- โรงเรียนบ้านปะทาย เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เด็กจำนวนมากต้องอพยพออกจากบ้านไปอยู่ในศูนย์พักพิง ขาดแคลนปัจจัยพื้นฐาน เผชิญความตึงเครียด ความขัดแย้ง และสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ในรูปแบบเดิม
- การจัดการเรียนรู้ในภาวะวิกฤตนี้ โรงเรียนจำเป็นต้องปรับบทบาทจาก ‘พื้นที่เรียนรู้’ สู่ ‘พื้นที่เยียวยา’ ให้ความสำคัญกับหัวใจของเด็ก และวางรากฐานให้เด็กสามารถกลับมาสู่เส้นทางชีวิตของตนเองได้
- หลังจากโรงเรียนกลับมาเปิดการเรียนการสอนแบบ On-site สิ่งแรกที่โรงเรียนให้ความสำคัญ คือการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้ถอดบทเรียนจากประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่งผ่านพ้นมา ค่อยๆ พาเด็กไปสู่การใคร่ครวญ ตกผลึก และสร้างความหมายให้กับประสบการณ์ชีวิตของตนเอง ผ่านกระบวนการ Reflection และจิตศึกษาอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โรงเรียนจำนวนมากต้องเผชิญกับโจทย์ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าการจัดการเรียนการสอนตามปกติ ไม่ใช่เพียงปัญหาการหยุดเรียน การย้ายถิ่นชั่วคราว หรือการเข้าถึงการเรียนรู้ที่ไม่ต่อเนื่องเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงสภาวะความเครียด ความเปราะบางทางจิตใจของเด็กและครอบครัว ตลอดจนข้อจำกัดของโรงเรียนในการดูแลเด็กภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
โรงเรียนบ้านปะทาย ตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ความไม่สงบดังกล่าว เด็กจำนวนมากต้องอพยพออกจากบ้านไปอยู่ในศูนย์พักพิง ขาดแคลนปัจจัยพื้นฐาน เผชิญความตึงเครียด ความขัดแย้ง และสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ในรูปแบบเดิม คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า ‘จะจัดการเรียนการสอนอย่างไรให้ทันหลักสูตร’ แต่คือ ‘โรงเรียนจะดูแลเด็กอย่างไรในภาวะที่ชีวิตของพวกเขาไม่ปกติ’
ในเวทีเสวนาออนไลน์ Together We Grow by TSQM-A ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดโดยมูลนิธิสยามกัมมาจล (SCBF) ร่วมกับโครงการ TSQM-A จังหวัดศรีสะเกษ และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ครูแจง–จารุวรรณ์ เลิศศรี ครูวิชาการของโรงเรียนบ้านปะทาย ได้ถ่ายทอดประสบการณ์จากการทำงานในพื้นที่ ซึ่งโรงเรียนต้องปรับบทบาทอย่างเร่งด่วน ท่ามกลางข้อจำกัดต่างๆ โดยเฉพาะความเปราะบางทางใจของเด็ก

ปรับบทบาทโรงเรียน จาก ‘พื้นที่เรียนรู้’ สู่ ‘พื้นที่เยียวยา’
ภายใต้สถานการณ์ความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน ครูแจง–จารุวรรณ์ โรงเรียนบ้านปะทาย เล่าว่า จุดตั้งต้นของการทำงานในช่วงวิกฤต ไม่ใช่คำถามว่า เด็กจะเรียนทันหรือไม่ แต่เป็นคำถามว่า เด็กกำลังรู้สึกอย่างไร และโรงเรียนจะดูแลเขาได้อย่างไร
