Skip to content
ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่
Social Issues
15 December 2025

‘เรื่องในบ้าน’  เกมทางเลือกที่ชวนตั้งคำถามกับเรื่องต้องห้าม มองหาสัญญาณความรุนแรงในครอบครัวก่อนสายเกินไป

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ความรุนแรงในครอบครัวมักถูกเพิกเฉยเพราะถูกมองว่าเป็น ‘เรื่องในบ้าน’  ทำให้ทั้งผู้ถูกกระทำ ผู้เห็นเหตุการณ์ และผู้เกี่ยวข้องไม่กล้าให้หรือขอความช่วยเหลือ จนความรุนแรงสะสมและบานปลาย พื้นที่ที่ควรปลอดภัยกลับกลายเป็นแหล่งเพาะความรุนแรง
  • เว็บไซต์ Interactive ‘เรื่องในบ้าน’ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อชวนให้ฉุกคิดและเรียนรู้ผ่านสถานการณ์จำลอง ผู้ใช้งานจะเห็นผลของการตัดสินใจในแต่ละขั้น และได้สำรวจว่าอะไรคือความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ ผ่านมุมมองของทั้งผู้เผชิญเหตุและบุคคลที่สาม
  • The Potential ชวนคุยกับ ‘บิ๋ง-ภาริณ จารุทวี’ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยพระปกเกล้า และ ‘ต้า-พิมพิศา เกือบรัมย์’ ทีมงาน Newfile Studio เพื่อเรียนรู้ที่จะถอดสลักความรุนแรงเหล่านี้

ถ้าเราเห็นคนข้างบ้านทุบตีกันในครอบครัวทุกวัน เราจะทำอย่างไร?

ถ้าเราเป็นลูก แล้วเห็นพ่อแม่มีปากเสียง ทำร้ายร่างกายกัน เราจะเลือกอยู่เฉย หรือเข้าไปช่วยเหลืออย่างไร?

หรือแม้กระทั่งว่า ถ้าเราเป็นคนที่ถูกทำร้ายเองจากคนในครอบครัว เราจะทำอย่างไร?

หลายครั้งที่ความรุนแรงลักษณะนี้ถูกเพิกเฉย หรือปฏิเสธที่จะ ‘ให้’ และ ‘ขอ’ ความช่วยเหลือ เพียงเพราะคำที่ได้ยินกันบ่อยๆ ว่า ‘เรื่องในบ้าน’

พอเป็นเรื่องในบ้าน ไม่ว่าผู้ถูกกระทำ ผู้เห็นเหตุการณ์ หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง มักจะหรี่ตาข้างนึงเสมอ จนเหตุการณ์เล็กๆ บานปลาย หรือเกิดซ้ำจนยากจะแก้ไข พื้นที่ในบ้านที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย จึงแปรเปลี่ยนเป็นพื้นที่สะสมและบ่มเพาะความรุนแรงในหลายครอบครัว 

เพื่อชวนทุกคนค่อยๆ เรียนรู้ที่จะถอดสลักความรุนแรงเหล่านี้  ‘บิ๋ง-ภาริณ จารุทวี’ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยพระปกเกล้า และ ‘ต้า-พิมพิศา เกือบรัมย์’ ทีมงาน Newfile Studio ได้ร่วมกันพัฒนาเว็บไซต์ Interactive ที่ชื่อว่า ‘เรื่องในบ้าน’ โดยต่อยอดจากโปรเจกต์ ‘ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ’ เปิดให้ผู้ใช้งานได้ลองสำรวจสถานการณ์จริง และตระหนักว่าการตัดสินใจในแต่ละขั้นตอนของตัวละครส่งผลอย่างไร

เกมนี้ไม่ได้แค่เล่าเรื่องความรุนแรง แต่ชวนให้ผู้เล่นฉุกคิดว่าอะไรคือความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ และสร้างพื้นที่ให้ถามตัวเองว่า หากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับฉัน หรือคนรอบตัว จะทำอย่างไร ผ่านมุมมองของผู้เผชิญเหตุและบุคคลที่สาม ที่ช่วยให้เห็นว่าความรุนแรงไม่ได้เป็นเรื่องของคนสองคน แต่เป็นผลสะท้อนของความสัมพันธ์และพฤติกรรมรอบตัวที่ถูกมองข้าม

The Potential ชวนไปติดตามการทำงานร่วมกันของนักวิจัยและทีมสร้างสรรค์ ที่ตั้งใจให้เรื่องราวในบ้าน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บเงียบอีกต่อไป แต่เป็นประเด็นที่ทุกคนสามารถเข้าใจ มองเห็นสัญญาณ และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองได้ เพราะการฉุกคิดอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตส่วนตัวและสังคม

ทำไมสถาบันวิจัยพระปกเกล้าถึงหยิบ ประเด็น ‘เรื่องในบ้าน’ โดยเฉพาะความรุนแรงในครอบครัว มาสื่อสารต่อสังคม?

