตัวหนังสือออกมาแล้วมันไม่เก็ตไง ก็เป็นบทเรียนว่าถ้า make joke อะไรที่มันก้ำกึ่ง อะไรที่มันคลุมเครือก็ต้องระวัง คือต้องไม่ทำให้คนขุ่นเคือง จะพูดอะไรต้องพูดให้มันเคลียร์ ก็ให้เป็นบทเรียนไป
เคยคิดไหมว่า ‘เฮ้ย… มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เป็นเรื่องทั่วไปที่ใครๆ ก็พูดกัน’
พูดได้ๆ แต่พูดกับเพื่อนไง แต่เมื่อไหร่ที่มีไมค์จ่อปาก สื่อสารกับทุกคนก็ต้องเป็นอีกแบบหนึ่ง
หมายความว่าคุณยอมรับเงื่อนไขจากการเป็นนักแสดงที่ต้องถูกวิจารณ์?
ยอมรับๆ ยอมรับสิ บางคนอาจจะเห็นว่าสิ่งที่เราพูดไม่เห็นผิดเลย เป็นวัยรุ่นพูดได้ดิ แต่ไม่ใช่จุดนั้น ไม่ใช่ตอนที่ยืนสัมภาษณ์อยู่ แต่ถ้าพูดกันเอง กับพี่นักข่าวตลกๆ ก็พูดได้ๆ
พูดแบบนี้ได้ไหมว่า คุณไม่ค่อยรู้สึกกดดันจากการเป็นนักแสดง เป็น ‘ปันปัน สุทัตตา’ เท่าไร เช่น ยังคงไปกินข้าวกับเพื่อน การลงรูปในอินสตาแกรม ทำกิจกรรมต่างๆ ตามปกติ
ไม่เลย ใช้ชีวิตปกติ ลงรูปปกติ เพียงแต่จะไม่ลงรูปอะไรที่คิดว่าคนจะจับจ้อง เป็นเรื่องไม่ดี ซึ่งทุกคนก็เป็นใช่ไหม เวลาที่จะลงรูปก็ต้องดู image ดูภาพลักษณ์ของตัวเอง สร้าง image ของตัวเองขึ้นมา ปันก็ต้องมี ไม่ใช่ว่าเราจะลงทุกรูป ก็ต้องดูปกติ ชิลล์ (ยิ้ม)
แต่คุณมักจะเจอคอมเมนต์แรงๆ จากในโซเชียล
มันก็มีแรงๆ แต่ปันไม่ค่อยรู้สึกเดือดร้อน หรือถูก effect โดยคอมเมนต์หนึ่งคอมเมนต์อะ คือมันเป็น random comment เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ตอนนี้เราสร้างแอคเคาท์ปลอมขึ้นเพื่อจะด่าคนอื่นได้ด้วยซ้ำถ้าเราอยากจะทำ แต่แล้วยังไงต่อ? ยกเว้นว่าเป็นคนที่เรารู้จัก โอเคหนูรับความคิดนั้นไว้ แต่กับคนที่ไม่รู้จักคือ… (หยุดคิด) เราก็เลื่อนทิ้งอะ
หนูแค่รู้สึกว่า หนูจะไม่ยอมเสียตัวตนของตัวเองให้กับคนที่ไม่ชอบหนู ปันมีคนที่โอเคกับการเป็นปัน ปันมีเพื่อน มีคนรอบตัวที่เขาโอเคกับความเป็นเรา ถ้ามีคนที่ไม่ชอบเราก็ไม่เป็นอะไร เพราะคงไม่ได้ไปยุ่งกับเขาอยู่แล้ว เขาไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับเรา เราก็ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เขา
นักแสดงสมัยใหม่ ไม่ค่อยถูกคาดหวังให้เป็นคนต้นแบบ เป็นตัวอย่างที่ดีของคนในสังคมอย่างนักแสดงรุ่นเก่า แต่ถ้าตามจากคอมเมนต์คอมเมนต์ในโลกโซเชียล เราจะยังเห็นความคาดหวังจากนักแสดงวัยรุ่นอย่างคุณ ว่าขอให้เรียบร้อยกว่านี้
เอาจริงๆ คนไทยยังชอบคนเรียบร้อยอยู่นะ เราจะไม่ modernist ขนาดนั้น เรายัง conservative เด็กๆ ทุกคนต้องมีภาพลักษณ์ของตัวเอง
