- วรรณกรรมแบบคาฟคาเอสก์ (Kafkaesque) ซึ่งมีรากมาจากงานของ ฟรันซ์ คาฟคา (Franz Kafka) ผู้รังสรรค์วรรณกรรมแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร คือวรรณกรรมที่นำเสนอโลกอันไร้เหตุผล เต็มไปด้วยอำนาจที่กดทับมนุษย์ จนผู้อ่านรู้สึกอึดอัด สับสน และเหมือนติดอยู่ในระบบที่ไม่เห็นค่าความเป็นคน
- คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์คาฟคาเอสก์ จะเหมือนถูกบั่นทอนหรือกัดกร่อนความเป็นคนลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นแค่ฟันเฟืองตัวหนึ่งในระบบที่ล้มเหลว หรือที่แย่ที่สุด ก็คือ กลายเป็นแมลงที่ต่ำต้อยด้อยค่าในสายตามนุษย์
- งานเขียนที่โดดเด่นที่สุดของเขา ก็คือ เมตามอร์โฟซิส (Metamorphosis) เล่าเรื่องราวผ่าน ‘ซามซา’ ผู้ถูกกดทับจนสูญเสียความเป็นคนและกลายร่างเป็นแมลง ก่อนสุดท้ายจะดับสูญอย่างเงียบงัน แต่คาฟกายังซ่อนประกายความหวังเล็กๆ ว่ามนุษย์อาจหาทางยืนหยัดท่ามกลางโลกที่กดทับเราได้
ในโลกของหนังสือ มีนักเขียนจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น มีสไตล์การเขียนที่เป็นลายเซ็นของตัวเองอย่างชัดเจน ชนิดที่ว่า พอนักอ่านหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ก็สามารถบอกได้เลยว่า นี่คืองานเขียนของใคร
แต่มีนักเขียนน้อยคนนัก ที่งานเขียนของเขา มีความเป็นเอกลักษณ์ชัดเจนถึงขนาดที่ว่า ไม่สามารถหาคำนิยามให้กับงานเขียนประเภทนี้ได้ จนถึงขั้นต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาเรียกสไตล์การเขียนของเขา
ครับ ผมกำลังพูดถึงนักเขียนวรรณกรรมชาวเช็คเชื้อสายยิว ฟรันซ์ คาฟคา (Franz Kafka) ผู้รังสรรค์งานเขียนที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ที่มีส่วนผสมของความแฟนตาซี ความรันทดหม่นหมอง บรรยากาศที่ปะปนระหว่างความสมจริง ความเหนือจริง รวมถึงด้านมืดที่ลึกสุดหยั่งของจิตใจคน
สภาวะที่ตัวละครในงานเขียนของคาฟคา ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เลวร้ายซ้ำๆ โดยไม่มีทางออก ไม่สามารถแก้ไขได้ ตกอยู่ภายใต้ผู้มีอำนาจเหนือกว่า และเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล ในโลกที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดพิลึกพิลั่น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาคำศัพท์เฉพาะเจาะจงมาใช้อธิบายได้ จึงเรียกกันว่า คาฟคาเอสก์ (Kafkaesque)
คาฟคาเอสก์ จึงกลายเป็นคำศัพท์ใหม่ที่มีความหมายว่า สถานการณ์หรือบรรยากาศที่เหมือนตกอยู่ในโลกของคาฟคา คือ โลกที่เต็มไปด้วยความสับสน ไร้เหตุผล ถูกกดทับโดยระบบที่มีอำนาจหรือสถานะเหนือกว่า เหมือนฝันร้ายที่ไร้ทางออก