“ปกติที่สถาบันวิจัยพระปกเกล้าเนี่ย ก็มีหลายประเด็นที่เราทำกันอยู่ค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับประชาธิปไตย เรื่องรัฐสภา แล้วก็เรื่องสิทธิอะไรต่างๆ แบบนี้ ซึ่งประเด็นเรื่องความรุนแรง รวมทั้งสิทธิของสตรี หรือสิทธิของหลายๆ เพศที่ตอนนี้กำลังเติบโตขึ้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สถาบันทำงานวิจัยอยู่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นเราก็เลยคิดว่า เราจะหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาทำให้มันน่าสนใจมากขึ้นได้ไหม เพราะเดิมทีเรื่องสิทธิ เรื่องความรุนแรงในครอบครัว หรือสิทธิของผู้หญิง เราเคยทำในส่วนของ GRB ก็คือ Gender Responsive Budgeting ซึ่งจะเกี่ยวกับการทำงบประมาณเป็นหลัก แต่เราก็ค่อยๆ Spin Off ออกมาว่า เออ มันมีด้านอื่นๆ อีกไหมที่น่าสนใจบ้าง

ซึ่งเรื่องความรุนแรงในครอบครัวมันมีอยู่แล้วในสังคมไทย เราเห็นกันค่อนข้างบ่อย เห็นในข่าวเยอะมาก แต่ทีนี้เราไม่ค่อยได้มองว่าจริงๆ แล้วมันเป็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งของปัญหาที่ลึกมากๆ และเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างด้วย เพราะว่าสถาบันครอบครัวในสังคมไทยเป็นยูนิตที่เล็กที่สุดของสังคม และเป็นโครงสร้างสำคัญของประชาธิปไตยที่ดีหรือสังคมที่ดีในอนาคต เพราะฉะนั้นเราก็เลยหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพิจารณาว่า มันยังมีอะไรที่ต้องอธิบายเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า หรือมีมุมไหนที่เราต้องศึกษาเพิ่ม ก็เลยเลือกที่จะหยิบเรื่องความรุนแรงในครอบครัวมาศึกษาต่อ

โดยเรามีการลงไปสัมภาษณ์คนทำงานจริง ทั้งมูลนิธิต่างๆ คนที่ทำงานกับผู้หญิง เด็ก รวมถึงคนที่มีเพศอื่นๆ ที่ถูกทำร้ายในครอบครัวด้วย ว่าประสบการณ์ของเขาเป็นอย่างไร เขาต้องเผชิญอะไร และมีกลไกแบบไหนที่ช่วยให้เขากลับคืนสู่สังคมหรือสามารถยืนด้วยตัวเองได้บ้าง ก็จะเป็นประมาณนี้ในส่วนของงานภาคสนามค่ะ

นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลแบบสอบถามทั่วประเทศประมาณสองพันกว่าชุด พยายามลงไปสัมภาษณ์และทำงานวิจัยในหลายๆ แง่มุม รวมถึงมุมของผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ด้วย เช่น มุมของตำรวจ เราก็ไปสัมภาษณ์เหมือนกันว่าเขาจัดการเรื่องนี้อย่างไร หรือมีความเห็นอย่างไรค่ะ”  บิ๋งเล่า

คำว่า ‘เรื่องในบ้าน’ สะท้อนทัศนคติอะไรในสังคมไทย

“คำว่า ‘เรื่องในบ้าน’ เราก็จะได้ยินจากผู้ใหญ่ที่พูดบ่อยๆ ว่าอย่าเอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง เดี๋ยวเขาจะเอาไปนินทาหรือเขาจะเอาไปนู่นนี่นั่น เราก็เลยรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นคำที่กดให้ตัวเหยื่อต้องยอมทนเพราะว่าอาย เพราะว่าไม่กล้าที่จะไปบอกใครไม่กล้าที่แม้แต่จะไปเล่าให้คนอื่นฟัง ทำให้ไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง” ต้าแสดงความเห็น