ซึ่งปันพยายามนะ ปันพยายามทำตัวให้ถูกกาลเทศะ พูดจาดี จะแก่นจะอะไรก็พยายามไม่ล้ำเส้นผู้ใหญ่ จะมีกรอบที่ตั้งไว้สำหรับตัวเองว่า พอแล้วนะ แค่นี้พอ (หัวเราะ)
คือจะไม่ล้ำเส้นผู้ใหญ่ หรือล้ำเส้นคนอื่น หนูเป็นคนตลก เฮฮา ก็ตลกของเราไป แต่ไม่ตลกจนล้ำเส้นคนอื่น
เวลาเกิดเรื่องร้าย หรือข่าวไม่ดี คนแรกที่จะคิดถึงคือใคร
พ่อป็อป! (ตอบเร็ว) หนูขอโทษ (หัวเราะ) คือถ้ามีข่าวไม่ดี พ่อป็อปจะเป็นคนแรกที่โผล่ขึ้นมา แล้วพ่อก็จะแบบ ‘ไฟไหม้อีกแล้ว’
ต้องทำความเข้าใจ หรือสื่อสารกับพ่อไหม
ไม่เลย เดี๋ยวนี้พ่อป็อปเข้าใจเรามากขึ้นมากๆ เขาเก็ตทุกอย่างเลย เดี๋ยวนี้ เขาช่วยเถียงแม่ให้หนูด้วยนะ (หัวเราะ)
คือเขาเก็ตสิ่งที่เราทำ และเก็ตว่าทำไมคนถึงไม่โอเคกับสิ่งที่เราทำ เขามองโลกหลากหลายมุม เขามีมุมที่เด็กมากๆ และโตมากๆ อยู่ในตัว เขาเลยเข้าใจทั้งมุมของเราและโลกข้างนอกด้วย เวลาเขาสอนเราเขาก็จะบอกว่า ‘เข้าใจว่าเราคิดแบบนี้ๆ นะ แต่โลกข้างนอก มันก็ไม่ได้อยู่ดี’
แล้ววัยรุ่นอย่างเราๆ มีวิธีจัดการกับอารมณ์ตัวเองอย่างไร
เราก็จะ ‘โอ้ มายก็อด’ อยู่ช่วงหนึ่งแล้วก็เก็บเป็นบทเรียน จำไว้ว่าไม่ควรพูดหรือทำอะไรแบบนั้นอีก ต้อง move on มันไม่ได้ทำให้ชีวิตหนูพังขนาดนั้น คือเรายอมรับคำวิจารณ์ที่คนส่งเข้ามาได้
การที่ต้อง ‘move on’ ดูเป็นคำพูดหรือความคิดที่ผู้ใหญ่มักชอบพูดกัน
ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นความคิดของผู้ใหญ่นะ เพราะทุกๆ ปี ทุกๆ วัน เราจะเรียนรู้อะไรมากขึ้นอยู่แล้ว คือไม่มีใครที่โตเป็นผู้ใหญ่จนถึงขีดสุด
ปันปันในวัย 20 บอกว่าโลกตัวเองเปลี่ยนไปเยอะมาก จากการเรียน การทำงาน การเข้ามหาวิทยาลัย และจากประสบการณ์ทั้งหมดทั้งชีวิตจริงและในวงการบันเทิง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ปันปันในวันนี้ จะบอกอะไรกับตัวเองวัยเด็กบ้าง
อ่า… (หัวเราะ) หนูคงบอกให้ตัวเองระมัดระวังตัวมากกว่านี้ ไป hint ตัวเองให้ระวังตรงนี้ๆ นะ ปู path ตัวเองให้สวยๆ หน่วย แต่ก็คงให้มาอยู่ในจุดนี้นะ เพราะเป็นโอกาสที่น้อยคนนักจะมี โอกาสที่จะได้เรียนรู้อะไรมากกว่าคนในรุ่นเดียวกันในบางเรื่อง (เน้นเสียง) เช่น หนูเรียนนิเทศฯ เราก็จะรู้ขั้นตอนการทำงานในกองมากกว่าเพื่อนๆ ในคลาส โอกาสตรงนี้ทำให้เราได้พบปะผู้คน ได้ใช้ชีวิตนอกห้องเรียน มีภูมิคุ้มกันจากทุกสิ่งที่ shape เรามากกว่าหนังสือ มันเป็นผลดีที่ได้เข้ามายืนตรงนี้และหนูไม่ได้ regret อะไรเลยจากการเข้ามาในวงการนี้
แต่ทุกความผิดพลาดของชีวิตก็ประกอบให้เป็นคุณในวันนี้รึเปล่า หมายความว่าต่อให้อย่างไร คุณก็จะกลับไป hint ตัวเองไม่ให้เจอกับบทเรียนวันนั้นใช่มั้ย