และที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ก็คือ คาฟคาเอสก์ ไม่ได้มีแค่ในงานวรรณกรรมของคาฟคา แต่ถูกนำมาเรียกใช้ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น นายสมพล ไปติดต่องานราชการที่ต้องกรอกเอกสารทั้งหมด 10 ชุด สุดท้าย งานเอกสารที่นายสมพลใช้เวลานานกว่าจะกรอกเสร็จหมด ถูกตีกลับเพราะใช้ปากกาผิดสี
หรือ คุณต้องการเปิดร้านกาแฟแบบสแตนด์อโลน ซึ่งมีการออกแบบโดยสถาปนิก และมีวิศวกรเซ็นเรียบร้อย แต่จำเป็นต้องยื่นขออนุญาตก่อสร้างจากทางการ แต่พอคุณไปติดต่อเจ้าหน้าที่ 3 คน แต่ละคนกลับให้ข้อมูลไม่ตรงกัน เมื่อคุณทำตามคำบอกของเจ้าหน้าที่คนแรก คุณจะพบว่า เจ้าหน้าที่คนที่สองบอกว่า แบบนี้ผิดระเบียบ ขณะที่เจ้าหน้าที่คนที่สาม กล่าวว่า ทุกอย่างสามารถทำได้ แต่ระบบยังไม่รองรับ คุณจำเป็นต้องรอต่อไปจนกว่าจะมีการพัฒนาระบบที่รองรับเรื่องนี้ได้
สังเกตเห็นมั้ยครับว่า ตัวอย่างในความเป็นจริงที่ยกมา มีจุดที่เหมือนกันหลายอย่าง โดยเฉพาะระบบที่มีอำนาจเหนือกว่า ส่วนใหญ่จะหมายถึงระบบราชการ แต่จริงๆ แล้ว อาจรวมถึงอำนาจทุกรูปแบบที่เหนือกว่า เช่น พ่อที่มักใช้อำนาจควบคุมลูก หรือผู้ชายที่มักใช้อำนาจควบคุมหญิงคนรัก
ภาวะการถูกกดทับโดยอำนาจที่เหนือกว่า จะทำให้ผู้ตกอยู่ในสถานการณ์คาฟคาเอสก์ รู้สึกสับลน ไม่สบายใจ เพราะไม่รู้แน่ชัดว่า ตัวเองทำผิดอะไร และเมื่อพยายามค้นหาคำตอบ กลับไม่เคยได้รับสิ่งนั้นกลับมา จนเหมือนคนๆ นั้น ตกอยู่ในเขาวงกตที่หาทางออกไม่ได้
สุดท้าย คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์คาฟคาเอสก์ จะเหมือนถูกบั่นทอนหรือกัดกร่อนความเป็นคนลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นแค่ฟันเฟืองตัวหนึ่งในระบบที่ล้มเหลว หรือที่แย่ที่สุด ก็คือ กลายเป็นแมลงที่ต่ำต้อยด้อยค่าในสายตามนุษย์
งานเขียนของคาฟคา ที่บ่งบอกสถานการณ์คาฟคาเอสก์ได้ชัดเจนที่สุด และเป็นงานเขียนที่โดดเด่นที่สุดของเขา ก็คือ เมตามอร์โฟซิส (Metamorphosis) หรือในบางสำนวนแปลไทย ตั้งชื่อว่า ‘กลาย’ ซึ่งก็ให้ความหมายที่ตรงกับชื่อในภาษาอังกฤษ
“เช้าวันหนึ่ง เมื่อเกรกอร์ ซามซา ตื่นขึ้นมาจากความฝันอันสับสน เขาพบว่าตนเองได้กลายเป็นแมลงยักษ์ไปเสียแล้ว”
เพียงแค่ประโยคแรกของเรื่องสั้นขนาดยาวเรื่องนี้ ก็ทำให้รู้ได้เลยว่า เรากำลังอ่านงานเขียนที่แสนจะแปลกประหลาด อย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