“ที่โรงเรียนบ้านปะทาย เราไม่อยากให้เด็กอยู่กับโทรศัพท์มากเกินไป และเราคำนึงถึงสภาวะความเครียดที่เด็กต้องเผชิญเป็นหลัก มากกว่าประเด็นเรื่องความรู้ที่อาจขาดช่วงไปในการเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้คุณครูทุกคนจึงได้พูดคุยและวางแผนการทำงานร่วมกัน โดยตัดสินใจลงพื้นที่ไปยังศูนย์อพยพ
ต้องยอมรับว่าครั้งนี้มีการจัดการระบบที่ค่อนข้างชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นที่ว่าการอำเภอหรือหน่วยงานอื่นๆ ทำให้ทราบชัดเจนว่าเด็กนักเรียนของเราไปอยู่ศูนย์อพยพใดบ้าง เดิมทีเราวางแผนไว้ว่าจะไปเพียง 2 ศูนย์ที่มีนักเรียนของเราอยู่ แต่ก็ทำให้เราได้ทบทวนว่าเราไม่ได้มุ่งดูแลเฉพาะเด็กของเราเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงเด็กคนอื่นๆ ด้วยเช่นกันค่ะ”
การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการติดตามนักเรียนของโรงเรียนบ้านปะทาย แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนบทบาทของโรงเรียนในภาวะวิกฤต ว่าไม่อาจทำหน้าที่เพียงจัดการเรียนการสอนตามปกติได้อีกต่อไป หากต้องขยับบทบาทมาเป็นพื้นที่รองรับ เยียวยา และฟื้นฟูจิตใจของเด็กควบคู่กันไป
ในช่วงแรก ทีมครูเคยพิจารณาการจัดกิจกรรมในลักษณะรายวิชา ให้เด็กทำงานเป็นชิ้นงานหรือใบงาน เพื่อทดแทนการเรียนที่ขาดหาย แต่เมื่อพิจารณาบริบทชีวิตจริงของเด็กและครอบครัว โดยเฉพาะเด็กที่อาศัยอยู่กับตาหรือยาย ความคิดดังกล่าวจึงถูกทบทวนใหม่ทั้งหมด
“ในช่วงแรกเราได้มีการพูดคุยกันค่ะ ว่าจะจัดกิจกรรมให้เป็นลักษณะของรายวิชา ให้เด็กได้ทำงานเป็นชิ้นงาน แต่พอมานั่งคุยกันใหม่ โดยเฉพาะครูฝ่ายวิชาการ เราก็รู้สึกสงสารเด็กและผู้ปกครอง เพราะหากให้ใบงานไป เด็กหลายคนอยู่กับตาหรือยาย ซึ่งอาจไม่สามารถช่วยสอนหรือทำการบ้านให้เด็กได้
เราจึงปรับแผนกันใหม่ โดยใช้ทีมนันทนาการของโรงเรียนทั้งหมด ร่วมกันวางแผนกิจกรรมเป็นลักษณะโครงงานที่ทำร่วมกับเด็ก แบ่งตามระดับชั้น โดยเน้นให้เด็กได้วาดและขีดเขียนผ่านงานศิลปะ เป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ถอดบทเรียนจากประสบการณ์ของตนเอง”
การปรับแผนดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า โรงเรียนไม่ได้ยึดติดกับรูปแบบการเรียนรู้เดิม แต่เลือกใช้กระบวนการที่เหมาะสมกับสภาพจิตใจและสถานการณ์ของเด็กเป็นสำคัญ กิจกรรมนันทนาการ งานศิลปะ และการทำโครงงาน จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้สื่อสารความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใน
ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของครูเพียงคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นผลจากการทำงานแบบ PLC ที่โรงเรียนบ้านปะทายดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อหยิบสถานการณ์จริงที่เด็กเผชิญมาออกแบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับชีวิตในแต่ละช่วงเวลา
