- จากเด็กชายผู้หลงใหลเครื่องบิน สู่นักเดินทางที่ตั้งเป้าสำรวจโลกให้ครบ 196 ประเทศ วันนี้ ‘อาจารย์ปรินซ์’ ธรรมนูญ วิศิษฏ์ศักดิ์ เดินทางมาแล้วกว่า 130 ประเทศทั่วโลก
- เขาบอกว่าจำนวนประเทศไม่ใช่เป้าหมายหลัก การเรียนรู้และยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม คือหัวใจของการเดินทาง สิ่งนี้หล่อหลอมให้เขาเป็นคนที่เข้าใจเพื่อนมนุษย์ รวมถึงกลับมาเข้าใจตัวเองมากขึ้น
- “ผมเชื่อว่าความรู้ที่แท้จริงเกิดจากประสบการณ์เป็นส่วนใหญ่ และการเดินทางก็คือการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง เป็นโอกาสเรียนรู้สังคมและการปรับตัว ไปเห็นสิ่งที่แตกต่าง ถ้าเจอสิ่งที่ดีก็นำมาเป็นแรงบันดาลใจในการยกระดับคุณภาพชีวิต ส่วนสิ่งไม่ดีก็เรียนรู้ไว้เป็นภูมิคุ้มกัน”
“โลกคือหนังสือเล่มหนึ่ง และผู้ที่ไม่ออกเดินทาง ย่อมได้อ่านเพียงหน้าเดียวเท่านั้น”
คำคมอมตะของ St. Augustine นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ มิได้เป็นเพียงถ้อยคำสวยงาม หากแต่ย้ำเตือนให้เรากล้าที่จะเปิดหนังสือหน้าใหม่ของชีวิต ด้วยการเริ่มต้นออกเดินทาง เพราะนอกจากจะเปิดโอกาสให้เราได้ฝึกใช้ความรู้ ทักษะ และสติปัญญา เพื่อรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิด การเผชิญโลกกว้างยังทำให้เราเข้าใจความหลากหลายของผู้คน และเรียนรู้ที่จะมองทุกคนด้วยสายตาแห่งความเข้าใจ…ในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง
เช่นเดียวกับเรื่องราวของเด็กชายที่หลงใหลเครื่องบิน ผู้ใช้เวลาว่างไปสนามบิน เพียงเพื่อมองเครื่องบินทะยานขึ้นฟ้า วันหนึ่งเขาตัดสินใจขอพ่อแม่ออกเดินทางคนเดียวในวัยเพียง 16 ปี และใช้เวลาตลอด 24 ปีหลังจากนั้น เดินทางไปเยือนสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกมาแล้วกว่า 130 ประเทศ
The Potential ชวน ‘อาจารย์ปรินซ์’ ธรรมนูญ วิศิษฏ์ศักดิ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการธุรกิจด้านการบิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และมัคคุเทศก์อิสระ มาร่วมแบ่งปันเบื้องหลัง แรงบันดาลใจและบทเรียนล้ำค่าจากการเดินทางท่องโลก

เบื้องหลังความฝันคือแรงสนับสนุนจากครอบครัว
“ผมชอบเครื่องบินมาตั้งแต่เด็กครับ สมัยมัธยมต้น โรงเรียนของผมอยู่แถวสาทร เวลาเลิกเรียน เพื่อนๆ ส่วนใหญ่จะชวนกันไปเตะบอล หรือไปเดินเล่นแถวสยาม ต่างกับกลุ่มของผมที่รวมตัวกันนั่งรถเมล์ไปสนามบินดอนเมือง เพราะเราแค่อยากดูเครื่องบินขึ้นลง แล้วก็เล่นทายกันว่า หางสีที่เห็นแว๊บๆ นั้นน่าจะเป็นของสายการบินอะไร”