ก่อนหน้าจะ ‘กลาย’ เป็นแมลง ซามซา คือชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ต่างจากมนุษย์งานที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกสมัยใหม่ งานของซามซาคือ นักเดินตลาด (ตามสำนวนแปลของ ถนอมนวล โอเจริญ) ซึ่งเข้าใจว่า คือ พนักงานขายที่ต้องเดินทางไปเจาะตลาดใหม่ตามเมืองต่างๆ
ซามซาเกลียดงานนี้ แต่เขาจำเป็นต้องทำ เพราะเขาคือเสาหลักของครอบครัว คอยหาเงินใช้หนี้ที่พ่อของเขาก่อ รวมทั้งคอยเลี้ยงดูทุกคนในครอบครัว อันประกอบด้วย พ่อ ผู้มักจะแสดงอำนาจควบคุมเขาอยู่เสมอ แม่ ผู้ใจดีแต่ไม่มีบทบาทใดๆ ในบ้าน และ น้องสาว สมาชิกในครอบครัวที่เขารักมากที่สุด
อาจกล่าวได้ว่า ครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้องสาว คือสิ่งยึดเหนี่ยวที่ทำให้ซามซา ยังมีความเป็นคนเหลืออยู่ (ไม่ได้กลายเป็นแค่ ฟันเฟือง ตัวหนึ่งในระบบการทำงานที่เต็มไปด้วยอำนาจกดทับ และไม่มีใครเห็นคุณค่า)
ในตอนแรกที่กลายเป็นแมลง ซามซายังมีความคิดที่จะไปทำงาน แต่ด้วยความไม่คุ้นชินกับร่างกายของตัวเอง เขาไม่สามารถแม้แต่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูห้อง ขณะที่พ่อและแม่พากันส่งเสียงตะโกนเร่งให้เขาออกไปทำงาน (เพื่อหาเงินมาให้ครอบครัว)
หลังจากที่ทุกคนในบ้าน รวมถึงผู้จัดการบริษัท ที่มาตามตัวเขาไปทำงานถึงบ้าน ได้รู้ว่า ซามซา ที่เป็น ‘มนุษย์งาน’ ได้ ‘กลาย’ เป็น ‘แมลง’ ไปแล้ว คุณค่าความเป็นคนของซามซาก็แทบจะเลือนหายไปในทันที พ่อและแม่ แสดงท่าทีรังเกียจเขาอย่างชัดเจน มีเพียงน้องสาวที่ยังเอาชนะความกลัว ส่งอาหารเข้ามาให้เขาถึงในห้อง รวมถึงคอยทำความสะอาดห้องที่เขาอยู่
ทว่า ยิ่งเวลาผ่านไป ทุกคนเริ่มยอมรับแล้วว่า ไม่มีทางที่ซามซาจะกลับมาเป็นคนได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น แมลงที่เคยเป็นซามซา ยังกลายเป็นสิ่งบั่นทอนความสุข (ที่ปกติก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว) ให้ยิ่งลดน้อยลงไปอีก รวมทั้งยังทำลายความหวังของครอบครัว ที่จะหารายได้ด้วยการแบ่งห้องให้เช่า เพราะผู้เช่าต่างหวาดกลัวกับแมลงยักษ์ที่อยู่ในบ้าน
ในตอนนั้นเอง สมาชิกในครอบครัว รวมถึงน้องสาวสุดที่รัก ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า แมลงยักษ์ที่ไร้ค่าตัวนี้ จะต้องออกจากบ้านไปเสีย
หลายคนที่เคยอ่านเรื่องนี้ ไม่ว่าจะฉบับแปลไทย ฉบับภาษาอังกฤษ หรือต้นฉบับภาษาเยอรมัน จะมีมโนภาพของแมลงซามซา ในลักษณะของแมลงสาบยักษ์ ซึ่งในบางสำนวนแปลไทย มีการใช้ภาพหน้าปกเป็นรูปแมลงสาป
