- บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย
ตอนที่ 12 เสนอข้อตีความจากบทสุดท้าย Epilogue : Going the Distance
สรุปอย่างสั้นที่สุดได้ว่า ชีวิตเป็นการเดินทางไกล ที่ต้องผ่านประสบการณ์ทั้งที่ราบรื่นและลุ่มๆ ดอนๆ รวมทั้งบางช่วงที่ยากแค้นแสนสาหัส คนที่มีพลังทักษะเชิงลักษณะนิสัยที่แข็งแรง จะฟันฝ่าความยากลำบากเหล่านั้น สู่ชีวิตที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้
ตอนที่ 12 นี้ เดินเรื่องด้วยประวัติชีวิตของผู้เขียน คือ Adam Grant เอง ที่ตอนเป็นเด็กอยู่ที่นอกเมืองดีทรอยท์ รัฐมิชิแกน เรียนหนังสือเก่ง เมื่อลองสมัครเข้าเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก็ประสบความสำเร็จ เพราะสร้างความประทับใจให้แก่ศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์ จากการเป็นนักเรียนรู้ด้วยตนเองของท่านตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก ส่อความมีทักษะเชิงลักษณะนิสัย แต่เมื่อเข้าไปแล้วก็ต้องเอาชนะความยากลำบากในการเรียน
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
คนที่มีความฝันมักถูกเยาะเย้ย ดังเพลงพระราชนิพนธ์ ความฝันอันสูงสุด แต่งานวิจัยทางจิตวิทยายืนยันว่า ความฝันหรือจินตนาการเป็นพลังดึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นออกมากระทำการยามเผชิญอุปสรรคความยากลำบาก เป็นผลงานวิจัยจากชีวิตจริงของคนจำนวนมากน่าเชื่อถือ ว่าคนมีความฝันประสบความสำเร็จในชีวิตสูงกว่าคนไม่มี
เอาชนะโรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง
Adam Grant บอกว่า แม้จะได้รับเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยทุนช่วยเหลือส่วนหนึ่ง ตนก็ยังเป็นโรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง (Impostor Syndrome) ยังสงสัยความสามารถของตนเอง โดยพบว่าเพื่อนๆ ที่เข้าเรียนปี 1 ด้วยกันที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แบ่งได้เป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่คิดหรือมั่นใจว่าตัวเองเก่ง กับกลุ่มที่ไม่มั่นใจว่าตัวเองเก่งจริง ตัวเขาเองอยู่ในกลุ่มนี้
ซึ่งหมายความว่า เขาต้องการหลักฐานว่าเขาเก่งจริงหรือไม่ โดยในสัปดาห์แรกที่มหาวิทยาลัย ก่อนเปิดเรียน นักศึกษาใหม่ทุกคนต้องสอบเขียนเรียงความ เพื่อแบ่งกลุ่มเข้าเรียน พี่ๆ ปีสองปลอบใจว่า คนสอบตกมีแต่คนต่างชาติที่ภาษาอังกฤษไม่แข็ง หรือคนที่แย่จริงๆ เท่านั้น คนที่สอบตกต้องใช้เวลา 1 เทอม เรียนซ่อมวิชาเขียนเรียงความ (Remedial Writing)
สองสามวันหลังสอบ ผลสอบเรียงความออกมาว่า เขาสอบตก เป็นหลักฐานยืนยันว่าเขาไม่เก่ง
เขาไปขอปรึกษาเจ้าหน้าที่ของศูนย์การเขียน และได้รับคำแนะนำให้ยอมเสียเวลาเรียนฝึกการเขียนซ่อม เพราะที่ผ่านมา นักศึกษาที่ทดสอบด้านการเขียนไม่ผ่านและไม่เรียนซ่อม มักสอบได้เกรดอย่างสูงก็ B หรือไม่ก็ C ไปเลย แต่ก็เป็นเรื่องที่นักศึกษาต้องตัดสินใจเอง ไม่มีข้อกำหนดตายตัวว่าต้องเรียนซ่อม โดยเขาช่วยอ่านเรียงความของนักศึกษา Adam Grant อีกครั้ง และบอกว่า เขียนคลุมเครือมาก หากไม่เรียนซ่อม ผลการเรียนน่าจะได้ C