คงไม่มีใครอยากผิดพลาด ไม่มีใครอยากล้ม หนูคง hint ตัวเองแหละ
เฉพาะตัวเองที่งอแงฉีกสร้อย คุณจะบอกอะไรกับเด็กน้อยคนนั้น
ใจเย็นๆ! หยุด… หยุด XXX (เอานิ้วไขว้เป็นตัวเอ็กซ์… หัวเราะ) เด็กบ้า คือเป็นสมญานามอย่างหนึ่งที่เขาเรียกหนู คือหนูซ่ามาก ดื้อมาก คนในกองทุกคนจะเวียนหัว ต้องบอกให้หยุด
อันนั้นคือเรื่องอดีต แต่ถ้าถามถึงคนในอนาคต คนที่คุณชอบและอยากจะเป็นเหมือน คือใคร
จริงๆ ดาราไทยหนูชอบหลายคน หนูชอบพี่อั้ม (พัชราภา ไชยเชื้อ) ชอบพี่ปู (ไปรยา ลุนด์เบิร์ก) พี่อั้มเป็นคนวางตัวดี เฮฮา สนุก พูดอะไรคนก็รัก ไม่มีฟอร์ม ไม่เก๊ก แต่ดูดี ส่วนพี่ปู คือชีวิตเขาเคยมีข่าวเหมือนหนูตอนเด็กๆ แต่พอโตขึ้นก็ตัดภาพทุกอย่างทิ้งหมด กลายเป็นผู้หญิงสวย สมบูรณ์
ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ข้อจำกัดในชีวิตของคุณคืออะไร อะไรที่ทำให้รู้สึกว่า ‘ถ้าเป็นแบบนี้ จะไม่เอาแล้วนะ เทแน่นอน’
(นิ่งคิด) หนูไม่เคยคิดเลยอะ คงเป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้เราไม่มีความสุขกับชีวิต ถ้าเป็นจุดที่ไม่โอเค ลืมตาตื่นมาแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย… ต้องทำอย่างนี้อีกแล้วเหรอ ไม่มีความสุข ทุกอย่างดีหมดแต่ยังบ่นแต่เรื่องนี้ หนูเลิกเลย แต่ยังไม่เคยเกิดขึ้นกับการถ่ายละครหรือการทำงาน แต่ถ้าวันหนึ่งถึงจุดที่เราไม่มีความสุขกับมันแล้ว ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ก็คงหยุด
แต่ถ้าเรื่องอยู่ดีๆ จะเลิกเลย ไม่ได้นะ คือรับอะไรมาก็ต้องทำให้สำเร็จ คือหนูเป็นคนขี้เกียจแต่ก็รับผิดชอบนะ
เช่น ถ้ามีการบ้าน หนูก็จะดองไว้จนวินาทีสุดท้าย แต่ก็จะลุกขึ้นมาทำจนเสร็จอยู่ดี หรือถ้าต้องอ่านหนังสือสอบก็จะดองไว้ก่อน ใกล้ๆ ค่อยอ่าน เรื่องงาน แม้จะขี้เกียจแต่เราไปทำงาน ไม่เคยทิ้ง ไม่เคยเท
คือขี้เกียจ แต่ก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่ต้องทำ เพราะว่าหนูไม่ชอบให้คนมาตั้งคำถามว่า ทำไมไม่มา ทำไมไม่ส่งงาน มันรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง
เป็นคำตอบแทนใจวัยรุ่นเลย ‘คือขี้เกียจ แต่ก็รับผิดชอบนะ’ ซึ่งเป็นคำเดียวกับที่ผู้ใหญ่ชอบว่า ว่าวัยรุ่นทุกวันนี้เป็น ‘เจนเนอเรชั่น ME’ เอาแต่เล่นโทรศัพท์ ขี้เกียจ ไม่มีความรับผิดชอบ
คือหนูรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีที่เข้ามาแล้วมันแตกต่างจากเจนเนอเรชั่นก่อนๆ มันมีเกม มีนู่นนั่นนี่ให้เราติด มันไม่แปลก แต่หนูไม่ได้คิดว่าทุกคนขี้เกียจ โลกเราพัฒนาไกลมาก และที่มันพัฒนาก็เพราะว่าเด็กๆ ในเจนเนอเรชั่นใหม่ เขาแค่ทำทุกอย่างให้มันสนุก