- บทความนี้เล่าถึงการศึกษาที่พูดถึงนักเรียนและชนชั้นทางสังคม จากหนังสือ Learning to Labor : How Working Class Kids Get Working Class Jobs หรือ เรียนไปเป็นแรงงาน ของ Paul Willis
- Willis ตั้งคำถามสำคัญว่า “ภายใต้ระบบทุนนิยมที่เป็นอยู่ในเวลานั้น อะไรที่ทำให้เด็กจากชนชั้นแรงงานได้ทำงานของชนชั้นแรงงาน?”
- การเรียนเพื่อให้คุณสมบัติเหมาะสมตามที่โรงเรียนต้องการนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น (เลื่อนลำดับชั้นทางสังคมได้) มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้พวกเขามองหา “งานอะไรก็ได้” (ที่รู้สึกว่าจะให้โอกาสที่คุ้มค่ากว่า)
หากให้แนะนำหนังสือการศึกษาที่พูดถึงนักเรียนและชนชั้นทางสังคมสักเล่ม ‘Learning to Labor : How Working Class Kids Get Working Class Jobs] หรือ ‘เรียนไปเป็นแรงงาน : เด็กจากชนชั้นแรงงานได้งานในชนชั้นแรงงานได้อย่างไร’ (1977) คือหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งที่ผมนึกถึง หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นจากงานวิจัยและความสนใจเฉพาะของ Paul Willis นักสังคมวิทยาสายวัฒนธรรรมศึกษา (Cultural Studies) ชาวอังกฤษ เขาได้ตั้งคำถามสำคัญว่า “ภายใต้ระบบทุนนิยมที่เป็นอยู่ในเวลานั้น อะไรที่ทำให้เด็กจากชนชั้นแรงงานได้ทำงานของชนชั้นแรงงาน?” สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเรื่องที่สรุปได้อย่างง่ายดายว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่มีทางเลือก
ความเท่าเทียมของโอกาสอาจเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง
ก่อนจะเล่าถึงหนังสือเรียนไปเป็นแรงงาน (Learning to Labor) เพื่อให้เข้าใจถึงที่มาที่ไปของหนังสือเล่มนี้ ผมอยากจะเล่าถึงบริบททางประวัติศาสตร์การศึกษาโลกคร่าวๆ เสียก่อน ย้อนกลับไปราวหลังทศวรรษ 1960 ประเด็นคำถามทางการศึกษาได้ย้ายจากคำถามที่ว่าการศึกษาควรเป็นไปเพื่ออะไร มาสู่คำถามที่ว่าจะทำอย่างไรให้การศึกษาเป็นพื้นที่ยกระดับคุณภาพชีวิต พูดง่ายๆ คือจากคำถามบนแนวคิด progressivism ที่เสนอว่าการศึกษาต้องสร้างประชาธิปไตยและความเท่าเทียมในสังคม ได้แปรเปลี่ยนไปสู่คำถามบนแนวคิดเสรีนิยมที่มองว่าการศึกษาต้องมอบโอกาสให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้แต่ละคนมีโอกาสเลื่อนสถานะทางชนชั้นได้ พร้อมกันนี้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง หรือ Civic rights movement ได้มีการต่อสู้เรียกร้องให้คนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะคนดำมีโอกาสเท่าเทียมกับคนขาวในการเข้าถึงการศึกษา กระแสของโลกในเวลานั้นทำให้นักการศึกษาจำนวนไม่น้อย หันมาสนใจว่าจะทำอย่างไรให้นักเรียนเรียนรู้ได้ดีและประสบความสำเร็จ (ซึ่งก็คือการเลื่อนลำดับชั้นทางสังคม) กระแสดังกล่าวทำให้งานของ Tyler อย่าง Basic Principles of Curriculum and Instruction เข้ามามีบทบาทสำคัญในแง่ของการพัฒนาหลักสูตรและการสอน โดยมีข้อเสนอหลักก็คือหลักสูตรต้องมีการจัดการที่ดี ตอบสนองตามความต้องการของเด็ก และมีเป้าหมายที่ชัดเจน (คลิกอ่านข้อถกเถียงว่าด้วยหลักสูตร https://thepotential.org/knowledge/curriculum/)