“สำหรับประเด็นที่ใช้ในการทำกิจกรรม เราได้ขยายเป็น 5 ข้อ ได้แก่ เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างในชีวิตของเด็กในช่วงที่ผ่านมา เด็กเกิดความรู้สึกใดบ้าง เด็กจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร สภาวะปัญหาที่เกิดขึ้นและวิธีการแก้ไขปัญหา และเด็กคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อใคร ต่อสังคม ชุมชน ประเทศ หรือโลกอย่างไร”
จากจุดเริ่มต้นในฐานะพื้นที่เรียนรู้ โรงเรียนบ้านปะทายจึงค่อยๆ ขยับบทบาทมาเป็น ‘พื้นที่เยียวยา’ ที่ให้ความสำคัญกับหัวใจของเด็ก และวางรากฐานให้เด็กสามารถกลับมาสู่เส้นทางชีวิตของตนเองได้ แม้ต้องเผชิญกับโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเปลี่ยนแปลงที่พร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา

โลกนอกห้องเรียนอาจไม่สวยงาม แต่เด็กสามารถเรียนรู้และเติบโตได้
เมื่อเด็กต้องใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์อพยพ ครูแจงเล่าว่า ที่โรงเรียนบ้านปะทายมองว่าการจัดการเรียนรู้ไม่อาจยึดรูปแบบเดิมที่เน้นเนื้อหาหรือการส่งงานได้อีกต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานั้น คือการเข้าใจเด็กจริงๆ ว่าเขากำลังเผชิญอะไร รู้สึกอย่างไร และต้องการพื้นที่แบบไหนในการทบทวนประสบการณ์ของตนเอง
หลังจากโรงเรียนกลับมาเปิดการเรียนการสอนแบบ On-site ครูแจงเล่าว่า สิ่งแรกที่โรงเรียนให้ความสำคัญ ไม่ใช่การเร่งสอนเนื้อหา แต่คือการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้ถอดบทเรียนจากประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่งผ่านพ้นมา
“เมื่อกลับมาเปิดเรียน On-site สิ่งแรกที่เราให้ความสำคัญและไม่อาจมองข้ามได้ คือการถอดบทเรียนชีวิต เพราะเด็กๆ ได้เผชิญกับสถานการณ์ชีวิตจริงมา ไม่ใช่เพียงการจำลองสถานการณ์ในโรงเรียนอีกต่อไป เด็กบางคนเล่าให้ฟังว่า ในศูนย์อพยพไม่มีความพร้อมใดๆ ทั้งเสื้อผ้า ผ้าห่ม หมอน ไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน และยังต้องเผชิญกับพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของคน ทั้งการแย่งชิงสิ่งของ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งต่างๆ”
ประสบการณ์เหล่านี้ไม่ใช่บทเรียนที่ถูกออกแบบไว้ล่วงหน้า แต่เป็นสถานการณ์จริงที่เด็กต้องใช้ชีวิตอยู่กับมัน เด็กจำนวนมากต้องเรียนรู้การเอาตัวรอด การอยู่ร่วมกับผู้อื่น และการจัดการอารมณ์ของตนเอง
ครูแจงอธิบายว่า โรงเรียนจะไม่พยายามตัดสินหรือสรุปแทนเด็ก แต่เลือกใช้กระบวนการรับฟังและการตั้งคำถาม เพื่อพาเด็กกลับมาใคร่ครวญว่าเขาเผชิญอะไรมา และจัดการกับมันอย่างไร
“สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สนามการเรียนรู้ที่ถูกจำลองขึ้น แต่เป็นสถานการณ์ชีวิตจริง เด็กได้เผชิญกับสภาวะที่คำว่า ‘ความเป็นพลเมือง’ แทบไม่ปรากฏ ทุกคนต่างคิดเพียงว่าจะทำอย่างไรให้ตนเองอยู่รอด ความเห็นแก่ตัวจึงมาก่อนเป็นอันดับแรก
เมื่อเด็กกลับมา เราจึงชวนเขาทบทวนว่าเขานำประสบการณ์เหล่านั้นมาปรับตัวอย่างไร ทำอย่างไรจึงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์อพยพได้ถึง 10 วัน โดยอาจยังมีความทุกข์อยู่บ้าง แต่ลดความทุกข์ลงได้”