“เรื่องในบ้านมันเป็นเหมือนเรื่องต้องห้าม ประมาณว่าจำเป็นไหมที่จะต้องพูดออกมา หรือบางทีสังคมไทยเรามองว่าต้องแก้ปัญหากันเองให้ได้ก่อนที่จะไปบอกใคร 

เราต้องพรีเซนต์ว่าเราคือครอบครัวที่สมบูรณ์ อาจจะเพื่อลูก หรือเพื่อตัวเองก็ได้ อาจจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งนี้มันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขาไม่กล้า ไม่ใช่แค่ไม่กล้าขอความช่วยเหลือเท่านั้นนะ แต่มันยังทำให้เขาไม่กล้าขอคำปรึกษาจากเพื่อนด้วยค่ะ ซึ่งจริงๆ ไม่จำเป็นต้องไปถึงขั้นต้องไปแจ้งตำรวจหรือต้องไปดำเนินคดี แต่คือเราควรได้มีพื้นที่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่นี่มันโอเคไหม มันถูกต้องหรือเปล่า” บิ๋งเสริม

พบประเด็นอะไรที่น่าสนใจในเรื่องความรุนแรงในครอบครัวบ้าง

“สิ่งที่เราค้นพบประเด็นแรกคือ พอเรารู้แล้วว่าความรุนแรงในครอบครัวมันมีอยู่จริง สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ หลังจากเกิดความรุนแรงขึ้นแล้ว คุณทำอะไรได้บ้าง นอกเหนือจากการโทรหาศูนย์ช่วยเหลือหรือไปหาตำรวจ ยังมีทางเลือกหรือกลไกอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่ เช่น ถ้าเป็นแม่บ้านที่อยู่กับบทบาทนั้นมาเป็นสิบปี ถ้าออกมาแล้วเขาจะทำงานอะไรต่อ เขาต้องไปที่ไหน สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแปรสำคัญมาก ที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งกล้าจะออกมา หรือไม่ออกมา และต้องอยู่กับความรุนแรงนั้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เราเห็นชัดในประเด็นแรกค่ะ

ประเด็นที่สองคือ หลายครั้งคนไม่ออกมาพูด หรือไม่เดินออกมาจากสภาพแวดล้อมแบบนั้น เพราะมีการตีตราทางสังคมว่า ครอบครัวที่ดี การเลี้ยงลูกที่ดี หรือการผลิตคนที่ดีให้กับสังคม ต้องเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน โดยที่ไม่เคยถามเลยว่า แล้วอยู่ด้วยกันแบบไหน อยู่ด้วยกันดีไหม ปลอดภัยไหม หรือมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า

ความรุนแรงที่เราศึกษามีทั้งทางเพศ ทางวาจา และทางร่างกาย ซึ่งข้อมูลจากหน่วยงานที่เราใช้ตอนแรกจะเน้นไปที่ความรุนแรงทางเพศกับทางร่างกายเป็นหลัก แต่พอเราออกไปเก็บแบบสอบถามทั่วประเทศ ผลที่ได้กลับต่างจากที่คาดไว้มากเลยค่ะ เพราะสิ่งที่คนส่วนใหญ่เจอจริงๆ คือความรุนแรงทางจิตใจและทางวาจา” บิ๋งเล่า

ทำไมถึงเลือกใช้รูปแบบการสื่อสารเป็นเว็บไซต์ Interactive แบบนี้

“ตอนแรกคือเราเห็นงานของน้องก่อน จากโปรเจกต์ ‘ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ’ แล้วก็สนใจอยากทำงานด้วย ก็เลยตามหาน้องและติดต่อไป พอโทรคุยกับน้องแล้วเขายินดีที่จะมาทำด้วย เราก็เลยเล่าให้ฟังว่ามันมีประเด็นแบบนี้นะ และเราอยากจะเล่าในระดับหนึ่งว่า ทำอย่างไรให้คนที่อ่านงานวิจัยไม่จำเป็นต้องอ่านทั้งหมด แต่เข้าใจว่า Message ของมันคืออะไร

เราอยากให้เห็นว่ามันไม่ได้มีแค่ความรุนแรง ไม่ได้มีแค่ประเด็นสิทธิหรือเรื่องกฎหมายเท่านั้น แต่มันยังมีความรู้สึกที่ผู้ประสบเหตุได้สัมผัสและเห็น แม้จะเพียงบางๆ หรือผิวเผินมากๆ แต่อย่างน้อยก็สามารถจุดประกายการสนทนาได้ ทำให้คนอ่านคิดต่อ หรือย้อนถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยเหตุนี้เราก็เลยเลือกโหมดการเล่าเรื่องที่เข้าถึงง่ายขึ้น และสามารถจุดประกายบทสนทนาให้เกิดขึ้นได้มากขึ้นค่ะ” บิ๋งกล่าว

“เราสนใจประเด็นนี้เพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เราได้ยินทั่วไป จนกลายเป็นเหมือนเรื่องปกติ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องปกติเลย มันคล้ายกับตอนทำโปรเจกต์ ‘ถึงบ้านแล้วบอกด้วยนะ’ ที่ประเด็นกลับบ้านคนเดียวอันตราย ถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นเลย

พอในโปรเจกต์นี้ เรามักมองคนที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้จากมุมของคนนอก เช่น ทำไมเขาไม่ออกมา ทำไมเขาถึงทนอยู่ในครอบครัวหรือความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ เราเลยอยากพาเข้าไปดูจริงๆ ว่าข้างในมันเกิดอะไรขึ้น เขาคิดอะไรอยู่ กระบวนการตัดสินใจของเขาเป็นอย่างไร เพราะการที่คนหนึ่งจะออกมามันไม่ได้แค่ตัดสินใจว่าเลิกแล้วจบ แต่มันมีหลายชั้น หลายเลเยอร์ที่ซ้อนกันอยู่ค่ะ” ต้าเสริม

กว่าจะออกมาเป็นเกม ‘เรื่องในบ้าน’ มีการทำงานอย่างไร

“ในกระบวนการทำงานของเรา ก็จะได้ตัวเล่มวิจัยเวอร์ชันแรกมา พอเริ่มอ่านเปเปอร์แล้ว เราก็ลองวางโครงเรื่องคร่าวๆ ว่าจะเล่ายังไง เพราะตอนแรกข้อมูลมันยังดิบอยู่ เลยได้ออกมาเป็นแนวว่าอยากเล่าเรื่องผู้หญิงที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ และอยากไกด์ให้เห็นว่าชีวิตมีทางออกอื่น นอกจากการไปแจ้งตำรวจ ยังมีหน่วยงานอีกหลายแห่งที่สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ นี่คือโจทย์ตั้งต้น

พอคิดว่าอยากสื่อสารให้เขาเข้าถึงได้ เราก็รู้สึกว่าต้องทำให้เขาไว้วางใจ ก่อน เลยลองเล่าเรื่องจากมุมมองของเขา ให้เวลาเริ่มเล่นแล้วรู้สึกว่าไม่ได้ถูกสั่งสอน ไม่ได้ถูกตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นการชวนให้เห็นว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ปกติ ลองขอความช่วยเหลือจากใครสักคนไหม ซึ่งเราก็สอดแทรกไว้ในเนื้อเรื่องด้วย” ต้าเล่า

“ส่วนฝั่งทีมวิจัยก็มีถามน้องหลังจากส่งเล่มไปให้อ่านว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะคนทำ คนเขียน ทั้งทีมอยู่กับเล่มนี้มานานมาก จนบางทีเราไม่แน่ใจว่าประเด็นไหนจะน่าสนใจสำหรับคนทั่วไปในสังคม พอน้องพลิกประเด็นขึ้นมา เราก็เห็นด้วยทันที

เราก็เล่าเรื่องจากสิ่งที่น้องสะท้อนกลับมา ว่าเราอยากเล่าเรื่องของเหยื่อ และของบุคคลที่สามที่อยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย เพราะไอเดียของบุคคลที่สามไม่ได้มีแค่เรื่องการตีตราทางสังคมอย่างเดียว แต่ต้องคิดด้วยว่าเราจะทำยังไงให้ Key Message ของเรายังไปถึงผู้คน โดยไม่ทำให้เนื้อหาดูรุนแรงเกินไป และไม่ไปพาดพิงใครโดยตรง แต่สุดท้ายมันยังสามารถจุดประกายการสนทนาในสังคมได้ ซึ่งบางคนอาจเคยเจอ บางคนอาจไม่เคยเจอ

เพราะผลจากแบบสอบถามที่เราไปทำมา บางครอบครัวเจอปัญหาเหล่านี้แบบตรงๆ ในพื้นที่ของตัวเองเลย และบางครอบครัวก็ไม่เคยเจอเลย เพราะฉะนั้นเรามองว่า สิ่งที่เราพยายามทำคือคิดว่าทำยังไงให้เราใช้ผลการวิจัยได้คุ้มค่าที่สุด ให้มันไปได้ไกลที่สุดค่ะ” บิ๋งเล่า

เกมทางเลือกนี้สามารถทำให้คนเล่น ‘ฉุกคิด’ ต่อสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวได้อย่างไร?

“จริงๆ ในเกมมันพูดแค่ผิวๆ มาก และแน่นอนว่าเวลาเจอสถานการณ์จริง เขาอาจจะเลือกไม่เหมือนในเกมอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยเราอยากให้ทุกคนเกิดความตระหนักกับช้อยส์ที่เลือกในชีวิตจริง เพราะมันเกี่ยวข้องกับคนอื่น เพราะจุดมุ่งหมายหลักๆ อยากให้คนเกิดการคิดและตระหนักต่อปัญหา” บิ๋งกล่าว

“แต่ด้วยความที่เป็นเกมทางเลือก คนเล่นจะเลือกได้ตามที่ตัวเองคิด ทำให้แต่ละคนได้เส้นเรื่องไม่เหมือนกัน อันนี้มันสะท้อนกลับไปที่คนเล่นว่า ทำไมฉันถึงเลือกทางนี้ เพราะอะไร แล้วทำไมตัวละครถึงต้องจบแบบนั้น เพราะอะไร หลายคนเล่นครั้งแรกก็คิดว่า ก็แจ้งตำรวจสิ ก็จบแล้ว เลยแทบไม่ไปถึงจุดที่มันพีคและ sensitive มากๆ เราเลยใช้ตรงนี้ดึงดูดให้เขาสนใจเพิ่มขึ้น สมมติไปเห็นคนอื่นเล่นแล้วบอกว่า เขาเจอแบบนั้นแบบนี้ แต่ของตัวเองกลับรอดง่ายๆ ก็อาจอยากรู้ว่าทำไมมันต่างกัน แล้วถ้าเลือกอีกแบบมันจะเป็นยังไง

เราตั้งใจสื่อสารทั้งกับเหยื่อและคนทั่วไป คนทั่วไปอาจคิดว่า แค่เดินออกมาก็จบแล้ว แต่พอเห็นช้อยส์อื่นที่ต้องคิด ต้องลังเล ก็จะรู้ว่าความจริงไม่ได้ง่ายแบบนั้น ส่วนเหยื่อเองก็จะมีความลังเลอยู่แล้ว เช่น ถ้าฉันเลิกกับสามีแล้วลูกจะทำยังไง เงินจะมาจากไหน มันไม่ใช่แค่เลิกก็จบ หรือเวลาเพื่อนมาปรึกษา เราอาจปล่อย คิดว่าเดี๋ยวเขาก็ดีกันเอง แต่พอมาอยู่ในเกม มันทำให้เราฉุกใจว่า ถ้ารอบนี้เราปล่อย แล้วมันจะลงเอยเหมือนในเกมไหม หรือจริงๆ ถ้าเรารับฟังมากขึ้น ค่อยๆ ช่วย คอยอยู่ข้างๆ เพราะเหยื่อต้องสร้างความเชื่อมั่นก่อน ถึงจะออกมาได้ เราอาจช่วยให้มันดีขึ้นก็ได้” ต้าเล่า

ทำไมการตั้งคำถามกับคำว่า ‘เรื่องในบ้าน’ จึงสำคัญ และเราควรสังเกตสัญญาณความรุนแรงในความสัมพันธ์อย่างไร

“บางทีคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ เขาอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันดีหรือไม่ดี เพราะเขาอยู่กับมันจนชิน ชินที่หนึ่งคือชินกับพฤติกรรมเหล่านั้น ชินที่สองคือชินกับการคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องปกติของทุกบ้านก็ได้

เราอาจมองว่า การเกิดความรุนแรงเล็กๆ น้อยๆ มันแค่นิดเดียว ที่อยากชวนตั้งคำถามคือ แค่ไหนถึงโอเค แค่สะกิด แค่ตี แค่นี้เรียกว่าทำร้ายไหม รวมทั้งมีอีกหลายบ้านมากๆ ที่มีความคิดว่า ทนอีกหน่อยก็ได้ ทนเพราะรัก ทนเพราะลูก หรือทนเพราะมันก็แค่นิดเดียวน่ะ มันทนได้ 