แต่จริงๆ แล้ว คาฟคา ไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงลงไปว่า ซามซากลายเป็นแมลงชนิดใด ลักษณะที่เขาบรรยายไว้ในเรื่อง บอกแค่ว่าเป็นแมลงที่มีท้องเป็นปล้องๆ ส่วนหลังนูนแข็ง ซึ่งก็คล้ายทั้งแมลงปีกแข็ง ด้วง หรือกระทั่งแมลงสาบ
ในความคิดของคาฟคา รวมถึงคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะแมลงสาบ หรือแมลงชนิดใด ล้วนจัดเป็นสัตว์ชั้นต่ำ เมื่อเทียบกับคน หรือสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น หมา แมว หรือนก ในสายตาของคน แมลงไม่ได้มีอารมณ์ความรู้สึกที่แสดงออกให้รับรู้ ไม่ต่างอะไรจากวัตถุ เช่น ฟันเฟืองชิ้นหนึ่งในระบบอุตสาหกรรม
ตอนสุดท้ายของเรื่อง ซามซาในร่างของแมลงยักษ์ หยุดกินอาหารแล้วตายจากไปอย่างเงียบๆ ราวกับเขาเพิ่งตระหนักว่า ในโลกนี้ ไม่ว่าจะที่บริษัทหรือที่บ้านตัวเอง ไม่มีใครมองเห็นคุณค่าในการดำรงอยู่ของเขา ดังนั้น จะอยู่หรือไปก็ไม่ต่างกัน ไม่สิ การจากไปของเขาน่าจะดีเสียกว่า เพราะจะเปิดโอกาสให้ครอบครัวของเขา ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่ต้องกระอักกระอ่วน หรือรู้สึกอับอายกับการมีอยู่ของตัวเขา
เรื่องราวของซามซา ผู้ถูกอำนาจที่เหนือกว่ากดทับ จนสูญสิ้นความเป็นคน จนกลายร่างเป็นแมลง และตายจากไปโดยไม่มีใครเห็นค่า ให้อะไรกับคนอ่าน นอกเหนือจากความรู้สึกหดหู่ ท้อแท้ และสิ้นหวัง
อัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus) นักเขียนวรรณกรรมโนเบลชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ได้รับอิทธิพลจากงานเขียนของคาฟคา เคยพูดไว้ว่า งานเขียนของคาฟคาจะบีบบังคับให้คนอ่าน ต้องอ่านซ้ำ-นั่นอาจหมายความว่า คาฟคาอาจซุกซ่อนประกายความหวังในการหลุดพ้น หรือเอาชนะโลกที่กดทับเราอยู่
ในงานเขียนชิ้นที่โด่งดังที่สุดชิ้นหนึ่งของกามูส์ คือ ตำนานซิซีฟัส (The Myth of Sisyphus) ซึ่งเป็นเรื่องราวของซิซีฟัส ผู้ถูกเทพลงทัณฑ์ให้ต้องกลิ้งหินขึ้นสู่ยอดเขาอย่างไม่รู้จบ เพราะเมื่อหินถูกกลิ้งจนใกล้จะถึงยอดเขา หินก็จะร่วงหล่นลงสู่เชิงเขา ทำให้ซิซีฟัสต้องเริ่มต้นกลิ้งหินใหม่ไปเรื่อยๆ
ซิซีฟัส ก็ไม่ต่างจากตัวละครของคาฟคา ที่ถูกอำนาจที่เหนือกว่ากดทับ ย้ำๆซ้ำๆ ไม่มีทางออก ไม่มีวันหลุดพ้น แต่ซิซีฟัสไม่รู้สึกทุกข์ทรมานกับชะตากรรมของตัวเอง เขายอมรับการถูกกดทับ และมุ่งมั่นกับการกลิ้งหิน โดยไม่คาดหวังว่า มันจะไปถึงยอดเขาเมื่อไหร่
และนั่นคือ ประกายเล็กๆ แห่งความหวัง ที่คาฟคาซุกซ่อนไว้ในโลกแห่งความหดหู่ สิ้นหวัง และหลอกหลอน