จากการเปิดพื้นที่ให้เด็กสะท้อนประสบการณ์ โรงเรียนพบว่า เด็กไม่ได้เล่าเรื่องราวที่สวยงาม แต่กลับสะท้อนความจริงของโลกที่เขาได้เห็นและสัมผัส ทั้งความขัดแย้ง ความไม่เป็นธรรม และพฤติกรรมของผู้ใหญ่รอบตัว
“จากการสะท้อนของเด็ก เราพบว่าประสบการณ์ที่เขาเผชิญไม่ใช่ภาพที่สวยงามของโลกใบนี้เลย แต่เด็กสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ในห้องเรียนไปใช้ในชีวิตจริงได้ เด็กบางคนบอกว่าเขาใช้ความอดทนอย่างมากเมื่อเจอสถานการณ์ความขัดแย้ง และต้องนำทักษะด้านภาษาและการสื่อสารมาใช้ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ”
เด็กบางคนเลือกใช้การรับฟังแทนการโต้ตอบ บางคนพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองก่อนเผชิญปัญหา ขณะที่บางคนสะท้อนว่า การอยู่ในศูนย์อพยพทำให้เขาได้เรียนรู้การวางแผนชีวิต และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างระมัดระวังมากขึ้น
“เด็กบางคนเล่าว่า เมื่อเห็นผู้ใหญ่ทะเลาะกัน เขาเลือกที่จะรับฟังก่อน แล้วค่อยพิจารณาสาเหตุของความขัดแย้งว่าเกิดจากอะไร ขณะที่เด็กอีกหลายคนสะท้อนว่าเขาได้เรียนรู้การปรับตัวในชีวิตศูนย์อพยพ สามารถวางแผน ควบคุมอารมณ์ และจัดการสถานการณ์ได้ดีขึ้นกว่ารอบแรก”
ศูนย์อพยพจึงไม่ใช่เพียงพื้นที่พักพิงชั่วคราว แต่กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ชีวิตจริง ที่เด็กได้เผชิญโลกอย่างตรงไปตรงมา และนำประสบการณ์นั้นกลับมาเรียนรู้ร่วมกันในโรงเรียน ผ่านกระบวนการฟัง การใคร่ครวญ และการถอดบทเรียนชีวิตอย่างต่อเนื่อง

การเรียนรู้ต้องไม่ยึดติดตำรา ชวนเด็กใคร่ครวญและสร้างความหมายจากประสบการณ์ตรง
การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ของโรงเรียนบ้านปะทายในภาวะวิกฤต ไม่ได้จบลงเพียงการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้ระบายหรือเยียวยาความรู้สึก หากแต่ค่อยๆ พาเด็กไปสู่การใคร่ครวญ ตกผลึก และสร้างความหมายให้กับประสบการณ์ชีวิตของตนเอง ผ่านกระบวนการ Reflection และจิตศึกษาอย่างต่อเนื่อง
ครูแจงเล่าว่า หนึ่งในภาพสะท้อนที่ทำให้ครูเห็นพลังของกระบวนการนี้อย่างชัดเจน เกิดขึ้นตั้งแต่การทำ Reflection รอบแรก เมื่อเด็กคนหนึ่งเลือกเขียนคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’
“สิ่งหนึ่งที่เราเห็นชัดมากจากการทำ Reflection รอบแรก คือมีเด็กคนหนึ่งเลือกเขียนคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ ซึ่งทำให้เรารู้สึกแปลกใจมาก ว่าเด็กจะต้องผ่านประสบการณ์อะไรมา เขาถึงเลือกใช้คำนี้
เมื่อเราถาม เด็กสะท้อนว่าสิทธิมนุษยชนไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ในชีวิตจริง โดยเฉพาะในสถานการณ์คับขัน เพราะมนุษย์ทุกคนต่างเห็นแก่ตัว เราจึงถามต่อว่า มีพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ใดที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น