เป็นความท้าทายด่านแรกของการเข้าเรียนที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งต่อมาจะพบว่าแก้ได้ด้วยกระบวนทัศน์พัฒนา (Growth Mindset)
เข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ด้วยการแสดงความสามารถและแรงจูงใจต่อการเรียน
นักศึกษา Adam Grant สงสัยมากว่าทำไมฮาร์วาร์ดจึงรับเขาเข้าเรียน สอบถามศิษย์เก่าฮาร์วาร์ดที่สอบสัมภาษณ์เขาก็ได้รับคำตอบว่าตนไม่ได้เป็นกรรมการตัดสิน แต่ก็ได้รายงานความประทับใจจากการสัมภาษณ์ไปยังคณะกรรมการ
การสัมภาษณ์ตามปกติกำหนดไว้ 1 ชั่วโมง แต่การสัมภาษณ์ Adam Grant ใช้เวลา 3 ชั่วโมง เพราะเมื่อผู้สัมภาษณ์ถามเรื่องความสนใจและงานอดิเรก และ Adam Grant ตอบว่าตนสนใจแสดงมายากล ถามต่อว่าชอบมายากลชิ้นไหนมากที่สุด Adam Grant เอาสำรับไพ่มาแสดงให้ดู ถามว่าใช้ไพ่สำรับอื่นได้ไหม แล้วไปหาไพ่จากเจ้าหน้าที่ในสำนักงานมาให้แสดงให้ดู คำถามสำคัญคือ เรียนมาอย่างไร Adam Grant ตอบว่าเรียนจากทีวีเมื่ออายุ 12 ขวบ แล้วเอามาปรับให้เป็นมายากลฉบับของตนเอง
หลังจากนั้นอีกนานหลายปี ศิษย์เก่าฮาร์วาร์ดท่านนั้นบอก Adam Grant ว่า เขารายงานผลการสัมภาษณ์ไปว่า เขาประทับใจความรักเรียนของ Adam Grant และความกล้าที่จะแสดงมายากลให้ชมในทันที
Adam Grant อธิบายว่า ตนเองมาเข้าใจหลังจากเป็นนักจิตวิทยาองค์กร (Organizational Psychologist) แล้ว ว่าในการสัมภาษณ์ ตนได้แสดง ‘ตัวอย่างผลงาน’ (Work Sample) ให้เป็นที่ประจักษ์ ว่าตนเองมีแรงจูงใจและความสามารถต่อการเรียน ซึ่งเป็นทักษะเชิงลักษณะนิสัยที่สำคัญ
ผ่านด่านการทดสอบเขียนเรียงความ
Adam Grant สอบเขียนเรียงความตก ไม่ใช่การตัดสินว่าเขาเป็นนักเขียนไม่ได้ ในที่สุดเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ผลสอบครั้งเดียวไม่ใช่ตัวตัดสินอนาคตของเขา
เขาตัดสินใจเดินหน้าเรียนวิชาสัมมนาด้านการเขียน (Writing Seminar) โดยไม่เข้าเรียนซ่อมวิชาเขียนเรียงความ เขาตั้งหน้าตั้งตาเรียนและรับคำแนะนำป้อนกลับจากอาจารย์มาแก้ไขปรับปรุงตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า จนเมื่อผลสอบปลายเทอมออกมา เขาได้เกรด A
โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง (Impostor Syndrome) เมื่อผสมกับกระบวนทัศน์พัฒนา (Growth Mindset) เชื่อมั่นว่าตนเรียนรู้ได้ สร้างแรงขับดันให้เกิดความมานะพยายาม ฐานของทักษะเชิงลักษณะนิสัยด้าน พฤติกรรมเชิงรุก (Proactive) มีวินัย (Disciplined) และตั้งจิตมั่น (Determined) ช่วยให้เขาเอาชนะอุปสรรคเรื่องเขียนไม่เก่งได้
เวลานี้เขาเป็นนักเขียน ที่หนังสือของเขาติดอันดับ Best Sellers แต่ก็มีเรื่องราวของความอ่อนแอที่เขาต้องก้าวข้าม
เริ่มชีวิตนักเขียน
สมัยเป็นนักศึกษา Adam Grant ชอบหนังสือบางเล่ม และใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งตนจะเขียนหนังสือคุณภาพดีเช่นนั้นบ้าง แต่ชีวิตนักวิชาการ ทำให้เขาต้องทำงานวิจัย และเขียนรายงานผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ เพื่อไต่บันไดชีวิตนักวิชาการ จนในที่สุดได้เป็นศาสตราจารย์ที่ Wharton School มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ความคิดที่จะเขียนหนังสือเผยแพร่ความรู้ในสังคมวงกว้าง ที่กว้างกว่าวงวิชาการก็หวนกลับมา
ในช่วงนั้น อาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งกำลังจะเขียนหนังสือ และชวนศาสตราจารย์ Adam Grant ให้ร่วมเขียน แต่ก็มีลูกศิษย์ค้านว่า ไม่ควรเป็นเพียงผู้เขียนร่วม ที่เป็นการทำตามความฝันของคนอื่น ควรทำตามความฝันของตัวเอง โดยเขียนเองเลยดีกว่า ซึ่งเขาก็เห็นด้วย และปรึกษาเรื่องการเขียนหนังสือตามที่คิดไว้กับผู้ประกอบอาชีพที่ปรึกษาการเขียนหนังสือ ในที่สุดก็ถึงเวลาเขียน เขาใช้เวลา 2 เดือน เขียนร่างหนังสือทั้งเล่ม ยาวกว่า 1 แสนคำ ส่งให้ที่ปรึกษาด้านการเขียน ได้รับคำตอบว่า ใช้ไม่ได้ ไม่สนุก อ่านแล้วน่าเบื่อ เพราะเป็นวิชาการมากไป
เป็นสภาพที่ชวนหมดกำลังใจ อุปสรรคที่ต้องฟันฝ่ามาอีกแล้ว เป็นศาสตราจารย์ไม่ได้หมายความว่าจะเก่งไปทุกเรื่อง เขียนบทความวิจัยหรือวิชาการเก่ง ไม่ได้แปลว่าจะเขียนหนังสือเก่ง
ที่ปรึกษาการเขียนให้กำลังใจว่า เขาเขียนหนังสือได้แน่ๆ เพียงแต่ต้องเขียนด้ายภาษาและท่วงทีคล้ายตอนสอนนักศึกษา ไม่ใช่เหมือนตอนเขียนบทความวิชาการ ทักษะเชิงลักษณะนิสัยด้าน พฤติกรรมเชิงรุก (Proactive) ช่วยให้เขาได้ที่ปรึกษาเป็นโค้ช
ร้อยละ 98 ของต้นฉบับเดิมถูกตัดทิ้งไป และเขียนใหม่ด้วยภาษาพูด ภาษาของคนธรรมดา ไม่ใช่ภาษาวิชาการ ผลสำเร็จในการเขียนหนังสือ ช่วยให้เขาทำความเข้าใจโรคคิดว่าตัวเองไม่เก่งเสียใหม่
โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่งเป็นสัญญาณของพลังที่ซ่อนเร้น
ชีวิตคนเป็นการเดินทางไกล หัวใจของความเจริญก้าวหน้าไม่ใช่การสร้างอาชีพ (Career) แต่เป็นการสร้างลักษณะนิสัย (Characters)
ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่การบรรลุเป้าหมาย แต่เป็นการธำรงคุณค่าที่เรายึดถือ ไม่มีคุณค่าใดที่สูงส่งกว่าการมีความทะเยอทะยานในการทำให้วันพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้ ไม่มีความสำเร็จใดยิ่งใหญ่กว่าความสำเร็จในการดึงพลังที่ซ่อนเร้นของตนเองออกมา
สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP11 ได้ที่นี่
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP9: โรงเรียนปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียน
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP10: ปลุกพลังซ่อนเร้นกลุ่ม
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP11: คัดเลือกเข้างานหรือเข้าเรียนโดยเน้นผลงานในอนาคต