น้ำเสียงของ อ.ปรินซ์ เต็มไปด้วยความสุข ขณะเล่าย้อนถึงวันเก่าๆ ความทรงจำเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนนั้นยังคงชัดเจน แม้ในวัยเด็ก เขาอาจไม่ใช่นักเรียนที่ได้ A ทุกวิชา แต่หากเป็นคาบสังคมศึกษา โดยเฉพาะเรื่องแผนที่ วัฒนธรรม และภูมิศาสตร์ เขาคือตัวท็อปของห้องอย่างไม่ต้องสงสัย
เบื้องหลังความสนใจของเขาถูกขับเคลื่อนด้วยแรงบันดาลใจจากการเดินทาง ซึ่งไม่เพียงจุดประกายให้เขาหลงใหลเครื่องบิน แต่ยังเพิ่มแพสชันให้เขาฝันถึงวันที่จะได้ออกผจญภัยไปทั่วโลก
“ครั้งแรกที่ได้ออกนอกประเทศ คือไปฮ่องกงกับครอบครัวตอน ป.1 ครับ แต่ถ้านับเฉพาะการเดินทางที่ผมไปเองครั้งแรกจริงๆ คือช่วงปิดเทอม ม.4 ขึ้น ม.5 ผมแบกเป้ไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวหนึ่งเดือนเต็ม สมัยนั้นกระแสญี่ปุ่นมาแรงมากในหมู่วัยรุ่นไทย ทำให้ผมเลือกเรียนภาษาและศึกษาเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับญี่ปุ่น ซึ่งการเตรียมตัวและหาข้อมูลในยุคนั้นยังไม่มีรีวิวหรือข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตเหมือนปัจจุบัน ผมต้องไปที่ออฟฟิศการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเพื่อขอแผ่นพับใบปลิวของจังหวัดต่างๆ มาศึกษา แต่ ณ ตอนนั้น แค่ได้วางแผนและจินตนาการถึงการเดินทาง มันก็ทำให้เด็กม.ปลายคนหนึ่งมีความสุขมากๆ แล้วครับ”
อย่างไรก็ตาม การเดินทางครั้งนั้นคงไม่เกิดขึ้น หากขาด ‘ความเห็นชอบ’ ของผู้ปกครอง อ.ปรินซ์ จึงตัดสินใจพูดคุยกับพ่อแม่ ซึ่งคำอนุญาตในเวลานั้น ไม่เพียงเปิดประตูให้เขาได้ไปญี่ปุ่น แต่ยังเปิดโลก จุดประกายความฝัน และเปลี่ยนชีวิตของเขาให้เข้าสู่โลกของนักเดินทาง
“การเดินทางไปญี่ปุ่นสมัยนั้นยังต้องขอวีซ่าครับ แล้วผมก็อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ คุณพ่อคุณแม่ผมต้องไปช่วยเซ็นอนุญาตรับรองให้ผู้เยาว์เดินทางโดยลำพัง ซึ่งผมโชคดีมากที่ท่านอนุญาต
ผมจำได้ว่าตอนอยู่ที่เมืองคามาคุระ ผมบังเอิญเจอครอบครัวคนไทยบนรถไฟ เขาเข้ามาชวนคุย แล้วก็แปลกใจว่าทำไมเด็กอายุแค่ 16 ถึงมาเที่ยวคนเดียว จากนั้นพวกเขาก็หัวเราะแล้วคุยกันว่า “ถ้าลูกเราอายุเท่านี้ เธอจะกล้าปล่อยมาญี่ปุ่นคนเดียวไหม?”
