Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: May 2024

‘พฤติกรรมของพ่อแม่มีค่ามากกว่าคำสอน’ แก้ปัญหาลูก…เริ่มต้นง่ายๆ ที่แก้นิสัยตัวเอง
Dear Parents
9 May 2024

‘พฤติกรรมของพ่อแม่มีค่ามากกว่าคำสอน’ แก้ปัญหาลูก…เริ่มต้นง่ายๆ ที่แก้นิสัยตัวเอง

เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เมื่อบ้านไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย ความทุกข์ใจของเด็กน้อยในวันนั้นกลายเป็นบาดแผลในใจและความรู้สึกไม่ดีพอจนกัดกร่อนความมั่นใจในตัวเอง
  • หลังจากได้ฟังมุมมองเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวจาก นพ.สุริยเดว ทริปาตี ปมในใจก็เริ่มคลี่คลาย กลายเป็นเรื่องราวที่เขาอยากสื่อสารให้พ่อแม่ที่อาจจะยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กได้รับรู้ และตระหนักว่าทุกการกระทำของพ่อแม่คือร่องรอยที่ประทับลงในใจลูกเสมอ

ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าบ้านไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยและพ่อแม่คือคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วรู้สึกกลัวมากกว่าอุ่นใจ

พ่อแม่เลี้ยงผมมาแบบค่อนข้างเผด็จการ ห้ามพูดห้ามเถียงห้ามตั้งคำถาม และไม่ค่อยเห็นอกเห็นใจผมยามมีเรื่องทุกข์ใจ ไม่ว่าจะเรื่องเรียนที่พ่อแม่บังคับให้ผมเจริญรอยตามพี่ชาย เรื่องที่ผมถูกรุมทำร้ายในโรงเรียนบ่อยๆ รวมถึงการบังคับให้ผมทำสิ่งต่างๆ ที่พ่อแม่เองก็ไม่เคยทำเป็นตัวอย่างให้เห็นสักครั้ง 

แน่นอนว่าหลายครั้ง ผมพยายามเปิดใจคุยกับพ่อแม่เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจเหล่านี้ แต่เชื่อไหมครับว่าทุกครั้งต้องจบลงด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจของผม เพราะพ่อแม่ไม่เพียงแต่ไม่เคยรับฟังจนจบ แต่ยังดุด่าผมราวกับผมเป็นต้นเหตุของปัญหา 

เช่น หากผมโดนเพื่อนรุมทำร้ายเพราะผมไม่ยอมให้เงิน…พ่อแม่จะคิดไปเองว่าเป็นเพราะผมมันเกเร ไม่ตั้งใจเรียน และชอบไปกวนตีนเพื่อน หรือหากผมได้คะแนนวิชาคณิตศาสตร์ต่ำกว่าพี่ชาย…พ่อแม่ก็จะด่าว่าเป็นเพราะผมไม่ตั้งใจเรียนโตมาคงเป็นได้แค่คนเหลวแหลกที่ใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่สนใจว่าเกรดวิชาภาษาไทยกับวิชาประวัติศาสตร์ของผมได้คะแนนสูงจนติดท็อป 3 ของห้อง

ระหว่างนั้นหากผมพูดเสียงดังหรือพูดไม่ถูกหูในเรื่องที่ผมเจ็บปวดเป็นพิเศษ ฝ่ามือของพ่อก็จะฟาดมาที่ผมข้อหาพูดจาไม่มีมารยาทกับพ่อแม่ ขณะที่พ่อแม่กลับมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะขึ้นเสียงหรือพูดจาหยาบคายยังไงกับผมก็ได้ หรือถ้าพ่อแม่รู้ตัวว่าผิดและไม่สามารถแก้ต่างให้ตัวเองได้…คำว่า “กูสั่งให้มึงหุบปาก” จะถูกนำมาใช้เป็นไพ่ตายเสมอ 

เมื่อไม่กี่เดือนก่อนผมลองเอาเรื่องนี้ไปคุยกับแม่อีกครั้ง เพราะอยากให้รู้ว่าผมรู้สึกแย่แค่ไหนในตอนนั้น เชื่อไหมครับว่าผลลัพธ์ที่ได้คือการไม่รับฟัง การปฏิเสธราวกับว่าไม่เคยมีเหตุการณ์นั้น พร้อมขึ้นเสียงใส่ผมว่า “อย่ามาใส่ร้ายพ่อแม่นะ” จนผมรู้สึกว่าคุยกันต่อไปก็ไร้ประโยชน์   

ถ้าถามว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำกับผม ส่งผลกระทบอะไรกับผมบ้าง ผมอยากบอกว่าผมค่อยๆ เปลี่ยนจากคนร่าเริงในช่วงประถมกลายเป็นคนหม่นหมองในวัยมัธยม ก่อนจะใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงและมองโลกในแง่ร้ายมาถึงปัจจุบัน

เรียกได้ว่าทุกวันนี้ต่อให้ผมนั่งพักหรืออยู่เฉยๆ คนเดียวในวันหยุด ผมมักเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นั่นคงเพราะตอนเด็กๆ หากผมนั่งว่างๆ โดยไม่อ่านหนังสือเรียนหรือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ (ในสายตาพ่อแม่) พ่อแม่ก็มักจะโผล่มาจากข้างหลังและด่าผมเสียงดังเป็นประจำว่าผมมันก็แค่คนขี้เกียจที่เอาแต่ผลาญเวลาไปวันๆ พร้อมกับสั่งให้ผมหยิบหนังสือเรียนมาอ่านหรือลงโทษให้ผมไปทำงานร้อนๆ กับลูกน้องของพ่อ

ผมยังคงจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกคาใจและเริ่มตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วอาจเป็นตัวผมก็ได้ที่เป็นตัวปัญหาอย่างที่พ่อแม่ชอบพูดบ่อยๆ กระทั่งไม่นานนี้ ผมได้ฟังการให้สัมภาษณ์ของ ‘หมอเดว’ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี  กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเวชศาสตร์วัยรุ่น ที่พูดถึงประเด็นความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ทำให้ผมได้ปลดล็อกกับตัวเองว่า แท้จริงแล้ว…ผมไม่ได้เป็นคนผิดปกติหรือไม่ดีอย่างที่พ่อแม่กรอกหูมาทั้งชีวิต

หมอเดวบอกว่าสิ่งที่พ่อแม่มักเข้าใจผิดคือ การนิยามว่า ‘เด็กคือผ้าขาว’ ทำให้พ่อแม่หลายคนเลือกที่จะเลี้ยงลูกให้เป็นในสิ่งที่ตัวเองต้องการ หรือถ้าในครอบครัวที่พ่อแม่มีลูกหลายคน แล้วประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกคนโตแบบนี้ พ่อแม่มักจะนำวิธีการเลี้ยงแบบเดิมมาใช้กับลูกคนถัดไปโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของลูกแต่ละคน

“อย่าลืมนะ เด็กไม่ใช่ผ้าขาว…อย่าเข้าใจผิด มันมีเด็กจำนวนหนึ่งที่เลี้ยงง่ายเข้ากับระบบได้ แต่คุณไม่คิดเหรอว่านอกจากเด็กเลี้ยงง่าย มันมีเด็กอีก 3-4 สายพันธุ์คือ เด็กเลี้ยงยาก เด็กบ้าพลัง เด็กอ่อนไหวง่าย และเด็กที่ผีเข้าผีออก บางวันเลี้ยงง่ายบางวันเลี้ยงยาก”

หมอเดวบอกต่อว่าพ่อแม่หลายคนมักคิดว่าลูกคือต้นเหตุของปัญหาต่างๆ แต่กลับไม่เคยย้อนดูว่าแท้จริงแล้วตนอาจเป็นผู้ก่อปัญหาตัวจริง พร้อมกับแบ่งประเภทของพ่อแม่ที่สร้างพฤติกรรมเสี่ยงอันเป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนให้สายสัมพันธ์ในครอบครัวอ่อนแอลง หรือมากกว่านั้นอาจกลายเป็น Toxic Parents ไปเลย

“จะมีพ่อแม่ 5 แบบที่มีพฤติกรรมเสี่ยงคือ หนึ่ง ไม่มีความรู้ไม่มีทักษะในการเลี้ยงลูก สอง มีความรู้มีทักษะแต่ขี้เกียจเลี้ยงลูก สาม เสียโอกาสในการเลี้ยงลูก สี่ เลี้ยงแบบสำลักความรัก และสุดท้ายคือครอบครัวที่ไม่สมควรเป็นพ่อแม่ ไม่รู้เรียกว่าเป็นพ่อแม่ได้อย่างไร พ่อแม่ 5 ประเภทนี้กำลังสร้างพฤติกรรมเสี่ยงเต็มไปหมด

นอกจากนี้หนึ่งใน Hot Issue ที่เป็นประเด็นของประเทศคือ วิธีการสื่อสารภายในบ้าน ไม่น่าเชื่อนะว่าขนาดปัจจัยเกื้อหนุนคืออยู่ด้วยกันแท้ๆ แต่พร้อมบวกกัน ลูกกับพ่อแม่คุยกันไม่ได้ อยากถามพ่อแม่ทั้งหลายว่าท่านแน่ใจนะว่าท่านคุยกับลูกรู้เรื่อง”

ระหว่างที่หมอเดวกำลังอธิบายเรื่องเหล่านี้ ผมเกิดสะดุดใจกับตัวอย่างคำถามในงานวิจัยเรื่องทุนชีวิตที่หมอเดวทำต่อเนื่องมากว่า 16 ปี โดยคำถามนั้นระบุว่า “ฉันมีผู้ปกครองที่ปรึกษาได้ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่/ฉันมีพ่อแม่ที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้/ฉันรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเมื่อเข้าบ้าน” ซึ่งแน่นอนว่าผมให้คะแนนต่ำสุดในทุกคำถาม

หมอเดวเล่าต่อว่าหากพ่อแม่ต้องการให้ลูกเป็นคนใจเย็น พูดคุยกันอย่างมีเหตุมีผลโดยไม่ใช้อารมณ์ สิ่งสำคัญคือตัวพ่อแม่ต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างก่อน เพราะที่สุดแล้วพฤติกรรมของพ่อแม่ย่อมมีค่ามากกว่าคำสอน

“วิธีการสร้าง Self ให้ลูก…ไม่เห็นยากตรงไหน มันยากตรงที่ทุกวันนี้บ้านมันไม่เป็นบ้าน แล้วจิตสำนึกของผู้ใหญ่มันไม่เปิด คือแม้แต่พ่อแม่เองก็รับคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ว่าตกลงฉันไม่ดีตรงไหน เขาไม่ได้ก้มลงมองดูตัวเองเลยนะว่าตัวเองนั้นกำลังเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกหรือไม่

หมอคิดว่าการสร้าง Self ข้อแรกคือ Open Mindset ผู้ใหญ่ก้มลงมองดูตัวเองสักหน่อย สองคือเมื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองก็เปิดโอกาสให้ลูกด้วยสิ มันไม่มีอะไรที่สำเร็จรูปตายตัวนะว่าถ้าคนพี่เก่งวิทย์คณิตแล้วลูกคนน้องต้องเก่งวิทย์คณิตตาม 

ทำไมหมอถึงออกมาพูดว่าเด็กไม่ใช่ผ้าขาวเพราะหมอกำลังจะส่งสัญญาณให้กับพ่อแม่ว่าอย่าเลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ เพราะถ้าท่านเลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ งานนี้มีเจ็บแน่นอน 

แต่ที่มันยากเพราะหลายคนอัตตาสูง ฉันไม่ก้มลงมองตัวเอง แต่แกต้องทำ ฉันจะไม่ฟังเสียงแก ไม่ให้โอกาส เพราะฉันมีชุดความคิดว่าทั้งหมดจะต้องเรียนต้องทำงานสไตล์นี้ทั้งหมด คือถ้าชุดความคิดฟิกซ์แบบนี้ ไม่มีแม้กระทั่งการเปิดโอกาส Self พังครับ Self ไม่เหลือครับ เด็กจะมีภาวะซึมเศร้ารุนแรง คือซึมเศร้าตามชื่อ และการออกมาก่อการใช้ความรุนแรงแต่ก็ซ่อนนัยด้วยความเศร้า เพราะบางคนใช้ความรุนแรงเพราะ Self มันพังมันไม่เหลืออะไรดีเลย ดังนั้นดีไม่ได้ก็เลวไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย”

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าลูกแต่ละคนจะมีพื้นฐานจิตใจหรือผ้าสีอะไรติดตัวมาแต่เกิด หมอเดวมองว่าสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนควรมีเหมือนกันคือ 5 วิธีที่จะทำให้ครอบครัวกลายเป็นพื้นที่แห่งสันติสุขสำหรับเด็กๆ

“หนึ่งคือ รัก อบอุ่น และไว้วางใจ ซึ่งรักนั้นต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ไม่ใช่รักเอาแต่ความสุข เช่น การทำงานบ้านเป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุข ยิ่งถ้าพ่อแม่ลูกทำด้วยกันหมดยิ่งมีพลังสูง ไม่ใช่ทุกคนทำแต่พ่อแยกตัวเพราะทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน ดังนั้นถ้าพ่อแม่ทำต่อเนื่องด้วยลูกก็จะปฏิเสธยาก ความคุ้นชินจะมี พอโตขึ้นเขาจะมีความรับผิดชอบต่อตัวของเขาเอง

สองคือ ผู้ใหญ่ต้องเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังให้มาก ฟังมีสามระดับนะคือฟังอย่างมีสติไม่ออกความเห็นใดๆ ระดับที่สองคือฟังแล้วสะท้อนความรู้สึกดีๆ ให้กำลังใจ และสามคือฟังแล้วเหลาความคิดคือใช้คำถามปลายเปิด แล้วลูกรู้สึกยังไง ถ้าลูกของแม่เจอปัญหานี้จะแก้ไขยังไง

สามคือ ตัวเองต้องเป็นต้นแบบที่ดี อยากให้ลูกเป็นอย่างไร พ่อแม่ก็ต้องเป็นแบบนั้น ยกตัวอย่างถ้าพ่อแม่อยากให้ลูกควบคุมอารมณ์ได้ พ่อกับแม่ควบคุมอารมณ์ตัวเองยังไง พวกนี้มันต้องทำต้องจัดการตัวเองจนกลายเป็นต้นแบบที่ดีที่ทำให้ลูกดูจนกลายเป็นวิถีชีวิต

สี่คือ บ้านต้องมีวินัย โดยพ่อแม่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นนะ เพราะพ่อแม่หลายคนเซ็ตวินัยไว้ให้ลูกเดินตาม แต่พ่อแม่คือข้อยกเว้น…แบบนี้เจ๊งเลย วินัยที่ออกแบบมานั้นไม่ใช่วินัยที่ใครคนใดคนหนึ่งออกแบบ แต่เป็นการออกแบบร่วมกันและยึดหยุ่นได้

ส่วนข้อที่ห้าคือ การยอมรับความสามารถของลูกที่หลากหลายและให้เกียรติลูก การให้เกียรติลูกหมายความรวมไปถึงเวลาคุณจะเอาภาพลูกไปลงในสื่อสาธารณะ คุณขออนุญาตลูกยัง พ่อแม่โปรดเข้าใจด้วยนะว่าลูกไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ที่คิดอยากจะทำอะไรก็ทำโดยไม่ต้องขออนุญาต อย่าเข้าใจผิด ลูกไม่ใช่ทรัพย์สมบัติแต่เป็นของขวัญของพ่อแม่ ถ้ามันเกิดข้อพวกนี้ได้นะ หมอไม่คิดว่าจะมีบ้านไหนที่พร้อมบวกกันภายใน มันจะกลายเป็นบ้านแห่งสันติสุขทันที”

Tags:


Author:

illustrator

อัฒภาค

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to get along with teenager
    การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.5 ‘ตัวตนภายในที่แข็งแรง ภายนอกจึงไม่เปราะบาง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.4 ‘ความวิตกกังวลสูงในเด็ก’ อาจเริ่มต้นจากความกังวลของพ่อแม่

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์
Social Issues
7 May 2024

All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • ประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนที่เข้าไม่ถึงระบบการศึกษากว่า 4 ล้านคน และซ้อนทับกับปัญหานี้คือคุณภาพการศึกษาที่ไม่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้
  • ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาถือเป็นโจทย์ใหญ่ของกสศ. ในการค้นหานวัตกรรมเพื่อช่วยให้เด็กและเยาวชนสามารถเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น บนความคาดหวังว่าพวกเขาจะก้าวพ้นวงจรความยากจนข้ามรุ่น
  • ระบบการให้ทุนที่ตอบโจทย์ นอกจากจะต้องไปไกลกว่าการสงเคราะห์ โดยมุ่งเน้นการดูแลเด็กแบบองค์รวม ยังต้องเป็นการศึกษาที่ยืดหยุ่น ส่งเสริมให้เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพได้อย่างเหมาะสม

เป็นความจริงที่ว่า การศึกษาเปลี่ยนชีวิตคนได้ (ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง) แต่สำคัญกว่าความเข้าใจในเรื่องนี้ คือทำอย่างไรให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพได้

โจทย์ยากนี้เป็นทั้งภารกิจขององค์กรและแรงผลักดันส่วนตัวของ ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมและส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่มองว่าความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาไม่ใช่แค่เรื่องความยากจน และการให้โอกาสไม่ควรเป็นแค่การสงเคราะห์

ผอ.ธันว์ธิดา เล่าว่าตนเองเคยทำงานสายพัฒนาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศ ก่อนจะมีโอกาสมาทำงานด้านการศึกษาเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว โดยเน้นเรื่องของการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส กระทั่งได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการก่อตั้งองค์กร กสศ. 