ที่เป็นแบบนี้เพราะเราไม่รู้เลยว่าคนอื่นเขาใช้ชีวิตกันยังไง เขาปฏิบัติต่อกันแบบไหน ก็เลยไม่รู้ว่าที่กำลังเจออยู่มันปกติจริงไหม ทีนี้พอมีความคิดแบบนี้ปุ๊บ มันทำให้เรายิ่งไม่กล้าถามใคร ไม่กล้าบอกใครว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันดีหรือไม่ดี มันถูกหรือผิด หรือเราควรทำยังไงต่อ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องปรึกษาคนอื่นทุกเรื่องนะ เข้าใจว่ามันคือเรื่องของคนสองคน แต่อย่างน้อยการที่เราพอจะบอกได้หรือจับสังเกตได้ ว่ามันมีจุดที่ดีกรีมันเริ่มจะผิดปกติ เริ่มจะน่าเอะใจแล้ว อันนี้สำคัญ แต่ทั้งหมดแล้ว เรื่องในบ้านของแต่ละคนนั้นก็ไม่เหมือนกัน

พี่ๆ เจ้าหน้าที่ที่เราเคยสัมภาษณ์หลายคนก็เล่าเหมือนกันว่า หลายครั้งพวกเขายังไม่เข้าไปช่วยทันที เพราะมองว่าสถานการณ์แบบนี้คู่สามีภรรยาเขาทะเลาะกันเป็นปกติ ดีกรีมันก็อยู่ประมาณนี้อยู่แล้ว เดี๋ยวอีกแป๊บเขาก็ดีกัน แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ความจริงแล้วเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมากกว่าที่เราคิด และเกิดเรื่อยๆ  ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่นะ แม้แต่ในชุมชนเอง คนข้างบ้านก็มีแนวคิดคล้ายกัน คือมองว่า เป็นเรื่องของผัวเมีย เขาจัดการกันเองแหละ ทั้งที่อยู่บ้านติดกัน จะให้ไม่รู้เลยว่าเขาทะเลาะกันเสียงดังแค่ไหนก็ไม่น่าเป็นไปได้ แต่สุดท้ายคนก็มักจะเลือกไม่ยุ่ง เพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว พอเป็นแบบนี้เลยเลือกที่จะปล่อยไว้ก่อน คิดว่าถ้ารุนแรงจริงๆ เดี๋ยวเหยื่อก็จะออกมาขอความช่วยเหลือเอง

ซึ่งสิ่งนี้แหละที่ทำให้เราอยากใส่มุมมองของบุคคลที่สามลงไปด้วย เพราะคำถามสำคัญคือ ในฐานะคนเห็นเหตุการณ์ เราควรปล่อยไปถึงระดับไหน เพราะจากหลายเคสที่คุยมา มันเกือบช่วยไม่ทัน และมันก็น่าเสียดายมาก ที่หลายครั้งคนรอบข้างเลือกปล่อย เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องของเขา

สิ่งที่เราอยากให้คนในสังคมลองคิดคือ จริงๆ แล้วอะไรที่เรียกว่าปกติในความสัมพันธ์ อะไรที่รับได้หรือควรจะเป็นกันแน่ ไม่ใช่ว่าเพียงเพราะคุ้นชินหรือเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย เราก็ปล่อยให้มันผ่านไป” บิ๋งกล่าว

สุดท้ายอยากให้สังคมตระหนักเรื่อง ‘ความรุนแรงในบ้าน’ แบบไหน และอะไรคือสิ่งสำคัญที่ไม่ควรปล่อยผ่าน

“หลายคนอาจจะมองว่าแค่ตีเบาๆ นิดเดียว ทะเลาะกันเสียงดังบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดาของคู่รัก แต่จากที่เราไปเก็บข้อมูลมา มันไม่ใช่แค่นั้นเลย เพราะความรุนแรงมันไม่ได้มีแค่ทางร่างกาย มันมีทั้งคำพูด การควบคุม หรือการทำให้รู้สึกผิด ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อใจเหมือนกัน 

เราเลยอยากให้คนได้ลองตั้งคำถามว่า ระดับไหนที่มันเริ่มไม่โอเค และระดับไหนที่มันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบสุขภาพดีจริงๆ เพราะสัญญาณของ Toxic Relationship มันเป็นสิ่งที่บอกอะไรหลายอย่าง การทำร้ายร่างกายกันเป็นปลายเหตุมากๆ จริงๆ สัญญาณมันควรดังมาตั้งแต่ก่อนที่จะลงมือแล้วด้วยซ้ำ

หลักๆ เราอยากให้มันเปิดประเด็นให้คนได้คุยกันในเรื่องนี้มากขึ้น ให้คนรู้ว่าถ้าเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นเขาควรจะต้องไปขอความช่วยเหลือจากที่ไหน รู้ว่ามีช่องทางอะไรบ้าง และตระหนักได้ว่าเรื่องการทำร้ายร่างกายหรือความรุนแรงมันไม่ใช่ต้นตอของปัญหา แต่มันเป็นเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง เป็นสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นทัศนคติของแต่ละบ้านด้วยว่าแต่ละบ้านเลี้ยงลูกให้ชินกับอะไร ชินกับความท็อกซิกหรือเปล่า” บิ๋งเล่า

“ในเกมเราก็มีแทรกพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นพวก Red Flag ไว้ตลอดทาง เช่น การตามติดกันด้วยการเปิด GPS เช็กตลอดเวลา หรือการระแวงว่าฝ่ายตรงข้ามจะไปหาชู้ ทั้งที่มันไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้หลายคนน่าจะคุ้นหรือเคยได้ยินมาอยู่แล้ว อย่างแฟนขี้หึงมากๆ ไม่ให้ไปไหนกับเพื่อนผู้ชาย ไปเที่ยวก็ไม่ได้ ออกไปข้างนอกก็ห้าม เราเลยพยายามสอดแทรกตัวอย่างพวกนี้ลงไปในเส้นเรื่อง เพื่อให้เห็นว่าจริงๆ แล้วมันเป็นสัญญาณที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงที่หนักขึ้นได้ ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ อย่างที่หลายคนคิด  ซึ่งแม้อาจจะไม่ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย แต่นี่ก็เรียกว่าเป็นการ Abuse (การคุกคาม) ในรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ Healthy

อย่างในเกมจะมีพวกอินโฟกราฟิกแทรกไว้ด้วย แล้วก็มีข้อมูลเกี่ยวกับการขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิหรือหน่วยงานต่างๆ เพราะบางคนโดนทำร้ายร่างกายแต่ไม่กล้าไปแจ้งตำรวจ คิดว่าไปแจ้งแล้วเขาก็ไม่สนใจ เหมือนเป็นเรื่องผัวเมีย เดี๋ยวก็โดนไล่ให้กลับไปเคลียร์กันเอง แล้วสุดท้ายพอกลับไปก็โดนซ้อมหนักกว่าเดิมอีก เราก็เลยอยากให้เห็นว่ามันมีทางเลือกอื่นนะ อย่างเช่นการทักไลน์ไปปรึกษาก่อนก็ได้ แค่ทักไประบายหรือเล่าว่าโดนอะไรมา ไม่จำเป็นต้องไปถึงขั้นดำเนินคดีทันที แต่อาจเริ่มจากการคุยกับใครสักคนก่อนก็ได้ค่ะ” ต้าส่งท้าย

หากเรื่องราวเหล่านี้ทำให้คุณเริ่มตั้งคำถามกับความสัมพันธ์รอบตัว เว็บไซต์ Interactive ‘เรื่องในบ้าน (Behind Closed Doors)‘ อาจเป็นอีกพื้นที่หนึ่งให้ได้ลองคิดและสำรวจด้วยตัวเอง https://behindcloseddoor.kpi.ac.th

Tags:

ครอบครัวความรุนแรงในครอบครัวเรื่องในบ้านสังคมไทย

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Book
    ในสวนลับ: เมื่อความหวังผลิบาน ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ

    เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี

  • Movie
    ชีวิตในมุมอับของคำว่า ‘ครอบครัว’: แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่างเรา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear Parents
    ไม่ต้องรักลูกทุกคนเท่ากันก็ได้ แต่อย่าใจร้ายกับลูกคนไหนเลย

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    A Little girl’s Dream (2014) : การเติบโตของโทโทมิกับครอบครัวที่ไม่ใจร้าย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    The King of Staten Island: บางทีชีวิตมันก็ ‘อิหยังวะ’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel