- ‘โลกออนไลน์’ อาจทำให้คนหุนหันพลันแล่นมากขึ้น นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Online Disinhibition Effect’ หรือ ‘ปรากฏการณ์การขาดความยับยั้งชั่งใจออนไลน์’
- เหตุปัจจัยที่ทำให้คนขาดความยับยั้งชั่งใจในโลกออนไลน์ มีทั้งหมด 6 ปัจจัยด้วยกัน คือ ภาวะนิรนามที่แยกจากความเป็นจริง การมองไม่เห็นตัวบุคคล การสื่อสารที่เกิดขึ้นแบบไม่พร้อมกันทันที การรับเอาลักษณะของผู้อื่นมาเป็นของตน จินตนาการที่แยกจากความเป็นจริง และการลดอำนาจให้ต่ำที่สุด
- ภาวะนิรนามทำให้คนกล้าทำสิ่งที่ไม่เคยทำในโลกจริง เนื่องจากคิดว่าคงไม่มีใครจับได้ว่าตัวเองเป็นคนทำ จึงทำอะไรไม่ยั้งคิดมากขึ้น บางคนแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวระรานคนอื่น ทั้งๆ ที่ในโลกจริงไม่เคยทำพฤติกรรมเช่นนั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันคนเราใช้ชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์เกือบตลอดทั้งวัน ทั้งเพื่อการทำงานหรือความบันเทิง โลกออนไลน์ทำให้เราเชื่อมต่อกับผู้คนได้เป็นจำนวนมากผ่านหน้าจอเพียงเครื่องเดียว คนที่เราพบเจอบนโลกออนไลน์ก็มีหลายรูปแบบ แต่บ่อยครั้งเรามักพบเจอกับคนเกรี้ยวกราด พูดจาโผงผาง ด่าทอผู้อื่นอยู่เป็นประจำ
สิ่งที่น่าแปลกใจคือ หลายครั้งคนที่ชอบเกรี้ยวกราดบนโลกออนไลน์ กลับไม่มีพฤติกรรมเช่นนั้นในโลกจริง ทำให้นักจิตวิทยาตั้งข้อสงสัยว่า ‘โลกออนไลน์’ อาจทำให้คนหุนหันพลันแล่นมากขึ้น เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Online Disinhibition Effect’
Online Disinhibition Effect คืออะไร?
‘Online Disinhibition Effect’ หรือแปลเป็นไทยคือ ‘ปรากฏการณ์การขาดความยับยั้งชั่งใจออนไลน์’ เป็นคำที่ John Suler ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจาก Rider University คิดขึ้นในปี 2004 โดยหมายถึง การขาดความยับยั้งชั่งใจของบุคคลเมื่อสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ ในขณะที่การสื่อสารกันต่อหน้าไม่ก่อให้เกิดพฤติกรรมเช่นนั้น
ศาสตราจารย์ Suler แบ่งพฤติกรรม ‘การขาดความยับยั้งชั่งใจ’ บนโลกออนไลน์ออกเป็น 2 ประเภท คือ ‘แบบอ่อนโยน’ และ ‘แบบเป็นพิษ’
- การขาดความยับยั้งชั่งใจแบบอ่อนโยน (Benign Disinhibition) หมายถึง การเปิดเผยเรื่องที่ส่วนตัวมากๆ ซึ่งไม่เคยเปิดเผยในโลกจริงมาก่อน รวมไปถึงการแสดงออกถึงความใจดีมีน้ำใจเกินกว่าที่ทำปกติในชีวิตจริง
- การขาดความยับยั้งชั่งใจแบบเป็นพิษ (Toxic Disinhibition) หมายถึง การแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ก้าวร้าว รุนแรง ที่ไม่เคยทำในชีวิตจริง
โดยปกติแล้ว ‘การขาดความยับยั้งชั่งใจแบบอ่อนโยน’ มักไม่ค่อยมีพิษมีภัยกับผู้อื่น บางครั้งก็เป็นเหมือนการพัฒนาตัวเองผ่านการสำรวจอารมณ์และเรียบเรียงออกมาเป็นตัวหนังสือ แต่สิ่งที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับผู้อื่นคือ ‘การขาดความยับยั้งชั่งใจแบบเป็นพิษ’ ที่ดูเหมือนไม่ใช่การพัฒนาตัวเอง แต่เป็นการระรานคนอื่นเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม บางครั้งพฤติกรรมหนึ่งก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นการขาดความยับยั้งชั่งใจประเภทไหน เนื่องจากอาจเข้าข่ายทั้ง 2 ประเภท เช่น การเล่าเรื่องส่วนตัวของตัวเองพร้อมกับสร้างความอับอายให้กับผู้อื่นในเวลาเดียวกัน
ดังนั้น ศาสตราจารย์ Suler จึงสนใจวิเคราะห์ว่ามีเหตุปัจจัยใดในโลกออนไลน์ที่ทำให้คนขาดความยับยั้งชั่งใจ โดยสรุปออกมาได้ทั้งหมด 6 ปัจจัย
- ภาวะนิรนามที่แยกจากความเป็นจริง (Dissociative Anonymity)
‘นิรนาม’ (Anonymous) หมายถึง ไม่มีชื่อ หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ใช้ชื่อจริง แม้ว่าตอนสมัครโซเชียลมีเดียจะมีช่องให้กรอกชื่อจริงและนามสกุล แต่หลายคนก็เลือกที่ใช้นามแฝงหรือชื่อปลอมเพื่อปกปิดตัวตน ด้วยพฤติกรรมของผู้ใช้ในลักษณะนี้ทำให้โลกออนไลน์ตกอยู่ใน ‘ภาวะนิรนาม’ (Anonymity) เป็นส่วนใหญ่
ภาวะนิรนามทำให้คนกล้าทำสิ่งที่ไม่เคยทำในโลกจริง เนื่องจากคิดว่าคงไม่มีใครจับได้ว่าตัวเองเป็นคนทำ พูดง่ายๆ ก็คือ ภาวะนิรนามทำให้คนทำอะไรไม่ยั้งคิดมากขึ้น บางคนแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวระรานคนอื่น ทั้งๆ ที่ในโลกจริงไม่เคยทำพฤติกรรมเช่นนั้น
นอกจากนี้ คนที่มีพฤติกรรมในโลกออนไลน์ที่แตกต่างไปจากในโลกจริง เมื่อผ่านไปนานวันเข้าอาจประสบกับปัญหา ‘การแยกตัวจากความเป็นจริง’ (Dissociation)
กล่าวคือ ตัวตนในโลกจริงกับโลกออนไลน์แตกต่างกันมากจนเหมือนกลายเป็นคนละคน อีกทั้งยังเชื่อว่าพฤติกรรมในโลกออนไลน์ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับตัวตนในโลกจริง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางจิตใจและพฤติกรรมอื่นๆ ตามมาได้
- การมองไม่เห็นตัวบุคคล (Invisibility)
การสื่อสารบนโลกออนไลน์ใช้การพิมพ์เป็นหลัก ทำให้ไม่เห็นอวัจนภาษาของคู่สนทนา เช่น ไม่เห็นสีหน้า ท่าทาง การใช้น้ำเสียงของอีกฝ่าย ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้เราเข้าใจสารผิดไปได้ อีกทั้งการมองไม่เห็นหน้าค่าตาของคู่สนทนาทำให้เราขาดการรับรู้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นคนเหมือนกับเรา ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือที่ไม่มีความรู้สึก
ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ นักเขียน นักแปล และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ เรียกพฤติกรรมนี้ว่า ‘การมองไม่เห็นคนเป็นคน’ เรามองไม่เห็นหรือรับรู้ว่ามีคนที่มีเลือดเนื้อและชีวิตจิตใจอยู่หลังตัวหนังสือเหล่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงไม่กังวลเรื่องการรักษาหน้าของตัวเองและผู้อื่น นำไปสู่การทำอะไรก็ได้ ไม่เห็นต้องแคร์
- การสื่อสารที่เกิดขึ้นแบบไม่พร้อมกันทันที (Asynchronicity)
การสื่อสารบนโลกออนไลน์ไม่ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องทันทีเหมือนกับการพูดคุยกันต่อหน้า คู่สนทนาไม่ได้ตอบกลับทันที หรือบางครั้งอาจไร้ซึ่งการตอบกลับก็ได้ โดย อ.จรุงกุล บูรพวงศ์ อดีตอาจารย์คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกลักษณะนี้ว่า ‘ความไม่ปะติดปะต่อของการสื่อสารออนไลน์’
ในการสื่อสารกันต่อหน้า เราและคู่สนทนาสร้างบทสนทนาที่ต่อเนื่องลื่นไหลไปตามประเด็นต่างๆ อีกทั้งเรายังเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายได้ในทันที ทำให้เราปรับเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารให้เหมาะสมไปตามสถานการณ์ได้ นำไปสู่การพูดคุยที่รักษาน้ำใจซึ่งกันและกัน
ความไม่ปะติดปะต่อของการสื่อสารออนไลน์ทำให้เราขาดการรับรู้ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายในทันที นำไปสู่การไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เราพูดออกไปนั้นมีผลกระทบอย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น บางคนยังหาประโยชน์จากการสื่อสารในการลักษณะนี้ด้วยการพูดคำแรงๆ ใส่อีกฝ่าย โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ด้วยการหนีหายไปไม่ตอบกลับอีกเลย โดยนักจิตบำบัด Kali Munro เรียกว่าเป็น ‘การชนแล้วหนีทางอารมณ์’ (Emotional Hit and Run)
- การรับเอาลักษณะของผู้อื่นมาเป็นของตน (Introjection)
การสื่อสารออนไลน์ที่ไม่เห็นหน้าของคู่สนทนาทำให้ขอบเขตระหว่างตัวตนของเรากับผู้อื่นไม่ชัดเจน บางครั้งเราอาจนำลักษณะของผู้อื่นมาผสมผสานกับจิตใจของเรา (Introjection) เช่น เราอ่านข้อความของคู่สนทนาด้วยการจินตนาการถึงเสียงและหน้าตาของเขาอยู่ในใจ ราวกับว่าบุคคลนั้นเป็นตัวละครที่เราสร้างขึ้นในจิตใจ
เมื่อเกิดการสร้างตัวละครขึ้นมาในจิตใจ เราอาจพยายามทำให้ตัวละครนั้นสมบูรณ์มากขึ้นด้วย ‘การถ่ายโยงความรู้สึก’ (Transference) จากคนที่เราคุ้นเคย หรือตัวละครในหนังหรือนิยาย
‘การถ่ายโยงความรู้สึก’ คือ การถ่ายโอนความรู้สึกในจิตใต้สำนึกที่เรามีต่อบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง เช่น นักบำบัดอาจทำให้ผู้รับการบำบัดนึกถึงพ่อและถ่ายโอนความรู้สึกที่มีต่อพ่อมาไว้ที่ตน ผู้รับการบำบัดเกิดความรู้สึกต่อนักบำบัดเหมือนกับที่รู้สึกกับพ่อ โดยความรู้สึกนี้อาจเป็นในแง่บวกหรือแง่ลบก็ได้
เมื่อตัวละครที่สร้างขึ้นในจิตใจเป็นจริงมากขึ้น ตอนที่เราอ่านข้อความจากคนนี้ เราจะใส่ความเป็นตัวละครที่เราสร้างขึ้นลงไป ในจุดนี้จะเริ่มทำให้เราขาดความยับยั้งชั่งใจ เนื่องจากเราเผลอคิดไปว่าคนที่คุยด้วยเป็นตัวละครที่เราสร้างขึ้น รู้สึกเหมือนว่ากำลังคุยกับตัวเอง ทำให้กล้าทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยทำตอนอยู่ต่อหน้าได้
- จินตนาการที่แยกจากความเป็นจริง (Dissociative Imagination)
ในการใช้สื่อออนไลน์ บางคนอาจสร้างตัวตนสมมุติขึ้นมาโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว เพื่อใช้เฉพาะในโลกออนไลน์ คนเหล่านี้เชื่อว่าตัวตนในโลกออนไลน์กับตัวตนในโลกจริงเป็นสิ่งที่แยกจากกัน เปรียบเสมือนกับการสร้างตัวละครในวิดีโอเกม โดยตัวละครเหล่านั้นก็อยู่แค่ในเกม ไม่เกี่ยวกับเราในชีวิตจริง
เมื่อเราเชื่อว่าตัวตนในโลกออนไลน์เป็นแค่เกมที่แยกจากความเป็นจริง เราจึงรู้สึกว่าไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ บางคนพูดจาโผงผาง ทำอะไรไม่คิดถึงผลที่ตามมาให้ดีเสียก่อน
- การลดอำนาจให้ต่ำที่สุด (Minimization of Authority)
การพูดคุยกันในชีวิตจริงนอกจากจะมีการใช้วัจนภาษาแล้ว ยังมีอวัจนภาษาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น สีหน้า ท่าทาง การแต่งตัว รูปลักษณ์ ฯลฯ อวัจนภาษาเหล่านี้สามารถบ่งบอกถึงสถานะและอำนาจบางอย่างได้
ในการพูดคุยกันต่อหน้า เราพิจารณาอวัจนภาษาเหล่านี้เพื่อดูว่าคนที่เราสนทนาด้วยมีอำนาจที่เหนือกว่า ต่ำกว่า หรือเท่ากับเรา การพิจารณาอำนาจของคู่สนทนาทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนการใช้ภาษาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษทางสังคม เช่น ถูกมองว่าเป็นคนไม่มีมารยาท ไม่รู้จักกาลเทศะ
อย่างไรก็ตาม การสื่อสารในโลกออนไลน์ขาดในส่วนของอวัจนภาษา ทำให้เราไม่สามารถรับรู้ได้ว่าคนนั้นมีอำนาจที่สูงหรือต่ำกว่าเรา เรารู้สึกว่าคนอื่นมีอำนาจเท่ากันกับเรา คล้ายกับความสัมพันธ์แบบเพื่อนที่มีอำนาจอยู่ในระดับเดียวกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงไม่ได้เกรงกลัวในการแสดงความคิดเห็นต่อบุคคลต่างๆ และถ้ายิ่งมีภาวะนิรนามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว เราก็ยิ่งจะกล้ามากขึ้น ไม่กลัวถูกลงโทษทางสังคม เพราะคิดว่าไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเราเป็นใครจริงๆ
สุดท้าย ปัจจัยทั้งหมด 6 อย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเดี่ยวๆ อาจเกิดขึ้นหลายๆ อย่างพร้อมกันก็ได้ สิ่งที่เราสามารถทำได้คือการพัฒนาทักษะอย่าง ‘ความฉลาดทางอารมณ์ในโลกดิจิทัล’ (Digital Emotional Intelligence) หรือ ‘DEQ’ เพื่อให้เรารู้เท่าทัน เข้าใจ และจัดการกับอารมณ์ของตัวเองในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์ต่อไป
อ้างอิง
จรุงกุล บูรพวงศ์. (2017). ความฉลาดทางอารมณ์ในโลกออนไลน์.
ธัญญา ศรีธัญญา. (ม.ป.ป.). “Transference and Countertransference” : การถ่ายโอนปมปัญหา ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้กับผู้รับความช่วยเหลือ.
นำชัย ชีววิวรรธน์. (2024). ทำไมคนปกติกลายเป็นปีศาจบนโลกออนไลน์?
รวิตา ระย้านิล. (2020). Anonymity – ภาวะนิรนาม.
Psychology Today. (n.d.). Dissociation.
Suler, J. (2004). The Online Disinhibition Effect. CyberPsychology & Behavior, 7(3), 321-326.