- เจสซี่ หญิงสาวผู้มีลักษณะแบบตั้งรับ (passive) ใช้ชีวิตสมรสกับ เจอรัลด์ เบอร์ลินเกม ทนายความผู้รุ่งโรจน์ ดูเหมือนเธอดำเนินชีวิตคู่ในลักษณะที่โดนสามีจูงจมูกไปเรื่อย และพบว่าเหตุการณ์ที่พ่อกระทำกับเธอเมื่อเยาว์วัยยังคงไหลเวียนในความสัมพันธ์นี้ และสามีก็กลายเป็นเงาสะท้อนของพ่อ
- ผู้กระทำในเหตุการณ์ทำนองนี้มักมีข้อได้เปรียบไม่ว่าจะเป็นกำลังกาย เศรษฐกิจหรือการให้ท้ายทางวัฒนธรรม ผู้ถูกกระทำที่มีขุมกำลังน้อยกว่าจึงมักถูกบีบให้รู้สึกว่าจำต้องสยบยอมไปชั่วนาตาปี หรือถ้าเป็นบุคคลที่เรายังต้องพึ่งพิง เราอาจกลายเป็นคนที่ละอายใจแทนและคิดว่ามันอาจเป็นความผิดของเรา
- การออกจากรูปแบบความสัมพันธ์ที่เรามีอำนาจต่อรองน้อยกว่ามากหรือไม่มีเลย อาจต้องเจ็บปวดหรือสูญเสียบางอย่างไปบ้าง ทว่าคนที่ขังเราไว้ในกรงเก่าได้อย่างแน่นหนาที่สุดอาจไม่ใช่คนมีอำนาจเหนือที่เคยทำร้ายเราในอดีต แต่คือตัวเราเองในปัจจุบันที่แค่ไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าแลก
1.
เจสซี่ หญิงสาวผู้มีลักษณะแบบตั้งรับ (passive) ได้สละงานการและอิสรภาพมาสมรสกับ เจอรัลด์ เบอร์ลินเกม ทนายความผู้รุ่งโรจน์ โดยดูเหมือนเธอได้ดำเนินชีวิตในลักษณะที่โดนสามีจูงจมูกไปเรื่อย และแล้ววันหนึ่งเจอรัลด์ก็จัดแจงพาเจสซี่ไปพักร้อน ณ บ้านพักติดทะเลสาบ เพื่อที่เขาจะเปิดเกมเพศสัมพันธ์ ‘ของเจอรัลด์’ (ซึ่งสะท้อนว่าเจตนาของทั้ง ‘สองฝ่าย’ ไม่ได้ตรงต้องสนองกันอย่างแท้จริง) ด้วยการจับภรรยาใส่กุญแจมือไว้ติดเตียง ซึ่งแน่ว่าทำให้เขามีอำนาจควบคุมเหนือกว่า ดั่งเช่นที่เขาสามารถคุมภรรยาในมิติอื่นๆ ของความสัมพันธ์ที่ผ่านมาด้วย
เจสซี่ยอมถูกพันธนาการอย่างเสียไม่ได้ ทว่าสุดท้ายสัญญาณความไม่ยอมจำนนก็เริ่มไหลรั่วออกมา เธอขอให้เจอรัลด์ปล่อยแต่เขากลับถือเสียว่าเสียงโอดครวญของเธอเป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทจำเลยรักผู้เปราะบางซึ่งกำลังจะถูกข่มขืน
ทันใดนั้นเจสซี่ถีบเขาร่วง ยังให้สามีหัวใจวายตายโดยพลัน ทิ้งนวลนางร่างผุดผาดให้ตรึงติดอยู่กับเตียง แต่เพียงผู้เดียว
แล้วนารีในที่เปลี่ยวคว้างก็ต้องประจัญหน้ากับสุนัขที่เข้ามาแทะเล็มซากศพอันหอมหื่น หนำซ้ำเงื้อมเงาชวนสยองยังคืบเข้าหาเธอในความมืด กระแสเสียงซึ่งมีบุคลิกภาพหลากหลายเริ่มผุดพรายขึ้นในความคิดของเธอ และสรรพเสียงเหล่านั้นได้พาเธอกลับไปสัมผัสกับเรื่องเลวร้ายในวัยเยาว์ซึ่งถูกฝังกลบไว้ นั่นคือเธอถูกพ่อล่วงละเมิดทางเพศ ณ ริมทะเลสาบขณะเกิดสุริยุปราคา ซึ่งหลังจากนั้นพ่อก็ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเธอเป็นคนผิดและตกลงกันว่าเธอจะไม่บอกใคร ความละอายใจที่เธอได้รับเข้ามาไว้และความรู้สึกนึกคิดต่างๆ
หลังจากเหตุการณ์นั้นยังคงไหลเวียนในความสัมพันธ์ของเธอกับสามีผู้เป็นเงาสะท้อนพ่อทรราชย์ในอดีต ซึ่งรังแต่จะเพิ่มโอกาสการถูกฝืนจิตใจและรู้สึกด้อยค่าซ้ำซ้อนไปอีก เธอตกร่องรูปแบบความสัมพันธ์ที่เธอรู้จักในวัยเด็ก แต่แล้วก็ตระหนักว่าการสมรสเต็มไปด้วยการควบคุมซึ่งทำให้เธอไร้ความสุขเพียงใด
และในสถานการณ์ขังเดี่ยวที่ดูไร้ทางออกนั้นเอง เจสซี่ได้ตัดสินใจทำให้แก้วน้ำที่เข็นคว้ามาได้อย่างยากเย็นแตกออก และนำเศษแก้วมากรีดข้อมือที่ติดอยู่ในกุญแจจนโชกเลือดกระทั่งมือเธอลื่นรอดออกมาได้ และขับรถหนีออกไปได้ในที่สุด
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพ่อ สามี และร่างมหึมาของฆาตกรต่อเนื่องที่เธอได้เจอในบ้านพักแห่งนั้น บัดนี้ก็ไม่ได้ดูใหญ่โตเท่าที่เธอเคยรับรู้อีกต่อไป – เธอเติบโตขึ้นแล้ว
2.
ผู้รอด
หากมองประเด็นให้กว้างกว่าการที่เจสซี่เป็นผู้รอดหลังจากถูกล่วงละเมิดทางเพศ การที่เธอสามารถหลุดออกจากรูปแบบความสัมพันธ์ ซ้ำรอยเดิม ทั้งกับพ่อและสามี ซึ่งท้ายที่สุดเธอได้สลัดบทสาวน้อยผู้อ่อนแอกว่าไปเป็นสาวนักสู้ผู้กล้าได้กล้าเสียที่จะมีชีวิต ก็แสดงให้เห็นด้วยว่าเจสซี่รอดจากการ ทำให้ตัวเองเป็นเหยื่อ ของสิ่งที่ ดูเหมือนมีอำนาจกดทับเธอ ในมิติอื่นๆ ด้วย เมื่อเธอเติบโตขึ้นจากภายใน สิ่งที่เคยมีพลังคุกคามก็ดูเล็กลงไป
เมื่อผู้ลงมืออยู่ในตำแหน่งได้เปรียบกว่าในช่วงชั้นแห่งความสัมพันธ์ และเป็นคนที่เรารัก
อย่างไรก็ตาม หากย้อนไปในขณะที่เกิดเหตุ ผู้กระทำในเหตุการณ์ทำนองนี้มักมีข้อได้เปรียบไม่ว่าจะเป็นกำลังกาย เศรษฐกิจหรือการให้ท้ายทางวัฒนธรรม (เช่น ผู้ใหญ่กับผู้น้อย ผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง พ่อแม่กับลูก ผู้ชายกับผู้หญิงในบางบริบท) ฯลฯ ผู้ถูกกระทำที่มีขุมกำลังน้อยกว่าจึงมักถูกบีบให้รู้สึกว่าจำต้องสยบยอมไปชั่วนาตาปี ราวกับสัตว์ในห้องทดลองที่ถูกตั้งเงื่อนไขให้กลัวโดยสอนให้มันรู้ว่าถ้ายิ่งขัดขืน ก็จะยิ่งโดนแรงดีดกลับมาสากรรจ์กว่าเดิม
หากเราเคยถูกทารุณกรรมหรือทำร้ายในวัยเด็ก ซึ่งใน ตอนนั้น เราไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ โดยเฉพาะหากคนที่ทำเป็นผู้ใหญ่ในครอบครัวซึ่งควรเป็นที่ปลอดภัย เป็นบุคคลที่วัฒนธรรมเทิดทูนซึ่งในอดีตนั้นเรายังต้องพึ่งพิง อีกทั้งแสวงหาความรักจากเขา
ในกรณีเช่นนั้น เราอาจกลายเป็นคนที่ละอายใจแทนและคิดว่ามันอาจเป็นความผิดของเรา เราเริ่มไม่เคารพตัวเอง เราหาข้อแก้ตัวให้เขาและก่นว่าตัวเอง บ้างก็ทำได้เพียงคอยโกรธตัวเองที่เกรี้ยวกราดเป็นบางครั้งเนื่องจากให้อภัยให้เขาไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง หนำซ้ำบ้างก็เชื่อไปแล้วว่าตนเองคู่ควรกับความทุกข์ทรมาน
เราจึงเป็นเหมือนเจสซี่คนเก่าที่ถูกหล่อหลอมให้เส้นกั้นอาณาเขตไม่ชัดเจนและเปิดเปลือยต่อการถูกก้าวล่วงโดย เปิดโอกาสให้ผู้อื่นเสร็จสมอารมณ์ปรารถนาบางอย่างผ่านตัวเรา การยอมถูกขืนใจไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องทางเพศหรือไม่ ก็คือการที่เราจำยอมทำตามความปรารถนาของอีกฝ่ายเรื่อยไปทั้งที่มันทำร้ายเรา ฝืน ขัดต่อเจตจำนงภายในที่แท้ และไม่เอื้อต่อสุขภาวะระยะยาวของเรา
ไม่น่าแปลกที่จะวิถีดังกล่าวจะทำให้รู้สึกติดกับ ถูกจำกัด ลำบากใจและอึดอัด
ประโยชน์ ของการเป็น ‘เหยื่อ’ ติดบ่วง
หากเคยผ่านเหตุการณ์ที่สร้างบาดแผลในใจตอนที่เรายังต้องพึ่งพาคนอื่นอย่างมาก เราก็อาจจะยังขังตัวเองในวิธีคิดแบบ ‘เหยื่อตัวน้อย’ ต่อไปโดยไม่รู้ตัว แม้เมื่อเราเติบโตขึ้นกว่าในอดีตมากแล้ว เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่ในอดีตไม่อาจสู้ชนะที่จะปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นในลักษณะเดิมอันคุ้นชิน เพราะอย่างน้อยมันก็เป็น “ผีที่เรารู้จัก”
และมันก็สะดวกที่จะกล่าวโทษต่อไปว่า ประเด็นต่างๆ ในชีวิตที่เราไม่พอใจเป็นความผิดของคนอื่น (ซึ่งอาจจะใช่ แต่ก็อาจไม่ทั้งหมด) ซึ่งบ้างก็ทำให้เราได้รับความเห็นใจ หรือได้รับมิตรภาพจากผู้คนที่ได้ฟังเรื่องเล่าลักษณะนี้ เหล่านั้นคือประโยชน์ของการเป็นเหยื่อที่ได้รับมาโดยไม่รู้ตัวหรือไม่?
3.
สุริยุปราคาไม่ได้คงอยู่ตลอดกาล : เราอาจเคยถูกกระทำ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตลอดไป
แน่นอนว่าการกระทำทารุณผู้อื่นมิใช่สิ่งน่าสรรเสริญ ผู้ถูกกระทำบางทีก็ตายทั้งเป็น และบ้างก็ค่อยๆ รวบรวมและเยียวยาส่วนเสี้ยวแห่งตัวตนต่างๆ ที่แตกแยก และยังต้องทำงานกับตัวเองในด้านอื่นๆ อย่างหนักหน่วง ซึ่งต้องใช้เวลาและก็อาจจะยังอยู่ในบริบทที่ต้องง้อคนอื่นด้วยอันเป็นเรื่องน่าเห็นใจ สำหรับผู้ที่มีบาดแผลทางจิตใจรุนแรงมาก จึงแนะนำให้ไปหานักจิตบำบัดและ/ หรือจิตแพทย์เพื่อทำงานกับรายละเอียดอันอ่อนไหวเหล่านั้น
แต่ในบางกรณี ผู้เคยถูกกระทำก็แข็งแกร่งขึ้นและไม่ได้ไร้อำนาจดั่งเดิมแล้ว สิ่งที่ดูทรงฤทธิ์กว่าและน่าหวั่นเกรงอย่างยิ่ง อาจเปราะบางกว่าที่เรารับรู้จากความทรงจำในอดีตแล้ว
เราย่อมมีทางเลือก เพียงแต่หลายกรณีเราก็ต้องกล้าเจ็บและกล้าสูญเสีย
ยอมสูญเสียบางอย่างเพื่อชีวิตใหม่
เรามีศักยภาพและทรัพยากรในการผ่าทางตันมากกว่าตอนที่เป็นเด็ก เราสามารถกลับมารักษาสิทธิ์ของตนและเลิกมอบอำนาจให้สิ่งที่อยู่นอกตัวไปอย่างเชื่องๆ ทิ้งความเคยชินในการคิดลบถึงแต่สถานการณ์ที่แย่ที่สุดทั้งที่มีมุมใหม่ๆ ให้มอง และปลดตัวเองออกจากขื่อคา
ทว่าการทะลวงผ่านความเคยชินที่สั่งสมมานานโขก็มักไม่อาจเป็นไปอย่างพลิกผ่ามือเพียงในชั่วข้ามคืน ผู้ที่เชื่อมั่นว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจมั่นคงพอควรแล้วและต้องการทำงานกับโลกภายใน สามารถทำความเข้าใจตัวเองที่อาจมีส่วนส่งเสริมให้ความสัมพันธ์อันบั่นทอนมีอยู่ต่อไป โดยทบทวนตนผ่านคำถามด้านล่างนี้ (พึงปักหมุดอยู่กับมุมมองผู้ใหญ่ในปัจจุบัน และหากข้อไหนทำให้รู้สึกหวั่นไหวเกินไป ก็ขอให้ข้ามไปก่อนเพราะมันอาจไปเปิดแผลที่เราปิดเองไม่ได้ หากรู้สึกว่าต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญก็ไปเสีย) ซึ่งแม้ไม่อาจครอบคลุมความซับซ้อนทั้งหมดของปัจเจก แต่ก็ใช้เป็นจุดเริ่มต้นได้
- เราเลือกจะเล่นบทผู้อ่อนแรงกว่าที่ต้องสยบยอม ซ้ำซากในหลายความสัมพันธ์เพราะลึกๆ ต้องการ “ซ่อม” ปัญหาจากความสัมพันธ์เก่าก่อนหรือไม่?
- เรารู้สึกว่าตัวเองคู่ควรกับความทุกข์ทรมานหรือไม่? มันสมเหตุสมผลจริงหรือ?
- เราได้อะไรจากการเป็นเหยื่อโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือไม่? (เช่น ความเห็นใจและความเกื้อกูลจากผู้ที่รับฟังเรื่องราว)
- เรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีศักยภาพด้านใดหรือไม่? ต่อให้วันนี้ยังไม่เก่งมากเท่าที่ต้องการ เราก็ยังพัฒนาไปเรื่อยๆ ได้ใช่หรือไม่? เราตีความไปเองว่าเราห่วย แย่ ไร้ราคา ทั้งที่คนรอบตัวชื่นชมและให้ค่าเราตั้งมากมายหรือไม่?
- เรารู้สึก “ถูกขัง” เพราะยังคงแสวงหาการยอมรับจากฝ่ายที่เราเห็นว่ามีอำนาจเหนือและจากคนที่เรารักหรือไม่? เรากำลังง้อเขาเรื่องอะไรและเขาต้องง้อเราเรื่องอะไรบ้างไหม?
- หากเราจะยอมรับตัวเองและทางเลือกของเราแม้คนที่เราใส่ใจจะไม่ชอบสักครั้ง เราต้องแลกกับการสูญเสียอะไรไปหรือไม่? (เช่น ถ้าเป็นตัวของตัวเองเราจะต้องเสียแรงทะเลาะกับอีกฝ่าย หรือสูญเสียความสัมพันธ์ หรือความสะดวกสบายอย่างอื่น?)
- ก่อนหน้านี้เรารู้สึกว่ามันไม่คุ้มที่จะแลกใช่หรือไม่? เคยต่อรองและเปลี่ยนวิธีต่อรองบ้างหรือยัง?
- เราจะโทษว่าคนอื่นควบคุมและดูดกลืนพลังชีวิตเราอย่างเดียวได้ไหม หากเราเป็นผู้หยิบยื่นหลอดดูดให้เขาไปเอง?
คำตอบต่างๆ ที่เราตอบตัวเองสามารถช่วยในเบื้องต้นให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้น และเห็นหนทางมากขึ้นในการจะกลับมากุมบังเหียนชีวิตตัวเองอย่างเต็มที่
ซึ่งเมื่อผ่านปราการอันยากเข็ญไปได้ไม่กี่ด่านและมองย้อนกลับไป เราก็อาจตกตะลึงว่าตนเองได้เติบโตขึ้นมากเพียงใดแล้ว