- เมื่อพูดถึงอาการ ‘อกหัก’ เชื่อว่าหลายคนคงนึกคิดไปในทางเดียวกันว่าอาการดังกล่าวเกิดจากความผิดหรือพลาดหวังจากความสัมพันธ์หนึ่งอย่างรุนแรง ซึ่งโดยมากก็มักจะเป็นความสัมพันธ์ฉันท์คู่รัก
- แต่เราต่างรู้ดีว่ายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถหักอกเราได้อย่างเจ็บปวด แม้จะไม่ได้เป็นอะไรกันในทำนองนั้น คนที่เราไว้ใจเล่าเรื่องต่างๆ ทั้งดีและร้ายให้ฟัง ซึ่งระดับความไว้ใจนั้นอาจมากพอๆ กัน(หรือมากกว่า!) กับแฟน คนที่ถ้าหากว่าเราเลิกรากับแฟนแล้วเราก็ยังมีพวกเขาอยู่ คนที่เราเรียกว่า “เพื่อน”
- แน่นอนว่าในความสัมพันธ์ การกระทบกระทั่งกันถือเป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่เกิดขึ้นได้เสมอ และอาจไม่ใช่ความผิดของใครเลย นอกจากมุมมองหรือความคิดที่แตกต่างกันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งที่รุนแรงก็สามารถนำไปสู่จุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์ได้
สำหรับชาวฮอร์โมนพุ่งพล่านที่นอกจากจะรับบทเป็นวัยรุ่นวุ่นรักแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่โดดเด่นไม่แพ้เรื่องรักใคร่คือเรื่องพฤติกรรมไหลตามกันของกลุ่มเพื่อน ดังที่เขาว่ากันว่า “ช่วงวัยรุ่น เพื่อนจะมีอิทธิพลต่อเรามาก” ซึ่งแม้จะไม่รู้ว่า ‘เขา’ ที่ว่านี้เป็นใคร แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะไม่ผิดไปจากความจริงเท่าไรนัก เพราะจากประสบการณ์ของทุกคน เชื่อว่าหลายคนต้องเคยทำอะไรตามเพื่อนไม่มากก็น้อย
การไหลตามกันนี้สะท้อนให้เห็นว่าจิตใจของเหล่าวัยรุ่นมีแนวโน้มที่จะผูกติดกับผองเพื่อน พฤติกรรมนี้มีที่มาจากการที่ครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันแรกที่หล่อหลอมเด็กในการเติบโต มีช่องว่างระหว่างอายุมาก ทำให้หลายต่อหลายครั้งมุมมองที่มีต่อปัญหาเดียวกันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่เข้าใจกัน วัยรุ่นจึงเลือกที่จะหันไปพูดคุยกับเพื่อนในช่วงวัยใกล้เคียงกันและให้เพื่อนเข้ามามีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจต่างๆ ในชีวิตแทน
อย่างไรก็ตาม การรักษาความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนก็ไม่ง่ายนัก เมื่อเราบอกคนอื่นๆ ว่าเราเลิกกับแฟน เป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะเข้าอกเข้าใจเหตุผล “อ๋อ เขานอกใจ” “เบื่อล่ะสิ หมดรักหมดโปรแล้ว” “เราเข้ากันไม่ได้” เหตุผลเหล่านี้ช่างง่ายดายเหลือเกินในการอธิบายจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์ฉันท์คนรัก แต่ถ้าหากต้องอธิบายว่าทำไมถึงเลิกคบกับเพื่อน เหตุผลต่างๆ ก็ดูจะไม่เข้าท่าไปเสียหมด แม้ว่าเพื่อนคนนั้นจะทำให้เสียความรู้สึก แต่ก็ยังเป็นเรื่องประหลาดที่จะเลิกคบกัน
เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ที่โรแมนติก มันง่ายเมื่อหัวใจของเราเข้ามาแทนที่ เราใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในความสัมพันธ์ แต่ในมิตรภาพนั้น เราและเพื่อนต้องเลือกกันเอง ต้องตัดสินใจว่าคนๆ นี้เข้ากันได้ดีกับเรา และเราชอบพวกเขามากพอที่จะเปิดใจ บอกความลับทั้งหมดให้และสามารถพึ่งพา ขอคำแนะนำในการตัดสินใจในชีวิตได้ เรารักเขา และหากสนิทกันมากพอ ครอบครัวของเราก็จะรักเขาด้วยเช่นกัน เขาจึงไม่ใช่เพียงคนรู้จัก ในบางครั้งเขาก็เป็นยิ่งกว่าครอบครัว
‘เพื่อนไม่ใช่แค่คนอีกคน แต่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ’
ผู้คนมักจะมีความคิดว่าการเจ็บปวดเพราะเลิกกับแฟนนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ในทางกลับกันการเลิกกับเพื่อนไม่ควรจะเจ็บปวดเท่า เพราะโดยปกติทั่วไปแล้ว เราไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับเพื่อน ซึ่งการไม่ได้มีความสัมพันธ์ในแง่นั้นเท่ากับการไม่ผูกพันลึกซึ้ง แต่ในความจริง แม้การสิ้นสุดทางเพื่อนจะไม่เกี่ยวข้องกับเซ็กซ์ แต่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็รู้สึกไปในทางเดียวกันเมื่อถูกเลิกคบจากเพื่อนว่า “เขาไม่ต้องการฉันอีกต่อไปแล้ว” ซึ่งขัดกับคตินิยมที่มักปรากฏในสื่อทั้งหนังสือและภาพยนตร์ว่ามิตรภาพจะคงอยู่ตลอดไป
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบไหน การที่ต้องเผชิญกับความรู้สึกว่า ‘ไม่มีใครต้องการ’ จึงเป็นเรื่องยากและเจ็บปวดสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนที่มีแนวโน้มจะยึดติดกับความสัมพันธ์ เราอาจไม่เคยถูกปลูกฝังให้มองเพื่อนด้วยมุมมองว่า “ฉันหวังว่าเราจะไปด้วยกันได้ดี” เพราะความคิดแบบนั้นใกล้เคียงกับคู่รักมากกว่า แต่มิตรภาพยังคงถือว่าเป็นประเภทหนึ่งของความสัมพันธ์ – เรายังคงมีปากเสียง มีการผิดใจ ไม่เข้าใจกันในลักษณะเดียวกับความสัมพันธ์รูปแบบอื่นๆ
สิ่งสำคัญคือเราต้องทำให้การเลิกราเป็นเรื่องปกติ เตรียมใจรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ทันตั้งตัว เพราะในจังหวะหนึ่งของชีวิตนั้น เราอาจสิ้นสุดทางเพื่อนได้เสมอ
1. ให้พื้นที่ตัวเองได้เสียใจกับการสูญเสีย
ปล่อยใจให้ตัวเองรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความเสียใจ ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด การพยายามที่จะเข้มแข็งไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะแทนที่จะเผชิญหน้ากับความเศร้า เราแค่เก็บฝังมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ หากมีอะไรไปกระทบก็อาจระเบิดออกมาได้อีก
ไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะปล่อยให้ตัวเองรู้สึกเป็นเด็กน้อย อาจจะดูอ่อนแอนิดหน่อย แต่การพูดว่า “ฉันเจ็บปวดและเสียใจที่ต้องสูญเสียเพื่อน” จะให้ผลดีกว่าต่อสุขภาพจิตใจในช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้า เพราะเมื่อเราต่อสู้ดิ้นรนผ่านจนช่วงเวลานั้นมาได้ เราจะเริ่มถามตัวเองว่าความสัมพันธ์นี้ดีต่อตัวเองแล้วจริงๆ หรือเปล่า เราผูกพันกับคนคนนี้ แล้วเอาการเลิกราไปเปรียบเทียบกับความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์อื่นๆ หรือเปล่า
เราอาจคาดหวังว่าเพื่อนคนหนึ่งจะอยู่กับเราไปนานเหมือนในอุดมคติที่สังคมหล่อหลอม เราจึงเจ็บปวดมากเมื่อต้องสูญเสียใครไป แต่ในเส้นทางชีวิต เรามักทำใครบางคนหล่นหายไประหว่างการเติบโตเป็นธรรมดา
2. ตัดใจ (ถ้าคุณทำได้)
ลองคิดทบทวนว่าอะไรที่ทำให้เราและเพื่อนมาถึงจุดนี้ ลองตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และท้ายสุดแล้วการจบความสัมพันธ์ครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อเราอย่างไรหรือมากขนาดไหน จากนั้นเราอาจลองคุยกับเพื่อน ไม่ใช่เพื่อพยายามเปลี่ยนความคิดหรือเปลี่ยนใจอีกฝ่าย แต่เพื่อให้สามารถตัดใจและมีกำลังใจที่จะเผชิญกับความสูญเสียได้
แต่ถ้ามิตรภาพนั้นจบลงได้ไม่ดี เราอาจจะไม่ได้มีโอกาสปรับความเข้าใจกับเขาแล้ว ก็ให้ทิ้งท้ายไว้ว่า “ขอโทษ” หากเป็นเราที่ทำผิด ต้องขอโทษไม่ว่าพวกเขาจะตอบกลับหรือไม่ก็ตาม ในขณะเดียวกัน หากเรามองว่าไม่ใช่ความผิดของเราก็ให้ปล่อยใจ ก้าวผ่านความเจ็บปวดด้วยการยอมรับว่ามุมมองของเรากับเขาอาจไปด้วยกันไม่ได้
3. move on! (แบบไม่เป็นวงกลม)
เมื่อเราได้ทบทวนความสัมพันธ์แล้วเราก็จะรักษาเยียวยาหัวใจของเราได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในขั้นตอนนี้ เราอาจได้ผ่านการสร้างพื้นที่ให้ตัวเองเสียใจ พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ หรือลบสิ่งต่างๆ ที่ทำให้นึกถึงเพื่อนคนนั้นออกไปแล้ว
เราอาจปรับใจด้วยการขอบคุณเพื่อนคนที่จากไปที่ได้ให้บทเรียน เพราะในทุกการสูญเสีย เราจะเติบโตขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และแน่นอนว่าก่อนการเลิกรา เรากับเพื่อนจะต้องมีประสบการณ์และความทรงจำร่วมกันทั้งดีและไม่ดี การขอบคุณจึงเหมือนเป็นการให้อภัยเพื่อนและให้อภัยตัวเอง ซึ่งอาจบรรเทาความขมขื่นลงได้บ้าง
นอกจากนี้ การออกไปพบกับเพื่อนๆ ที่ยังอยู่เคียงข้างเราก็เป็นทางเลือกที่ดี หรือพาตัวเองไปเจอผู้คนใหม่ๆ ไม่ต้องคาดหวังว่าเราจะเจอเพื่อนแท้เพื่อนตายได้ในชั่วข้ามคืน ค่อยๆ ทำความรู้จักกันไปแล้วให้เวลาช่วยคัดสรร และอย่าลืมเอาใจใส่เพื่อนให้เป็นนิสัย คอยถามไถ่ถึงความเป็นไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ
5. จำไว้ว่าเรายังคู่ควรกับมิตรภาพ
การพบปะผู้คนใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณอายุเกิน 20 ปีแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ปล่อยให้การสูญเสียเพื่อนคนหนึ่งทำให้คุณรู้สึกไม่คู่ควร
ในช่วงชีวิตทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ผู้คนเปลี่ยนไป พวกเราเติบโตขึ้น พวกเขาอาจกลายเป็นคนที่เราไม่รู้จักหรือเป็นคนที่พวกเขาสาบานว่าจะไม่มีวันเป็น และเราก็เปลี่ยนด้วยในแบบของเราเอง เราอาจจะพร่ำเถียงว่าถ้าเราไม่ทำแบบนั้น ถ้าเพื่อนไม่ทำแบบนี้ ทุกอย่างคงจะเป็นเหมือนเดิม แต่จริงๆ แล้วเรารักษาความสัมพันธ์ให้คงเดิมตลอดไปไม่ได้ เราไม่ได้อายุเท่าเดิมเหมือนครั้งแรกที่เจอเพื่อน ไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันเหมือนตอนนั้น ปัจจัยต่างๆ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน สังคมจะทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ดี
การเลิกรากับเพื่อนอาจกลายเป็นอุปสรรคในการหาเพื่อนใหม่สำหรับหลายคน เพราะการยอมรับการสูญเสียและต้องเผชิญกับความรู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้องการนั้นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่เราต้องคอยย้ำกับตัวเองว่าเราเองก็ยังคู่ควรกับการมีเพื่อนดีๆ
สิ่งสำคัญคือ ต้องให้อิสระกับตัวเองและซื่อสัตย์กับความรู้สึก ทำในสิ่งที่เชื่อ เมื่อถึงเวลาก็จะมีแรงดึงดูดคนที่มีความคิดและแนวทางการใช้ชีวิตที่พอดีกับเราเข้ามา สิ่งที่เราทำได้เมื่อต้องเผชิญกับความผิดหวังคือโอบกอดและหวงแหนความทรงจำที่มีค่าเหล่านั้นและเดินหน้าต่อไป
แม้ว่ามันอาจจะรู้สึกว่าเราจะไม่มีวันเดินหน้าต่อไปได้จากการเลิกรากับเพื่อนสนิท แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดจะบรรเทาลง ขึ้นอยู่กับว่ามิตรภาพจบลงอย่างไร เราอาจจะมองย้อนกลับไปและยิ้มโดยนึกถึงความทรงจำดีๆ ที่เคยมีกับเพื่อนคนนี้ มากกว่าความทรงจำที่รู้สึกขมขื่น
อ้างอิง