“ตอนนั้นประเทศไทยกำลังมีปัญหาด้านการศึกษาอยู่พอสมควร จึงมีการผลักดันว่าทำอย่างไรการปฏิรูปการศึกษาถึงจะเป็นตัวช่วยได้มากขึ้น โดยจากประสบการณ์ของประเทศชั้นนำทางการศึกษา เช่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง หรือสิงคโปร์ พบว่าเขาจะมีหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเรื่องของทั้งกระตุ้นและส่งเสริมนวัตกรรม เราจึงมองว่าประเทศไทยน่าจะมีหน่วยงานลักษณะนี้ที่จะมาเป็นกลไกในการทำงาน จึงได้มีการผลักดันให้เกิด พ.ร.บ. กสศ. ขึ้นมา แล้วก็ทำเรื่องส่งเสริมการเรียนรู้ด้วย” 

ปัญหารากฐานที่กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของกสศ. ก็คือ ‘ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา’ คุณธันว์ธิดามีมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างไร

คือแต่เดิมนั้น โจทย์เรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามันแทบไม่ค่อยพูดถึงเลย ส่วนใหญ่จะพูดถึงเรื่องคุณภาพการศึกษาไทยไม่ดี ในเรื่องของระบบการเรียนการสอน แต่จริงๆ แล้วมันเป็นปัญหาที่เชื่อมโยงกันค่ะ จนมาถึงยุคหนึ่งที่เราทำข้อมูล เราถึงได้เจอว่า จริงๆ แล้วความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานั้นมีมากกว่าที่คิดด้วยซ้ำว่าเรากำลังพูดถึงเด็กยากจนที่ยังขาดโอกาสจำนวนมาก 

อีกอันหนึ่งคือ คุณภาพการศึกษาที่ไม่ใช่แค่คุณภาพการศึกษาแบบรวม แต่เรากำลังพูดถึงว่าคุณภาพการศึกษาเด็กในเมืองกับเด็กชนบทนั้น ความรู้ห่างกันสัก 3 ปีการศึกษา ทั้งๆ ที่เขาอยู่วัยเดียวกัน เขาควรจะได้รับคุณภาพการศึกษาเหมือนกัน แต่ว่าคุณภาพการศึกษามันมีความแตกต่างกัน แค่คุณเข้าเรียนคนละที่ ในเมืองกับชนบท

ทีนี้เราก็ทำให้เห็นว่ามันมีมิติของทั้งเรื่องฐานะ ทั้งเรื่องของคุณภาพการศึกษาด้วยนะคะ เพราะฉะนั้นแล้วมวลค่อนข้างใหญ่ ตอนที่ กสศ. เริ่มต้นขึ้นเรามีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่พบว่าเด็กเยาวชนมีถึง 4 ล้านคนที่ยังเข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษาด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ แล้วพอเราเข้ามาดูข้อมูลลึกขึ้นเรื่อยๆ ถึงเจอว่ามันไม่ใช่แค่จำนวน แต่มันเห็นด้วยว่าถ้ายิ่งเด็กเยาวชนที่มาจากฐานะยากลำบาก โอกาสที่จะได้เรียนจบ ม.3 หรือเรียนมาถึง ม.6 หรือปริญญาตรีนั้นน้อยลงไปเรื่อยๆ ซึ่งมันไม่ควรจะเป็น เพราะเรากำลังพูดถึงการศึกษาที่ทุกคนน่าจะเข้าถึงทั้งหมด 

ซึ่งพอเราซูมเข้าไปดูว่ากลุ่มที่มีฐานะยากจนเข้าถึงการศึกษาน้อยแค่ไหน พบว่ากลุ่มนี้ซึ่งเป็นฐานล่างสุดของประเทศประมาณ 20% นั้น เรียนถึง ม. 3 แค่ 76% เรียนถึง ม. 6 ประมาณ 25%  เรียนต่อ ป.ตรี แค่ 8% แต่ถ้าเทียบกับค่าเฉลี่ยทั้งประเทศจะสูงกว่าประมาณ 2 ถึง 6 เท่า เพราะฉะนั้นกลุ่มนี้คือ Gap ที่ใหญ่มาก มันเหมือนปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรมที่หลายคนอาจมองไม่เห็น แต่พอ กสศ. มีภารกิจในการทำเรื่องนี้ ทำให้ได้มีโอกาสซูมลงไปดูแล้วเราเห็นว่าจริงๆ แล้วมันมีรายละเอียดพอสมควร  

ที่สำคัญเราพบว่า เดิมเรามักจะพูดถึงความเหลื่อมล้ำในมิติเศรษฐกิจเยอะ เด็กยากจนอะไรอย่างนี้นะคะ แต่จริงๆ แล้วมันมีเรื่องที่ซับซ้อนมากกว่านั้น มีเรื่องของชาติพันธุ์ มีเรื่องของเมืองกับชนบท และในเมืองเองก็ยังมีคนจนเมืองอีก เพราะฉะนั้นมันมีหลายบริบทมาก และมีความซับซ้อนมากกว่าที่เราคิด คนที่เรียกว่ายากจนก็จะจนแทบทุกมิติ สุขภาพรวมถึงสุขภาพจิตด้วยนะ เขามีปัญหาครอบครัวเขาก็เปราะบาง และพื้นที่ก็ห่างไกล อย่างนี้เป็นต้น แล้วยังไม่นับเรื่องคุณภาพการศึกษาด้วย เพราะฉะนั้นมันมีหลายมิติมาก แต่เดิมเข้าใจว่าเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ถ้าช่วยเรื่องเงินก็คงจะทำให้เขาอยู่ได้ แต่จริงๆ แล้วไม่พอค่ะ เรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นเรื่องของระบบที่มีความสัมพันธ์กันและค่อนข้างซับซ้อน

ความเข้าใจตรงนี้ถูกนำมาเชื่อมร้อยกับภารกิจของสำนักพัฒนานวัตกรรมและส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้อย่างไรคะ

งานที่ดูแลจะเน้นไปที่กลุ่มเยาวชนเป็นหลักนะคะ ตอนนี้ประเทศไทยกำลังเจอกับสถานการณ์ที่คนเกิดน้อย ขณะเดียวกันเยาวชนของเราก็มีปัญหาค่อนข้างเยอะ แล้วตอนนี้ยิ่งมีความท้าทาย เช่นเรื่องดิจิทัลมีเดียที่เข้ามากระทบกับกลุ่มนี้ เพราะฉะนั้นโจทย์เยาวชนก็เป็นโจทย์หนึ่งที่ กสศ. มองว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญมากในการทำงาน เพราะถ้าเราสามารถพัฒนาเขาได้ เขาก็จะเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศต่อไปได้อีกหลายสิบปีเลย 

กสศ. เราก็จะมองโจทย์ก่อนค่ะว่ากลุ่มเป้าหมายเยาวชนนั้นมีปัญหาเรื่องอะไรอยู่ กลุ่มนี้เมื่อกี้เล่าไปแล้วคือ ปัญหาเรื่องการเข้าถึงโอกาสการเรียนรู้ที่สูงกว่าม.3 และสูงกว่าม.6 เพราะฉะนั้นงานหนึ่งที่เราทำก็คือการตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ โดยดูว่ามีนวัตกรรมอะไรบ้างที่จะทำให้เขาหลุดออกจากความยากจนได้โดยใช้การศึกษา ซึ่งเราเจอ Pain Point หนึ่งคือ เราพบว่าเยาวชนกลุ่มนี้นั้นระบบการศึกษาปัจจุบันไม่ได้ทำให้เขาได้ทำงาน จบมาแล้วก็ยังไม่สามารถทำงานได้ นายจ้างก็ไม่ยอมรับ ค่าจ้างก็ยังต่ำอยู่ จึงทำให้เรามีเรื่องนี้ด้วย 

ถ้ามองมาที่ระบบการศึกษา เรามีอาชีวศึกษาหรือสายอาชีพอยู่ แต่ว่าระบบการศึกษานี้ก็ยังไม่ค่อยตอบโจทย์นายจ้าง ฉะนั้นเราจึงเอาทั้ง 2-3 โจทย์นี้มาตั้ง แล้วก็ออกแบบมาเป็นโปรแกรมโปรแกรมหนึ่งสำหรับน้องๆ เยาวชนที่อยู่ในระบบ เราเน้นในระบบก่อนนะคะ เราเรียกว่า ‘ทุนการศึกษาสายอาชีพ’ ที่เราคิดว่ามันเป็นนวัตกรรมการทำงานที่ใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการช่วยให้หลุดอออกจากความยากจนได้ 

ระบบทุนการศึกษาสายอาชีพ เราต้องการแก้สองเรื่องคือ หนึ่ง เยาวชนที่ไม่มีโอกาสเรียนสูงเกิน ม.3 เกิน ม.6 เราก็ให้ทุนการศึกษาเขาไปเรียน อันที่สอง ก็คือคุณภาพการศึกษาของสายนี้ คือเรามองว่าการศึกษาที่เหมาะสมกับกลุ่มนี้ต้องเป็นสายอาชีพแน่นอนคงไม่ใช่สายสามัญ เพราะสายสามัญนั้นส่วนใหญ่เขาจะมุ่งไปเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นอีกเส้นทางหนึ่ง แต่ด้วยภูมิหลังของน้องๆ กลุ่มนี้ ครอบครัวเขาคงอยากให้รีบเรียนและรีบทำงานแล้วมีทักษะอาชีพที่ดี  เราเลยส่งเสริมไปที่สายอาชีพ ซึ่งรวมถึงอาชีวศึกษาด้วย เราจึงทำงานทั้งสองคู่ขนานกันไป ก็เลยออกแบบมาเป็นทุนแฝด คือ ‘ทุนเด็ก’ กับ ‘ทุนสถาบัน’ ทำงานกับสถาบันการศึกษาเพื่อดูแลน้องๆ กลุ่มนี้  

เราคิดว่ามันเป็นระบบทุนการศึกษาที่มองหลายๆ นวัตกรรมและโจทย์ปฏิรูปไปพร้อมๆ กัน ไม่เพียงแค่พูดเรื่องเด็กเข้าไปเรียน แต่พูดว่าทำอย่างไรให้เด็กได้ทักษะ ทำอย่างไรให้เด็กมีงานทำแล้วมีอาชีพด้วย ผ่านการศึกษาที่ตอบโจทย์มากที่สุด 

ซึ่งการทำงาน 5 ปีที่ผ่านมาเราพบว่าการศึกษาสายอาชีพตอบโจทย์น้องๆ ได้จริงๆ ถ้าเราคัดเลือกสาขาที่ตรงและใช่ เด็กจะเปลี่ยนชีวิตได้ ภายในไม่ต้องถึงชั่วคนด้วยนะ ทำงานแค่ 1 ปี 2 ปี เขาก็มีรายได้สูงที่สุดในบ้านแล้ว ถ้าเป็นสาขาที่ใช่นะ เพราะฉะนั้นจากข้อมูลก็คือมันสามารถยกเขาออกจากความยากจนได้จริงๆ  

แล้วขณะเดียวกันนั้นตัวสถานศึกษาเองที่ทำงานกับเราในเรื่องนี้ เขาก็เป็นหน่วยจัดการที่สำคัญมาก เขาเป็นหน่วยบ่มเพาะเยาวชนกลุ่มนี้ เพราะเยาวชนกลุ่มนี้ถ้าให้แค่เงินแล้วเข้าไปเรียน ไม่ได้แปลว่าเขาจะรอด เพราะเราก็เจอเหมือนกันค่ะว่ากลุ่มนี้มีความเปราะบางมากกว่าที่เราคิดเยอะ เรื่องเงินไม่ใช่แค่ปัจจัยสำคัญปัจจัยเดียว แต่มันเป็นเรื่องระบบดูแลที่สถานศึกษาหรือครูอาจารย์จะต้องมีความสามารถในการดูแลเยาวชนที่มีความเปราะบางแบบองค์รวม ไม่ใช่แค่อาชีพ ไม่ใช่แค่วิชาการ แต่เรื่องชีวิตเขาด้วย ถ้าเราสามารถดูแลทั้งหมดได้มันก็จะเป็นระบบนิเวศที่ช่วยเด็กกลุ่มนี้ได้ เพราะฉะนั้นทุนนี้ก็เป็นแผนงานที่ทำอยู่และเป็นแผนหนึ่งที่ กสศ. ทำงานเป็นตัวแบบ

อันที่สองคือเรามองกลุ่มที่ไม่ใช่แค่เยาวชนในระบบ เรากำลังพูดถึงเยาวชนนอกระบบ กับประชากรแรงงานนอกระบบ กลุ่มนี้ก็ใหญ่มากเหมือนกัน คือคนที่ไม่ได้อยู่ในรั้วโรงเรียนแล้ว และก็น่าจะเสียเปรียบมากที่สุดเพราะเขาอยู่ข้างนอกแล้ว มันไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวเขาแล้ว ซึ่งเรามองว่ากลุ่มนี้จำนวนไม่น้อยนะคะ เฉพาะกลุ่มเยาวชนอย่างเดียว ช่วงอายุ 15-24 ปี มีประมาณ 1.3 ล้าน ประมาณ 14% แล้วในจำนวนนี้ 70% เป็นแม่วัยใสด้วย กลุ่มนี้ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เขาจะกลายเป็นแรงงานนอกระบบ เขายุติการศึกษาแค่ ม.3 หรือแค่ ม.6 แล้วรายได้เขาจะเป็นรายได้ขั้นต่ำหรือทำงานที่อันตรายที่ไม่ปลอดภัย หรือทำงานที่ทักษะต่ำมากๆ ก็จะทำให้ประเทศไทยขยับยากมากเลย เพราะเรามีกำลังคนรุ่นใหม่ที่เราไม่ใช้ศักยภาพเขาค่ะ จริงๆ เราต้องมองว่า เขามีศักยภาพแต่ไม่ได้รับโอกาส เรากำลังเสียศักยภาพกลุ่มนี้ไปจำนวนไม่น้อย ด้วยการที่เขาไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาหรือการฝึกอบรมนะคะ อันนี้ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เราทำ 

