- ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กทุกคน ‘อาจารย์ใหม่’ ประธานมูลนิธิปัญญากัลป์ ใช้แนวคิดการศึกษาบนฐานชีวิต จัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นบนความเข้าใจวิถีที่แตกต่างของเด็กนอกระบบการศึกษา
- หลักสูตรหมอลำศึกษา เป็นหลักสูตรใหม่ล่าสุดของศูนย์การเรียนฯ ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับโจทย์ชีวิตของเด็กและเยาวชนในคณะหมอลำ โดยมีคอนเซ็ปต์คือ‘เฮียนไป ม่วนไป มีรายได้’
- “การเรียนต้องไม่ไปแตะเรื่องขององค์ความรู้อย่างเดียว แต่มันต้องแตะอารมณ์ความรู้สึก หรือเซนส์ที่นำไปสู่การเรียนรู้ด้วย ซึ่งพอดีไซน์แบบนี้ ปลายทางการเรียนรู้คือเด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ”
“เด็กเคลื่อนที่ การศึกษาเคลื่อนที่ เราใช้วงหมอลำเป็นโรงเรียน ในลักษณะของ Nomad Learning การศึกษาที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ตามตัวเด็ก”
วิสัยทัศน์การจัดการเรียนรู้ที่ยึดประโยชน์ของเด็กเป็นตัวตั้ง ของ ‘อาจารย์ใหม่’ ดร.ศุภชัย ไตรไทยธีระ ประธานมูลนิธิปัญญากัลป์ คือสารตั้งต้นที่ทำให้เกิดศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ และหลักสูตรม่วนๆ ‘หมอลำศึกษา’ ที่เปลี่ยนคณะหมอลำเป็นโรงเรียน เปิดให้เยาวชนที่ออกจากระบบการศึกษา กลับสู่เส้นทางการเรียนรู้เพื่อสานฝันสร้างโอกาสให้กับตนเอง
อาจารย์ใหม่นิยามตัวเองว่า ‘นักออกแบบยุทธศาสตร์การเรียนรู้’ เขานำ นำหลักคิดทั้งด้านรัฐศาสตร์และการศึกษา มาคลุกเคล้ากับประสบการณ์ในฐานะนักกิจกรรม ออกแบบการเรียนรู้ที่ไม่ติดกรอบ เพื่อโอบรับเด็กๆ ทุกโจทย์ชีวิตให้ได้มีพื้นที่ปลอดภัยในการพัฒนาศักยภาพและเติบโตต่อไปอย่างมีคุณภาพ
“ก่อนหน้านี้ผมป็นอาจารย์สอนอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี แล้วก็ออกมาเรียนต่อสาขาการศึกษานอกระบบโรงเรียน ที่จุฬาฯ พร้อมกับตั้งมูลนิธิปัญญากัลป์ เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ด้านการศึกษา”
เริ่มแรกอาจารย์ใหม่มีโอกาสทำงานกับเด็กในสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก ซึ่งทำให้เขามองเห็นข้อจำกัดของการศึกษาในระบบ จึงมีความตั้งใจที่จะหาแนวทางจัดการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กๆ เหล่านี้มีความรู้และทักษะชีวิตเพียงพอที่จะเริ่มต้นใหม่
“ผมมองว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้ แต่เขาไม่มีพื้นที่ที่จะแสดงศักยภาพนั้น เราก็เลยดีไซน์โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้โดยการกำหนดเอง คือเด็กเป็นผู้กำหนดขึ้นมาเองว่าเขาอยากเรียนอะไร”
และเพื่อให้การเรียนรู้นั้นสอดรับกับเป้าหมายและเงื่อนไขชีวิตที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเด็กที่ไม่สามารถเรียนต่อในระบบได้ อาจารย์ใหม่ใช้ศูนย์การเรียนมาตรา 12 เป็นเครื่องมือจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์
ปัจจุบัน ศูนย์การเรียนปัญญากัลป์จัดการเรียนรู้ให้เด็กนอกระบบมากว่า 3 ปีแล้ว และโจทย์ท้าทายล่าสุดที่มาพร้อมกับสีสันความสนุกสนานอย่างหลักสูตรหมอลำศึกษา ก็กำลังผลิดอกออกผลพร้อมเป็นโมเดลต้นแบบการจัดการศึกษาบนฐานชีวิตและวัฒนธรรม ให้ผู้เกี่ยวข้องได้เรียนรู้และนำไปใช้เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาที่ไม่ปล่อยให้เด็กคนไหนตกหล่นระหว่างทาง

จากความเชื่อ สู่ความชอบ กอปรเป็นการเรียนรู้ที่ใช่
“แรงบันดาลใจในการสร้างหลักสูตรหมอลำศึกษา ก็คือตัวเองชอบฟังหมอลำอยู่แล้ว ตอนเด็กๆ ไปดูหมอลำกับคุณแม่ มีวันหนึ่งที่นั่งฟังแล้วมีท่อนหนึ่งของเพลงบอกว่า ‘เด็กตาดำๆ หอบวุฒิ ม.3 จาก กศน.’ เราก็เลยอยากรู้ว่าจริงๆ น้องๆ ในวงหมอลำเขาเรียนจบระดับไหนกันบ้าง แล้ววงหนึ่งมีคน 400-500 คน ส่วนใหญ่ที่เห็นก็เป็นเด็กทั้งนั้น
เราเลยไปชวนน้องๆ ในศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ทำสำรวจกับ 44 วงหมอลำในภาคอีสาน ว่าใน 44 วงนี้ มีเด็กที่ไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานกี่คน และไม่จบการศึกษาภาคบังคับกี่คน ซึ่งผลสำรวจก็ออกมาว่า เด็กร้อยละ 30 ไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือไม่จบ ม. 6 แล้วก็ร้อยละ 13 นิดๆ ไม่จบ ม.3 เราก็เลยรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่เด็กหันหลังให้กับโรงเรียนและเดินหน้าเข้าสู่ความฝันการเป็นศิลปินของเขา”
แต่หลังจากอาจารย์ใหม่ได้พูดคุยกับเด็กๆ ถึงเหตุผลในการออกจากโรงเรียนมาทำงานในวงหมอลำ คำตอบที่ได้กลับต่างออกไป เพราะสิ่งที่ผลักพวกเขาออกมา แท้จริงแล้วคือความยากจนและกรอบเกณฑ์
ของการเรียนในระบบที่ทำให้เด็กไม่สามาถทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้
“เด็กเหล่านี้อยู่ในภาวะที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับเรื่องของเศรษฐานะทางครัวเรือน เขาต้องต่อสู้ดิ้นรนกับภาวะของครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เขาต้องต่อสู้ดิ้นรนกับแรงกดดันในการถูกบูลลี่ที่โรงเรียน มีน้องหลายคนที่อยากพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองมีความสามารถ สามารถที่จะสร้างรายได้ให้กับตัวเอง สามารถที่จะยืนได้ด้วยตัวเอง และประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยตัวเอง เขาก็เลยมองว่า หมอลำนี่แหละเป็นอาขีพที่สามารถทำได้เลยด้วยศักยภาพที่เขามีครับ”
‘หลักสูตรหมอลำ’ เปลี่ยนข้อจำกัดทางการศึกษา เป็นเส้นทางการเรียนรู้สู่อนาคต
หลังสำรวจพบว่าเด็กในวงหมอลำจำนวนไม่น้อยออกจากโรงเรียนกลางคันและยังไม่ได้รับวุฒิการศึกษา อาจารย์ใหม่จึงมองไปที่รูปแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสภาพชีวิตและการทำงานของเด็กๆ กลุ่มนี้
“เรามีต้นทุนเดิมก็คือศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ ที่จัดการศึกษาให้กับน้องๆ ที่อยู่นอกระบบการศึกษา หรือหลุดออกจากระบบการศึกษาอยู่แล้ว ซึ่งศูนย์การเรียนทำหลักสูตร 3 หลักสูตรด้วยกัน หลักสูตรแรกคือ สังคมอาชีพ เราใช้สำหรับน้องๆ ในชุมชนที่หลุดออกจากระบบ หรือน้องๆ ที่อยู่ในสถานพินิจ กับศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน อีกหนึ่งหลักสูตรเราพัฒนาร่วมกับ กสศ. และ KFC ก็คือหลักสูตรอาชีพและผู้ประกอบการ สำหรับน้องๆ ที่ได้รับการปล่อยตัวจากศูนย์ฝึกฯ สถานพินิจ เรือนจำต่างๆ”
หลักสูตรหมอลำ เป็นหลักสูตรใหม่แกะกล่องของศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ ร่วมกับนิวเจนเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อพาเยาวชนในคณะหมอลำกลับสู่เส้นทางการเรียนรู้เพื่อปูทางสู่อนาคตที่มั่นคงมากขึ้น
“มันเกิดจากความคิดว่าถ้าเราไม่ทำอะไร น้องๆ จะแค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ แล้วพอวันนึงเขาหมดแรงแล้วเดินออกไปจากวงหมอลำ เขาจะไม่มีทางเลือกอื่นๆ เลยในการประกอบอาชีพ
คือถ้ารับจ้างก็จะเป็นแค่ลูกจ้างชั่วคราว ไม่สามารถเป็นพนักงานประจำได้ เพราะไม่มีวุฒิ ม.3 หรือ ม.6 สิทธิสวัสดิการอื่นๆ ก็จะน้อยกว่าคนอื่น ในขณะที่อยู่ในวง ก็อาจถูกบูลลี่จากเพื่อนที่จบสูงกว่า มีน้องๆ หลายคนที่ได้สัมภาษณ์ เขาก็จะมีประเด็นนี้เหมือนกัน”
อาจารย์ใหม่บอกว่าเมื่อมองเห็นข้อจำกัด เขาจึงพยายามสร้างทางเลือกที่เป็นไปได้ให้เด็กๆ ได้เดินต่อ… “ไหนก็ไหนไหนแล้ว ก็เลยท้าทายตัวเองด้วยการพัฒนาขึ้นมาเป็นหลักสูตร โดยมองในระยะไกลว่า ถ้าเราทำหลักสูตรหมอลำสำเร็จ หลักสูตรนี้จะเป็นฐานที่ทำให้วิชาชีพอื่นที่น้องๆ เข้าไปทำงานนั้น สามารถที่จะปรับหรือประยุกต์ไปเป็นหลักสูตรให้น้องๆ ได้มีโอกาสในการเรียนเพิ่มมากขึ้นครับ”

ออกแบบการเรียนรู้บนฐานชีวิตจริง อิงหลักวิชาการ วิชาชีพ วิชาชีวิต
เมื่อเป็นหลักสูตร ผู้เรียนย่อมต้องได้ทั้งค่านิยม เจตคติ ทักษะและความรู้ แม้จะเป็นการเรียนนอกรั้วโรงเรียน แต่อาจารย์ใหม่ก็พยายามออกแบบการเรียนรู้ให้นักเรียนหมอลำศึกษาทุกคนสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ครบด้าน
“แกนของหลักสูตรจะอิงกับวิถีชีวิตน้องๆ เนื่องจากผมมีงานวิจัยที่ตัวเองทำแล้วสังเคราะห์ออกมา ก็คือ ‘การเรียนรู้บนฐานชีวิต’ เราใช้เป็นหลักในการจัดการศึกษา”
ในการออกแบบหลักสูตรหมอลำสำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เนื้อหาแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ ส่วนแรกเรียกว่า ‘หน้าฮ้าน’ (ฮ้านคือเวที) จะเป็นเรื่องของการทำงานหน้าเวที ส่วนที่สองเรียกว่า ‘เทิ้งฮ้าน’ หรืองานบนเวที ส่วนที่สามคือ ‘หลังฮ้าน’ หรืองานที่เกิดขึ้นหลังเวที
“ส่วนหน้าฮ้านเราก็ไปดูว่า น้องๆ ที่อยู่หน้าเวที มีงานอะไรบ้าง แล้วก็อธิบาย Job Description ของแต่ละงาน เช่น ขายตั๋ว ทำโปสเตอร์ ล้อมสังกะสี เตรียมเวที ไปดูเรื่องโครงสร้างและองค์ประกอบของเวที ไปดูเรื่องการจัดการเชิงพื้นที่ ไปดูเรื่องการประชาสัมพันธ์