เด็กเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในศูนย์อพยพ ทั้งบทบาทของคนในศูนย์ และการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐตามที่เขาเห็น ซึ่งทั้งหมดเป็นประสบการณ์ตรงของเด็กเอง แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่คำตอบที่ครูต้องการหยุดอยู่เพียงเท่านั้น จึงถามต่อว่า แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้เป็นเหมือนสิ่งที่เราเห็น
เด็กตอบว่า สิ่งที่ทำได้คือการจัดการตัวเองให้ได้ก่อน ทำใจให้นิ่ง และใคร่ครวญกับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เขาบอกว่าเขาคอยตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า สิ่งที่คนอื่นทำถูกต้องหรือไม่ สำหรับเขาแล้วถูกหรือไม่
เมื่อครูถามต่อว่า แล้วบอกกับตัวเองอย่างไรเมื่อเห็นเหตุการณ์เหล่านั้น เด็กตอบว่า สำหรับเขา ‘สิทธิมนุษยชน’ คือการที่เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และเมื่อมีโอกาสทำความดี เขาก็พยายามทำให้ตนเองเป็นประโยชน์ เช่น การช่วยล้างห้องน้ำ ดูแลเพื่อน ดูแลผู้ป่วย เป็นต้น”
ครูแจงจึงถามต่ออีกว่า หากไม่ต้องการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนจากใคร เด็กคิดว่าสิ่งที่ควรได้รับคืออะไร เด็กตอบว่า สิทธิมนุษยชนสำหรับเขาไม่ได้หมายถึงการเรียกร้องให้หน่วยงานใดมาช่วยเหลือ แต่เกิดจากการที่เขาทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ตามสิทธิและหน้าที่ที่เขาควรมี
คำตอบของเด็ก ไม่ได้พุ่งไปที่การเรียกร้องจากใคร หากกลับมาที่การจัดการตนเองเป็นอันดับแรก ซึ่งสำหรับครูแจง บทสนทนานี้คือผลลัพธ์สำคัญของการจัดกระบวนการเรียนรู้ในภาวะวิกฤต
“นี่คือบทเรียนสำคัญมาก เพราะเราเห็นว่าเด็กสามารถสังเกตท่าทีของผู้ใหญ่ เหตุการณ์รอบตัว และตกตะกอนความคิดด้วยตนเองได้ ขณะที่ครูเองก็ใช้กระบวนการจิตศึกษาเป็นเครื่องมือในการรับฟังและพาเด็กเรียนรู้ไปพร้อมกันค่ะ”
ผลลัพธ์เหล่านี้ทำให้โรงเรียนบ้านปะทายเห็นชัดว่า การเรียนรู้ในภาวะวิกฤตไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเนื้อหาในตำรา หากสามารถเริ่มจากชีวิตจริง ความคิด และหัวใจของเด็ก และเมื่อเด็กได้เรียนรู้ที่จะจัดการตนเอง ใคร่ครวญโลก และเลือกยืนอยู่บนคุณค่าที่ตนเชื่อ การเรียนรู้เช่นนี้ย่อมกลายเป็นรากฐานสำคัญ ที่จะพาเด็กก้าวผ่านความไม่แน่นอนของโลกได้อย่างมั่นคง

เปลี่ยนบทเรียนในชีวิตจริง เป็น ‘สมรรถนะการจัดการตนเอง’
เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง และเด็กทยอยกลับเข้าสู่โรงเรียน โรงเรียนบ้านปะทายต้องเผชิญกับโจทย์ใหม่ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม นั่นคือ จะทำอย่างไรให้ห้องเรียนกลับมาเป็นพื้นที่ที่เด็กอยากกลับมาอยู่ ทั้งที่ประสบการณ์ในศูนย์อพยพเปิดโอกาสให้เด็กมีอิสระมากกว่า ทั้งเวลาและการใช้ชีวิต
ครูแจงอธิบายว่า โจทย์นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นคำถามสำคัญที่สะท้อนคุณค่าของการจัดการเรียนรู้ที่โรงเรียนได้ร่วมกันสร้างมา