ประโยคดังกล่าวกลายเป็นเสียงที่ติดอยู่ในใจ อ.ปรินซ์ ตลอดการเดินทางครั้งนั้น และเป็นคำถามที่เขานำกลับมาถามพ่อแม่ในภายหลัง ก่อนจะได้รับคำตอบที่เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ

“ผมกลับมาถามคุณพ่อคุณแม่ว่าทำไมถึงยอมให้ผมไปเที่ยวด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กๆ แบบนี้ คุณพ่อก็แชร์ประสบการณ์ให้ฟังว่าตอนเด็กๆ ท่านเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวคนจีน อากงอาม่าก็จะรักและหวงมาก และไม่อนุญาตให้ลูกออกเดินทางท่องเที่ยวหรือไปค้างต่างจังหวัดเลย ซึ่งผมคงต้องขออภัยที่ต้องพาดพิงอากงอาม่า ผมเข้าใจว่าเป็นวัฒนธรรมหรือธรรมเนียมของครอบครัวจีนแท้ๆ แต่ก็ทำให้คุณพ่อรู้สึกว่าไม่เป็นอิสระ…เหมือนถูกกักบริเวณ ท่านก็เลยเข้าใจและให้อิสระผมเต็มที่ครับ เรียกได้ว่าคุณพ่อคุณแม่ผมมีหัวสมัยใหม่ที่อยากให้ลูกออกเดินทางและเติบโตขึ้นด้วยตัวเอง”
ไปเพื่อเรียนรู้ ไม่ใช่เพื่ออวดว่าได้ไป
หลังได้ลิ้มรสอิสระของการเดินทางด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก อ.ปรินซ์ ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะออกเดินทางให้ครบ 196 ประเทศทั่วโลก เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิต ค้นหาเสน่ห์ของแต่ละวัฒนธรรม ภายใต้ความเชื่อที่ว่าทุกประเทศคือห้องเรียนชีวิตที่เต็มไปด้วยบทเรียนใหม่ๆ เสมอ
“นิสัยส่วนตัวของผมคือชอบความแปลกใหม่ครับ อยากไปทุกประเทศ พอไปที่หนึ่งกลับมา ความอยากมันไม่หมด แต่กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
อ.ปรินซ์ บอกว่าสิ่งที่ดึงดูดเขาไม่ใช่แลนด์มาร์กหรือความหรูหรา แต่คือวัฒนธรรมอันหลากหลายของมนุษย์ โดยเฉพาะในประเทศที่มีกลุ่มชาติพันธุ์แบบผสมผสาน
“บางที่ผมยังไม่เคยไป บางที่มีเรื่องราวดึงดูดให้กลับไปซ้ำ ที่ที่เป็นข่าว ที่ที่มีคนรีวิว เพราะแต่ละที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนกัน ผมสนใจเป็นพิเศษกับประเทศที่มีการผสมผสานทางชาติพันธุ์ อย่างฟิจิ ที่แม้จะเป็นประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ แต่กลับเต็มไปด้วยชาวอินเดีย มีวัดฮินดู มีพระพิฆเนศเต็มไปหมด หรืออย่างสิงคโปร์ที่มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมที่หลากหลายและอยู่ร่วมกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นจีน มลายู หรืออินเดียที่มาจากทมิฬนาดูทางตอนใต้ของอินเดีย
นอกจากนี้ผมยังชอบการใช้ชีวิตบนเครื่องบิน ซึ่งผมเรียกว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ความเป็นพหุวัฒนธรรมขนาดย่อมถูกประกอบสร้างขึ้นมา หลายคนอาจรู้สึกอึดอัดบนเครื่องบิน แต่สำหรับผมมันเป็นช่วงเวลาที่รีแล็กซ์และผ่อนคลาย ผมชอบดูพนักงานสายการบินรับมือกับผู้โดยสารต่างเชื้อชาติ หรือแม้กระทั่งเวลาเกิดกรณีฉุกเฉิน นอกจากผมเองจะได้เรียนรู้เพิ่มพูนประสบการณ์ของตัวเอง ผมยังนำสิ่งเหล่านี้มาสอนให้นักศึกษาต่อได้ครับ”
เมื่อเครื่องบินลงแตะรันเวย์ปลายทาง แทนที่จะมุ่งตรงไปยังแลนด์มาร์กยอดนิยม อ.ปรินซ์ กลับเลือกทำตัวกลมกลืนกับผู้คนในท้องถิ่น ด้วยการออกสำรวจย่านที่คนท้องถิ่นใช้ชีวิตจริงๆ
“ถ้าสมัยอายุยี่สิบต้นๆ ผมก็คงอยากไปเช็กอินแลนด์มาร์กเหมือนคนอื่น แต่ช่วงหลังๆ ผมแทบจะไม่วางแผนเลยครับ เพราะสำหรับผม การไปเห็นสภาพบ้านเมืองและความเป็นไปของผู้คน ไม่ว่าประเทศนั้นจะเป็นยังไงก็ตาม ผมอยากเห็น อยากรับรู้ด้วยตัวเราเอง ซึ่งส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยไปย่านที่นักท่องเที่ยวพลุกพล่าน เพราะผมชอบเดินดูตลาด ดูวัฒนธรรมจริงๆ ของคนท้องถิ่น จนบางทีเพื่อนก็ยังแซวเลยว่าไปประเทศนั้นแต่ไม่ได้ไปแลนด์มาร์กที่เขาฮิตๆ กันถือว่าไปไม่ถึงนะ แต่บางทีผมเลือกตัดออกเพราะรู้สึกว่าบางที่เขาจัดทำมาเพื่อนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เขาสร้างขึ้นมาเพื่อการนันทนาการอย่างเดียว แต่เราอยากไปดูวิถีชีวิตผู้คน อยากไปเดินจุดที่คนท้องถิ่นพลุกพล่าน และทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันมากกว่า
ผมไม่ได้คาดหวังว่าต้องเจออะไร แค่พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับคนท้องถิ่น และไปแบบไม่เร่งรีบ ซึ่งบางครั้งมันทำให้ผมลบอคติที่เคยได้ยินจากสื่อต่างๆ เช่น เวเนซุเอลาเป็นประเทศที่เศรษฐกิจล่มสลาย หรือเป็นแหล่งอาชญกรรมระดับโลก แต่พอไปจริงๆ กลับได้เห็นมุมที่น่าเที่ยวและอบอุ่น มันทำให้ผมคิดว่าเราน่าจะเปิดใจ ลดอคติ และไม่ต้องคาดหวังครับ หรือบางประเทศที่มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ตลอดเวลาอย่างอินเดีย ซึ่งผมไปมาทั้งหมด 36 ครั้ง เพราะชอบในวัฒนธรรมที่ค่อนข้างเข้มขลัง เต็มไปด้วยสีสันและพลังชีวิต วิถีชีวิตบางอย่างของเขาหากเราไม่ได้คลุกคลีกับคนอินเดียจริงๆ อาจรู้สึกรำคาญ แต่สำหรับผมมันกลับอบอุ่น น่ารัก เหมือนคำพูดที่ว่า “ใครไปอินเดียครั้งแรก…ถ้าไม่รักหมดใจก็เกลียดไปเลย” ซึ่งผมเป็นประเภทรักหมดใจครับ”
นอกจากการทำตัวให้กลมกลืนกับคนท้องถิ่นเหมือนสุภาษิตที่ว่า “When in Rome, do as the Romans do.” สิ่งที่ อ.ปรินซ์ เรียนรู้คือคุณค่าของการเดินทางอย่างช้าๆ เพื่อให้ตนเองดื่มด่ำและเข้าใจสถานที่นั้นๆ อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นแม้จะตั้งเป้าหมายว่าอยากไปให้ครบทุกประเทศ แต่หากประทับใจประเทศไหนเป็นพิเศษ อ.ปรินซ์ก็ไม่ลังเลที่จะแบกเป้กลับไปซ้ำ เพื่อสะสมประสบการณ์เพิ่มเติม
“ผมเคยถามตัวเองหลายครั้งว่าเราอยากไปให้ครบทุกประเทศเพราะอยากอวดหรือเปล่า แต่พอคิดลึกๆ แล้ว ไม่ใช่เลยครับ เพราะทุกการเดินทางมีค่าใช้จ่าย ถ้าแค่อยากเก็บประเทศให้ครบ ผมคงไม่กลับไปที่เดิมๆ อย่างอินเดียที่ไปมา 36 ครั้ง มันเกินกว่าแค่อวดครับ มันคือความรักจริงๆ
นิวซีแลนด์คืออีกประเทศที่ประทับใจและไปมาแล้วกว่าสิบครั้ง ทั้งในฐานะนักท่องเที่ยวและมัคคุเทศก์ สิ่งที่ผมชอบมากคือเขาให้เกียรติคนต่างชาติ ที่นั่นมีทั้งชาวเมารีที่เป็นคนพื้นเมือง ชาวกีวี่ที่เป็นยุโรปย้ายถิ่นฐาน ชาวเอเชีย และชาวหมู่เกาะต่างๆ ทุกคนอยู่ร่วมกันได้โดยไม่แบ่งแยก เป็นตัวอย่างของพหุวัฒนธรรมที่งดงามจริงๆ ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติเลยครับ ต่างจากบางประเทศในยุโรปหรืออเมริกาที่บางครั้งเรายังสัมผัสได้ถึงการเลือกปฏิบัติ ซึ่งประเด็นนี้มันโดดเด่นสำหรับนิวซีแลนด์มากๆ ครับ
ดังนั้นถ้าผมสนใจหรือชอบที่ไหนเป็นพิเศษก็จะไปซ้ำ ปล่อยให้เวลาและความเป็นตัวเรานำทางเราไปสถานที่ต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องรีบ เพราะผมไม่ได้แข่งกับใคร ผมทำเพื่อสนองความต้องการ สนองความอิ่มเอมใจของตัวเองไปเรื่อยๆ โดยมองที่ผลลัพธ์จากประสบการณ์แห่งความสุขอันยั่งยืนของเรามากกว่าครับ”

จากนักเดินทางสู่มัคคุเทศก์และนักวิชาการ
ไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือในภาพยนตร์ การเดินทางมักทิ้งบางสิ่งไว้เสมอ บางครั้งอาจเป็นประสบการณ์ชีวิต บางครั้งคือบทเรียนที่เปลี่ยนมุมมองต่อโลก สำหรับ อ.ปรินซ์ ทุกไมล์ที่เขาเคยก้าวผ่าน คือบันทึกแห่งการเติบโตที่ค่อยๆ ขีดเขียนลงในไดอารี่ชีวิต
“การได้เดินทางเยอะๆ ทำให้ผมโตขึ้นครับ สมัยก่อนผมใจร้อน เอาแต่ใจ แต่พอได้เห็นโลกกว้างขึ้น ผมก็กลายเป็นคนตัดสินคนอื่นน้อยลง พยายามเข้าใจเขาในแบบที่เขาเป็น เพราะแต่ละคนต่างมีเหตุผลในแบบของตัวเอง ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนผ่านหรือเจออะไรมาบ้าง
บางทีในประเทศเราจะมีข่าวว่าคนประเทศนั้นมาทำแบบนี้ คนประเทศนี้ไปทำแบบนั้น แล้วเรามักจะคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกันแบบเหมารวม ซึ่งผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเหนือกว่าใครเพราะได้เดินทาง ผมแค่รู้สึกว่าเราเคยไปประสบพบเจอ หรือมีประสบการณ์ที่น่าประทับใจกับคนในชาตินั้นๆ มาแล้ว ทำให้เห็นว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นคนไม่ดีครับ”
ขณะเดียวกัน แรงบันดาลใจจากการเดินทางยังกลายเป็นแรงผลักดันให้ อ.ปรินซ์ เดินหน้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตพัฒนศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยมีความหวังลึกๆ ว่าจะนำประสบการณ์ชีวิตอันล้ำค่าที่ได้จากการเดินทางมาต่อยอดเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ในการพัฒนาสังคม
“ผมเรียนเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม การพัฒนาชุมชน การเป็นกระบอกเสียงให้กลุ่มคนชายขอบ และการยอมรับในความแตกต่าง ซึ่งผมรู้สึกว่าหากทำปริญญานิพนธ์แบบวิชาการล้วนๆ อาจไม่ใช่ตัวเรา ผมจึงปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาว่าอยากนำเรื่องการเดินทางตั้งแต่เด็กๆ จนถึงปัจจุบัน มาทำให้เป็นประโยชน์ เพราะการเดินทางคือการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง เป็นโอกาสเรียนรู้สังคมและการปรับตัว ไปเห็นสิ่งที่แตกต่าง สิ่งที่เมืองไทยอาจมีหรือไม่มี ถ้าเจอสิ่งที่ดีก็นำมาเป็นแรงบันดาลใจ มาเป็นตัวอย่างในการยกระดับคุณภาพชีวิตและจิตวิญญาณ ส่วนสิ่งไม่ดี เราก็เรียนรู้ไว้เป็นภูมิคุ้มกันให้เราต้องเพิ่มความระมัดระวังและพร้อมรับมือ มันคือ Soft Skills ของชีวิตครับ ซึ่งโชคดีที่ส่วนใหญ่ผมเจอคนดี ได้รับประสบการณ์ที่ประทับใจและได้รับไมตรีจิตจากคนท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้มันยกระดับจิตใจ ทำให้เราอยากส่งต่อสิ่งดีๆ ให้เพื่อนมนุษย์ ซึ่งอาจฟังดูโลกสวย แต่สิ่งเหล่านี้มันอิ่มเอม และฮีลใจจริงๆ
อีกเรื่องสำคัญคือ การมองคนเท่ากัน และอย่ามองคนท้องถิ่นเป็น Human Zoo เราไม่ได้ไปดูเขาเพื่อสันทนาการ แต่ไปเพื่อเรียนรู้ เข้าใจ ปรับตัว และเคารพความต่างของเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งการเข้าใจความต่างอย่างถ่อมตัวคือหัวใจของความเป็นพลเมืองโลกครับ”
ส่วนในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัย อ.ปรินซ์ มองว่าการเรียนรู้ในห้องเรียนเป็นเหมือนคู่มือพื้นฐาน ที่วางรากฐานให้เราเข้าใจทฤษฎี แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการเรียนรู้นอกห้องเรียน ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนนำความรู้และทักษะต่างๆ มาประยุกต์ใช้จริง เพื่อการพัฒนาศักยภาพอย่างรอบด้าน
“สำหรับผม การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงหรือจากการเดินทางให้ประโยชน์มากกว่าครับ แต่ต้องผสมผสานกับการเรียนในระบบให้กลมกลืนกัน
เช่น คลาสที่ผมสอนจะไม่เน้นทฤษฎีมากเท่าการแชร์ประสบการณ์หรือการทำให้นักศึกษาได้สัมผัสเหตุการณ์จริง นักศึกษาบางคนอาจยังไม่เคยนั่งเครื่องบิน ผมก็จะพาเขาไปดูงานที่สนามบิน ให้เห็นขั้นตอนต่างๆ หรือตัวผมเองก็พยายามทำรีวิวบนเครื่องบินเพื่อให้นักศึกษาเห็นภาพว่าต้องเจออะไรบ้าง วิธีปฏิบัติของผู้โดยสารแบบนี้เรียกว่าอะไร ซึ่งผมมองว่าบางอย่างมันเรียนในห้องอย่างเดียวไม่พอ ต้องออกไปเจอประสบการณ์หรือเหตุการณ์จริงด้วยตัวเอง
หนึ่งในวิชาที่นักศึกษาชอบมากและจองเต็มตลอด คือวิชาการสื่อสารวัฒนธรรมข้ามชาติในธุรกิจการบิน ซึ่งจะสอนในเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เช่น เวลาเจอผู้โดยสารชาวอินเดียส่ายหน้า มันมีสองความหมายนะ มีทั้งส่าย Yes และส่าย No แบบไหนคืออะไร หรือสัญลักษณ์อย่างการยกนิ้วโป้งกดไลก์อาจสื่อความหมายเชิงลบในบางประเทศ รวมถึงสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เราเจอเวลาไปต่างประเทศมันหมายความว่ายังไงบ้าง ก็เป็นเรื่องที่สนุกและน่าสนใจ ซึ่งถ้าผมไม่เคยเดินทางมาก่อน ก็คงไม่ได้รับความรู้อันละเอียดอ่อนเหล่านี้ ดังนั้นผมเชื่อว่าความรู้ที่แท้จริงเกิดจากประสบการณ์เป็นส่วนใหญ่ แล้วอีกส่วนมาจากตำราในห้องเรียน”
ก่อนจบบทสนทนา อ.ปรินซ์ ฝากข้อความไปยังผู้ปกครองและเยาวชนที่ใฝ่ฝันอยากเดินทางว่าการเดินทางคือการเรียนรู้ที่ช่วยให้เราเติบโตและค้นพบตัวเองมากขึ้น เหมือนคำพูดของ Marry Ritter Beard ที่ว่า “แน่นอนว่าการเดินทางไม่ใช่แค่เพียงการชมสถานที่ต่างๆ เท่านั้น แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงที่ดำเนินไปอย่างลึกซึ้งและถาวรในความคิดของการใช้ชีวิต”
“ผมโชคดีที่คุณพ่อคุณแม่เปิดโอกาสให้เดินทางตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้โอกาสนั้นส่งผลมาถึงชีวิตปัจจุบัน ได้เป็นตัวของตัวเอง ได้ค้นพบ และรู้จักตัวเองดีตั้งแต่ยังเด็ก
อยากฝากถึงเด็กไทยที่ใฝ่ฝันอยากเดินทางว่ามันเป็นโอกาสดีที่ช่วยส่งเสริมความรู้และประสบการณ์ ได้เติมเต็มความฝัน และเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนครั้งสำคัญ

อยากฝากถึงผู้ปกครองด้วยครับ ก่อนเป็นอาจารย์ ผมเคยทำงานสายการบิน ผมมักเจอผู้ปกครองคนไทยที่ส่งลูกไป Work&Travel บอกว่า “น้องๆ พี่ฝากลูกด้วยนะ เนี่ยช่วยเดินไปส่งเขาถึงประตูขึ้นเครื่องได้ไหม” หรือบางครั้งก็โทรมาขอคำแนะนำ เพราะลูกจะเดินทางไปเรียนซัมเมอร์ สิ่งหนึ่งที่ผมเจอเป็นประจำก็คือความเป็นห่วงกังวลที่ลูกต้องเดินทางเอง ซึ่งผมขออนุญาตใช้ประสบการณ์และตำแหน่งอาจารย์ในการแนะนำผู้ปกครองไปตรงๆ ว่า “คุณพ่อคุณแม่ครับ คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อเหตุผลทางด้านประสบการณ์ เพื่อพัฒนาภาษา เพื่อให้เกิดความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ฉะนั้นสนามบินสุวรรณภูมิหรือสนามบินที่เปลี่ยนเครื่องเป็นพื้นที่ปิดมีการรักษาความปลอดภัยสูง จากเคาน์เตอร์เช็คอินตรงนี้ เดินไปประตูขึ้นเครื่องเอง เดี๋ยวให้น้องไปเองนะครับ จะได้ฝึกกันตั้งแต่ตอนนี้เลย” ซึ่งบางท่านฟังแล้วอาจจะโมโหผม แต่สุดท้ายทุกคนก็เข้าใจว่าผมเจตนาดี
แต่ความห่วงใยไม่ใช่เรื่องผิดนะครับ เพราะมันเป็นบริบทของครอบครัวหรือสังคมไทยที่พ่อแม่เป็นห่วงและรักลูกมากๆ เพียงแต่ว่าอยากชวนให้มองอีกมุม อาจจะมองเด็กฝรั่งบ้างก็ได้ที่พ่อแม่ปล่อยให้ลูกได้ลองฝึกคิดและตัดสินใจด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งจะอนุญาตให้เขามีความคิดเป็นของตัวเอง และเลือกสิ่งที่ชอบได้ด้วยตัวเอง โดยมีพ่อแม่ดูอยู่ห่างๆ ผมว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะสุดท้ายแล้ว โลกภายนอกก็คือห้องเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต”
สำหรับ อ.ปรินซ์ ทุกไมล์ของชีวิตคือบทเรียนบทใหม่ และทุกการเดินทางไม่ใช่เพียงการก้าวข้ามพรมแดนของประเทศ แต่คือการก้าวข้ามพรมแดนในใจตนเอง เขาเชื่อมั่นว่า มนุษย์ทุกคนต่างเป็นนักเรียนในห้องเรียนใบใหญ่ที่เรียกว่า ‘โลก’ เป็นห้องเรียนที่ไม่มีผนัง ไม่มีเกรด และไม่มีเส้นชัย มีเพียงบทเรียนที่สอนให้เราเข้าใจความแตกต่าง และมองเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์
และตราบใดที่ยังมีรันเวย์ทอดยาวอยู่ข้างหน้า อ.ปรินซ์ จะยังคงออกเดินทางต่อไป ไม่ใช่เพื่อเก็บประเทศ แต่เพื่อเก็บความเข้าใจในชีวิต เพราะสุดท้ายแล้ว การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา…คือการหวนกลับมารู้จัก ‘หัวใจ’ ของตัวเองอีกครั้ง