ขยับขึ้นมาเป็นเทิ้งฮ้าน เราก็มาดูว่าบนเวทีมีอะไรบ้างที่จะมาแปลงเป็นวิชาต่างๆ อย่างเช่น แดนซ์ โคโรกราฟ ไฟ เสียง ดนตรี อย่างนี้ครับ ส่วนหลังฮ้าน เราเจออะไรบ้าง แต่งหน้า คอสตูม การจัดการพื้นที่ เตรียมห้องสำหรับศิลปิน การจัดระบบงานครัว อาหารต่างๆ เด็กๆ ทำหมดเลย พิธีกรรมการไหว้อ้อ สวดมนต์ เราก็ดีไซน์ออกมาเป็นหลักสูตร แล้วทำให้เป็นหน่วยบูรณาการเรียนรู้ครับ”
หลังทำหลักสูตรเสร็จเรียบร้อย ห้องเรียนหมอลำ ในนามศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ ก็เปิดรับนักเรียนรุ่นแรกจำนวน 20 คน จาก 7 วงหมอลำ
“น้องบางคนที่ยังไม่จบ ม. ต้น เราก็ปรับพื้นฐานให้จบ ม.ต้นในหลักสูตรสังคมอาชีพก่อน แล้วค่อยมาเรียน ม.ปลายต่อในหลักสูตรหมอลำศึกษา นั่นหมายความว่าน้องที่ยังไม่จบ ม.ต้น ต้องเรียน 2 ฤดูกาล ถึงจะจบ ม.6 แต่ถ้าน้องมีวุฒิม.3 แล้วมาเรียนต่อ ม.ปลาย เขาจะเรียนแค่ 1 ฤดูกาล ก็คือ 8 เดือน”
สำหรับวิชาที่เด็กๆ จะต้องเรียน ประกอบด้วยหมวดวิชาพื้นฐาน 8 สาระวิชา อ้างอิงตามหลักสูตรแกนกลาง 51 ของ สพฐ. โดยเป็นการเรียนออนไลน์ที่เด็กสามารถเลือกช่วงเวลาในการเข้าเรียนกับคุณครูได้
“เริ่มสอนตั้งแต่ 4 โมงเย็นไปจนถึง 2 ทุ่ม เนื่องจากช่วงกลางวันน้องๆ จะไม่มีเวลา ซึ่งถ้าไม่เข้าเรียนก็สามารถตามวิดีโอย้อนหลังในเฟซบุ๊กกลุ่มปิด แล้วทำใบงานส่งได้”
ในหมวดเพิ่มเติม หรือเรียกง่ายๆ ว่า วิชาหมอลำ โจทย์จะถูกนำไปแทรกในใบงานต่างๆ ที่คุณครูเป็นผู้ออกแบบ และนักเรียนต้องทำแฟ้มสะสมผลงาน ซึ่งโจทย์รวมถึงข้อสอบจะอิงบริบทหมอลำทั้งหมด เช่น การวัดความกว้างยาวของเวที การคำนวณความกว้างของเสียงระหว่างสังกะสีฝั่งซ้ายไปยังฝั่งขวา การคำนวณรายได้ของค่าจ้าง 1 ฤดูกาล หรือชุดคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากวรรณกรรมพื้นบ้านอีสาน เป็นต้น
“มันจะเป็นโจทย์กว้างๆ ให้เขาเรียนรู้แบบ Self-Directed Learning เรียนรู้โดยการนำตนเอง แล้วเราจะใช้กระบวนการรีเฟล็กความรู้เหล่านั้นผ่านใบงาน”
“จริงๆ เรื่องการเรียนหรือการวัดผลก็คล้ายๆ กับห้องเรียนทั่วไป ถ้าครูปรับหรือพลิกแพลงโจทย์นิดหน่อย ให้มันเหมาะกับชีวิตหรือเหมาะกับวิถีของเด็ก มันจะทำให้เขาสนุกกับการหาคำตอบเหล่านั้น”
สุดท้ายสิ่งที่นักเรียนหมอลำต้องทำก่อนจบหลักสูตร ก็คือ หมอลำนิพนธ์ หรือโครงงานที่แต่ละคนพัฒนาขึ้น โดยมีเงื่อนไขว่าทุกคนจะต้องเข้าค่าย 5 วัน เพื่อประมวลความรู้ที่ได้เรียนมาและเติมเต็มต่อยอดเป็นผลงานการแสดงของตนเอง
“การเรียนต้องไม่ไปแตะเรื่องขององค์ความรู้อย่างเดียว แต่มันต้องแตะอารมณ์ความรู้สึก หรือเซนส์ที่นำไปสู่การเรียนรู้ด้วย ซึ่งพอดีไซน์แบบนี้ ปลายทางการเรียนรู้คือเด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ”

หมอลำนิพนธ์ บนเวทีแห่งศักยภาพของหมอลำนิวเจน
แม้ว่านักเรียนทั้ง 20 คนของหลักสูตรหมอลำศึกษารุ่นที่ 1 จะทำงานในคณะหมอลำด้วยบทบาทที่ต่างกัน บางคนเป็นนักร้อง บางคนเป็นแดนเซอร์ บางคนเป็นช่างแต่งหน้า บางคนดูแลงานหลังเวที แต่ช่วงเวลา 5 วันในค่ายเสริมสร้างทักษะ ‘เสริมศาสตร์ สานศิลป์ สืบภูมิปัญญา” ที่จัดไปเมื่อวันที่ 16-20 สิงหาคม 2568 ณ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทุกคนจะได้รับความรู้ในทุกองค์ประกอบของการแสดงหมอลำเหมือนๆ กัน
“ค่ายนี้เราได้รับความกรุณาจากทีมนักวิชาการ 8 สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ภาคอีสาน ในการมาร่วมออกแบบทั้งตัวกระบวนการค่าย ตัวเนื้อหาในค่าย รวมไปถึงกระบวนการในการวัดประเมินผลน้องๆ”
ภายในค่ายนอกจากจะมีการเสริมทักษะความรู้ทั้งในเชิงวิชาการและวิชาชีพ ยังมีเวิร์กชอปให้ได้ฝึกปฏิบัติ โดยทุกคนจะได้รับการเสริมทักษะในทุกด้าน
“เรามองว่าการเข้ามาเรียนนั้น น้องๆ ที่เป็นแดนซ์ หรือน้องๆ ที่เป็นนักร้องอยู่แล้ว เขาจะมีสกิลเดียวที่เขาถนัด แต่การมาค่ายจะเป็นการอัพสกิลของเขา ในวันแรกจะได้เรียนเรื่องของการร้อง ที่เรียกว่าการ ‘ลำ’ นั่นแหละ เรียนกับศิลปินแห่งชาติ แม่ครูหมอลำที่เป็น Original
แล้ววันที่สองจะเรียนเรื่องการประพันธ์ กับเรื่องของดนตรีที่เป็นดนตรีพื้นบ้าน มาทำความเข้าใจและหาคีย์ที่เหมาะสมกับแครักเตอร์ของตัวเอง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้ตัวเอง แล้วเขาก็จะมีกลอนลำที่ได้เรียนจากแม่ครูต่างๆ มาประยุกต์โดยประดิษฐ์คำใหม่ขึ้นมา
วันถัดมาก็จะเป็นเรื่องของการฟ้อน เขาจะเรียนฟ้อนแม่บทอีสาน เรียนเรื่องของท่ารำ ถอดท่ารำของศิลปินแห่งชาติด้านหมอลำ ว่าเขาจะมีท่ารำที่เป็นอัตลักษณ์อย่างไรบ้าง แล้วก็เรียนเรื่องการประยุกต์ หลังจากนั้นก็จะเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์งานแสดง”
จะเห็นว่ากิจกรรมส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในค่ายจะเน้นไปที่การอนุรักษ์และการฝึกปฏิบัติ เพื่อปูพื้นฐานในการนำไปประยุกต์ใช้ โดยในวันสุดท้ายทุกคนจะได้ร่วมกันออกแบบการแสดงที่นำความสามารถของแต่ละคนออกมาสร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน
อาจารย์ใหม่บอกว่า เนื่องจากค่ายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของห้องเรียนหมอลำ ที่มีหมอลำนิพนธ์เป็นการวัดผลครั้งสุดท้ายเพื่อสำเร็จการศึกษา แนวทางการประเมินผลจึงถูกวางไว้อย่างเป็นระบบ
“เราใช้การวัดผลเชิงประจักษ์ Authentic Assessment โดยในค่ายจะถูกแบ่งการประเมินออกเป็น 3 ส่วน 20 คะแนนแรกนั้นเด็กจะประเมินตัวเอง ว่ามีความรู้ ทักษะและคุณสมบัติความเป็นหมอลำระดับไหน
อีก 60 คะแนน จะเป็นการประเมินของ Assessor ในค่าย ซึ่งเป็นทีมสตาฟที่ผ่านการฝึกมา แล้วเราก็จะมีคู่มือให้ Assessor ประเมิน โดยประเมินจากพฤติกรรม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวิทยากร ก็คือพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เข้ามาสอนในค่ายนี้ แล้วเขาก็จะมี Oral Test กับเด็กเป็นระยะ โดยไม่ให้เด็กรู้ตัวว่ากำลังถูกทดสอบอยู่”
สำหรับการประเมินนี้ อาจารย์ใหม่บอกว่าในคู่มือกำหนดจุดจ้องมองไว้สองส่วนคือ หนึ่ง เด็กมีความรู้เรื่องศาสตร์ศิลป์ความเป็นหมอลำมากน้อยแค่ไหน สอง ทักษะเชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้นจากการร่วมกิจกรรมในค่าย ที่เพิ่มเติมหรือนอกเหนือไปจากทักษะเดิมที่เขามีอยู่
“สุดท้าย ถ้าเป็นในโรงเรียนปกติจะมองเรื่องทัศนคติต่อการเรียนรู้ของเด็ก หรือ Attitude แต่เราจะมองเป็นเชิงสมรรถนะ คือมองเป็น Attribute มองเรื่องของคุณลักษณะที่ดีของความเป็นหมอลำ ซึ่งจะต้องมีทั้ง Attitude และ Value ประกอบกัน
ปลายทางก็คือ เขาจะสร้างสรรค์งานหมอลำนิพนธ์ออกมา ซึ่งก็เป็น Challenge มากๆ เพราะว่าอย่างเราสอนนักศึกษา กว่าเด็กจะทำโปรเจ็กต์เสร็จใช้เวลาเป็นเทอม แต่นี่เขาทำ 5 วัน แล้วก็เอามาประกอบสร้างเป็นหมอลำนิพนธ์ ซึ่งจะมีอีก 20 คะแนน ให้ครูบาอาจารย์ที่มาสอนในค่ายเป็นคนประเมิน”


เมื่อความรู้มาจากโจทย์ชีวิต การเรียนรู้ก็มีความหมายและสร้างคุณค่าให้ผู้เรียน
ในที่สุดการแสดงหมอลำนิพนธ์ของนักเรียนรุ่นแรกก็ปิดฉากลงอย่างน่าประทับใจ ทั้ง 20 คนไม่เพียงได้รับวุฒิการศึกษา ยังได้รับทุนตั้งต้นอาชีพ 10,000 บาทจากกสศ. แต่เหนืออื่นใด อาจารย์ใหม่เชื่อว่าเด็กๆ เหล่านี้จะสามารถสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้
“เราอยากให้เขาเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ คือไม่ได้มองเรื่องรายได้ที่จะเกิดขึ้นอย่างเดียว แต่ให้เขาเห็นคุณค่าว่า หนึ่งคือ การเรียนยังสำคัญกับเขา การเรียนรู้ หรือการมีนิสัยที่รักการเรียนรู้นั้นสำคัญกับเขา
อันที่สองคือ อยากให้เขาเห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ อยากให้เขามีความแข็งแกร่งในตัวเองด้วย แล้วก็รู้สึกว่าการเรียนเหล่านี้มันไม่ได้ไปกดทับความเป็นมนุษย์ในตัวเขาลงไป แต่มันกำลังจะส่งเสริมให้เขาเห็นอะไรบางอย่าง เหมือนกับมองเป้าหมายในอนาคตของตัวเองชัด แล้วก็เห็นเส้นทางการเติบโตของชีวิต”
“ส่วนทุนการศึกษา เราให้เด็กๆ ทุกคนเขียนแผนอาชีพ ก็คือแผนการใช้งบประมาณที่ กสศ.ให้มา เด็กแต่ละคนก็จะมีความฝันต่างกัน เช่น น้องบางคนจะเอาไปซื้อเพชรที่ใช้ปักชุด เพื่อขายให้พี่ศิลปิน 1 ชุดจะได้ 4,000-5,000 บาท สำหรับค่าปักนะครับ หรือบางคนก็จะเอาไปซื้ออุปกรณ์สำหรับไลฟ์ อะไรอย่างนี้ครับ”
ทั้งหมดคือต้นทุนชีวิตและวิชาชีพที่นักเรียนหมอลำได้รับ แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ผู้ออกแบบหลักสูตรอย่างอาจารย์ใหม่ภูมิใจ คือพัฒนาการทางความคิดและทักษะชีวิตที่ทำให้เห็นว่าพวกเขาเติบโตขึ้น
“เด็กๆ มีพัฒนาการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเปิดตัวเองมากขึ้น มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น แล้วก็เห็นความสำคัญของการเรียนรู้มากขึ้น รวมไปถึงการที่เขามีวินัยมากขึ้นด้วย มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองและต่อการเรียนรู้ครับ”
หมอลำศึกษา โมเดลต้นแบบการเรียนรู้บนฐานชีวิตและวัฒนธรรม
ถึงวันนี้อาจกล่าวได้ว่าหลักสูตรหมอลำศึกษาได้ไปถึงผลลัพธ์การเรียนรู้ที่วางไว้แล้ว และผู้ออกแบบหลักสูตรอย่างอาจารย์ใหม่ก็พร้อมจะส่งต่อแนวคิดสร้างแรงบันดาลใจให้กับการจัดการเรียนรู้บนฐานชีวิตและวัฒนธรรมอื่นๆ เพื่อสร้างทางเลือกให้กับเด็กและเยาวชนที่อาจจะไม่พร้อมหรือไม่ลงตัวกับการศึกษาในระบบ
“หลักสูตรหมอลำ คอนเซ็ปต์เราคือ ‘เฮียนไป ม่วนไป มีรายได้’ เป็นหลักสูตรที่เรียนรู้แล้วกินได้จริงๆ เป็นหลักสูตรที่เรามองว่า เรียนรู้แล้วมีความสุข เป็นหลักสูตรที่แต่ละคนเรียนรู้การบริหารชีวิตของตนเอง
ฉะนั้นสิ่งที่อยากเชิญชวนให้คนอื่นเห็นความสำคัญกับเรื่องนี้ คือไม่อยากให้มองว่า ไปดูแล้วม่วนจอยอย่างเดียว แต่อยากชวนให้เห็นว่า น้องๆ บนเวทีควรได้รับโอกาสในการเติบโตในเส้นทางชีวิตของเขา เขาควรมีทางเลือกได้มากกว่านี้ ฉะนั้นก็อยากชวนพ่อแม่แฟนคลับเอฟซีน้องๆ หมอลำช่วยสนับสนุนให้เขาได้เข้ามาเรียนรู้ในลักษณะนี้มากขึ้น และในขณะเดียวกันอยากให้พ่อแม่เอฟซีหมอลำ ได้สนับสนุนให้เขาเติบโตบนเส้นทางชีวิตในมิติอื่นด้วย”
อีกด้านหนึ่ง อาจารย์ใหม่เสนอว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องพยายามสื่อสารให้เห็นว่า “รากเหง้าทางวัฒนธรรมนั้น นำไปสู่การสร้างมูลค่าหรือสร้างคุณค่าควบคู่กันไป ปีที่แล้วเรามีเงินหมุนเวียนในอุตสาหกรรมหมอลำ 6,600 ล้าน ซึ่งน่าสนใจว่าคนที่ทำงานในคณะหมอลำไม่ได้มีแค่ภาคอีสาน มีคนจากภาคอื่นๆ ด้วย”
ที่สำคัญและน่าจะเป็นประโยชน์สูงสุด คือการใช้หลักสูตรหมอลำสร้างแรงบันดาลใจให้กับวิชาชีพอื่นๆ ในการนำทักษะและองค์ความรู้ของตนเองมาออกแบบการเรียนรู้ที่สร้างคุณค่าให้กับคนในสายงานนั้นๆ
“โนราห์ หนังใหญ่ ลิเก หรือฐานวิชาชีพอื่นๆ สื่อมวลชน นักเขียน น้องๆ อาจจะมีความใฝ่ฝันอยากเดินตาม ถ้าเราเอาคอนเซ็ปต์ของการคิดแบบนี้มาวาง แล้วดีไซน์โดยเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาชีพ หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะวิชาชีพ แครักเตอร์ของแต่ละวิชาชีพ ใส่เข้าไป ผมคิดว่าหลักสูตรหมอลำจะเป็นพื้นฐานนั้นให้กับวิชาชีพอื่นๆ ได้”

ถอดบทเรียนระบบการศึกษาไทย หาคำตอบใหม่สู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต
จากประสบการณ์การทำงานเพื่อเปิดทางเลือกและโอกาสทางการศึกษาให้เด็กนอกระบบ อาจารย์ใหม่มองว่าต้นตอของปัญหานอกจากความยากจนแล้ว ต้องทำความเข้าใจข้อจำกัดภายใต้ระบบการศึกษาไทยด้วย
“ผมไม่ได้โทษการจัดการเชิงระบบของกระทรวงศึกษาธิการ แต่กำลังมองว่าระบบการศึกษามันถูกออกแบบมาให้แข็งตัวเกินไป มันทำให้เด็กบางคนอยู่นอกเลนส์สายตาของครู อยู่นอกเลนส์ความคาดหวังของครู แล้วทำให้เขาไม่มีตัวตนในห้องเรียนหรือในโรงเรียน มันทำให้เขารู้สึกว่า ห้องเรียนหรือการเรียนรู้แบบนั้นอาจจะไม่ตอบชีวิตเขา เมื่อไปผนวกกับปัจจัยอื่น มันผลักดันให้เขาเดินออกมา”
ดังนั้น การแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา (Drop out) นอกจากโฟกัสไปที่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจแล้ว การลดข้อจำกัดและเพิ่มทางเลือกในการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น สอดคล้องกับโจทย์ชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย ก็จะทำให้เด็กอีกมากยังคงอยู่หรือกลับสู่เส้นทางการเรียนรู้ได้
“เราจะต้องเอาชีวิตเด็กมาเป็นฐานในการออกแบบการเรียนรู้ เด็กทุกคนมีเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกันมาก ถ้าเขาได้เรียนรู้บนฐานชีวิตของตัวเอง มันจะสร้างความเติบโต เขาจะรู้สึกภูมิใจว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้มันเอาไปใช้ได้จริง
“แล้วจริงๆ โรงเรียนเองก็ทำได้ อย่างที่ กสศ. ทำ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ มาตรา 15 พ.ร.บ.การศึกษา มันเปิดโอกาสให้โรงเรียนดีไซน์ได้ เพียงแต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็เห็นว่า ภาระงานของครูในโรงเรียนมันไม่เอื้อที่จะให้เขาทำแบบนั้น หรือการดีไซน์การเรียนรู้ที่แมตช์กับชีวิตของเด็ก อาจจะลำบาก ฉะนั้นการเปิดโอกาสให้ครูได้อยู่กับเด็กก็เป็นเรื่องสำคัญ”
“ประเด็นที่สอง ถ้าขยับมาอีกนิดนึง ครูกับผู้ปกครองต้องทำงานด้วยกัน ผู้ปกครองอาจจะไม่ได้หมายถึงพ่อแม่เท่านั้น ปู่ย่าตายายที่เลี้ยงดูเด็กๆ หรือแม้กระทั่งคนที่ดูแลเขาอย่างใกล้ชิด น้องๆ ในสถานสงเคราะห์ น้องๆ ในสถานพินิจที่เราทำงานด้วย เขาก็มีพี่ๆ เจ้าหน้าที่คอยดูแล เรามองว่าจะต้องทำงานคู่กันกับครู คือไม่ได้มองว่ามันจะต้องเรียนรู้แบบเป็นแพทเทิร์นตามหลักสูตรแกนกลางเท่านั้น แต่เราใช้ตัวพื้นฐานเหล่านั้นมาดีไซน์ใหม่”
นอกจากนี้ หากทุกภาคส่วนในสังคมสนับสนุนให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำกัดเฉพาะรั้วโรงเรียนหรือสถานศึกษา เด็กๆ ก็จะเข้าถึงโอกาสในการยกระดับการเรียนรู้ของตัวเองได้ง่ายขึ้น
“ในเชิงนโยบาย ผมมองว่าหน่วยงานเชิงนโยบายต้องสร้างความร่วมมือกันอยางจริงจัง ในการออกแบบการศึกษาที่ตอบชีวิตของคนทุกกลุ่มวัยให้ได้ ไม่อย่างนั้นเราลงทุนกับงานซ่อมมากกว่างานสร้างเยอะมาก”
เมื่อถามว่าแนวคิดนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร อาจารย์ใหม่ชี้ไปที่ ‘การปฏิรูปการศึกษา’ โดยใช้ท้องถิ่นเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ
“เราพูดกันมานาน แต่ก็ไม่สำเร็จสักที ตัว พ.ร.บ.การศึกษาก็ยังไม่ถูกพยายาม หรือขยับก็ขยับไปในทิศทางที่ถูกความเป็นรัฐครอบงำการศึกษาของประชาชน ในขณะเดียวกัน ผมกำลังมองว่าถ้ารัฐเห็นความสำคัญของต้นทุนที่มีในแต่ละพื้นที่ตามบริบทนั้น ควรสร้างพื้นที่ที่มันยืดหยุ่นแล้วก็กระจายอำนาจให้โรงเรียนสามารถที่จะดีไซน์ หรือออกแบบการเรียนรู้บนฐานทรัพยากรที่เขามี
ผมยังมองว่าท้องถิ่นจะเป็นพาหนะสำคัญที่จะทำให้การศึกษาและการเรียนรู้ หรือแม้กระทั่งการขับเคลื่อนเชิงนโยบายทางการศึกษามันเปลี่ยนหน้าตาไป การศึกษาจะเป็นของทุกคน โรงเรียนจะเป็นโรงเรียนที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้
การเรียนรู้ตลอดชีวิตมันจะเกิด ขณะเดียวกันการเรียนรู้จะเป็นได้หลากหลายมิติ เช่น การเรียนรู้ผ่านพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ตามีตามายายสีตาสา ทุกคนต่างเป็นครูซึ่งกันและกัน ตรงกับคอนเซ็ปต์ของปัญญากัลป์ ก็คือ เราต่างเป็นปัญญาของกันและกัน และเป็นปัญญาที่ไม่มีที่สิ้นสุด”