“โจทย์สำคัญของเราคือ จะทำอย่างไรให้เด็กอยากกลับมาอยู่ในห้องเรียน ทั้งที่เมื่อเขาอยู่ในศูนย์อพยพ เด็กมีเวลาว่าง เขาสามารถทำอะไรก็ได้ เช่น เล่นโทรศัพท์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ตามอิสระ
แต่สำหรับเด็กกลุ่มนี้ เราตั้งคำถามว่า จะทำอย่างไรให้เขาอยากกลับมาห้องเรียน และอยากมาใช้ชีวิตร่วมกับคุณครู”
คำตอบของคำถามนี้ ไม่ได้มาจากการบังคับหรือการเร่งรัดเนื้อหา แต่สะท้อนกลับมาจากความสัมพันธ์และประสบการณ์การเรียนรู้ที่โรงเรียนได้ร่วมสร้างกับเด็กตลอดช่วงวิกฤต
“สิ่งที่สะท้อนกลับมาคือ เด็กคิดถึงครู เด็กไม่ได้บอกว่าไม่อยากมาโรงเรียน หรือไม่อยากเจอครู แต่กลับอยากกลับมาอยู่ในห้องเรียน และอยากใช้ชีวิตร่วมกับครู”
จากจุดนี้เอง ครูแจงจึงเริ่มมองเห็นชัดเจนว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการพาเด็กก้าวผ่านโลกที่ไม่แน่นอน ไม่ใช่เพียงความรู้เชิงวิชาการ แต่คือสมรรถนะในการจัดการตนเอง
“เราจึงมองว่าสมรรถนะที่สำคัญที่สุดที่ควรจัดให้กับเด็ก คือสมรรถนะด้านการจัดการตนเอง เพราะเมื่อเด็กสามารถจัดการตนเองได้ เขาจะสามารถจัดการเรื่องอื่นๆ ได้ตามมา และเชื่อว่าสมรรถนะด้านอื่นจะพัฒนาต่อเนื่องตามไปด้วย
ทุกครั้งที่เด็กต้องไปอยู่ในศูนย์อพยพ เราพบว่าการจัดการตนเองเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก ทั้งในด้านการใช้ชีวิต สภาพจิตใจ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมถึงการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในโลกโซเชียล ซึ่งล้วนเป็นเรื่องสำคัญ”
ประสบการณ์ในศูนย์อพยพทำให้โรงเรียนเห็นชัดว่า การจัดการตนเองไม่ใช่เรื่องนามธรรม แต่เป็นทักษะที่เด็กต้องใช้จริงในชีวิต ตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวัน การดูแลสภาพจิตใจของตนเอง ไปจนถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและโลกออนไลน์
ด้วยเหตุนี้ โรงเรียนจึงไม่มองสมรรถนะการจัดการตนเองเป็นเพียงเนื้อหาในหลักสูตร แต่เป็นเป้าหมายร่วมที่ต้องปลูกฝังผ่านทุกพื้นที่การเรียนรู้ ทั้งในห้องเรียน โรงเรียน บ้าน ชุมชน และแม้แต่ในศูนย์อพยพ
“ถ้าเด็กได้รับการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการตนเองตั้งแต่ในห้องเรียน ครูทุกคนเชื่อว่าเด็กจะสามารถดูแลตัวเอง ออกแบบการใช้ชีวิต และก้าวผ่านสภาพปัญหาต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ใดก็ตาม นี่คือเป้าหมายร่วมกันของทุกคนในโรงเรียนในขณะนี้ และจะนำไปสู่การออกแบบการจัดการเรียนรู้ในศูนย์อพยพต่อไปค่ะ”
บทเรียนจากภาวะวิกฤตจึงไม่ได้จบลงเพียงการเยียวยาในระยะสั้น แต่ถูกนำมาต่อยอดเป็นทิศทางการจัดการเรียนรู้ในระยะยาว ที่โรงเรียน บ้าน และชุมชนต้องร่วมกันออกแบบ
จากพื้นที่ชายแดนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โรงเรียนบ้านปะทายจึงค่อยๆ สร้างความมั่นคงภายในใจของเด็ก ผ่านการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงชีวิตจริง ความสัมพันธ์ และสมรรถนะการจัดการตนเอง เพื่อให้เด็กสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างดี