แต่ดูเหมือนว่าความเป็นจริงนั้นไม่ได้เป็นไปตามคำป่าวประกาศของฝ่ายปฏิรูปเสรีนิยม ระบบการศึกษากลับกลายเป็นกลไกที่จำแนกนักเรียนแต่ละกลุ่มออกจากกันมากขึ้น ใครมีคุณสมติเพียบพร้อมตามที่ระบบต้องการก็ถูกจัดสรรไปอยู่ในระดับบนของพีระมิดแห่งชนชั้น ในช่วงกลางทศวรรษ 1970 งานเขียน Schooling In Capitalist America ของ Bowles และ Gintis ได้วิพากษ์อย่างจริงจังถึงระบบการศึกษาในเวลานั้นว่าเป็นไปเพื่อตอบสนองระบบทุนนิยม โรงเรียนถูกจัดตั้งให้เป็นกลไกผลิตนักเรียนเพื่อตอบสนองช่วงชั้นทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับงานของ Michael Apple ในช่วงเวลานั้น ที่ชี้ให้เห็นในทำนองเดียวกันว่า โรงเรียนเป็นกลไกทางอุดมการณ์ที่มุ่งรักษาความไม่เท่าเทียมทางสังคมผ่านหลักสูตร
ฝากฝั่งอังกฤษในช่วงทศวรรษเดียวกันนี้ แม้ความสนใจของ Willis จะวางอยู่บนความสนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับระบบทุนนิยม แต่งานของเขากลับให้ข้อสรุปที่ต่างออกไปจาก Bowles Gintis และ Apple (คลิกอ่าน มุมมอง Michael Apple https://thepotential.org/social-issues/career-education/) เขาไม่ได้มองว่าโรงเรียนในระบบทุนนิยมมีอิทธิพลหลัก โดยมีนักเรียนเป็นเพียงวัตถุที่ถูกกระทำ ถูกปรับแต่งให้เข้ากับระบบอยู่ฝ่ายเดียว แต่กลับเสนอว่าที่จริงแล้วภายใต้วัฒนธรรมชนชั้นแรงงาน ทั้งภายในกลุ่มเดียวกันเองและระหว่างกลุ่ม ล้วนมีส่วนสำคัญที่ผลิตซ้ำความสัมพันธ์แบบทุนนิยมให้ดำรงอยู่
เด็กชนชั้นแรงงาน วัฒนธรรมต่อต้าน โรงเรียน และทุนนิยม
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? แล้วมันนำไปสู่การที่เด็กจากชนชั้นแรงงานได้ทำงานในชนชั้นแรงงานอย่างไร?
ใน Learning to Labor Willis มุ่งความสนใจต่อรูปแบบวัฒนธรรมรองของนักเรียนชายกลุ่มเด็กดื้อ (non-conformist) ที่มีภูมิหลังเป็นครอบครัวชนชั้นแรงงาน 12 คน ในโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่ง ในย่านอุตสาหกรรม เขาใช้เวลา 6 เดือน ในการเก็บข้อมูลเชิงชาติพันธุ์วรรณา (ethnography) ในช่วงก่อนจบการศึกษา และไม่กี่เดือนหลังจบการศึกษาของเด็กทั้ง 12 คน (ซึ่งบางคนเริ่มต้นการเป็นแรงงานแล้ว) ด้วยการลงไปสังเกต คลุกคลี สัมภาษณ์ พูดคุย จดบันทึกประจำวันแบบไม่เป็นทางการ รวมถึงยังได้สัมภาษณ์บุคลากรในโรงเรียน คนงาน และครอบครัวของเด็กบางส่วนอีกด้วย
ในโรงเรียน Willis พบว่า กลุ่มเด็กชายเหล่านี้ ไม่ได้รับรู้ตัวตนแบบ passive หรือเป็นวัตถุนิ่งเฉยที่ไม่โต้ตอบใดๆ กับโรงเรียน (ดังที่ ได้ Bowles Gintis และ Apple เชื่อ) แต่พวกเขามีการต่อต้าน โต้กลับต่อโรงเรียนเช่นกัน Willis เรียกสิ่งนี้ว่า ‘วัฒนธรรมต่อต้านโรงเรียน’ หรือ ‘counter-school culture’ ที่ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะดูเหมือนเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ เป็นทางการ และควบคุมอย่างเข้มงวดตลอดเวลาก็ตาม แต่เด็กชายกลุ่มนี้กลับตอบโต้ ท้าทายอำนาจของโรงเรียน และต่อต้านระบบระเบียบที่เป็นอยู่เป็นประจำ พวกเขามักจะก่อกวนครู ไม่ทำการบ้าน ไม่สนใจตารางเรียน แกล้งเด็กที่ตั้งใจเรียน หรือดื่มเหล้าอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ เหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติที่ตรงข้ามกับการเป็นนักเรียนดีที่โรงเรียนอยากให้เป็น วัฒนธรรมเช่นนี้ยังเป็นภาพเดียวกันกับวัฒนธรรมในโรงงาน (shopfloor culture) ที่ชนชั้นแรงงานแสดงออกเพื่อแสวงหาวิธีการตอบโต้เงื่อนไขการทำงานในระบบทุนนิยม
การต่อต้านหรือตอบโต้จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญและไร้เหตุผล แต่พวกเขาเรียนรู้ถึงจังหวะ โอกาส และประเมินความคุ้มค่าของความเสี่ยงและผลลัพธ์ในตำแหน่งที่เขายื่นอยู่เสมอ Willis ยังพบว่า กลุ่มเด็กชายได้ขยายความเข้าใจถึงการทำงานของการศึกษาภายใต้ระบบทุนนิยมด้วยเช่นกัน เช่น การเรียนเพื่อให้คุณสมบัติเหมาะสมตามที่โรงเรียนต้องการนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น (เลื่อนลำดับชั้นทางสังคมได้) มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้พวกเขามองหา “งานอะไรก็ได้” (ที่รู้สึกว่าจะให้โอกาสที่คุ้มค่ากว่า) วัฒนธรรมดังกล่าวได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘Penetration’ ขึ้นมาในตัวของพวกเขา หรือง่ายๆ คือการค่อยๆ รุกคืบความเข้าใจว่าระบบทุนนิยมกำลังกระทำต่อตัวเขาอย่างไร
หากพวกเขาเป็นนักต่อต้านและเห็นว่าทุนนิยมกระทำต่อพวกเขาอย่างไร เหตุใดเด็กจากชนชั้นแรงงานถึงยังได้ทำงานในชนชั้นแรงงานอยู่? งานของ Willis ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า แม้พวกเขาจะมองเห็นอยู่บ้างว่าระบบกระทำต่อพวกเขาอย่างไร แต่ความเข้าใจแค่เพียงบางส่วนกลับไม่สามารถพัฒนาไปสู่การเชื่อมโยงส่วนอื่นๆ เพื่อมองเห็นภาพรวมทั้งหมดได้ เพราะภายในวัฒนธรรมของเด็กและชนชั้นแรงงานเองก็ได้สร้างเส้นแบ่งอำนาจทางเพศและเชื้อชาติขึ้นมาโดยวางอยู่บนแนวคิดความเป็นชายที่เหนือกว่า และพวกเขาเองก็แสวงหางานที่จะสร้างความได้เปรียบภายใต้กฎเกณฑ์นี้เช่นกัน เช่น อย่างน้อยเขา (การเป็นชายผิวขาวทำงานชนชั้นแรงงาน) ก็เหนือกว่าคนอื่นๆ (กลุ่มเพศหญิงและคนเชื้อชาติอื่น) Willis เรียกสิ่งนี้ว่า ‘half rejection’ (การปฏิเสธครึ่งหนึ่ง) ซึ่งทำให้ท้ายที่สุดแล้ว แม้เด็กกลุ่มนี้จะมีการต่อต้าน ตอบโต้ต่อระบบที่เป็นอยู่ แต่นั่นก็เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและจบลงด้วยการยอมรับสภาพ
ดังนั้น การเป็นนักเรียนที่ไม่ดี ดื้อ ต่อต้าน จึงไม่ใช่ผลลัพธ์ที่คาดการณ์ไว้ของระบบการศึกษาแบบทุนนิยม แต่อย่างไรเสียก็แทบจะไม่มีอันตรายต่อระบบด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม Willis ก็ไม่ได้ละเลยโครงสร้างส่วนบน เช่น สื่อสาธารณะ บทบาทของครู การสอน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นตัวแทนทางอุดมการณ์ที่ทำงานสอดประสานกับวัฒนธรรมของกลุ่มเด็ก ทำให้ความเข้าใจต่อระบบไม่สามารถขยายกว้างออกไปได้ (Limitation)
Learning to Labor ให้อะไรกับเราในฐานะครู
แม้งานของ Willis จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้างในประเด็นเรื่องการไม่ได้ศึกษาเด็กผู้หญิงในชั้นแรงงานร่วมด้วย หรือการมองเด็กแบบ ‘เด็กดี’ และ ‘เด็กดื้อ’ ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นมุมมองที่แคบเกินไป ถึงกระนั้นคุณูปการของหนังสือเล่มนี้ที่สำคัญต่อช่วงเวลาปัจจุบันอย่างมาก สำหรับผมมี 3 ข้อหลักๆ ด้วยกัน ข้อแรกเลยคือการดำรงอยู่ของชนชั้นทางสังคมในสังคมทุนนิยม เราไม่สามารถมองว่าระบบเศรษฐกิจเท่านั้นที่กำหนดและควบคุมผู้คนผ่านโรงเรียน โดยมีนักเรียนเป็นผลลัพธ์แบบ passive แต่ความจริงแล้วในระดับวัฒนธรรมเอง แต่ละชนชั้นนั้นต่างก็เป็นตัวแทนทางสังคมที่ผลิตซ้ำและค้ำจุนระบบที่เป็นอยู่อย่างแข็งขันเสียเอง
ข้อที่สอง โรงเรียนไม่ใช่สถานที่ที่ถูกครอบงำโดยสมบูรณ์จากระบบอำนาจ แต่เป็นพื้นที่ของการต่อรอง ต่อสู้ ช่วงชิงได้เช่นกัน หลายครั้งเรามักจะมองว่าการศึกษาถูกครอบงำเป็นหลัก จนหลงลืมว่าในตัวมันเอง การศึกษาก็สามารถเป็นพลังของการปลดแอกจากการครอบงำได้ (คลิกอ่าน แนวคิดการศึกษาเพื่อการปลดแอก https://thepotential.org/social-issues/teacher-as-political-work/) และข้อสุดท้าย เราไม่สามารถพูดเรื่องชนชั้นทางสังคม การต่อต้าน และการศึกษา โดยปราศจากการทำความเข้าใจในเชิงวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับระบบทุนนิยมได้
อ้างอิง
Learning to Labor: How Working Class Kids Get Working Class Jobs Morningside Edition, 1981