เพราะฉะนั้นเราก็พยายามหาคำตอบให้กับกลุ่มนี้เหมือนกันว่าการศึกษาอะไรที่มันตอบโจทย์ เพราะกลุ่มนี้ต้องบอกว่าเขาหันหลังให้กับการศึกษาแล้ว และสิ่งที่ทำให้เขาหลุดไม่ใช่ความยากจนด้วยนะคะ แต่เป็นเพราะระบบการศึกษาไม่ตอบโจทย์ เขารู้สึกว่าเรียนไปก็ไม่มีความหมาย ไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่รู้จะทำอะไร เพราะฉะนั้นเราต้องมาตีโจทย์ว่า การศึกษาแบบไหนที่จะตอบโจทย์กลุ่มนี้  

จากที่ทำงานมาก็คิดว่าน่าจะเป็นการศึกษาที่ยืดหยุ่นนั่นแหละ แต่ว่ายืดหยุ่นมันมีรูปแบบไหนบ้าง อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ กสศ. พยายามหาคำตอบ ซึ่งเราก็เจอว่า ‘การจัดการศึกษาแบบใช้ชุมชนเป็นฐาน’ เป็นหนึ่งในคำตอบที่น่าจะช่วยเรื่องการศึกษากับกลุ่มนี้ได้ เพราะว่าเป็นการทำงานที่อยู่ในพื้นที่ ได้ใช้ศักยภาพที่มี โดยดูว่าตรงนั้นสามารถประกอบการอะไรได้บ้าง และมีเครือข่ายใครบ้าง เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กในชุมชนได้ไหม หรือเป็นแรงงานในชุมชน ตรงนี้น่าจะเป็นหนึ่งในคำตอบที่เราเจอนะคะ

 การเรียนรู้ของกลุ่มนี้เราเจออีกอันหนึ่งว่า ถ้าให้เขาไปเรียนปกติ เป็นการเรียนแบบเดี่ยวที่ครูอยู่หน้าห้องเรียนน่าจะไม่เหมาะ กลุ่มนี้เหมาะกับการเรียนรู้แบบรวมกลุ่มทำกิจกรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่เราพยายามหาคำตอบในเรื่องการจัดการศึกษาให้กับกลุ่มนี้ว่ามีรูปแบบอะไรได้บ้าง 

และอีกกลุ่มหนึ่งที่เราคิดว่าสำคัญเช่นเดียวกัน เมื่อสักครู่เราได้พูดถึงเยาวชนไปแล้ว น้องๆ เยาวชนกลุ่มนี้จริงๆ แล้วเขาก็เป็นผลผลิตจากครอบครัว คือครอบครัวเขายากจน ก็ทำให้มีการส่งต่อความยากจนไปที่เยาวชนด้วย ดังนั้นถ้าเราจะแก้ปัญหาที่ต้นตอคงไปทำงานแค่กับเด็กและเยาวชนไม่พอ เพราะเรากำลังพูดถึงเด็กและเยาวชนที่ต้องอยู่ในระบบการศึกษาตั้ง 15 ปี กว่าเขาจะจบออกมาใช่ไหมคะ ซึ่งเขามีครอบครัว เพราะฉะนั้นเราก็มองว่าต้องทำงานกับกลุ่มพ่อแม่ด้วย เราก็เลยไปทำงานกับประชากรแรงงานนอกระบบด้วย เพราะเราคิดว่ากลุ่มนี้มันไม่ใช่แค่ช่วยตัวบุคคลเท่านั้นแต่ว่าช่วยทั้งครอบครัวเขา

ยิ่งเป็นครอบครัวที่มีลูกกำลังเรียนอยู่ มันช่วยทั้งครอบครัวเลย โดยการทำงานเราจะพยายามไปฝึกอาชีพ หรือว่าทำนวัตกรรมระดับชุมชนทั้งหมดนี้ก็คือเป็นงานที่ดูแลอยู่ ซึ่งจะเน้นไปที่ 3 กลุ่มเป้าหมายแล้วก็ใช้การศึกษา การฝึกอบรม รูปแบบต่างๆ เพื่อที่จะพัฒนาให้กลุ่มนี้สามารถก้าวพ้นจากความยากจนได้เร็วขึ้น

ในการทำงานของกสศ. คำว่า ‘นวัตกรรม’ มักถูกพูดถึงบ่อยๆ อยากให้ช่วยขยายความเข้าใจสำหรับคนทั่วไป และที่ผ่านมามีนวัตกรรมอะไรบ้างที่ภูมิใจนำเสนอ

นวัตกรรม ไม่ใช่เป็นสิ่งประดิษฐ์และไม่ใช่สินค้า นั่นคือผลพลอยได้ที่จะเกิดขึ้นถ้าเราทำงานได้ดี แต่ว่านวัตกรรมของกสศ. หมายถึงกระบวนการหรือระบบที่มีวิธีทำงานแตกต่างไปจากอย่างเดิม อย่างเช่นแต่เดิมนั้นเวลาเราทำงานช่วยเหลือคนยากจน เรามักนึกถึงการสงเคราะห์ เหมือนต้องเอาไปให้เขา ต้องช่วยเหลือเขา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีนะคะไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่การทำงานของเรา เราพบว่าการสงเคราะห์นั้นทำให้ไม่เกิดความยั่งยืน เพราะมันต้องสงเคราะห์ไปเรื่อยๆ ถูกไหมคะ 

เพราะฉะนั้นนวัตกรรมหนึ่งที่เราทำก็คือ การหาวิธีไม่สงเคราะห์ ทำอย่างไรให้เขาสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ คือให้การศึกษาเป็นเครื่องมือที่จะไปเปลี่ยนแปลงชีวิตเขา มากกว่าที่จะให้อุปกรณ์ทำมาหากิน ซึ่งมันสำคัญนะ 

แล้วเราก็พยายามหาวิธีทำงานใหม่ เครือข่ายใหม่ด้วย ยกตัวอย่างเยาวชนในระบบ นวัตกรรมหนึ่งซึ่งแต่เดิมไม่เคยมีเลยคือ นอกจากเราให้โอกาสเขาไปเรียนแล้ว ถ้าจะให้เยาวชนในระบบกลุ่มนี้รอด ต้องมีระบบดูแลสุขภาพจิตใจเขาด้วย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สถานศึกษาอาจจะไม่ได้ทำมานานแล้ว เหมือนกับว่าสถานศึกษาเป็นแหล่งสอนวิชาถูกไหมคะ เพราะฉะนั้นเรื่องสุขภาพจิตใจนั้นอาจจะลืมไป แต่ว่าบริบทมันเปลี่ยน เด็กมีความว้าเหว่ ยิ่งโควิดนี้มันทำให้เด็กซึมเศร้าอะไรต่างๆ เยอะมาก เพราะฉะนั้นตรงนี้มันหายไปจากระบบการศึกษา สิ่งที่เราเจอคือ มันต้องมีนวัตกรรมการทำงานเรื่องนี้ในโรงเรียน เพื่อช่วยให้เด็กไม่หลุดออกนอกระบบ 

เด็กบางคนที่อยู่นอกระบบเพราะเขาปรับตัวไม่ได้ เพราะฉะนั้น นวัตกรรมหนึ่งคือ ทำยังไงให้เกิดระบบดูแลเด็กที่เป็นองค์รวมในโรงเรียนเอง ไม่ได้มองแค่มิติเรื่องของวิชาการหรืออาชีพอย่างเดียว แต่มองเขาแบบองค์รวม มองครอบครัวเขา มองเบื้องหลังเขา มองสุขภาพจิตใจเขา และมีการดึงความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอกเข้ามาด้วย

นวัตกรรมอีกอย่างหนึ่งที่เรามองคือ การจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น เราพบว่าผู้เล่นไม่จำเป็นต้องสถาบันการศึกษาก็ได้ คือการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นนั้นมีผู้เล่นได้เยอะมาก ซึ่งจากข้อค้นพบของเรา วิสาหกิจชุมชนยังเป็นหน่วยจัดการเรียนรู้ได้เลยนะคะ ลุกขึ้นมาจัดการเรียนรู้ให้กับกลุ่มคนของเขาได้ หรือเป็น NGO เป็นสภาชุมชนก็ได้ที่ลุกขึ้นมาทำงานเรื่องนี้ ซึ่งบางทีนิยามคำว่า ‘หน่วยจัดการเรียนรู้’ เดิมนั้นจะเป็นเรื่องสถานศึกษาเป็นหลัก เป็นโรงเรียนเป็นมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาก็ยังทำหน้าที่อยู่นะคะ แต่ว่าถ้าเราเปิดประตูให้มันกว้างขึ้น SE (Social Enterprise) ก็สามารถทำงานเรื่องนี้ได้ อันนี้ก็คือเป็นนวัตกรรมที่เราพูดถึงว่า มันเป็นนวัตกรรม เชิงกระบวนการและเชิงความคิดและวิธีการ

ที่ผ่านมาถือว่าได้ผลตามที่คาดหวังไว้หรือยังคะ โดยเฉพาะในแง่ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ?

ต้องบอกว่าจริงๆ ผลงาน กสศ. เป็นผลงานของหน่วยที่ทำงานกับเราหมดเลยนะคะ เพราะเราคิดว่าเราเป็นหน่วยสนับสนุน กระตุ้นให้มันเกิด แต่คนที่เป็นผู้เล่นจริงๆ คือหน่วยงานทั้งหมดเลย ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ท้องถิ่น เขาเป็น Player ที่สำคัญมาก เขาอยู่หน้างานแล้วก็อยู่ใกล้กลุ่มเด็กเยาวชนที่เรากำลังพูดถึง เขาเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เราทำหน้าที่แค่หนุนเสริมเขา เพราะฉะนั้นเขาคือคนที่เป็นตัวจริงของเรื่องนี้ 

แล้วจริงๆ ความสำเร็จของเรื่องนี้ก็คิดว่าไม่ใช่ความสำเร็จเพียงแค่ภาคการศึกษาอย่างเดียว ถ้าพูดถึงความร่วมมือนะคะ เพราะเรากำลังพูดถึงโจทย์ที่มันซับซ้อนหลายมิติมาก มันต้องจับมือกันเป็นการทำงานแบบสหวิชาชีพ มองมาจากความเชี่ยวชาญหลายๆ ความเชี่ยวชาญแล้วมาทำนวัตกรรมด้วยกัน เป็นชุดนวัตกรรมดีกว่า และมาจากหลายๆ มุมมองที่ทำงานด้วยกัน เรื่องนี้จึงจะสำเร็จ

ถ้ายกตัวอย่างการใช้ชุมชนเป็นฐาน มันไม่ใช่แค่การศึกษา เรากำลังพูดถึงการทำให้เขาประกอบการได้ การใช้ปราชญ์ชาวบ้าน การใช้เครือข่ายในพื้นที่เอกชนมาจับมือกัน เพราะฉะนั้นก็ถือว่าเป็นความร่วมมือของหลายภาคส่วน แล้วก็มาจากหลายๆ ผู้เชี่ยวชาญมาทำงานด้วยกัน  

อยากให้วิเคราะห์การทำงานที่ผ่านมาของ กสศ. จุดแข็งรวมถึงข้อท้าทาย?

คิดว่าจุดแข็งน่าจะเป็นเรื่องของความร่วมมือนี่แหละ คือเราไม่ได้ทำงานกับนักการศึกษาเท่านั้น แต่ทำงานกับอีกหลายนักเลยค่ะ เราทำงานกับหลายภาคส่วนมาก มันสามารถดึงความร่วมมือตรงนี้เข้ามาได้ ทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ หรือวิธีการใหม่ๆ คิดว่าอันนี้คือจุดแข็งที่ กสศ. สามารถทำได้

อันที่สองคือ เราทำงานบนฐานข้อมูล ผ่านเครือข่ายครูในโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ เราสามารถชี้เป้าได้ว่า เด็กเยาวชนยากจนด้อยโอกาสอยู่ที่ไหน และทำให้ดึงความร่วมมือเข้ามาได้ และทำงานบนฐานความรู้และวิชาการด้วย คืออย่างที่เล่าไปว่า เราไม่ได้ทำงานแค่ช่วยเหลือเด็ก แต่ว่าเราทำงานลักษณะที่เป็นการใช้ความรู้ต่างๆ เข้ามาพัฒนางาน แล้วมันก็อยู่บนหลักฐานเชิงประจักษ์ของการทำงานที่เราเจอจริงๆ เช่นเราเจอว่าน้องๆ กลุ่มนี้ให้เงินแล้วไปเรียนยังไม่รอด มันต้องมีระบบอื่น อันนี้มันก็เป็นข้อค้นพบที่เราเจอ แล้วเราก็พยายามสื่อสารเรื่องนี้

ในส่วนข้อท้าทายของเรานั้น คิดว่าน่าจะเป็นการจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัดนะคะ คือปัญหามันใหญ่กว่าทรัพยากรที่มี แต่เราก็ไม่ได้มองอันนี้มาเป็นข้อจำกัดที่เราอยากจะได้งบประมาณเพิ่ม แต่คิดว่าในแง่คนทำงาน เราอยากทำให้มีการลงทุนในการทำงานเรื่องนี้มากขึ้นจากหน่วยงานอื่นๆ เพื่อที่จะได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับกลุ่มนี้มากยิ่งขึ้น แล้วก็มีอิมแพคที่สูงขึ้น 

นั่นหมายถึงการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ให้มุ่งเป้ามากยิ่งขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำมากยิ่งขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์เยอะในแง่ของการเปลี่ยนแปลงประเทศในภาพรวมด้วย เพราะว่าขนาดของปัญหามันใหญ่กว่ากว่าทรัพยากรที่มีค่ะ แต่ว่าทรัพยากรไม่ได้ขาดมันอยู่ที่การจัดสรร และการบริหารจัดการมากกว่า อันนี้ก็เป็นข้อท้าทายอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน  

ถึงวันนี้คิดว่าอะไรคือความพอใจหรือความสำเร็จในมิติของการลดความเหลื่อมล้ำที่ถือว่าเป็นรูปธรรมที่สุด

งานที่กสศ.ทำ จะพยายามตอบโจทย์ 2-3 เรื่อง อันที่ 1 คือการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา อันนี้คิดว่าเราทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัดเจน ก็คือมีเด็กและเยาวชนประมาณ 1.3 ล้านคน เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาซึ่งแต่เดิมเขาอาจมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับการศึกษา กลุ่มนี้เมื่อเข้ามาอยู่ในระบบการศึกษา เราก็มีระบบที่พยายามป้องกันไม่ให้เขาหลุด ผ่านฐานข้อมูลการติดตาม แล้วก็ดูแลเด็กได้เป็นรายบุคคล คิดว่าอันนี้เป็นสิ่งที่เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงนะคะ 

อันที่ 2 คือผลลัพธ์การเรียนรู้ อันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะเราไม่ได้มองมิติความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาแค่ว่าให้เด็กเข้าไปเรียน แต่ว่าเราอยากเห็นคุณภาพการเรียนรู้ที่ดีด้วย คิดว่ามันทำให้เกิดองคาพยพ หรือว่าเครือข่ายที่หันมามองปัญหาที่ไม่เคยมองมาก่อน 

อย่างเช่นโจทย์เยาวชนนอกระบบ ที่ผ่านมามันเป็นพื้นที่สีเทา ไม่รู้จะอยู่ตรงไหน หน่วยงานไหนจะดู เพราะฉะนั้นเราก็มองว่าตรงนี้เราทำให้มันเป็นพื้นที่ที่สว่างขึ้น เห็นชัดขึ้นว่าเรากำลังพูดถึงใคร แล้วเขาอยู่ตรงไหน เราจะจัดการศึกษาให้เขายังไง 

อันนี้ก็เป็นอันนึงที่เป็นโจทย์ใหญ่  แล้วก็เป็นหลุมสำคัญที่คิดว่าเราได้ทำให้ประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นวาระทางสังคม หรือวาระทางการศึกษามากกว่าที่เคยเป็นอยู่ แล้วก็เชื่อว่าต่อจากนี้น่าจะมีการลงทุนในการทำงานเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นด้วย จากสิ่งที่เราได้ทำงานมา 5 ปีแล้วจุดเป็นประเด็นเอาไว้ ไม่ใช่แค่จุดประเด็นด้วย เราพยายามหาโซลูชั่น หาคำตอบของมันด้วยค่ะ 

หลายๆ โครงการก็ถือว่าสามารถเดินหน้าต่อได้อย่างแข็งแรงแล้ว หลังจากนี้วางแผนในการพัฒนาหรือต่อยอดการทำงานอย่างไรคะ 

ที่ผ่านมา 5 ปีนี้กสศ. ได้สร้างเครือข่ายไว้พอสมควร แล้วเราก็มีการทำงานลงลึกไปในโครงการต่างๆ สิ่งที่กสศ. จะขยับไปมากขึ้นก็คือว่า ทำยังไงให้เป็นการขับเคลื่อนทางสังคม และใช้ศักยภาพของหน่วยงานที่ทำงานกับเรามาเป็นเครือข่าย แล้วให้พลังมันมากขึ้น เป็นตัวคูณซึ่งกันและกัน ที่ผ่านมาเราจะอยู่กันเดี่ยวๆ ต่างคนต่างเก่ง จุดต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่มันเหมือนดอกเห็ด แต่ตอนนี้เราจะทำให้มันเป็น …ไม่รู้แกงเห็ดหรือเปล่านะคะ เหมือนกับว่าให้มันมารวมกันแล้วยิ่งเพิ่มมูลค่า แล้วเป็นพลังที่ช่วยเหลือเด็กเยาวชนกลุ่มนี้ให้ได้มากขึ้น เชื่อว่าพลังตรงนี้เองจะเป็นพลังที่คนทำงานก็ภาคภูมิใจ มีเครือข่าย มีเพื่อนคู่คิด เพื่อนร่วมทาง เพราะฉะนั้นก็คิดว่าอันนี้ก็เป็นสิ่งที่ กสศ. จะขยับทำงานเรื่องนี้มากขึ้น 

แล้วก็รวมไปถึงสิ่งที่เรายังคงเน้นหลักการสำคัญ นั่นคือทำยังไงให้การช่วยเหลือไปถึงเด็กและเยาวชนได้เร็วที่สุดและสั้นที่สุด คิดว่าอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราอยากทำ เพราะงานของเรามันเป็นงานที่มันต้องไปถึงเด็กค่ะ เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้พื้นที่หรือจังหวัดเป็นฐานการทำงาน เราคิดว่ายูนิตการทำงานจะไม่ใช่อยู่ที่ระดับประเทศ แต่มันจะต้องลงไปที่พื้นที่ คำว่าพื้นที่หมายถึงอะไร ก็ต้องลงไปให้ถึงจังหวัด อำเภอ ตำบล ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้เด็กมากที่สุด แล้วก็มีเครือข่ายอยู่เยอะที่สุด งานของ กสศ. เองก็คงต้องไปบูรณาการการทำงานตรงนั้นมากขึ้น เพื่อให้ดอกเห็ดมันได้มีพลังของมันในการทำงาน

ทีนี้ย้อนกลับมาที่ตัวคุณธันว์ธิดาเอง หลังจากทำงานเรื่องนี้มาพอสมควร คิดว่าได้เรียนรู้อะไร หรือมีมุมมองอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างไหมคะ

เดิมเราเคยพูดถึงการศึกษาเพื่อทุกคน แต่ตอนนี้เราต้องพูดถึง ทุกคนเพื่อการศึกษามากกว่า จาก Education for All  มาเป็น All for Education ค่ะ 

กอล์ฟคิดว่าคอนเซ็ปต์มันยิ่งชัดขึ้น เมื่อก่อนนี้เราพูดเหมือนเป็นมอตโต้ แต่พอมาทำงานตรงนี้เห็นจริงๆ ว่า คำตอบของมันไม่ใช่การทำงานคนเดียว กสศ. ไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ หรือแม้กระทั่งตัวเราเองก็ไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ คิดว่าทุกความสำเร็จมันอยู่ที่คนทำงานที่เป็นเครือข่ายด้วยกัน แล้วมันก็เป็นบทสรุปของเราด้วยเหมือนกันนะคะว่า ถ้าจะคิดงานใหญ่ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยพลังคนอื่นมาทำงาน แล้วเราก็ต้องมีความสามารถในการทำงานกับคนอื่น คิดว่าอันนี้ก็เป็นอันหนึ่งที่ได้เรียนรู้นะคะ

 อันที่สองก็คือเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาไม่ใช่ศาสตร์เดียว มันต้องใช้หลายศาสตร์มากในการทำงานเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นคนทำงานตรงนี้เองก็ต้องมีมุมมองหลากหลาย แล้วถ้าเราไม่มีเราก็ต้องดึงคนหลากหลายสาขาวิชามาร่วมคิดมาร่วมทำ งานถึงจะมีความหมายได้จริงๆ หรือว่าตอบโจทย์ได้จริงๆ 

นั่นหมายความว่า ทุกภาคส่วนในสังคมก็ต้องเห็นความสำคัญและเข้ามามีส่วนร่วมผลักดันหรือช่วยให้การแก้โจทย์ยากนี้มีความเป็นไปได้มากขึ้น?

ส่วนตัวคิดว่าตอนนี้สังคมตื่นตัวในเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามากขึ้นนะคะ ผ่านการทำงานของเครือข่าย แล้วก็การรณรงค์อะไรต่างๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะฉะนั้นสังคมเองมีบทบาทสำคัญแน่นอน 

แต่ก็คิดว่าต่อจากนี้จะมีความท้าทายเยอะมาก เพราะเศรษฐกิจดูน่าจะไม่ค่อยดี แล้วความเหลื่อมล้ำน่าจะสูงขึ้น รวมไปถึงเทคโนโลยีต่างๆ ปัญหามันซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เรื่อง Climate Change การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอะไรอย่างนี้ด้วย ก็คือโจทย์ที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ยิ่งต้องอาศัยความร่วมมือกัน 

ตอนนี้เราต้องไปสร้างความเข้มแข็งให้ยูนิตที่เล็กที่สุดคือชุมชน เพราะปัญหาทั้งหมดนั้นมาคิดอยู่ตรงกลางเนี่ยไม่เวิร์ก แล้วมันไม่สำเร็จด้วย แต่มันต้องไปที่ชุมชน ดังนั้นโจทย์ก็คือว่าทำอย่างไรให้ระดับล่างเข้มแข็งมากที่สุด แล้วก็ให้มีทรัพยากรมากที่สุด

ก็อยากให้สังคมได้เห็นคำตอบร่วมกันในเรื่องนี้ว่า คำตอบมันอยู่ใกล้ๆ ตัวคุณนั่นแหละ เพียงแต่จากเดิมที่หันไปคนละทาง มันต้องหันหน้ามาเจอกันเพื่อเด็กและเยาวชน คิดว่าจะทำให้เราเดินหน้าได้ 

อย่างปัญหาล่าสุดที่เราเจอเด็กก่ออาชญากรรมอะไรต่างๆ คิดว่านั้นจริงๆ แล้วปัญหาก็คือสภาพแวดล้อมค่ะ น้องเยาวชนกลุ่มนี้เขาไม่สามารถกระทำผิดได้ด้วยตัวเองนะ สิ่งที่เขาเจอมามันเป็นสิ่งที่หล่อหลอมเขา เพราะฉะนั้นเราต้องหันกลับไปดูจุดที่ใกล้เด็กและเยาวชนที่สุด แล้วทำให้มันเป็นพื้นที่สว่าง เป็นพื้นที่ที่สร้างสรรค์ แล้วก็ใช้การเรียนรู้ ใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการทำเรื่องนี้ด้วยกัน คิดว่ามันเป็นเรื่องบวกนะคะ การศึกษาเป็นเรื่องบวกไม่มีใครพูดว่ามันไม่ดี น่าจะใช้จุดแข็งของเรื่องนี้ทำงาน แล้วก็ลงไปหน่วยที่ใกล้ที่สุดเกี่ยวกับเด็กเยาวชน คิดว่าอยากจะชวนสังคมมองเรื่องนี้ค่ะ

Tags:

ขจัดความจนข้ามรุ่นAll for Educationธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์นวัตกรรมการศึกษากสศ.ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Photographer:

illustrator

สิริเชษฐ์ พรมรอด

Related Posts

  • Dr. Udom-nologo
    Transformative learning
    “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    โอกาสทางการศึกษา แสงสว่างปลายอุโมงค์ของ ‘นัจมี หะเดร์’ ว่าที่พยาบาลผู้สานต่อความหวังให้ครอบครัว

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Voice of New GenSocial Issues
    เติมเต็มโอกาสที่ขาดหาย พลิกชีวิตจากผู้รับสู่ผู้ให้: เปิดใจ ‘มูหัมหมัดซามีนูดีน อาแซง นักเรียนทุนฯหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Movie
    Vaathi: ครูดีอาจทำให้เด็กคนหนึ่งไปถึงฝัน แต่ระบบการศึกษาคุณภาพจะช่วยเด็กจำนวนมากเข้าถึงโอกาสในการมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Voice of New Gen
    ห้องเรียนใหม่รับเปิดเทอม เทคโนโลยีจะช่วยครูอย่างไร ให้ยังสอนและสร้างประสบการณ์เรียนรู้ได้อยู่

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

สำรวจแนวคิดว่าด้วย ‘Teacher Agency’ ในกระแส ‘School Improvement Movement’
Transformative learning
6 May 2024

สำรวจแนวคิดว่าด้วย ‘Teacher Agency’ ในกระแส ‘School Improvement Movement’

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • กระแส School Improvement Movement เชื่อว่า การปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จได้นั้น จำเป็นที่จะต้องปรับปรุงให้โรงเรียนมีคุณภาพมากขึ้น ผ่านการพัฒนาให้บุคคลากรในโรงเรียนมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง
  • การสร้าง ‘ความเป็นผู้นำทางการศึกษา’ เป็นหนึ่งในทางเลือกเพื่อไปสู่เป้าหมายการปฏิรูปการศึกษา แต่ถึงกระนั้น นักวิชาการบางกลุ่มกลับเสนอทางออกของเรื่องนี้ด้วยการให้ความสำคัญกับครูเป็นหลัก ผ่านแนวคิด “Teacher Agency” หรือ “ครูผู้กระทำการ”
  • การพุ่งความสนใจไปที่ครูเป็นหลัก โดยวางความล้มเหลวหรือความสำเร็จให้ขึ้นอยู่กับครู อาจทำให้เราหลงลืมที่จะตั้งคำถามถึงรากของปัญหาที่แท้จริงคือระบบโครงสร้างทางสังคมในภาพกว้าง

ในช่วงเวลานี้ หลายประเทศต่างหันมาให้ความสนใจกับการพัฒนาครูในฐานะที่เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาและหลักสูตรอย่างจริงจัง ความพยายามในการปฏิรูปนี้ ส่วนหนึ่งมีรากฐานมาจากกระแส ‘School Improvement Movement’ นับตั้งแต่ราวๆ ต้นทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ท่ามกลางผลพวงของเสรีนิยมใหม่ (Neoliberalism) 

กระแสดังกล่าวเชื่อว่า การปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จได้นั้น จำเป็นที่จะต้องปรับปรุงให้โรงเรียนมีคุณภาพมากขึ้น ผ่านการพัฒนาให้บุคคลากรในโรงเรียนมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง แนวคิดอย่าง ‘Social Efficiency’ และ ‘Managerialist Approach’ จึงได้ถูกนำเข้ามาสู่การบริหารจัดการการศึกษาอย่างจริงจัง โดยมีหลักคิดว่า โรงเรียนจะสร้างผลลัพธ์ที่มีคุณภาพได้นั้น จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการองค์กรให้มีประสิทธิภาพ เรียกได้ว่า เป็นช่วงที่แวดวงการศึกษาได้หันไปหยิบยืมคำและความหมายจากแนวคิดการบริหารธุรกิจ เช่น การค้นหา Best Practice รูปแบบการจัดการองค์กร รวมไปถึงการจัดการบุคคลากรในฐานะทุนทางมนุษย์ที่ต้องได้มาตรฐาน ความสนใจของคนในแวดวงการศึกษาจำนวนหนึ่งจึงมุ่งไปที่การพัฒนาความเป็นผู้นำทางการศึกษา (Educational Leadership) ด้วยการตั้งคำถามว่า ปัจจัยอะไรที่จะสร้างครูหรือบุคลากรทางการศึกษาให้กลายเป็นผู้นำในการสร้างการเปลี่ยนแปลง  

หลากหลายความคิดว่าด้วย Teacher Agency 

ดูเหมือนว่าในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา กระแสการปฏิรูปการศึกษาได้เป็นวาระสำคัญของหลายประเทศ ทั้งยังเป็นโครงการระยะยาวที่รัฐบาลต่างพยายามผลักดันให้สำเร็จ แต่คำถามสำคัญที่ทุกประเทศมีร่วมกันคือ จะทำให้สำเร็จได้อย่างไร การสร้าง ‘ความเป็นผู้นำทางการศึกษา’ เป็นหนึ่งในทางเลือกเพื่อไปสู่เป้าหมาย แต่ถึงกระนั้น นักวิชาการบางกลุ่มกลับเสนอทางออกของเรื่องนี้ด้วยการให้ความสำคัญกับครูเป็นหลัก ผ่านแนวคิด “Teacher Agency” หรือ “ครูผู้กระทำการ”

แนวคิดว่าด้วย Teacher Agency เอาเข้าจริงๆ ไม่ได้วางอยู่บนคำอธิบายใดเพียงหนึ่งเดียว แต่มีความหลากหลาย โดยแต่ละคำอธิบายอาจมาจากรากฐานทางทฤษฎีที่แตกต่างกัน Leijen และทีมวิจัย ได้อภิปรายไว้ในข้อเขียนของพวกเขาด้วยการชี้ให้เห็นถึงวิธีคิดต่อ Teacher Agency จาก 4 กรอบแนวคิดสำคัญ 

ในมุมมองแรกอย่าง ‘จิตวิทยา’ เป็นมุมมองแบบคลาสสิก ที่เห็นว่า Agency เป็นเรื่องของคุณลักษณะภายในของบุคคลนั้นๆ ที่สามารถเอาชนะข้อจำกัดของเหตุการณ์ได้ ในขณะที่มุมมองแรก ให้ความสำคัญกับปัจเจกเป็นหลัก ‘มุมมองทางสังคมวิทยา’ กลับเห็นต่างออกไป โดยมองว่า ความเป็น Agency เป็นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับโครงสร้าง ที่เขาจะทำการต่อรองนิยามความหมายบางอย่าง จากสิ่งที่เขาสะสมเป็นกิจวัตร (Habitus)  ซึ่งหนึ่งในคนที่พูดเรื่องนี้อย่างโดดเด่นก็คือ Bourdieu นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส

สำหรับ Socio-Cultural Approaches ถือเป็นอีกแนวคิดหนึ่งต่อการทำความเข้าใจ Agency โดยเชื่อว่า การที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อได้นั้น จำเป็นต้องมีการปฏิสัมพันธ์ในกิจกรรมทางวัฒนธรรม   เพราะภายในกิจกรรมจะมีกระบวนการหยิบยื่นเครื่องมือทางวัฒนธรรมในฐานะสื่อกลางระหว่างกัน พูดง่ายๆ ก็คือมีการแลกเปลี่ยนความคิดกันผ่านภาษาและความหมายบางอย่าง ซึ่งแนวคิดนี้รู้จักกันดีในชื่อ Cultural-Historical Activity Theory (CHAT) ซึ่งได้รับความสนใจมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา โดยรากฐานความคิดที่สำคัญมาจาก Lev Vygotsky นักจิตวิทยาแนวสังคมวัฒนธรรม รวมถึงมาร์กซิสต์ (Marxism) (อ่านแนวคิดเพิ่มเติมได้ที่ Vygotsky การจัดการเรียนรู้ที่ดี คือ การทำให้เด็กรู้สึกว่ามีใครสักคนอยู่เคียงข้าง เป็นนั่งร้านที่ช่วยสนับสนุนให้เขาเติบโต)

CHAT จึงค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญกับการปฏิสัมพันธ์ร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมาย (Collective Process) ที่ ‘ความขัดแย้ง’ หรือ ‘การไม่ลงรอยกัน’ ของความคิด ไม่ควรถูกมองเห็นในทางลบ แต่ควรมองเห็นในทางบวกที่จะนำมาสู่แนวทางที่จะบรรลุเป้าหมายที่ดีกว่า และตรงนี้เองที่เราทุกคนจะได้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันและเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อบางอย่างไป  CHAT ได้เสนอ model (ภาพที่ 1) ที่ผลลัพธ์จะสำเร็จได้ (Outcome) จำเป็นต้องอาศัย 6 องค์ประกอบที่สำคัญร่วมกัน อย่างแรกคือ Object หรือจุดประสงค์ร่วมกัน เพื่อทบทวนแนวคิด (Reconceptualization) ของปลายทางร่วมกัน โดยเราต่างเป็น Subject ที่จะมีส่วนร่วม ผ่านเครื่องมืออย่างการพูดคุย (Tool/Instrument) การแบ่งบทบาทกันของความรับผิดชอบ (Division of Labor) บนพื้นที่ฐานของความเป็นชุมชนร่วมกัน (Community) และบนบรรทัดฐาน ข้อตกลง หรือกติกาบางอย่าง (Rules)

ภาพที่ 1: อ้างอิงจากบทความ Toward a diagnostic toolkit for intervention in teachers’ agency during curriculum reform: Groundwork for a Change Laboratory in Vietnam

อย่างที่กล่าวถึงไปในตอนต้น กระแสของ ‘School Improvement Movement’ ได้ถูกยึดครองหลักด้วย ‘Managerialist Approach’ ที่ว่าจะทำอย่างไรให้ครูมีประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อให้โรงเรียนบรรลุผลสำเร็จได้ นั่นทำให้นักการศึกษาอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึง Gert Biesta (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ การศึกษาอาจต้องการ ‘ความเสี่ยง’ ไม่ใช่ ‘ความมั่นคง’: ปรัชญาการศึกษาของ Gert Biesta ใน ‘The Beautiful Risk of Education’) ได้วิพากษ์แนวคิดแบบการจัดการว่าเป็นปัญหา เพราะตัวมันเองกลับยิ่งทำให้ครูกลายเป็นเครื่องจักรในการทำงาน ครูถูกกำกับด้วยกฎเกณฑ์มาตรฐานมากมายว่าพวกเขาควรจะต้องเป็นครูแบบไหน มีสมรรถนะ ทักษะอะไร พูดง่ายๆ การทำให้ครูเป็นไปตามแบบฟอร์มตัวอย่าง จนไม่เหลือที่ว่างและขัดขวางไม่ให้ Agency ของครูได้แสดงออกมา (Exercise)    

เพื่อที่ Agency จะได้เกิดขึ้น นักการศึกษากลุ่มนี้ นำโดย Gert Biesta และ Priestley ได้เสนอ ‘Ecological Approach’ ขึ้นมาตอบโต้ ‘Managerialist Approach’ ควบคู่ไปกับการสร้างข้อเสนอต่อการทำความเข้าใจต่อ ‘Teacher Agency’ ที่ต่างไปจากสามแนวทางแรก โดยมีความเชื่อพื้นฐานมาจากแนวคิดปฏิบัตินิยม (Pragmatism) ที่มนุษย์จะบรรลุเป้าหมายในสถานการณ์หนึ่งได้ มาจากการที่เขาไตร่ตรองและมองเห็นทางเลือกที่เป็นไปได้

แต่การจะไปถึงตรงนั้น ในโมเดล ‘Ecological Approach’ (ภาพที่ 2)  จึงได้เสนอให้เรามอง ‘Teacher Agency’ ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นเรื่องปัจเจกโดดๆ แต่ต้องมองเห็น ‘นิเวศ’ ที่มีส่วนสำคัญและเอื้อให้เกิดหรือขัดขวาง agency ของครูได้เช่นกัน โดยประกอบด้วย 3 ส่วนที่สำคัญ

(1) ‘การสั่งสมในอดีต (Iterational)’ ซึ่งเป็น ‘แบบแผน’ ของความคิดและการกระทำจากอดีต ที่เราได้เรียนรู้ และสั่งสมมา มันเป็นทั้ง คุณค่า ความเชื่อ และความรู้ที่อยู่ภายในตัว ยิ่งครูมีความเข้มแข็งในสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็จะยิ่งเข้าไปมีส่วนร่วมในการศึกษา และยังส่งผลต่อระดับความมุ่งหมาย (Aspiration) ที่จะกำหนดเป้าหมายทางการศึกษาของครูทั้งใน ‘ระยะสั้น’ และ ‘ระยะยาว’ อีกด้วย 

ซึ่งก็คือ (2) ‘ภาพฉายของอนาคตที่เป็นไปได้’ (Projective) และภาพฉายที่ต่างกันก็นำมาซึ่งการเลือกตัดสินใจที่ ‘กระทำการ’ ต่างกัน ในงานวิจัย ครู ที่ประเทศ Scotland Priestley และทีม สังเกตเห็นว่า ครูมักจะมีเป้าหมายในระยะสั้น จึงมุ่งเน้นแต่ละวันของการทำงานเป็นหลัก ผ่านคำถามในเชิงปฏิบัติ เช่น จะทำอย่างไรให้วันนี้นักเรียนสนุกกับการเรียน มากกว่าจะสร้างเป้าหมายระยาวด้วยคำถามที่ว่า การศึกษาหมายถึงอะไร และควรมีจุดมุ่งหมายอย่างไร  นั่นก็ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการศึกษาที่แตกต่างกัน 

ในส่วนที่ (3) Practical-Evaluate เป็นกระบวนการรับรู้ ตี ความ และการตัดสินใจโดยพิจารณาถึง ‘ทางเลือก’ ต่างๆ ท่ามกลางสถานการณ์ในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่กำลังเผชิญในปัจจุบัน โดยมีการสั่งสมในอดีต (Iterational) และ ภาพฉายของอนาคตที่เป็นไปได้ (Projective) เป็นส่วนเกื้อหนุนที่สำคัญ ก่อให้เกิดหรือระงับขัดขวาง ‘การกระทำการ’ (Agency) 

อาจพูดได้ว่า Agency เป็นผลลัพธ์จากทางเลือกที่เป็นไปได้ (จากการประเมินตัดสินใจ) ภายใต้การเจรจาต่อรองของความคิดของความเชื่อที่สะสมมา เป้าหมายของอนาคต และบริบทสภาพแวดล้อมของสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังที่ Biesta อธิบายว่า มันเป็นคำถามที่ว่า “How I am” อย่างไรที่ฉันจะเป็นได้ และ “What I will do” อะไรที่ฉันสามารถทำได้ ภายใต้ขีดจำกัดของความเป็นจริง (Real Limit) ที่เรามองรับรู้และเห็นมัน  

ตัวอย่างเช่น หลักสูตรแบบอิงมาตรฐาน ได้กำหนดให้ครูต้องสอนครบตามตัวชี้วัดและสาระสำคัญ จนเกิดเป็นประเพณีที่ครูเชื่อว่าหากสอนตามเนื้อหาในแบบเรียนครบก็เท่ากับว่าครบตัวชี้วัดแล้ว ในทางตรงกันข้าม ครูคนหนึ่งอาจรับรู้ว่าหลักสูตรมีข้อจำกัดที่พยายามล็อกว่าครูควรสอนอะไร และเห็นว่าเป็นความเข้าใจผิดที่ต้องสอนตามเนื้อหาแบบเรียนให้ครบเพื่อบรรลุตัวชี้วัด เขามองเห็น ‘ทางเลือก’ ที่จะออกแบบการสอนอีกแบบได้ ด้วยการมองว่า จริงๆ แล้ว ครูแต่ละคนสามารถตีความตัวชี้วัดที่ต่างกันได้  เพราะผู้แต่งแบบเรียนเองก็เขียนตำราจากการตีความตัวชี้วัดแบบหนึ่งเช่นเดียวกัน ทำให้เขาเลือกจะกำหนดเนื้อหาในบทเรียนขึ้นมาเอง 

ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับผู้แต่งแบบเรียนที่ตีความตัวชี้วัดแบบนั้น (การเห็นทางเลือกนี้อาจมาจากการสั่งสมของอดีตที่ครูเรียนรู้หลักแนวคิดของหลักสูตรมาทำให้เขามีความเข้มแข็งในความรู้) ส่งผลให้เขาเลือกที่จะไม่สอนตามเนื้อหาในแบบเรียน แต่สร้างบทเรียนใหม่มาใช้ในการสอนแทน ผ่านการเลือกเนื้อหา ประเด็นการเรียนรู้ และร้อยเรียงตัวชี้วัดใหม่ ณ ตรงนี้เองที่ ‘การกระทำการ’ ได้เกิดขึ้น ดังที่ Priestley และทีม อธิบายว่า 

“ความเป็น (ครู) ผู้กระทำการจะไม่ปรากฏ หากไร้ซึ่งทางเลือกในการกระทำ หรือหากครูเพียงปฏิบัติตามแบบแผนพฤติกรรมที่คุ้นชินเป็นกิจวัตรโดยไม่คำนึงถึงทางเลือกอื่น” 

The Ecological Perspective of Teacher Agency (Priestley et al., 2015) |  Download Scientific Diagram
ภาพที่ 2: อ้างอิงจาก https://www.researchgate.net/figure/The-Ecological-Perspective-of-Teacher-Agency-Priestley-et-al-2015_fig2_337455657

ในกระแสของ ‘school Improvement movement’ ที่ยังเป็นวาทกรรมหลักกำลังเดินไป และครูถูกคาดหวังให้เป็นหัวใจหลักที่จะทำให้การปฏิรูปการศึกษาบรรลุผล นำมาสู่การเสนอแนวทางที่จะส่งเสริมและพัฒนาครูเพื่อเป็นหัวหอกที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงจากรากฐานความคิดที่ต่างกัน ดังเช่น การเสนอให้สร้างความเป็นผู้นำการศึกษา และ Teacher Agency ขึ้นมา หรือการเสนอนิเวศเอื้อเกื้อหนุนครูจาก ‘Ecological Approach’ ที่ต่อต้าน ‘Managerialist Approach’ แต่กระนั้น Kevin K. Kumashiro ก็เตือนเราว่า การพุ่งความสนใจไปที่ครูเป็นหลัก โดยวางความล้มเหลวหรือความสำเร็จให้ขึ้นอยู่กับครู อาจทำให้เราหลงลืมที่จะตั้งคำถามถึงรากของปัญหาที่แท้จริงคือระบบโครงสร้างทางสังคมในภาพกว้าง (อ่านต่อได้ที่ ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน) 

อ้างอิง

1.บทความ RISKING OURSELVES IN EDUCATION: QUALIFICATION, SOCIALIZATION, AND SUBJECTIFICATION REVISITED เขียนโดย Gert Biesta

2.บทความ Talking about education: exploring the significance of teachers’ talk for teacher agency เขียนโดย Gert Biesta, Mark Priestley & Sarah Robinson

3.บทความ The role of beliefs in teacher agency เขียนโดย Gert Biesta, Mark Priestley & Sarah Robinson

4.บทความ TEACHER AGENCY FOLLOWING THE ECOLOGICAL MODEL: HOW IT IS ACHIEVED AND HOW IT COULD BE STRENGTHENED BY DIFFERENT TYPES OF REFLECTION เขียนโดย Äli Leijen, Margus Pedaste & Liina Lepp

5.บทความ Toward a diagnostic toolkit for intervention in teachers’ agency during curriculum reform: Groundwork for a Change Laboratory in Vietnam เขียนโดย Hien Dinh*, Annalisa Sannino

6.บทความ School Improvement in a neo‐liberal world เขียนโดย Terry Wrigley

Tags:

ปฏิรูปการศึกษาSchool Improvement Movementความเป็นผู้นำทางการศึกษา (Educational Leadership)ครูTeacher Agency

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 8. การหล่อหลอมความเป็นผู้ก่อการ โดยดำเนินการที่ปัจเจกบุคคล วัฒนธรรม และโครงสร้าง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 4. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ชีวิตที่ดีงามควร ‘หนักอึ้ง’ หรือ ‘เบาหวิว’: ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต
Book
3 May 2024

ชีวิตที่ดีงามควร ‘หนักอึ้ง’ หรือ ‘เบาหวิว’: ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต’ หรือ The Unbearable Lightness of Being เป็นผลงานเขียนของมิลาน คุนเดอรา ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนังสือนวนิยายที่ทรงอิทธิพลที่สุดเล่มหนึ่งในศตวรรษที่ 20
  • หนังสือเล่าเรื่องราวชีวิตของคน 4 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของรูปแบบชีวิตที่แตกต่าง บางคนอาจมีชีวิตที่ล่องลอยจนเลื่อนลอย ขณะที่บางคนอาจมีชีวิตที่หนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก บางคนอาจมีชีวิตที่อิสระเสรี แต่บางคนก็อาจมีชีวิตที่ถูกตีกรอบด้วยกฎเกณฑ์ 
  • มิลาน คุนเดอรา เชื่อว่า การที่เรามีชีวิตเพียงแค่ชีวิตเดียว ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว กำลังเกิด หรืออาจจะเกิด ล้วนมีความสำคัญ และพึงตระหนักว่า ทุกการตัดสินใจ ทุกการกระทำ ล้วนมีความหมายอย่างยิ่ง

ถ้าให้เลือกหนังสือที่มีชื่อเรื่อง ‘โดนใจ’ ที่สุด สำหรับผมแล้ว ขอยกให้นิยายผลงานเขียนของมิลาน คุนเดอรา ที่ตั้งชื่อได้สะดุดตา สะดุดใจ และชวนให้ฉุกคิดว่า ‘The Unbearable Lightness of Being’ หรือ ชื่อไทยที่มีความหมายเหมือนกันว่า ‘ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต’

ไม่ใช่แค่ชื่อเรื่องเท่านั้น ทว่าสาระและแง่คิดในหนังสือเล่มนี้ ยังโดนใจนักอ่านทั่วทุกมุมโลก จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนังสือนวนิยายเกี่ยวกับชีวิต ที่ทรงอิทธิพลที่สุดเล่มหนึ่งในศตวรรษที่ 20

ก่อนที่จะเล่าถึงเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ ผมอยากชวนให้ทุกคนลองขบคิดถึงชื่อเรื่องว่า ทำไมคุนเดอราถึงตั้งชื่อนิยายเล่มนี้ ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต

ชีวิตที่ดีงามควรเป็นเช่นไร ควรจะหนักอึ้ง หรือควรจะเบาหวิว

โดยปกติแล้ว เรามักได้ยินหรือได้อ่านข้อความที่พูดถึงชีวิตในแง่ลบว่า บางครั้ง ชีวิตช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน จงปล่อยวางมันเสีย หรือ ทำชีวิตให้เบาลง แล้วจะรู้สึกสบายขึ้น อะไรทำนองนี้ ที่ชวนให้คิดไปว่า ความหนักอึ้ง คือ แง่ลบของชีวิต

“จริงหรือว่า ความหนักอึ้งเป็นที่น่ารังเกียจ ส่วนความเบาหวิวนั้นเพริศแพร้ว” ถ้อยรำพึงในบทนำของหนังสือ ชวนให้เราขบคิด

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แล้วทำไม ความเบาหวิวของชีวิต จึงกลายเป็นสิ่งที่ “เหลือทน” ได้ล่ะ

เพราะเรามีแค่ชีวิตเดียว

หลายคนคงเคยแอบตั้งคำถามในใจว่า ถ้าในตอนนั้น เราตัดสินใจทำแบบนี้ แทนที่จะทำแบบนั้น ผลลัพธ์มันคงจะดีกว่านี้เป็นแน่

การตั้งคำถามทำนองนี้ จะโยงไปสู่สถานการณ์ what if.. หรือ สมมติว่า.. ในสองรูปแบบ

รูปแบบแรก คือ หากเราสามารถย้อนเวลาได้ การตัดสินใจ หรือการกระทำใดๆ ที่ส่งผลเสียหายต่อชีวิต ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเราสามารถย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดพลาดได้ แก้ไขซ้ำๆ จนกว่าเราจะได้ผลลัพธ์เป็นชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

หรือ รูปแบบที่สอง คือ เราไม่สามารถย้อนเวลาได้ แต่เรามีชีวิตสำรองไว้หลายชีวิต การตัดสินใจ หรือการกระทำใดๆ ที่ส่งผลเสียหาย ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะถ้าชีวิตนี้มันแย่นัก เราก็หยิบเอาชีวิตสำรองออกมาใช้ใหม่ ใช้จนกว่าเราจะพอใจกับชีวิตนั้น

มิลาน คุนเดอรา นักเขียนชาวเช็ก (ซึ่งในภายหลังเปลี่ยนไปถือสัญชาติฝรั่งเศส) เชื่อว่า การที่เรามีชีวิตเพียงแค่ชีวิตเดียว จึงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว กำลังเกิด หรืออาจจะเกิด ล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้เลย

นอกจากจะทำให้เราตระหนักว่า ทุกการตัดสินใจ ทุกการกระทำ ล้วนมีความหมายอย่างยิ่งแล้ว การที่เรามีแค่ชีวิตเดียว ยังทำให้เราพึงสำเหนียกอีกว่า ต่อให้ตรึกตรองอย่างรอบคอบถ้วนถี่ดีแล้ว เราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่า การตัดสินใจครั้งนี้ การกระทำแบบนี้ จะนำไปสู่ผลลัพธ์แบบไหน

“เราไม่มีทางรู้หรอกว่าควรต้องการอะไร เพราะในเมื่อเรามีชีวิตอยู่เพียงชีวิตเดียว เราย่อมไม่มีข้อเปรียบเทียบกับชีวิตในชาติก่อน หรือแก้ตัวในชีวิตชาติหน้า”

ผลงานชิ้นเอกของคุนเดอรา นำเอาประเด็นเรื่องคนทุกคนล้วนมีชีวิตให้ใช้แค่ชีวิตเดียว มาขยายผ่านเรื่องราวของคน 4 คน ที่มีเส้นทางชีวิตพาดผ่าน บรรจบ ก่อนที่บางเส้นจะแยกย้ายกลายเป็นเส้นขนาน

หนักหรือเบา..ใครเล่าจะตอบได้

โทมัส ศัลยแพทย์หนุ่มเจ้าสำราญ ผู้ไม่เคยคิดลงหลักปักฐานกับผู้หญิงคนไหน หลังจากหย่าจากภรรยาคนแรก จนกระทั่งเขามาพบเจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่า ‘ช่างน่าทะนุถนอมเลี้ยงดู’ ไม่ต่างจากทารกที่ถูกทิ้งในตะกร้าลอยน้ำ และเขาเก็บขึ้นมาเลี้ยงดูฟูมฟัก

นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ อย่างนั้นหรือ โทมัสเองก็ไม่แน่ใจ

แต่โทมัส ก็ไม่ลืมว่า ความรัก มักจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ซึ่งนั่นหมายถึงความหนักอึ้งที่ใส่เข้ามาในชีวิตที่แสนเบาสบายของเขา

หลายครั้งที่โทมัสพยายามทิ้งหญิงสาวคนนั้นไป เพื่อให้ชีวิตของเขาจะกลายเป็นสิ่งที่เบาสบายดังเดิม ทว่าเขากลับพบว่า ชีวิตที่ปราศจากภาระอันหนักอึ้ง กลับกลายเป็นความเบาหวิวที่เกินจะทน

เขาจะตัดสินใจอย่างไร ในเมื่อตัวเองมีเพียงชีวิตเดียว ไม่มีชีวิตในชาติเก่าก่อนให้เปรียบเทียบเป็นตัวอย่าง และไม่มีชีวิตในชาติหน้าให้ได้ลองแก้ไขใหม่

…

เทเรซา คือ ขั้วตรงข้ามของโทมัส เธอมีความงามที่หญิงสาวทุกคนต้องอิจฉา แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ชีวิตของเธอ ไม่ต่างอะไรจากก้อนหินที่หนักอึ้ง และเป็นภาระให้ผู้อื่น โดยเฉพาะโทมัส ชายคนรักของเธอ

สำหรับโทมัสแล้ว การพบเจอกับเทเรซา อาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่สำหรับเทเรซา มันคือชะตากรรม มันคือพรหมลิขิต มันคืออะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่

จะเป็นเรื่องบังเอิญได้อย่างไร ในเมื่อร้านอาหารมีบริกรตั้งมากมายหลายคน แต่โทมัสกลับเรียกเธอ แล้วยังจะเรื่องหนังสืออีก เทเรซา ซึ่งเป็นคนรักหนังสือ เดินเข้าไปให้บริการโทมัส ผู้เป็นลูกค้าคนเดียวในภัตตาคารที่ถือหนังสืออยู่ในมือ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว

ไหนจะเสียงเพลงของเบโธเฟน ที่ดังจากวิทยุในร้าน เมื่อตอนที่โทมัสเอ่ยปากกับเธอว่า “ขอคอนญักแก้วหนึ่งครับ” ใครจะกล้าบอกว่านี่คือความบังเอิญ มันคือมนต์วิเศษแห่งโชคชะตาต่างหาก

แต่สุดท้าย โทมัสกลับกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งในชีวิตของเทเรซา ความเจ้าชู้ เสเพล นอนกับหญิงอื่นไม่เลือกหน้าของเขา ไม่เคยทุเลาเบาลงเลย แม้ว่าเขาจะรักเธอ และเธอก็รักเขา

เทเรซา จะทำอย่างไรกับภาระอันหนักอึ้งของชีวิตอันนี้

…

ซาบินา ศิลปินสาวสวยผู้รักอิสระเสรี เธอมีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายๆ กับโทมัส ผู้เป็นเพื่อนของเธอ และยังเป็นชู้รักของเธอ

แต่โทมัสก็ไม่ใช่ชู้รักคนเดียวของเธอหรอกนะ เธอยังมีฟรานซ์อีกคน ที่เป็นชู้รักของเธอ

หากโทมัสคือความเบาหวิว ซาบินาก็คือความไร้น้ำหนักโดยสิ้นเชิง เธอศรัทธาในการทรยศ ทรยศพ่อแม่ ครอบครัว ประเทศชาติ รวมไปถึงคนรัก

หากจะนิยามซาบินา เธอก็คือความเวิ้งว้าง ความว่างเปล่า ไร้แก่นสาร เธอสามารถทิ้งผู้ชายคนหนึ่งที่รักเธอจนยอมหย่ากับภรรยาตัวเอง เพราะเธอรู้สึกว่า ความรักกำลังจะกลายเป็นภาระอันหนักอึ้ง ทั้งที่ตัวเองก็รักผู้ชายคนนั้น

วันที่ซาบินาได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของโทมัสและเทเรซา ชั่วขณะหนึ่ง เธอรู้สึกอิจฉาที่ทั้งคู่ได้จากโลกนี้ไปพร้อมกัน และในชั่วขณะนั้น เธอคิดถึงฟรานซ์ ผู้ชายที่เธอทิ้งไปอย่างง่ายดาย

…

ฟรานซ์ มีชีวิตอยู่ในกรอบ ในกฎเกณฑ์ ในเส้นทางมาโดยตลอด เขาเรียนเก่งตั้งแต่วัยเด็ก และสุดท้ายได้ทำงานเป็นนักวิชาการ แต่งงานมีภรรยาสาวสวย มีลูกสาวที่น่ารัก และมีชีวิตที่ดีงามตามบรรทัดฐานของสังคม

ทว่า ฟรานซ์รู้สึกว่าชีวิตของเขาไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง เขาโหยหาบางสิ่งบางอย่างที่ออกนอกกรอบ แหกกฎเกณฑ์ ออกไปจากเส้นทางที่มีคนขีดให้เดิน

ไม่แปลกที่ฟรานซ์ จะชื่นชอบการเดินขบวนประท้วง และอาจไม่แปลกที่เขา จะนอกใจภรรยา

สุดท้าย การออกนอกเส้นทาง เพื่อไปใช้ชีวิตในแบบชีวิตที่แท้จริง กลับทำให้ฟรานซ์ต้องพบกับจุดจบของชีวิต และในช่วงสุดท้ายของชีวิต ภรรยาเก่าที่ฟรานซ์ทิ้งไป กลายเป็นคนเข้ามาดูแลชีวิตที่เหลืออยู่ รวมไปถึงพิธีศพ อันเป็นการปิดฉากชีวิตของฟรานซ์

ไม่มีใครตอบได้ว่า ฟรานซ์ ได้พบกับชีวิตที่แท้จริงหรือยัง หรือจริงๆ แล้ว นั่นแหละคือชีวิตที่แท้จริง ขณะที่การเดินชบวนประท้วง การแหกกฎกติกาสังคม รวมถึงการนอกใจภรรยา ล้วนเป็นแค่ความเพ้อฝัน

…

เรื่องราวชีวิตของคน 4 คน คือ ตัวแทนของชีวิตในรูปแบบที่แตกต่าง บางคนอาจมีชีวิตที่ล่องลอยจนเลื่อนลอย ขณะที่บางคนอาจมีชีวิตที่หนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก บางคนอาจมีชีวิตที่อิสระเสรี เสรีจนดูเหมือนไร้แก่นสาร แต่บางคนก็อาจมีชีวิตที่ถูกตีกรอบด้วยกฎเกณฑ์ จนตัวเองก็ไม่รู้ว่า ชีวิตจริงๆ เป็นเช่นไร

ท้ายที่สุด ผลงานชิ้นเอกของมิลาน คุนเดอรา ก็ไม่ได้มีคำตอบให้กับผู้อ่านหรอกว่า ชีวิตที่ดีงามควรเป็นเช่นไร ควรจะเบาสบาย หนักแน่นมีแก่นสาร ควรจะมีอิสระเสรี หรือควรมีเส้นทางชี้นำ

แต่สิ่งที่เราได้จากนิยายเล่มนี้ คือ การตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่สุดแสนจะเปราะบาง เพราะถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเบาหรือหนัก หากมีมากเกินไป หากสุดโต่งเกินไป ก็ล้วนกลายเป็นสิ่งที่ ‘เกินทน’ ให้กับชีวิตได้ทั้งสิ้น

Tags:

การตัดสินใจการใช้ชีวิตThe Unbearable Lightness of Beingความเบาหวิวเหลือทนของชีวิตคุณค่าของชีวิตหนังสือ

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    วันนั้นฉันเจอเพนกวิน: อย่าปิดกั้นจินตนาการของเด็กด้วยคำว่า ‘เพ้อฝัน’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน: ชีวิตมีไว้เพื่อใช้ มิใช่แค่เพื่อค้นหาความหมาย

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    นักบินรบ : การค้นพบความหวัง ในสมรภูมิที่สิ้นหวัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ‘ขอโทษ’ คำพูดติดปากจากบาดแผลที่พ่อแม่ทำให้รู้สึกผิดเสมอ: คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด

    เรื่อง อัฒภาค

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

เติมเต็มโอกาสที่ขาดหาย พลิกชีวิตจากผู้รับสู่ผู้ให้: เปิดใจ ‘มูหัมหมัดซามีนูดีน อาแซง นักเรียนทุนฯหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล
Voice of New GenSocial Issues
3 May 2024

เติมเต็มโอกาสที่ขาดหาย พลิกชีวิตจากผู้รับสู่ผู้ให้: เปิดใจ ‘มูหัมหมัดซามีนูดีน อาแซง นักเรียนทุนฯหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • โอกาสทางการศึกษาที่ ดีน-มูหัมหมัดซามีนูดีน อาแซ ได้รับ เสมือนแสงสว่างที่เข้ามาจุดความฝันที่ดับสลายไปแล้วของเด็กคนหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง
  • การได้รับโอกาสทางการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น นั่นหมายถึงโอกาสในการประกอบอาชีพที่มั่นคง และรายได้ที่จะนำไปเลี้ยงปากท้องของตนเอง รวมถึงจุนเจือครอบครัว ซึ่งเป็นการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัว ตัดวงจร ‘ความยากจนข้ามรุ่น’ ดังที่โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ได้ตั้งเป้าหมายไว้
  • “สำหรับผมแล้ว คนที่ได้รับโอกาสมันเป็นความฝันที่ไม่ได้คาดฝันเลยครับ คือไม่ได้คาดหวังเลยว่าเราจะเรียนต่อได้ เพราะว่าตามฐานะเราแล้วก็คงเรียนไม่ได้แล้ว …ผมจะตอบแทนบุญคุณนี้ด้วยการที่เป็นคนดีของสังคม เป็นผู้ช่วยพยาบาลที่ดี”

“ผมเป็นคนนึงที่จบม. 6 แล้วไม่ได้สมัครการเรียนอะไรเลยในระดับมหาวิทยาลัย เพราะว่าไม่มีงบอย่างอื่นเลยครับ ถ้าตอนนั้นไม่ได้เรียนต่อ ก็คงไปทำงานรับจ้างทั่วไป ซึ่งพ่อก็ทำงานที่มาเลเซียขายลูกชิ้นปิ้ง ผมก็คิดว่าน่าจะทำงานตามร้านอาหารแถวมาเลเซียหรือไม่ก็ไปทำงานเป็นรปภ. ในกรุงเทพฯ” 

มูหัมหมัดซามีนูดีน อาแซ หรือ ดีน หนึ่งในนักเรียนทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ จากโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เล่าถึงชีวิตตนเองหากในวันนี้ไม่ได้รับโอกาสในการเรียนต่อในระดับที่สูงกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย 

ดีนเล่าว่า โอกาสทางการศึกษาที่เขาได้รับ เสมือนแสงสว่างที่เข้ามาจุดความฝันที่ดับสลายไปแล้วของเด็กคนหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง หากเขาได้มีโอกาสทางการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น นั่นหมายถึงโอกาสในการประกอบอาชีพที่มั่นคง และรายได้ที่จะนำไปเลี้ยงปากท้องของตนเอง รวมถึงจุนเจือครอบครัว ซึ่งเป็นการยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัว ตัดวงจร ‘ความยากจนข้ามรุ่น’ ดังที่โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ได้ตั้งเป้าหมายไว้ 

นั่นคือการทำให้เยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์เข้าถึงการศึกษาระดับมัธยมปลายเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 5 ซึ่งเป็นหนึ่งในการช่วยเหลือ และพัฒนารูปแบบการศึกษาสายอาชีพที่จะช่วยการยกระดับทางสังคม (Social Mobility) และส่งผลถึงการขจัดความยากจนข้ามรุ่นได้

ขาดแคลนทุนทรัพย์ ขาดโอกาสทางการศึกษา  

“ครอบครัวผมมีพี่น้องทั้งหมด 6 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด ผมอยู่กับแม่ ส่วนพ่อทำงานที่มาเลเซีย เดือนนึงกลับบ้านครั้งนึง พี่ชายคนที่หนึ่งกับคนที่สองทำงานที่กทม. ส่วนคนที่สามได้ทุนกสศ.รุ่นที่ 4 ปัจจุบันทำงานอยู่ที่รพ.ตากใบ เหลือผมกับน้องอีกสองคนที่กำลังเรียนอยู่ครับ ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังจะจบหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลแล้วครับ” ดีนเล่าถึงชีวิตและสภาพปัญหาของตนเองก่อนได้รับโอกาสทางการศึกษา

หลังจากที่พี่ชายของดีนได้ทุนเรียนต่อจนจบหลักสูตร มีหน้าที่การงานและรายได้จุนเจือครอบครัว พี่ชายจึงเป็นเหมือนต้นแบบและแรงบันดาลใจให้กับดีนมองเห็นความหวังที่จะได้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น เพื่อที่จะได้เลี้ยงดูตนเองและแบ่งเบาภาระครอบครัวได้ ดีนจึงสมัครขอรับทุนจากกสศ.

“จุดเริ่มต้นก็คือพี่ชายได้ทุนปีก่อนครับ พี่ชายก็เลยแนะนำ เพราะพี่ชายก็รู้ว่าถ้าผมไม่ได้ทุนนี้ก็ไม่ได้เรียน เขาก็เข้าใจความรู้สึกผมดี แล้วเขาก็ได้แนะนำตั้งแต่กรอกใบสมัคร ไปขอลายเซ็นผู้ใหญ่บ้าน เพราะว่าเขาผ่านจุดนี้มาก่อน” 

“หลังจากที่สมัครแล้วผมก็ไม่ได้หวังขนาดนั้นเพราะว่าตัวเองก็ไมได้มีศักยภาพพอ แล้วก็ไม่ได้มีความฝันที่อยากเรียนสายนี้มาตั้งแต่แรกครับ แต่พอติดแล้วผมก็สัญญากับตัวเองว่า การเรียนครั้งนี้คือตัวเลือกเดียว ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะเรียนให้เต็มที่ แล้วก็ทำงาน เก็บเงิน ส่งเลี้ยงพ่อแม่ต่อครับ เพราะว่าพ่อแม่ก็อายุเยอะแล้ว”

แม้หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลจะไม่ใช่เส้นทางอาชีพที่อยู่ในความคิดเขาตั้งแต่แรก แต่ดีนบอกว่านั่นเป็นเพียงตัวเลือกเดียวที่มือเขาพอจะคว้าไว้ได้ในตอนนั้น ถามว่าทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงนี้ให้เพียงแค่หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลเท่านั้นเองหรือ ดีนบอกว่าจริงๆ แล้วยังมีหลักสูตรของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนราธิวาส, วิทยาลัยชุมชนนราธิวาส, วิทยาลัยเทคนิคนราธิวาส ซึ่งหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลเป็นสิ่งที่เขาได้รับข้อมูลจากพี่ชาย อีกทั้งยังเป็นงานที่ดูท้าทายและยังได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้คนด้วย 

“สำหรับผมผู้ช่วยพยาบาล มันมีความท้าทายตรงที่ว่าเป็นบุคลากรผู้ชาย ซึ่งมันหายากในสายนี้ครับ แล้วยิ่งมีความสามารถอีก ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก เพราะการทำงานในห้อง ER ห้องฉุกเฉิน ต้องการคนที่มีกำลังแรงในการยึดผู้ป่วยครับ” 

จากตัวเลือกเดียวในชีวิต สู่อาชีพที่เปลี่ยนผู้รับเป็นผู้ให้

สำหรับทุนที่ได้รับนี้ ดีนเล่าว่านอกจากสนับสนุนด้านค่าใช้จ่ายทางการศึกษาต่างๆ แล้ว ยังมีระบบดูแลความเป็นอยู่ และสวัสดิการของผู้เรียน มีอาจารย์ที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำ ทั้งด้านการเรียน และสภาพจิตใจ รวมถึงกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน พัฒนาหลักสูตร ส่งเสริมทักษะการมีงานทำต่างๆ ด้วย เช่น กิจกรรมละลายพฤติกรรมการเผชิญความเครียดและปรับพื้นฐานสู่วิชาชีพผู้ช่วยพยาบาล, อบรมการวางแผนใช้จ่ายเงินทุนเพื่อการบริหารจัดการเงินและบัญชีนักศึกษา, กิจกรรมพัฒนาภาษา, จิตอาสาดูแลสุขภาพผู้รับบริการภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม เป็นต้น

จากตอนแรกที่ดีนบอกว่า ไม่ได้อยากเป็นผู้ช่วยพยาบาล เพียงแค่การเรียนผู้ช่วยพยาบาลเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้น แต่พอได้เรียน ได้ลงมือทำงานจริง กลับทำให้เขารู้สึกชอบและตั้งเป้าหมายว่านี่แหละคืออาชีพที่จะเปลี่ยนอนาคต 

“พอได้มาเรียนแล้วรู้สึกว่า ได้ใช้งานจริง เพราะว่าแม่ก็ป่วยอยู่ครับ แล้วก็ตอนแรกคือไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะชอบในการเรียนนี้ เพราะว่าเป็นตัวเลือกเดียวในการเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่พอเรียนไปเรียนมาผ่านการฝึกงานก็รู้สึกว่า ตัวเองก็มีความสามารถในด้านนี้เหมือนกัน แต่แค่ตอนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองชอบในด้านนี้ครับ”

เมื่อถามถึงสิ่งที่ชอบที่สุดในการเรียนผู้ช่วยพยาบาล ดีนตอบด้วยความมั่นใจว่า “สิ่งที่ผมชอบที่สุดคือ การทำงานในห้องฉุกเฉิน มีความรู้สึกว่าท้าทายมากๆ เลยครับ ยิ่งทำแผลที่มีเลือด ยิ่งชอบ ระดับแผลคือระดับความท้าทายเลยครับ ยิ่งแผลมีความโหดมากๆ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าอยากทำ ยิ่งรู้สึกว่าถ้าได้ทำอันนี้ผมต้องได้พัฒนาสกิลของตัวเองให้มากขึ้นได้แน่นอน อะไรที่ท้าทายคือผมชอบทำเลยครับ”

“เหมือนเป็นได้เรียนรู้การทำงานจริง ออกแรงในการทำงานจริง ต่างแค่ว่าเราไม่ได้เงินเดือนแค่นั้นเองครับ แล้วก็ได้ทำงานในห้องฉุกเฉินด้วย ได้เจอเคสเคสนึงที่รู้สึกว่าประทับใจแล้วก็ภูมิใจในตัวเองมากๆ เป็นเคสเด็กจมน้ำ แล้วก็เขาก็ส่งมาในห้องฉุกเฉินด่วนมาก แม่น้องบอกว่าเด็กจมน้ำในสระน้ำที่บ้าน อ่างเก็บน้ำประมาณนี้ แล้วเขาก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว คุณหมอก็เลยดำเนินการทั้งทีมเลยครับ ช่วยเด็กคนนี้ และผมก็ได้ช่วยประมาณนึง เพราะว่าเป็นผู้ช่วยพยาบาลที่กำลังฝึกงานอยู่ก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย ก็เลยช่วยได้เท่าที่ช่วยได้ ช่วยหยิบอุปกรณ์ แล้วเด็กคนนั้นก็ปลอดภัยดีครับ ได้ส่งไปที่โรงพยาบาลนราธิวาส

วินาทีที่คุณหมอบอกว่าน้องเขาปลอดภัยแล้ว ผมรู้สึกว่านี่เราเป็นส่วนนึงในการช่วยน้อง ทำให้น้องเขามีชีวิตต่อ รู้สึกว่าเราได้ช่วยชีวิตคน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ช่วยโดยตรง แต่เราก็มีส่วนร่วมในการช่วยเด็กคนนั้น”

นอกจากนี้ “ผมได้ลงชุมชนไปเยี่ยมผู้ป่วยด้วย ซึ่งผู้ป่วยที่อาจารย์เลือกก็คือผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือตัวเองน้อยมาก ต้องมีคนรอบข้างดูแล แล้วก็เลยได้รับเคสนี้ไปพัฒนา สร้างนวัตกรรมเพื่อให้เขาได้ออกกำลังกาย ให้เขาได้ใช้กล้ามเนื้อ เพื่อให้เขาได้แข็งแรงขึ้นครับ”

“เราก็มาคิดกับเพื่อนๆ ครับว่าเคสนี้เขามีจุดอ่อนยังไง ต้องการความช่วยเหลือด้านไหน เขาขาดสนในส่วนไหนเราก็เพิ่มเติมให้เขา เช่น นวัตกรรมที่ได้ทำก็คือ รอกที่เอาไว้ใส่ขาในห่วงนั้น แล้วก็เอามือดึง เหมือนเป็นเครื่องออกกำลังกายขาครับ ช่วยกายภาพ เราก็เริ่มจากไปดูคนไข้ก่อนว่าคนไข้มีปัญหาด้านไหนบ้าง ซึ่งพอไปดูแล้วปัญหาที่ชัดเจนที่สุดก็คือผู้ป่วยขามีความอ่อนแรง แล้วก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขนาดนั้น ก็เลยคิดค้นนวัตกรรมนี้ เพื่อให้คนไข้ได้แล้วมีแรงมากขึ้น ดูแลตัวเองได้มากขึ้น อันนี้ก็เอาไปมอบให้เขาเลยครับ ผมภูมิใจมากเลยครับ คนไข้ก็รู้สึกว่าดีใจมากๆ ที่มีคนมาให้ความใส่ใจเขา”

ทุนเปลี่ยนชีวิต โอกาสเติมเต็มความฝัน

“จริงๆ แล้วตอนจบม.6 ผมก็คิดอยู่ว่าจะเรียนสายไอที วิศวะคอม์ ตอนนั้นผมสนใจด้านไอที อยากทำงานด้านนี้” ดีนเล่าถึงความฝันแรกเริ่มของเขา แต่แล้วชีวิตก็พลิกผันให้ดีนกลายมาเป็นนักศึกษาหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลที่จบการศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้เขากำลังรอเข้ารับการเกณฑ์ทหาร หลังจากนั้นก็สมัครเข้าทำงานในสายงานที่เรียนมา 

“สายงานนี้สำหรับผู้ชายมีเงื่อนไขว่า ต้องผ่านการเกณฑ์ทหารมาก่อนจึงจะสามารถเข้าทำงานได้ ทุกโรงพยาบาลเขาก็มีนโยบายว่าไม่เอาคนที่ทำงานชั่วคราว ถ้าเกิดว่าติดทหารก็ต้องลาออก ก็เลยต้องรอผ่านการเกณฑ์ทหารก่อนครับแล้วค่อยไปสมัครครับ และในอนาคตถ้าเป็นไปได้อยากจะเรียนเฉพาะทางพยาบาลเวชปฏิบัติฉุกเฉิน”

สำหรับดีนการได้รับโอกาสทางการศึกษาครั้งนี้ นอกจากจะทำให้เขามีโอกาสหางานที่มีรายได้มั่นคง ยังทำให้ชีวิตของเขามีความหวัง และมีเป้าหมายมากขึ้น โอกาสทางการศึกษาจึงสำคัญกับชีวิตของคนๆ หนึ่งมาก ถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตได้เลย 

“สำหรับผมแล้ว คนที่ได้รับโอกาสมันเป็นความฝันที่ไม่ได้คาดฝันเลยครับ คือไม่ได้คาดหวังเลยว่าเราจะเรียนต่อได้ เพราะว่าตามฐานะเราแล้วก็คงเรียนไม่ได้แล้ว ซึ่งรู้สึกว่าอึ้งเหมือนกัน แล้วก็รู้สึกว่าดีใจมากๆ เลยครับ เพราะว่าเป็นความฝันที่ตัวเองไม่ได้คาดไว้ ก็คือภูมิใจในตัวเองมากๆ เลยครับ ที่ได้เรียนต่อจนจบหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล”  

“ผมจะตอบแทนบุญคุณนี้ด้วยการที่เป็นคนดีของสังคม เป็นผู้ช่วยพยาบาลที่ดี แล้วก็เป็นผู้ช่วยพยาบาลที่คนไข้ทุกคนอยากอยู่ด้วยอยู่และสบายใจมีความสุข และเมื่อคนไข้มีปัญหากล้าที่จะระบายให้เราฟังได้ครับ” 

ปัจจุบันดีนเรียนจบหลักสูตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้เข้ารับพิธีมอบประกาศนียบัตรทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล รุ่นที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2566 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2567 ณ หอประชุมคณะพยาบาลศาสตร์ เขตบางนาค คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ จังหวัดนราธิวาส

Tags:

โอกาสทางการศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงการยกระดับทางสังคม (Social Mobility)ขจัดความจนข้ามรุ่นมูหัมหมัดซามีนูดีน อาแซหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Teacher makes a positive difference
    Transformative learning
    ครูในฐานะผู้สร้างความแตกต่างในชีวิตของเด็ก

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล

  • Social Issues
    โอกาสทางการศึกษา แสงสว่างปลายอุโมงค์ของ ‘นัจมี หะเดร์’ ว่าที่พยาบาลผู้สานต่อความหวังให้ครอบครัว

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • ข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่ใช่ขีดจำกัดความสามารถ ขอเพียงไม่ปิด ‘โอกาส’ ผู้พิการ: จิดาภา นิติวีระกุล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • เปลี่ยน ‘ผู้คุม’ เป็น ‘นักจัดการเรียนรู้’ สานฝันสร้างโอกาสให้เด็กก้าวพลาดได้เริ่มต้นใหม่

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

‘Skinship’ สัมผัสกระชับความสัมพันธ์ ที่ไม่อาจมองข้าม Consent ของอีกฝ่าย
Relationship
1 May 2024

‘Skinship’ สัมผัสกระชับความสัมพันธ์ ที่ไม่อาจมองข้าม Consent ของอีกฝ่าย

เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • บางครั้งสิ่งที่สำคัญกว่าคำพูด ก็คือการกระทำต่อกันผ่านการสัมผัสกาย เช่น การกอดปลอบใจ หรือตบไหล่เบาๆ นี่คือความรู้สึกอบอุ่นของสิ่งที่เรียกว่า ‘Skinship’ เกิดขึ้นกับทุกรูปแบบความสัมพันธ์
  • พลังของ Skinship ไม่ใช่แค่ความรู้สึกทางใจ ผลวิจัยเผยว่า การแตะต้องสัมผัส มีส่วนช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดระดับความดันในเลือด คลายความเหงา ช่วยกระชับความสัมพันธ์ ความไว้วางใจต่อกัน
  • ข้อควรระวังของ Skinship สำหรับคู่รัก ที่จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดี ต้องมี ‘เงื่อนไข’ หรือข้อตกลงร่วมกัน เคารพให้เกียรติกัน และยอมรับความแตกต่างหลากหลายของทัศนคติ

บางครั้งเวลาที่เราเล่าปัญหาทุกข์ใจให้เพื่อนฟัง โมเมนต์นั้นอารมณ์เศร้าเสียใจสุดขีด แล้วเพื่อนแค่เอื้อมตัวมากอดคอปลอบใจเบาๆ…ก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นฉับพลันและมีเรี่ยวแรงกะจิตกะใจไปต่อ

บางครั้งเรานั่งทำงานในออฟฟิศแล้วหัวหน้าเดินมาตบไหล่เบาๆ ชื่นชมผลงานที่เราเพิ่งทำสำเร็จไป…ก็ทำให้วันนั้นเป็นวันที่เรารู้สึกดี

แม้เรื่องราวต่างกัน ความสัมพันธ์ต่างบริบทกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ เกิดการ ‘สัมผัสแตะเนื้อต้องตัว’ และนี่คือความรู้สึกอบอุ่นของสิ่งที่เรียกว่า ‘Skinship’

Skinship สัมผัสที่เติมเต็มความสัมพันธ์

ดังที่เราทราบกันว่า บางครั้งสิ่งที่สำคัญกว่าคำพูด ก็คือการกระทำต่อกันผ่านการสัมผัสกาย ตัวอย่างเช่น คู่รักหนุ่มสาว แค่การได้เดินจับมือกันอย่างอบอุ่น ก็สร้างความสุขล้นได้แล้วแม้ปราศจากคำพูดใดๆ ต่อกันเลยก็ตาม นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ น่ารักของ Skinship 

Skinship มีอิทธิพลต่อทุกจังหวะของความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะในช่วงเริ่มต้น ช่วงเปลี่ยนผ่าน ช่วงรักษา หรือแม้แต่ช่วงเลิกรา และเกิดขึ้นกับทุกรูปแบบความสัมพันธ์ที่หลากหลาย ไม่ได้จำกัดแค่คู่รักหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ใช้ได้ทั้งกับคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือเพื่อนร่วมงาน เพียงแต่รูปแบบของการสัมผัสแตะต้องเนื้อตัวอาจต่างกันไปตามระดับความสนิทสนมและการยินยอมพร้อมใจ (consent) ของอีกฝ่าย

ทั้งนี้ ผลวิจัย ระบุว่าคู่รักที่มี Skinship แตะต้องสัมผัสกันและกันทางร่างกายอย่างสม่ำเสมอมีแนวโน้มที่จะมีความสุขมากกว่า ไว้วางใจกันมากกว่า พึงพอใจกับระดับความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่มากกว่า Skinship สร้างความรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิด รู้สึกผ่อนคลายอารมณ์ และช่วยเชื่อมโยงกันทางกายและใจ

ที่มาที่ไปของ Skinship 

ศัพท์คำนี้ ‘Skinship’ บางคนอาจเข้าใจว่าเป็นคำที่มีอยู่เดิมในภาษาอังกฤษอยู่แล้วและต้องมาจากฝรั่งแน่เลย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะมีที่มาจากคนญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 แล้วต่างหาก 

ยุคนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างรวดเร็วและเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกอย่างเอิกเกริก Skinship เป็นคำที่สร้างขึ้นมาใหม่ในสไตล์คนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา โดยรวม 2 คำเข้าด้วยกัน ได้แก่ 

  • skin (ผิวหนัง) 
  • kinship (ความสัมพันธ์ทางครอบครัว) 

เกิดเป็นความหมายใหม่นัยว่า การมีความสัมพันธ์ที่ดีผ่านการแตะต้องสัมผัสเนื้อตัวกันนั่นเอง คนญี่ปุ่นจะออกเสียงว่า สุกินชิปปุ (スキンシップ)

พลังของ Skinship

ไม่ใช่แค่ความรู้สึกทางใจ ผลวิจัยเผยว่า การแตะต้องสัมผัสในลักษณะนี้ มีส่วนช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดระดับความดันในเลือด คลายความเหงาโดดเดี่ยว และเพิ่มระดับการหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซินที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์และความไว้วางใจต่อกัน

Skinship จึงเป็นปฏิสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ เพราะเราเป็นสัตว์สังคมที่ต้องการได้รับสิ่งเร้าผ่านทางการสัมผัสทางกายภาพ (Physical touch) ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในธรรมชาติอื่นๆ เลย

มีการทดลองหนึ่งที่สะท้อนพลังของ Skinship ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ในทศวรรษ 1950 แฮร์รี่ ฮาร์โลว์ (Harry Harlow) นักจิตวิทยาชาวอเมริกันได้ทำการทดลองหนึ่งขึ้นมาซึ่งได้กลายมาเป็นพื้นฐานด้านจิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์หลายเรื่อง 

เขาทำการสร้าง ‘หุ่นจำลองแม่ลิง’ ขึ้นมา 2 ตัว 

  • ตัวที่ 1 – มีผ้าขนหนูนุ่มๆ ปกคลุมเต็มตัว…แต่ไม่มีขวดนม
  • ตัวที่ 2 – ไม่มีขนหนูนุ่มๆ…แต่มีขวดนมโภชนาการครบถ้วน

และปล่อยลูกลิงอายุยังน้อยออกมาเจอแม่ลิงจำลอง 2 ตัวนี้ เพื่อศึกษาพฤติกรรมว่าจะเลือกแม่ลิงจำลองตัวไหน ผลปรากฎว่า ลูกลิงเข้าหาแม่ลิงตัวที่ 2 (มีขวดนม) เป็นครั้งคราวเฉพาะเวลาหิวเท่านั้น แต่เวลาเผชิญกับความเครียด ตกใจกลัว หรือเสียงดัง กลับวิ่งซบเข้าหาแม่ลิงตัวที่ 1 (มีผ้าขนหนูนุ่มๆ) สื่อว่าลิงไม่ได้สนใจแค่ด้านฟังก์ชั่นการมีชีวิตรอดเท่านั้น แต่ดูจะใส่ใจด้านอารมณ์จิตใจ ความอบอุ่น ความไว้วางใจมากกว่าด้วยซ้ำ

แฮร์รี่ยังทดลองจับแยกลิงให้ไปอยู่กับแม่ลิงจำลองตัวที่ 2 และพบว่าเมื่อมันเติบโตขึ้น กลับมีอาการขี้กลัว หวาดระแวง และมีปัญหาการเข้าสังคมกับลิงตัวอื่น

ในเวลาต่อมาการทดลองนี้นำมาสู่ ทฤษฎีการยึดติดผูกพัน (Attachment Theory) ด้วยที่สรุปว่า การเลี้ยงดูในวัยเด็ก ทั้งความใกล้ชิด ความผูกพัน การถูกเอาใจใส่ ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองและจิตใจที่ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่แบบทุกวันนี้

Skinship ผิด Relationship พังได้

อย่างไรก็ตาม skinship ก็เป็นเรื่องที่มีความเซนซิทีฟสูงมาก มีข้อควรระวังที่ต้องท่องไว้ในใจ พึงพิจารณาให้ดี มิอย่างนั้นหากทำผิดพลาดไปแม้เพียงครั้งเดียว ก็อาจสร้างความอึดอัดคับข้องใจ หรือกระทบความสัมพันธ์ให้สั่นคลอนได้เลย

‘วัฒนธรรม’ เป็นอีกตัวแปรที่สำคัญมากและอยู่เหนือเหตุผลของปัจเจกชน ขึ้นชื่อว่าวัฒนธรรมย่อมหมายถึงสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมกระทำกันมาช้านานและให้การยอมรับโดยหมู่มาก 

ตัวอย่างแรก ดูได้จากวันสงกรานต์ที่เรามีการประแป้งที่หน้ากัน จากคนที่เขินอาย ก็สามารถอนุญาตให้คนอื่นประแป้งได้กรณีร่วมเล่นงานสงกรานต์แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถและไม่ควรไปประแป้งบริเวณส่วนอื่นของร่างกายเขา เพราะจะถือเป็นการล่วงละเมิดทางเพศทันที

อีกขั้วตรงข้ามของสเปกตรัม ขอยกตัวอย่างญี่ปุ่น skinship ทุกรูปแบบแทบจะเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับ ‘เกอิชา’ ซึ่งบางคนอาจจะทราบกันอยู่แล้วว่า ถือเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่บุคคลทั่วไปห้ามแตะเนื้อต้องตัว หยุดเพื่อขอถ่ายรูปคู่ หรือแม้แต่เรียกทักทายขณะเกอิชากำลังปฏิบัติหน้าที่เดินทางสัญจรในพื้นที่สาธารณะภายในเมือง

แต่ล่าสุดที่เมืองเกียวโต ในบางพื้นที่เชิงประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของเมืองที่มีเหล่าเกอิชาใช้เส้นทางผ่านทางเป็นประจำ ได้กำลังมีการพิจารณา ‘จำกัดพื้นที่การเข้าถึง’ ห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้า เนื่องจากเกิดปัญหานักท่องเที่ยวไป ‘สัมผัสตัว’ เกอิชา แม้จะด้วยความเผอเรอไม่ตั้งใจหรือตั้งใจเพราะความอยากรู้อยากเห็นก็ตาม 

เรื่องนี้ถือเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่โดยตรง ล้ำเส้นไม่ให้เกียรติอาชีพเก่าแก่ที่คนญี่ปุ่นเคารพ และถึงขั้นมองว่าเป็นการคุกคามทางเพศ (Sexual harrassment) ได้เลยทีเดียว!

นี่ไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหายืดเยื้อมานานแล้ว โดยเฉพาะหลังจากญี่ปุ่นเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้มีการพยายามให้คำอธิบาย ให้ความรู้ด้านวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น จนทางการของเมืองอาจงัดมาตรการห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวขาติเข้าซะเลย

ข้อควรระวังของ Skinship

นอกจากนี้ เมื่อโฟกัสลงมาที่ระดับปัจเจกชน ความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นคู่ skinship ที่จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดี (Healthy relationship) ดูจะเป็นเรื่องที่ต้องมี ‘เงื่อนไข’ หรือข้อตกลงร่วมกัน เช่น คู่รักบางคนที่เพิ่งออกเดตทำความรู้จักกัน ฝ่ายหญิงอาจจะรู้สึกโอเคกับการแตะเนื้อต้องตัว เมื่อรู้จักรู้ใจกันดีพอจนนำไปสู่ ความไว้วางใจ (Trust) ที่มีให้อีกฝ่าย ซึ่งระยะเวลาก็แตกต่างกันไปแต่ละคนแต่ละคู่ ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไรถึงจะเกิด Trust นั้นขึ้น

เนื่องจากกระแสการยอมรับ skinship ที่เปิดกว้างมากขึ้นกว่ายุคสมัยก่อน อีกเรื่องที่ต้องระวังคือ กลุ่มคนที่ฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวคนอื่นด้วยจุดประสงค์อื่นแอบแฝง จะเรียกว่าการ ‘แต๊ะอั๊ง’ แบบเนียนๆ ก็ไม่ผิดนัก 

สำหรับคนกลุ่มนี้เราต้องไม่ไปให้ความชอบธรรมกับพฤติกรรมที่มีจุดประสงค์แอบแฝง ฉวยโอกาส เอาเปรียบเนื้อตัวผู้อื่น ซึ่งอาจมาได้หลายรูปแบบ เช่น การโอบเอวขณะถ่ายรูป การกอดเพื่อทักทาย 

อีกประเด็นที่บางคนอาจเผลอมองข้ามไปคือ skinship กับเพศสภาพเดียวกัน โดยมองว่าการ skinship กับเพศเดียวกันก็ไม่น่าเป็นอะไรหรอก ซึ่งความจริงแล้ว แม้อาจดูมีความเซนซิทีฟน้อยกว่าคนต่างเพศ…แต่ก็ไม่เสมอไปอยู่ดี

เพราะแต่ละคนเติบโตมาด้วยชุดความคิดที่ต่างกันและมีประสบการณ์ชีวิตที่อาจจะทำให้เขาไม่ได้รู้สึกสะดวกใจนักที่จะ skinship ต่อกัน อย่างเช่น เด็กหนุ่มที่โตมาในโรงเรียนชายล้วนในเมืองไทยแต่ไปเรียนต่อไฮสคูลเมืองนอกและซึมซับการ ‘กอดแบบแมนๆ’ สไตล์ฝรั่ง ที่กอดแบบชนอกชนไหล่และมีการลูบหลังตบหัวเบาๆ ในหมู่เพื่อนชายด้วยกัน เมื่อโตขึ้นกลับมาไทยและทำแบบนี้กับเพื่อนชายตั้งแต่สมัยวัยเด็ก เพื่อนคนนั้นก็อาจรู้สึกแปลกๆ 

นอกจากนี้ บางคนยังมีเพศวิถีซ่อนเร้นที่ไม่ได้เปิดเผยต่อผู้อื่นแม้จะสนิทสนมกันก็ตาม จุดไหนโดนได้ จุดไหนโดนไม่ได้ และถ้าโดนตัวได้ โดนได้มากน้อยแค่ไหน? ล้วนเป็นเรื่องเซนซิทีฟที่ไม่ได้จะพูดเปิดเผยกันง่ายๆ

ถ้าอยากเพิ่มความแน่นแฟ้นในความสัมพันธ์ด้วย Skinship ก็ต้องพิจารณาประเด็นอ่อนไหวเหล่านี้ด้วยเสมอ อาจเริ่มจากดูว่าแบ็กกราวด์อีกฝ่ายว่าเติบโตมายังไง นิสัยเป็นยังไง และค่อยๆ เริ่ม Skinship ทีละน้อย

Skinship ที่ดี…เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและความจริงใจ 

เฉกเช่นจิตใจคนเรา Skinship ก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางครั้งคนทำไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่กลับทำผิดวิธี-ผิดจังหวะ ก็เผลอทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่สบายใจได้ การเปิดกว้างทางความคิด ลดอีโก้มุมมองตัวเองลง เคารพให้เกียรติกัน และยอมรับความแตกต่างหลากหลายของทัศนคติ ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้าง Healthy relationship ได้

อ้างอิง

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC10073073/

https://blogs.iu.edu/kinseyinstitute/2020/05/28/the-power-of-touch-physical-affection-is-important-in-relationships-but-some-people-need-more-than-others/

https://plushcare.com/blog/advantages-of-human-touch-hugs/

https://time.com/5379586/people-hate-hugged-science/

https://www.dailyom.com/journal/what-is-skinship-and-why-is-physical-touch-so-important-for-our-well-being/

https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0273229711000025

Tags:

relationshipskinshipความอบอุ่นการยินยอมพร้อมใจ (consent)ความไว้วางใจ (Trust)ความสัมพันธ์ที่ดี (Healthy relationship)

Author:

illustrator

ปริพนธ์ นำพบสันติ

ชอบขบคิดในหัวและหาคำอธิบายให้กับสิ่งรอบตัว

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Relationship
    Breadcrumbing: เลิกกั๊กแล้วรักได้มั้ย? ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่พัฒนาไปไหน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Platonic Love: ความรักที่ไม่จำเป็นต้องตกหลุมรัก ไม่ครอบครองและไม่มีวันเลิกรา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Relationship
    Gaslighting : ‘การปั่นหัว’ หนึ่งในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษและบั่นทอน

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Relationship
    มองโลกในแง่ดีเกินไป (Toxic Positivity) : ในวันที่เราต่างมีช่วงเวลาแย่ แต่ต้องกดมันไว้ว่า ‘ไม่เป็นไร’

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทำไมกลับเหงาได้ขนาดนี้?

    เรื่อง ธนัชพร ภูติยานันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel