- แมวปริศนากับใบไม้แห่งคำทำนาย เป็นหนังสือที่ถูกนิยามว่าเป็นนิยายซึ่งจะผ่อนคลายความกังวล เหมาะกับคนที่ชีวิตกำลังหลงทาง ที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตของคนทั้ง 7 คน
- เรื่องราวแอบแฝงธรรมะแบบฉบับคนญี่ปุ่นที่พยายามเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง มีการแทนสัญลักษณ์และตีความหมายได้งดงาม ได้พบกับความสัมพันธ์ที่หลากหลายรูปแบบ
- บางครั้งเรากังวลใจไปก็เท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตก็เป็นแบบนี้ ที่ไม่มีทางรู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างที่เราคิดจริงหรือไม่
*** มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ
หนังสือเล่มนี้นอกจากมีหน้าปกที่สวยงามละมุนใจด้วยลายเส้นของศิลปินนักวาดที่ชื่นชอบ แต่เหตุผลที่เราตัดสินใจหยิบหนังสือไปจ่ายตังค์ทันทีก็เพราะคำโปรยหลังปกที่เขียนว่า
“นิยายซึ่งจะผ่อนคลายความกังวล เหมาะกับคนที่ชีวิตกำลังหลงทาง” และแน่นอนที่สุดเพราะว่ามันมีแมว!
แต่ความจริงแล้วเรื่องราวก็ไม่ได้เกี่ยวกับแมวซักเท่าไหร่หรอก (ฮ่า) แมวปริศนานี้ก็เพียงแค่โผล่มาแสดงความแฟนตาซีแว้บๆ ในแต่ละบทเพื่อช่วยนำเสนอเรื่องราวชีวิตของคนทั้ง 7 ในหนังสือเล่มนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นมากกว่า
หนังสือนิยายเล่มนี้แปลมาจากภาษาญี่ปุ่น โดยแบ่งออกเป็น 7 บท ตามจำนวนของคน 7 คน พร้อมกับ 7 คำทำนาย คนเหล่านี้ต่างประสบปัญหาชีวิตที่ยังหาคำตอบไม่เจอ หรืออาจเรียกว่ากำลังสับสนหลงทางอยู่ พวกเขาได้เดินไปเจอศาลเจ้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ แล้วได้พบกับ ‘มิกุจิ‘ แมวสีดำลายขาวที่มีรูปดาวตรงสะโพกซึ่งได้โผล่มาแจกคำทำนายด้วยใบของต้นไม้ชื่อ ‘ทาราโย’
(ต้นทาราโยหรือต้นโปสการ์ด คือต้นไม้ที่เมื่อเราขูดด้านหลังของใบไม้มันจะทิ้งรอยเป็นสีน้ำตาลไว้ คนสมัยก่อนจึงมักจะนำใบมาใช้คัดบทสวดมนต์ หรือบางทีก็นำมาใช้เขียนเป็นจดหมายโต้ตอบกัน)
ต้นทาราโยที่ศาลเจ้า บ้างก็มีคนมาเขียนขอพร บ้างก็มีคนมาเขียนบ่นชีวิต
ส่วนใบไม้ที่ 7 คนในเรื่องได้รับนั้นเป็นเพียงคำสั้นๆ ที่เจ้าอาวาสบอกว่ามันเป็น ‘คำพยากรณ์’ ซึ่งมีแค่เจ้าตัวคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมองเห็นว่ามันเขียนว่าอะไร แต่ละคำก็เหมือนจะเป็นคำบอกใบ้ให้กับปัญหาเรื่องที่พวกเค้ากำลังหนักใจอยู่
เราคิดว่าเรื่องราวแอบแฝงธรรมะแบบฉบับคนญี่ปุ่นที่พยายามเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง มีการแทนสัญลักษณ์และตีความหมายได้งดงาม ได้พบกับความสัมพันธ์ที่หลากหลายรูปแบบ มีทั้งคนรัก เพื่อน ครอบครัว หรือกับสิ่งไม่มีชีวิตอย่างโมเดลพลาสติก มันทั้งอบอุ่นดีต่อใจและคลายกังวลได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ในครั้งนี้คนที่เราอยากเขียนถึงคือ ‘เท็ตสึ‘ คุณปู่วัยเกษียณที่อาศัยอยู่กับลูกสะใภ้และหลานตัวน้อย
ในอดีตปู่เท็ตสึเคยเปิดร้านโมเดลพลาสติกเป็นเวลานานกว่า 30 ปี เขาหลงใหลและมีแพสชั่นกับโมเดลพลาสติกมาก แต่พอคนหันมาซื้อของออนไลน์กันมากกว่า ที่ร้านเลยขายไม่ดี คุณปู่เท็ตคิดว่ามันคงถึงเวลาที่ต้องหยุดทำงานแล้วใช้ชีวิตสงบสุขกับภรรยาของเขาที่กำลังจะเกษียณจากอาชีพพยาบาลในอีกไม่ช้า
แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจบอกภรรยาว่าตัดสินใจปิดร้านแล้วนะ ภรรยาก็ขอหย่าโดยบอกคุณปู่ว่า
“เธอได้ทำงานเต็มที่แล้ว ลูกชายคนเดียวก็แต่งงานแล้ว หลังจากนี้อยากเป็นอิสระ และใช้ชีวิตทำในสิ่งที่ชอบ เหมือนเช่นคุณปู่กับโมเดลพลาสติก” ซึ่งเหตุผลนั้นทำให้คุณปู่ไร้คำพูดใดมายื้อภรรยาไว้
ลูกชายบอกกับคุณปู่ว่า ลูกชายเห็นด้วยกับการหย่าในครั้งนี้ เขาบอกว่า “คุณปู่ทุ่มเวลาให้กับร้านและโมเดลพลาสติกมาตลอด โดยไม่สนใจอย่างอื่นเลย ไม่เคยสังเกตเห็นเวลาแม่ป่วย” หรือตัวของลูกชายเองก็อยากมีกิจกรรมที่ทำพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวแต่สิ่งนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้น
หลังจากนั้นลูกชายก็ไม่ค่อยพูดกับคุณปู่อีก เลยเหมือนเขาเสียทั้งภรรยาและลูกชายไปพร้อมๆ กัน
ในมุมของคุณปู่เท็ตสึเค้ารู้สึกคาใจว่า “ทำไมไม่บอกกันตรงๆ ทำไมถึงเลือกที่จะนิ่งเงียบกันหมด เขาเลยนึกว่าไม่มีปัญหาอะไร ทำไมทุกคนถึงมาบอกตอนที่ความรู้สึกมันไปไกลจนไม่อาจหวนคืนได้”
แต่แทนที่คุณปู่จะเอ่ยถามออกไป เขากลับโทษตัวเองว่าเป็นเพราะเขาหมกมุ่นกับโมเดลพลาสติกมากเกินเลยทำให้ทุกคนจากไป เขาจึงตัดสินใจเลิกกับโมเดลพลาสติกด้วย
หลังจากนั้นคุณปู่อาศัยก็อยู่คนเดียวเป็นเวลาเกือบ 3 ปี แล้วก็มีเหตุให้ลูกสะใภ้มาขออยู่ที่บ้านด้วยเพราะลูกชายคนเดียวของคุณปู่ย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัด ซึ่งในตอนแรกคุณปู่ก็แสดงออกท่าทีว่าหงุดหงิดลูกสะใภ้ที่ชอบมาสั่งให้ทำนู่นทำนี่ แถมตัดสินใจแทนในเรื่องต่างๆ หลานตัวน้อยก็ไม่ค่อยเล่นกับเขา
แล้วการทอดทิ้งสิ่งที่เป็นแพชชั่นไปเพราะหวังจะใช้ชีวิตเรียบง่ายกลับทำให้เขารู้สึกไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ใช้ชีวิตไปวันๆ เป็นภาระให้คนอื่น
คุณปู่แวะเข้าไปที่ศาลเจ้าแล้วคิดเชิงอธิษฐานว่า “ถ้าพระเจ้ามีตัวตนจริง ได้โปรดรับฟัง ช่วยให้ผมใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบโดยไม่ต้องเกิดเรื่องอะไรอีกได้ไหม
ไม่ต้องทรมานกับสิ่งใด ไม่ต้องทำให้ใครต้องทนทุกข์”
หลังจากนั้นแมวมิกุจิก็โผล่มาแจกคำทำนาย แล้วเรื่องราวก็ค่อยๆ เผยออกมาทีละนิดปะติดปะต่อกันจนทำให้เราเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่าง ส่วนคุณปู่ก็กล้าเปิดใจให้ลูกสะใภ้ว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไรบ้าง
ที่ผ่านมาเขาคิดว่าการใช้ชีวิตของเขาทำให้คนอื่นต้องเป็นทุกข์ เค้าคิดว่าลูกชายเกลียดเขาและโมเดลพลาสติก แล้วก็ค้นพบว่าจริงๆ ที่ตัวเองมีท่าทีรำคาญ กันลูกสะใภ้และหลานออกไป เพราะกลัวว่าอาจทำให้ทั้งสองคนเสียใจจนจากไปแล้วทำให้ตัวเองต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างที่ผ่านมาอีก
คุณปู่ขอร้องลูกสะใภ้ว่า “อย่าทอดทิ้งเขาเลย เค้าจะไม่สนใจโมเดลพลาสติกอีกแล้ว” ลูกสะใภ้บอกว่ามันไม่เกี่ยวกับโมเดลเลย
เธอบอกความจริงว่า สามีของเธอแสดงออกว่าโล่งใจที่เธอมาอยู่ด้วย และเค้าก็ไม่ได้เกลียดโมเดลพลาสติก เค้าแค่อิจฉาที่พ่อให้ความสำคัญกับมันมากกว่า และรู้สึกเศร้าที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่งระหว่างที่พ่อต่อโมเดล เค้าบอกว่า “พ่อรักเขาไม่เท่าโมเดลพลาสติก”
เมื่อคุณปู่ได้รับรู้เค้าก็ตกใจเล็กน้อย เพราะในมุมของคุณปู่ เขาแค่เป็นห่วงว่าลูกจะต้องสูดดมสารเคมีที่ทำหกไว้ หรือแตะโมเดลที่เพิ่งทาสีเสร็จแล้วทำให้เกิดอันตราย คุณปู่คิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้มันคงเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนถ่างช่องว่างระหว่างเค้ากับลูกชายให้ห่างกันไปทีละนิด
คุณปู่คิดในใจว่าทั้งที่เค้าห่วงใยลูกแต่กลายเป็นเค้าไม่สามารถสื่อสารเสน่ห์ของโมเดลและความรักในฐานะพ่อออกไปได้
และคุณปู่ยังรู้สึกอีกว่าทุกคนมีอะไรมักไม่ค่อยเล่าให้ฟัง ทั้งภรรยาเก่า ทั้งลูกชายต่างทำเหมือนเค้าเป็นคนนอก ลูกสะใภ้เลยบอกว่า “คุณพ่อก็ไม่ได้เปิดใจให้ใครเข้าไปเช่นกัน” และยังบอกอีกว่า “ถ้าคุณพ่อไม่ยอมเปิดใจพูดให้ชัดแบบที่ทำอยู่นี้ ก็ไม่มีใครเข้าใจหรอกค่ะ”
การได้คุยเปิดเผยความในกับลูกสะใภ้ทำให้คุณปู่เท็ตสึได้พบทางออกของปัญหาทั้งหมดที่หนักใจ
ความจริงแล้วต่างคนต่างมีมุมมองของตัวเองซึ่งทำให้ตีความเรื่องราวเดียวกันนี้ไปคนละแบบ
เป็นอะไรที่น่าเสียดายที่หลายครั้งความเคยชินในครอบครัวหรือความสัมพันธ์ก็ทำให้เวลาเรามีความรู้สึกอะไรกลับไม่พูดกันตรงๆ ไม่อธิบายสิ่งที่เราคิดหรือแสดงออกเพราะคิดว่าเขาจะเข้าใจเรา
แต่เรื่องราวของคุณปู่เท็ตสึก็แสดงให้เราเห็นว่า ยิ่งไม่พูด ไม่แจกแจง ไม่อธิบาย มันทำให้เราเข้าใจกันผิดได้ เพราะงั้นถ้าไม่อยากให้เรื่องราวทุกอย่างมันสายเกินไปก็ควรฝึกเปิดใจกว้างๆ ให้กันอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากเรื่องของคุณปู่เท็ตสึ ในหนังสือก็ยังมีเรื่องราวของหญิงสาวที่อกหักจากการแอบรักและอยากให้ความรู้สึกนี้จบไปไวๆ คุณพ่อที่ลูกสาวกำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่น และรู้สึกว่าเริ่มห่างจากลูกแต่ไม่รู้ต้องทำตัวยังไง มีคุณแม่บ้านเต็มตัวที่ต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก เธอเคยฝันอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนแต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรตัดใจมั้ย มีชายหนุ่มที่ออกตามหาตัวตนเพราะไม่รู้ว่าสิ่งไหนที่ตัวเองทำได้ดี มีกระทั่งเด็กประถมผู้อยากมีความสุขกับการไปโรงเรียน และแม่หมอดูดวงที่ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตตัวเองต่อ
เรารู้สึกประทับใจวิธีการเล่าเรื่องที่เหมือนทำให้เราเข้าไปนั่งอยู่ในความคิดของแต่ละคน เราจะได้รู้มุมมองของคนคนนั้นแล้วก็ค่อยๆ เปิดเผยว่าสิ่งที่คนนั้นคิด กับสิ่งที่เป็นบางทีมันอาจเป็นคนละเรื่องกันเลย ดังนั้นอย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินอะไร
หนังสือเล่มนี้มันคลายกังวลเราด้วยความคิดนี้แหละ ว่ากังวลใจไปก็เท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ เราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าว่ามันจะเป็นอย่างที่เราคิดจริงรึเปล่า