Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: April 2021

เมื่อเด็กป่วย ‘Nature Deficit Disorder’ : รศ.ดร.ประภาภัทร นิยม ชวนเปิดประตูห้องเรียนสู่โลกธรรมชาติ เยียวยาและกระตุ้นการเรียนรู้
6 April 2021

เมื่อเด็กป่วย ‘Nature Deficit Disorder’ : รศ.ดร.ประภาภัทร นิยม ชวนเปิดประตูห้องเรียนสู่โลกธรรมชาติ เยียวยาและกระตุ้นการเรียนรู้

เรื่อง ศากุน บางกระ

  • “Nature Deficit Disorder” หรือ “โรคขาดธรรมชาติ” เกิดจากการที่ปัจจุบันผู้ปกครองกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก การเข้าถึงพื้นที่ธรรมชาติที่จำกัด และการหลงติดอยู่กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ 
  • การไม่ได้สัมผัสกับธรรมชาติทำให้เราไม่รู้จักตำแหน่งแห่งที่ของตัวเอง ไม่ตอบสนอง ไม่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว รวมไปถึงเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่สนใจต่อการมีอยู่หรือหายไปของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และมีอาการที่อยากจะเป็นเพียงผู้รับแต่ไม่เป็นผู้ให้ จึงต้องหันมาใช้ “ธรรมชาติ” เพื่อป้องกันและแก้อาการเหล่านี้

โลกตะวันตกหันมาสนใจ “Nature Deficit Disorder” หรือ “โรคขาดธรรมชาติ” มากขึ้น เพราะริชาร์ด ลุฟว์ (Richard Louv) ผู้เขียนหนังสือ Last Child in the Woods: Saving Our Children from Nature-Deficit Disorder (2005) บอกว่า โรคนี้กำลังเกิดมากขึ้นกับเด็ก เขากล่าวว่า โรคนี้มีสาเหตุหลักมาจากการที่ปัจจุบันผู้ปกครองกลัวอันตรายที่จะเกิดเด็ก การเข้าถึงพื้นที่ธรรมชาติที่จำกัด และการหลงติดอยู่กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ 

อาการของโรคนี้ ไมคาห์ มอร์ตาลี (Micah Mortali) ผู้ก่อตั้ง The Kripalu School of Mindful Outdoor Leadership ที่สหรัฐอเมริกาได้อธิบายต่อไว้ว่า จะทำให้เกิดความเหนื่อยล้าจากการสนใจจดจ่อในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนมีผลให้ความสามารถในการกำกับตัวเองลดลงและก้าวร้าว หงุดหงิดได้ง่ายขึ้น การไม่ได้สัมผัสกับธรรมชาติยังทำให้เราไม่รู้จักตำแหน่งแห่งที่ของตัวเอง ไม่ตอบสนอง ไม่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว รวมไปถึงเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่สนใจต่อการมีอยู่หรือหายไปของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และมีอาการที่อยากจะเป็นเพียงผู้รับแต่ไม่เป็นผู้ให้ ดังนั้นที่โรงเรียนของเขาจึงหันมาใช้ “ธรรมชาติ” เพื่อป้องกันและแก้อาการเหล่านี้

ที่จริงแล้วการสร้างสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ร่มรื่น การออกไปเรียนรู้ธรรมชาติ การให้ธรรมชาติได้ขัดเกลาจิตใจ… แนวทางเหล่านี้เป็นไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยเฉพาะกับ รศ.ดร.ประภาภัทร นิยม ที่ได้นำมาใช้ที่โรงเรียนทางเลือกอย่างโรงเรียนรุ่งอรุณมากว่า 20 ปี เธอคือคนหนึ่งที่เชื่อมั่นว่า การเรียนรู้กับธรรมชาติจะช่วยสร้างปัญญาและสันติสุขได้ รศ.ดร.ประภาภัทรได้อธิบายแนวคิดนี้ไว้ในปาฐกถานิตยา คชภักดี “Children & Nature-deficit Disorder เด็กกับโรคขาดธรรมชาติ” ในการประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 7 ประจำปี 2564 จัดโดยสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

The Potential ขอนำปาฐกถานี้มาเล่าต่อ เพราะเมื่อได้ฟังแล้วมั่นใจว่าจะทำให้พ่อแม่รวมไปถึงครูเปิดประตูพาเด็กๆ ออกไปสู่ห้องเรียนธรรมชาติกันมากขึ้น และเพราะ “ธรรมชาติ” ไม่ใช่แค่แหล่งรักษาอาการของโรคขาดธรรมชาติโดยตรงแต่ยังช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กได้เป็นอย่างดีด้วย

ธรรมชาติช่วยสร้างปัญญาและสันติสุข

รศ.ดร.ประภาภัทร กล่าวว่า ธรรมชาติที่สำคัญในตัวของมนุษย์คือธรรมชาติการเรียนรู้ และการเรียนรู้ของมนุษย์นั้นไร้ขีดจำกัด นั่นคือ เราสามารถที่จะเรียนรู้อย่างลึกซึ้งไปจนถึงระดับปัญญาสูงสุดดังเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้ และแนวทางนี้คือสิ่งที่โรงเรียนรุ่งอรุณนำมาใช้เพื่อการจัดการการเรียนรู้

“การที่เราเข้าไปรับสัมผัสที่เรียกว่า กายภาวนา ผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ที่จะสร้างให้เกิดฉันทะในด้านการเรียนรู้ขึ้นมา และเป็นการเรียนรู้ที่จะไปสู่ระดับปัญญาภาวนาได้” 

และที่สำคัญคือ “การเรียนรู้ธรรมชาติภายในของมนุษย์ต้องอาศัยความสัมพันธ์กับธรรมชาติภายนอก” รศ.ดร.ประภาภัทรได้อธิบายต่อว่า ธรรมชาติภายนอกที่เป็นเหตุปัจจัยแห่งการเรียนรู้มีสองระบบ ระบบแรกคือ “ระบบปิด” เป็นระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น ตัวอย่างการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในระบบนี้ เช่น การสอนในห้องเรียน การสอบ หรือการสอนทางเดียว (One-way Teaching) ในระบบนี้จะมีสรรพวิชาความรู้ ผู้คน การสื่อสาร กติกาทางสังคม สภาพแวดล้อมทางสังคม บ้านเมือง การเรียนรู้จึงถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ ส่วนระบบที่สองคือ “ระบบเปิด” เป็นโลกธรรมชาติ สรรพสิ่งทั้งปวงที่มีชีวิต ไม่มีชีวิต เป็นระบบนิเวศ ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเกี่ยวข้องกัน ไม่ได้อยู่โดดๆ เป็นระบบนิเวศที่กว้างใหญ่ เปี่ยมไปด้วยพลัง ทั้งนี้ ทั้ง “ระบบปิด” และ “ระบบเปิด” ล้วนจำเป็นต่อการเรียนรู้

“แต่ที่สุดแล้วในระบบเปิดต่างหากที่จะทำให้การเรียนรู้เข้าไปรู้จักตัวเองได้ดีกว่าทำในระบบปิด” 

รศ.ดร.ประภาภัทร มองว่า ระบบความสัมพันธ์แบบเปิดท่ามกลางธรรมชาติมี “พลัง” ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของการพัฒนาปัญญา เป็นสิ่งที่เด็กสามารถเข้าใจได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะขยายการเรียนรู้ของเด็กให้ไปถึงระดับปัญญาจำเป็นต้องอาศัยระบบเปิด

“ถ้าหากเขาได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางโลกธรรมชาติเหล่านี้ ก็จะเห็นเรื่องความหลากหลาย เห็นเรื่องความแตกต่าง แต่ก็เห็นว่า ทุกอย่างอยู่ร่วมกันได้ มีความกลมกลืน แล้วก็เอื้อให้กับการเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน  อย่างไรก็ตาม แม้มันจะมีการเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน แต่ว่ามันมีระบบของความสมดุลอยู่ อันนี้ก็เป็นจุดที่พอเข้าไปอยู่กับธรรมชาติ เด็กก็จะได้เห็น ได้ประจักษ์สิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง”

การเรียนรู้ในธรรมชาติจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นเรื่องที่พ่อแม่ ครู และบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาต้องทำความเข้าใจ เพราะในการเรียนรู้รูปแบบนี้จะช่วยให้เด็กเข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วย

“ธรรมชาติจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจ เกิดโจทย์ใหม่ๆ ขึ้น เกิดการท้าทายว่า สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ  เพราะฉะนั้นก็จะเป็นที่มาของการค้นพบสรรพศาสตร์ คือความรู้ในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของการรู้จักตัวเอง อันนี้สำคัญที่สุด ซึ่งในระบบปิดอาจจะทำหน้าที่อย่างนี้ไม่ได้ แต่ว่าในธรรมชาติเด็กจะมีโอกาสที่จะเข้าไปรู้จักตัวเอง พาตัวเองเข้าไปสัมพันธ์ เขาต้องกลับมาที่ตัวเองด้วย”

โลกธรรมชาติเป็นโลกที่มีอิสระ ไม่มีกติกาตายตัว ซึ่งจุดนี้เองจะช่วยทำให้เด็กได้พึ่งพาตัวเองมากขึ้น ไม่อยู่ในระบบปิดที่คล้อยตามไปอยู่ตลอดเวลา เมื่อให้โอกาสเด็กๆ ไปสังเกต ไปมองเห็น ไปรับรู้โลก รับรู้ชีวิต ตามที่เป็นและอย่างกว้างขวางจะมีผลต่อจิตใจเด็กที่จะเปิดเผย เป็นอิสระ แต่ละเอียดอ่อนตามไปด้วย และนั่นเท่ากับว่า ได้ทำให้เด็กได้รู้จักกับ “การเป็นอยู่ที่สันติสุข” แล้ว

ให้โรงเรียนอยู่กลางธรรมชาติ และให้ธรรมชาติเป็น “ห้องเรียน”

“โลกธรรมชาติเป็นห้องเรียนที่เด็กรัก เป็นห้องเรียนอมตะ และเป็นตำราที่ไม่มีที่สิ้นสุด” 

รศ.ดร.ประภาภัทรเอ่ยจากประสบการณ์ที่ได้เห็นนักเรียนในโรงเรียนแสดงออกมาเสมอ

โรงเรียนรุ่งอรุณสร้างโรงเรียนอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า สิ่งแวดล้อมต้องเป็นรมณีย์ ให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้สัมผัสกับสิ่งเอื้อต่อการเรียนรู้ และการเรียนรู้นี้ยังหมายรวมไปถึงการเรียนรู้ด้านในด้วย 

เพราะความเชื่อว่า ธรรมชาติที่ร่มรื่น เขียว ปลอดโปร่ง แจ่มใส สดชื่น จะช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้สงบ ละเอียดอ่อน ลึกซึ้งได้ โรงเรียนรุ่งอรุณจึงรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ นอกจากการสร้างสิ่งแวดล้อมแล้ว โรงเรียนยังมีบทเรียนที่เรียกว่า “หน่วยการเรียนบูรณาการ” ที่ให้เด็กๆ ได้ออกไปสัมผัสกับธรรมชาติในที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา แหล่งน้ำ ป่าไม้ คล้ายๆ กับกิจกรรมทัศนศึกษา แต่ให้เด็กได้ไปเรียนรู้ชุมชม สัมผัสแหล่งธรรมชาติ พร้อมเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงอย่างลึกซึ้ง โดย รศ.ดร.ประภาภัทร เล่าว่า กิจกรรมการออกนอกโรงเรียนเช่นนี้มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กมากและครอบคลุมไปถึงความรู้สึกของเด็กด้วย

“ครูไม่ต้องไปบอกสอน แต่เข้าไปแล้วจิตเขาจะเปิด เขาก็จะค่อยๆ หันกลับมาดูตัวเอง พอออกไปอย่างนี้ บางคนสะท้อนได้ดีมากเลย สะท้อนถึงว่าเขารู้สึกกตัญญูรู้คุณกับธรรมชาติ อันนี้ถ้าเป็นการสอน ไปสอนเรื่องความกตัญญู สอนเป็นตัวหนังสือยากมาก แต่ว่าวิธีการพาเขาออกไป เขาจะรู้สึกว่าตัวเขาเล็กมากแล้วต้องอิงอาศัยธรรมชาติในการที่เขาจะดำรงอยู่ได้ เพราะฉะนั้นมันจะเกิดความรู้สึกกตัญญูรู้คุณขึ้นมา”

เติม “ธรรมชาติ” ให้กับเด็กทุกช่วงวัย

ในเด็กแรกเกิดไปจนถึงเด็กปฐมวัยจะเป็นช่วงที่สมองที่การพัฒนาสูงสุด สำหรับเด็กแรกเกิดการแสดงออกของพ่อแม่ต่อเด็กวัยนี้แม้ว่าจะเป็นอวัจนภาษาอย่างสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง รวมไปถึงความรู้สึกล้วนสำคัญต่อเด็ก ในเรื่องนี้ รศ.ดร.ประภาภัทรอธิบายว่า ความเป็นธรรมชาติของพ่อแม่ก็คือโลกทางธรรมชาติของลูกที่จะกระตุ้นการเรียนรู้ทางจิตใจและปัญญาโดยตรงและส่งผลต่อพื้นฐานจิตใจของลูกมากที่สุด ดังนั้นหากธรรมชาติในจิตใจและการกระทำของพ่อแม่เป็นไปด้วยความรักอันบริสุทธิ์ พื้นฐานจิตใจของลูกก็จะบริสุทธิ์แจ่มใสไปด้วย

ส่วนวัยเตาะแตะจะเป็นวัยที่เด็กเริ่มสำรวจโลกด้วยตัวเอง เริ่มเรียนรู้ความหมายของสรรพสิ่งรอบตัว หลังจากนั้นเมื่อเด็กไปโรงเรียนจะเรียนรู้ผ่านบทเรียนแล้วก็การลงมือทำผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาสุขภาพกาย ทักษะการทำงาน ทักษะการทางสังคม 

หากเป็นเด็กประถมฯ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นกว้างไกลกว่าเด็กอนุบาลออกไปอีก การออกแบบการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ตัวอย่างที่โรงเรียนรุ่งอรุณทำก็คือ ให้เด็กอนุบาลได้รู้จักเจริญสติท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สัปปายะ ร่มรื่น ให้เด็กประถมฯ ได้ไปเห็นธรรมชาติภายนอก และได้เป็นอาสาสมัครช่วยชุมชน เช่น สร้างฝายชะลอน้ำ สร้างแนวกันไฟ ให้เด็กมัธยมปลายไปร่วมขบวนธรรมยาตราที่เลาะเลียบไปตามแหล่งน้ำและป่าไม้ หรือให้มีโอกาสไปอยู่กับชุมชนตามภูมิภาคต่างๆ

“ถ้าโรงเรียนอนุบาลต่างๆ มีแต่ห้องเรียนที่เป็นห้องปิดแล้วก็ให้เด็กอยู่ในนั้นทั้งวันเลยนะ ดิฉันว่าก็มีผลต่อจิตใจแน่นอนถ้าเขาไม่ได้ออกไปเล่นข้างนอกเลย พออกไปก็ไปเจอสนาม ร้อน ไม่มีต้นไม้เลย มีแต่ปูน แล้วก็มีเครื่องเล่นสีฉูดฉาด ตากแดดอยู่นานแล้วก็ร้อนอีก คือเด็กจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับสิ่งที่มีผลในทางบวกกับจิตใจ เพราะฉะนั้นโรงเรียนอนุบาลต้องคำนึงถึงบรรยากาศเหล่านี้ให้มากว่าเรากำลังเล่นอยู่กับพื้นฐานจิตใจของมนุษย์”

การได้ออกไปสัมผัสกับโลกธรรมชาติที่เปิดกว้าง ด้านหนึ่งคือการไปรับพลังจากธรรมชาติที่มีผลต่อจิตใจ และต่อความรู้สึกที่เด็กสามารถรับเข้าไว้ด้านใน อีกด้านหนึ่งยังช่วยให้เด็กๆ ได้ฝึกทักษะอื่นๆ ไปพร้อมกันด้วย เช่น การทำงานเป็นทีม การตัดสินใจ ซึ่งสำคัญไม่แพ้การเรียนในห้องเลย

“นักเรียนมัธยมฯ ปลายมีโจทย์น่าสนใจมากก็คือ ไปร่วมขบวนธรรมยาตราทุกปีกับพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ท่านจัดเดินไปดูแลลำน้ำปะทาว นักเรียนเราก็ไปร่วมเดินด้วย เขาต้องแบกของไปเอง อาหารก็ไม่มีนะ อาศัยที่พระท่านบิณฑบาตจากชาวบ้าน แล้วก็ไปช่วยตรวจน้ำตามจุดต่างๆ ที่พระอาจารย์ท่านแวะ เอาความรู้ที่ได้จากการตรวจน้ำกลับคืนให้ชาวบ้านเพื่อที่จะได้บอก อธิบายได้ว่า จะต้องรักษาอย่างไร อันนี้เป็นอะไรที่มีพลังมากๆ ทั้งพลังชุมชนด้วย ทั้งการที่ได้เข้าไปอยู่กับธรรมชาติก็มีผลมากๆ เลย เด็กกลับมาแล้วมีความเข้มแข็ง มีพื้นฐานจิตใจที่เข้มแข็ง แล้วก็เห็นมุมมองมิติต่างๆ อย่างเชื่อมโยงกัน”

จากประสบการณ์ของโรงเรียนรุ่งอรุณที่จัดการเรียนรู้ท่ามกลางห้องเรียน “ธรรมชาติ” มานับไม่ถ้วน มีเด็กเติบโตขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้รุ่นแล้วรุ่นเล่า ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า “ธรรมชาติ” สามารถกระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้หลากหลายด้านโดยเฉพาะการเรียนรู้ด้านในที่จะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีจิตใจที่พร้อมเสมอสำหรับการเรียนรู้อีกหลายๆ บทเรียนที่รออยู่ในวันข้างหน้า

อ้างอิง

https://kripalu.org/resources/five-symptoms-nature-deficit-disorder-and-how-mindfulness-can-help

Tags:

โรคขาดธรรมชาติ(nature deficit disorder)ห้องเรียนธรรมชาติรศ.ดร.ประภาภัทร นิยมพัฒนาการ

Author:

illustrator

ศากุน บางกระ

Gen-Y ตอนปลาย จบวารสารฯ ธรรมศาสตร์ เคยทำงานทีวี หนังสือพิมพ์ เคยเป็นบัณฑิตอาสาสมัครสอนภาษาไทยให้เด็กชาติพันธุ์ ทำคอนเทนต์มาหลากหลาย ปัจจุบันเรียนโทด้าน Development Studies ที่ University of Melbourne ฝันอยากทำงานกับเด็กๆ

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.7 ความทรงจำเลวร้ายในวัยเยาว์ที่ตามมาหลอกหลอน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กพูดคนเดียวคือเรื่องปกติ ความจำใช้งานของเขากำลังทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • Unique Teacher
    พี่ปอสอง ห้องครูน้ำนิ่ง: เมื่อเด็กอ่านไม่ออก และครูเบื่อห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    4CS สี่ทักษะต้องมีเพื่ออนาคต – สร้างสรรค์ แก้ปัญหา สื่อสาร ร่วมงานกับคนอื่นได้

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

‘Centering การตั้งแกน’ : ตั้งหลักไม่ให้ล้ม เมื่อเจอเรื่องลบ เรื่องร้าย
How to enjoy life
5 April 2021

‘Centering การตั้งแกน’ : ตั้งหลักไม่ให้ล้ม เมื่อเจอเรื่องลบ เรื่องร้าย

เรื่อง The Potential

  • การเผชิญเหตุการณ์ที่ทำให้เรามีอารมณ์โกรธ กลัว หดหู่ เศร้าใจ ขวัญเสีย เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับตัวเรา อารมณ์และความรู้สึกลบนี้เป็นพลังงานที่ส่งออกถึงกันสู่คนอื่นๆ
  • การตั้งแกน หรือ Centering เป็นวิธีหนึ่งในการทำให้เราตั้งหลักกับเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นได้แบบไม่จมดิ่ง
  • The Potential ขอเสนอ 8 คำถามที่พาทุกคนให้ตั้งแกนได้ ตั้งแต่ คำพูด เหตุการณ์ สถานการณ์นั้นมีผลกับเราอย่างไร จนถึงของขวัญที่เราได้รับจากสถานการณ์นี้คืออะไร
ภาพ Photo by Matteo Di Iorio on Unsplash

ภายหลังเหตุการณ์กราดยิงที่โคราช สังคมเกิดการตั้งคำถามต่อเหตุการณ์นี้มากมาย ทั้งผู้ที่ต้องออกมารับผิดชอบต่อเหตุการณ์ การวิพากษ์ถึงโครงสร้างสังคมที่เป็นสาเหตุ รวมไปถึงการเลี้ยงดูในระดับครอบครัว การเสพข้อมูลหลากหลายทั้งจากผู้สื่อข่าว และผู้ประสบเหตุ หลายคนรู้สึกโกรธ กลัว หดหู่ เศร้าใจ ขวัญเสียเต็มไปด้วยพลังงานลบที่ส่งออกถึงกัน

ทว่าเราจะหลอมรวมกับพลังงานลบด้วยความเข้าใจ แปรเปลี่ยนพลังงานลบให้เป็นพลังงานบวกด้วยการเรียนรู้ และเติบโต เพื่อให้เราสามารถรับมือกับปัญหา เป็นพลังในการสร้างความมั่นคง และค้นพบทางเลือกที่จะรับมือกับสถานการณ์ได้ดีขึ้นได้อย่างไร

The Potential ขอเสนอทางเลือกในการรับมือกับปัญหาที่ถาโถมด้วยการ “ตั้งแกน” ซึ่งเป็นการอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มเปี่ยม การตั้งแกนจะสามารถช่วยให้เราถ่ายเทพลังงานลบออกไปจากสมองและจิตใจของเราได้ เพราะหัวใจของการตั้งแกนคือการกลับมาอยู่กับความสงบ สัมผัสกับคุณค่าภายในแก่นกลางของตัวเอง

การตั้งแกนที่ดีจะทำให้เราพร้อมกับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นการหลอมรวมเอาปัญหาเข้ามาแปรเปลี่ยนเป็นความสร้างสรรค์ ในที่นี้ขอชวนผู้อ่าน นิ่ง สงบ และทบทวนตัวเอง ด้วยคำถาม 8 ข้อที่จะช่วยให้ตั้งแกนได้ ดังนี้

  1. คำพูด เหตุการณ์ สถานการณ์นั้นมีผลกับเราอย่างไร
  2. เรากำลังต่อต้านอะไร
  3. จุดยืนของเราอยู่ตรงไหน
  4. ความมั่นคง ความสงบของเราอยู่ตรงไหนในสถานการณ์นี้
  5. ตัวเราต้องการอะไร
  6. เรากำลังเรียนรู้อะไร
  7. เรามีทางเลือกอะไรบ้าง
  8. ของขวัญที่เราได้รับจากสถานการณ์นี้คืออะไร

นอกจากนี้เรายังได้ รวบรวม Mindfulness Practice ที่จะช่วยให้ผู้อ่านได้มีวิธีการในการจัดการกับอารมณ์หรือพลังงานลบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ดังที่ แพตตี ไวกิงตัน (Patti Wigington) หนึ่งในกลุ่มเผยแพร่ศรัทธาความเชื่อและสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจทางธรรมชาติที่เรียกว่า Wicca ในสหรัฐอเมริกาแนะนำไว้ในบทความ ‘Magical Grounding, Centering, and Shielding Techniques’ ถึงวิธีการควบคุมจัดการพลังงานทั้งด้านบวกและลบที่ขาดความสมดุล สะสมทับถมอยู่ในตัวเรามากเกินไปบ้าง น้อยเกินไปบ้าง 

เทคนิคที่ 1 : ตั้งแกน (Centering)

เทคนิคนี้คือการเติมพลังงานที่แห้งเหือด ยุ่งเหยิง กระจัดกระจาย หรือถูกดูดกลืนด้วยความเครียดจากปัญหาที่เข้ามากระทบจนเกิดความเหนื่อยล้า ความโมโห ให้กลับมาเต็มเปี่ยมทรงพลัง

อันดับแรก หาที่เงียบสงบ อาจเป็นม้านั่งร่มรื่นในสวน หรือห้องที่อากาศโปร่งเย็นสบาย ปิดประตูลงกลอน ปิดสัญญาณโทรศัพท์ หรือตัดความวุ่นวายจากเสียงรบกวนต่างๆ นั่งผ่อนคลายบนเก้าอี้มีพนัก ปิดเปลือกตาลงเบาๆ สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ 5-10 ลมหายใจ หรือจนลมหายใจสม่ำเสมอ กล้ามเนื้อทุกส่วนบนร่างกายผ่อนคลาย หากยังฟุ้งซ่านลองนับเลขหรือท่อง ‘พุทโธ’ ในใจร่วมกับการหายใจไปด้วยก็ได้

เมื่อร่างกายสงบผ่อนคลายเต็มที่และลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอให้จินตนาการว่ามีพลังงานดีๆ อยู่รอบตัวเรา ถ้าเพิ่งเริ่มฝึกใหม่สามารถฝึกให้รู้สึกถึงพลังงานโดยการถูฝ่ามือทั้งสองถี่ๆ จนเกิดความอุ่น แยกฝ่ามือออกจากกันเล็กน้อยแล้วโฟกัสไปที่ความรู้สึกถึงกระแสพลังงานซ่าๆ เล็กน้อยที่วิ่งอยู่ตรงกลางระหว่างฝ่ามือทั้งสอง 

ช่วงฝึกแรกๆ อาจไม่รู้สึกถึงพลังงานระหว่างฝ่ามือนี้ก็ได้ หรือบางคนอาจรู้สึกได้เพียงแค่แรงต้านตุบๆ เมื่อเอาฝ่ามือเลื่อนเข้าออกหากัน

เมื่อฝึกให้ร่างกายผ่อนคลายและจดจ่อไปยังพลังงาน(จากการถูฝ่ามือหรือที่อยู่รอบตัว) จนคุ้นเคยกับมันสักพักแล้ว ให้จินตนาการต่อไปว่าพลังงานเหล่านั้นเป็นพลังงานความสุข เบา เย็นสบายพลังงานนั้นกำลังค่อยๆ ห่อหุ้มตัวเราไว้พร้อมกับพองและหดตัวเหมือนบอลลูนประสานกับลมหายใจเข้าออก บอลลูนนั้นขยายใหญ่ขึ้นๆ ทุกที จนคลุมร่างกายได้ทั้งตัว เมื่อบอลลูนแห่งความสุขคลุมทั่วร่างให้วักฝ่ามือนำพลังงานนั้นเข้าสู่ร่างกาย พลังงานที่ว่าก็คือออร่าที่เราเคยได้ยินกันนั่นเอง

ขั้นตอนนี้ไม่ใช่ว่าเรากำลังพยายามสร้างอิทธิฤทธิ์พลังวิเศษเหมือนในละครจักรๆ วงศ์ๆ แต่เป็นการที่เรากำลังนำพลังธรรมชาติที่มีอยู่รอบตัวอยู่แล้ว มาเติมพละกำลังภายในที่ร่อยหรอเหือดแห้งไปให้กลับคืนมา

จุดสำคัญของขั้นตอนนี้อยู่ที่การเก็บพลังความสุขที่รับเข้าสู่ร่างกายไว้ในจุดที่เรารู้สึกสบายและปลอดโปร่งที่สุด ส่วนมากมักกำหนดพลังงานไว้ที่กระบังลม (จุดที่เรียกว่า polar plexus) ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของร่างกายเป็นหลัก หรือบางคนหากรู้สึกว่าการเก็บพลังไว้ที่กึ่งกลางหน้าอก (heart chakra) เป็นจุดที่รู้สึกสบายกว่าก็ทำได้

เมื่อฝึกบ่อยๆ จนคุ้นกับการผ่อนคลาย จดจ่อลมหายใจ พร้อมกับเปิดรับพลังงานได้เก่งขึ้น สามารถทำเทคนิคนี้ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ในกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าขณะนั่งรถไฟฟ้า ไปทำงาน หรือรอคิวในธนาคาร การฝึกดึงพลังงานดีๆ เข้าสู่ร่างกายนี้จะช่วยพัฒนาความสงบนิ่งมั่นคงของจิตใจและกระตุ้นพลังชีวิตให้สดชื่นแจ่มใสขึ้น

เทคนิคที่ 2 : ปล่อยพลังลบลงพื้นดิน (Grounding)

เทคนิคนี้ใช้บรรเทาพลังงานลบที่ท่วมท้นจนเกินพอดี พลังงานลบคือพลังที่กระตุ้นให้รู้สึกตาสว่าง กระสับกระส่าย แม้เวลาจะล่วงเข้าสองยามแล้ว หรือขณะที่ร่างกายต้องการการพักผ่อนเต็มทีแต่กลับนอนไม่หลับ ภายในเต็มไปด้วยความขุ่นมัวที่ตกค้างมาจากความวุ่นวายทั้งวัน

ไวกิงตันอธิบายว่าบางครั้งการที่พลังงานลบภายในร่างกายเราอยู่ในระดับที่มากเกินพอดีจนรู้สึกท่วมท้น ก็เพราะในทุกวันเรารับเอาพลังลบจากภายนอกเข้ามาไว้ในร่างกายมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นต้องมีวิธีจัดการให้ระดับพลังงานส่วนเกินเหล่านั้นกลับไปอยู่ในจุดสมดุลอีกครั้ง

ขั้นตอนของเทคนิคนี้คือทำตรงกันข้ามกับการดึงพลังเข้าร่างกาย คือแทนที่จะวักพลังงานภายนอกเข้าสู่ร่างกายคราวนี้ให้เราจินตนาการว่ากำลังผลักพลังงานลบ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และความตึงเครียดออกจากร่างกายแทน

ขั้นตอนแรกทำเหมือนเดิมคือ ปิดเปลือกตาให้สนิทและจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ โฟกัสไปที่พลังงานลบความรู้สึกกระสับกระส่ายอึดอัดนั้นให้เต็มที่ แล้วใช้ฝ่ามือผลักพลังงานส่วนเกินเหล่านั้นผ่านลงไปตามขาจนถึงเท้าและปล่อยให้พลังงานนั้นซึมลงสู่พื้นดิน (หากนั่งในห้องจินตนาการให้พลังซึมลงไปที่พื้นห้อง) จินตนาการอย่างแจ่มชัดให้เห็นว่าพลังงานเหล่านั้นไหลผ่านขาและฝ่าเท้าของเราลงไปสู่พื้นดินที่เป็นฟองน้ำดูดซับพลังงานส่วนเกินของเราอย่างสม่ำเสมอ

หรืออีกวิธีเก๋ๆ ที่สามารถเสริมควบคู่ไปกับการฝึกนี้คือการใช้หินสีหรือคริสตัลเข้ามาช่วยดูดซับพลังงาน หรือลองหากระถางขนาดพอเหมาะใส่ดินไว้เป็น ‘กระถางรองรับอารมณ์’ ตั้งในมุมสงบและสะดวกใช้ 

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่ามีพลังงานลบเอ่อท้นจนเก็บไม่ไหว การงานก็รุมเร้า ลูกก็ดื้อมากเหลือเกินให้หาเวลาอยู่ตาลำพังสักครู่ เอาปลายนิ้วจิ้มลงไปบนดินในกระถางแล้วปล่อยพลังงานลบให้ไหลผ่านนิ้วลงสู่ดิน 

เมื่อทำขั้นตอนนี้เสร็จให้กล่าวคำปิดท้ายที่แสดงถึงการปลดปล่อยพลังทุกครั้งอาจเป็นประโยคง่ายๆ เช่น “และแล้วมันก็หายไปเสียที!” หรืออาจแค่ร้อง ‘เฮ้ออออออออ’ ออกมาดังๆ

เทคนิคที่ 3 : สร้างเกราะคุ้มกัน (Shielding)

เทคนิคนี้เหมือนกับ ‘การกั้นเขตแดน’ ในโลกเวทมนตร์ การสร้างเกราะคุ้มกันในที่นี้หมายถึงการป้องกันตนเองจากพลังงานลบที่ส่งมาจากผู้อื่นไม่ให้ผ่านเข้ามาถึงเรา 

แตกต่างจากสองเทคนิคแรกที่โฟกัสไปยังการจัดสมดุลพลังงานในร่างกายด้วยการดึงพลังงานดีๆ เข้ามาและถ่ายเทพลังงานแย่ๆ ออกไป เทคนิคนี้คือ สร้างเป็นเกราะป้องกันขึ้นจากพลังงานที่อยู่รอบตัวเราโดยจดจ่อไปที่ลมหายใจ และจินตนาการให้พลังงานนั้นแผ่ขยายคลุมร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเหมือนมีเกราะวิเศษห่อหุ้มตัวเราไว้ 

พื้นผิวของเกราะที่ห่อหุ้มเราอยู่นั้นเปรียบเสมือนเพชรที่แข็งแรง ทนทาน สามารถป้องกันพลังงานแย่ๆ ที่เข้ามาตกกระทบให้สะท้อนออกไป สิ่งกวนใจใดๆ หรือใครก็ตามที่มีแนวโน้มจะส่งพลังงานลบหรืออารมณ์บูดบึ้งให้แก่เรา พลังงานลบเหล่านั้นจะผ่านเข้ามาทำให้เราขุ่นมัวไม่ได้

เมื่อเราฝึกสร้างเกราะคุ้มกันจนเคยชิน คำวิจารณ์ร้ายๆ หรือข้อความเป็นห่วงเป็นใยที่นำพาแต่ความวิตกมาให้ ก็จะไม่ระคายอารมณ์เราได้สักนิด

สามเทคนิคการจัดการพลังงานนี้ถ้าทุกคนลองฝึกฝนบ่อยๆ จนชำนาญ จะพบว่าสามารถรู้ทันตนเองได้ว่าเรากำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์ใด และสามารถควบคุมอารมณ์หรือพลังงานที่ไม่สมดุลนั้นให้กลับมาสงบนิ่งได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น ลองนำไปฝึกร่วมกับหากิจกรรมนันทนาการที่ชอบ หรือช่วยกระตุ้นความสดชื่นและพลังงานบวกอื่นๆ เช่น ออกกำลังกายเบาๆ ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ แช่น้ำอุ่น หรือพบปะเพื่อนที่มีทัศนคติเชิงบวก ก็จะช่วยเติมพลังงานและความชื่นบานได้อีกครั้ง

อ้างอิง
เรียบเรียงจากบทความเรื่อง Magical Grounding, Centering, and Shielding Techniques โดย Patti Wigington

Tags:

การตั้งแกน (Centering)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • RelationshipSocial Issues
    Toxic Masculinity: เมื่อ ‘ชายแทร่’ คือผลไม้พิษ สังคม-ครอบครัวต้องสร้างการเรียนรู้ใหม่…ไม่มีใครเหนือใครในความเป็นมนุษย์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/Crisis
    ผ่านไซเรนในน่านน้ำ: เสียงวิจารณ์ภายในที่ต้อนเราให้อยู่ในวิธีคิดเดิมๆ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Life classroom
    Midlife crisis: วิกฤตวัยกลางคน โอกาสที่จะลอกคราบ เติบโต และ “ตื่น” กับชีวิตอีกครั้ง

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    ปลาบู่ทอง: การรับมือกับความสูญเสียคนที่รักและผูกพัน และหนทางเยียวยาตนเอง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

เงินทองต้องคิดส์ (1) : สอนลูกเรื่องการเงินควรเริ่มอย่างไรดี?
Early childhood
2 April 2021

เงินทองต้องคิดส์ (1) : สอนลูกเรื่องการเงินควรเริ่มอย่างไรดี?

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘การเงิน’ คำที่หลายคนได้ยินแล้วรู้สึกกลัว เพราะมองว่าเป็นเรื่องซับซ้อน เข้าใจยาก แต่การเงินไม่ได้มีความหมายแค่การเล่นหุ้น หรือลงทุน เพราะหัวใจของการเงินคือการ ‘ตัดสินใจ’ ใช้เงินที่มีอยู่อย่างจำกัดในมือ ปันส่วนไปใส่ในแต่ละตัวเลือกอย่างเหมาะสม
  • การบริหารเงินในชีวิตประจำวันจึงเป็นทักษะสำคัญที่ต้องถ่ายทอดให้เด็กๆ รู้ตั้งแต่ยังเล็กๆ คำถามคืออายุเท่าไรจึงจะควรเริ่ม แล้วต้องสอนเรื่องอะไรบ้าง สอนอย่างไร
  • ซีรีส์ ‘เงินทองต้องคิดส์’ โดย รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ นักการเงินพ่อลูกอ่อนจะมาช่วยไขข้อสงสัยและความกังวลใจของผู้ปกครองในการสอนลูกเรื่องการเงิน
  • อีพีแรกขอประเดิมด้วย 8 ข้อแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ในการเริ่มสอนการเงินเด็กปฐมวัย

หลายคนอาจเคยได้ยินผู้เชี่ยวชาญทางการเงินแสดงความคิดเห็นว่าคนไทยในปัจจุบันจัดการการเงินไม่เป็นเพราะพ่อแม่และครูอาจารย์ไม่เคยปลูกฝังด้านการเงินให้กับเด็กๆ ทางแก้ปัญหาก็ตรงไปตรงมา คือ การให้ความรู้ทางการเงินตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ว่าในรั้วบ้านหรือรั้วโรงเรียน เพียงเท่านี้อนาคตของชาติก็จะสดใสห่างไกลปัญหาทางการเงิน

ความคิดเห็นดังกล่าวฟังดูดีมีหลักการ หากคนพูดเป็นไลฟ์โค้ชชื่อดังก็อาจมีคนแชร์หลักหมื่นพร้อมเห็นดีเห็นงามที่ว่าผู้ปกครองและครูอาจารย์ก็ไม่เคยสอนเรื่องการเงินใดๆ ขณะที่พ่อแม่มือใหม่อย่างผมอ่านแล้วก็รู้สึกลุกลี้ลุกลนอยากจะหาข้อมูลแนวทางปลูกฝังนิสัยทางการเงินให้ลูกซึ่งนำไปสู่คำถามว่า การเงินสำหรับเด็กนั้นควรสอนเมื่อไหร่ เริ่มต้นอย่างไร แล้วจะเอาอะไรมาสอน เพราะคนเป็นพ่อแม่จำนวนไม่น้อยก็ยังเอาตัวเองไม่รอด

ไม่ต้องกังวลไปครับ เพราะต่อให้ชีวิตการเงินของเราเละเทะขนาดไหน แต่นั่นก็เป็นบทเรียนราคาแพงที่สามารถนำมาถ่ายทอดเป็นประสบการณ์ให้เด็กน้อยในบ้านไม่ต้องย่ำซ้ำรอยเดิม ถึงแม้คำว่า ‘การเงิน’ จะเป็นศัพท์แสงที่ฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นใจ 

แต่การเงินไม่ได้มีความหมายแค่การเล่นหุ้น ซื้อประกัน หรือหากองทุนประหยัดภาษี เพราะหัวใจของการเงินคือการ ‘ตัดสินใจ’ ใช้เงินที่มีอยู่อย่างจำกัดในมือ ปันส่วนไปใส่ในแต่ละตัวเลือกอย่างเหมาะสม เพื่อความสุขในปัจจุบัน และความมั่นคงในวัยเกษียณ 

เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เรายังควักกระเป๋าซื้ออาหารกลางวัน รูดบัตรเครดิตซื้อของออนไลน์ หรือจ่ายค่าน้ำค่าไฟผ่านแอปพลิเคชัน นั่นแหละครับคือการ ‘บริหารเงิน’ ในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ต้องถ่ายทอดให้กับเด็กๆ ในครอบครัว

ผมนับว่าโชคดีที่ได้เรียนการเงินและการบัญชีอย่างเข้มข้นตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย การบริหารเงินส่วนตัวจึงไม่ใช่ปัญหาแต่ทว่าการถ่ายทอดให้เจ้าตัวเล็กก็ดูไม่ใช่เรื่องง่าย ลองค้นหาบนโลกอินเทอร์เน็ตก็ยังไม่เจอบทความที่ถูกใจ สุดท้ายจึงต้องพึ่งหนังสือหลากเล่มโดยพ่อแม่ทั้งโลกตะวันตกและโลกตะวันออก

อ่านจบก็อดไม่ได้ที่จะหยิบมาเขียนตามนิสัย กลายมาเป็นซีรีย์ เงินทองต้องคิดส์ ไล่เรียงแต่ละหัวข้อการเงินที่พ่อแม่ควรถ่ายทอดให้กับเด็กๆ พร้อมแนวทางภาคปฏิบัติแบบนำไปปรับใช้ได้จริง ครอบคลุมตั้งแต่การออมเงิน หนี้สิน การใช้จ่าย การลงทุน และที่ขาดไม่ได้คือการคืนกำไรให้กับสังคม โดยจะแบ่งเป็นสองช่วงอายุคือเด็กเล็กกว่าชั้นประถม และเด็กโตตั้งแต่มัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย

ส่วนในบทความชิ้นแรกนี้ ผมขอเริ่มด้วยการปูพื้นฐาน 8 ข้อสำหรับเมื่อพ่อแม่มือใหม่ที่ตั้งใจจะเริ่มสอนลูกเรื่องการเงิน

1. เริ่มให้เร็ว

พ่อแม่หลายคนอาจคิดว่าลูกตัวเองยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความหมายของเงิน แต่การศึกษาโดยมหาวิทยาลัยวิสคอนซิล-เมดิสันพบว่าเด็กอายุ 3 ขวบจะเริ่มเรียนรู้แนวคิดทางเศรษฐกิจ เช่น มูลค่าและการแลกเปลี่ยน เจ้าตัวเล็กยังสามารถตัดสินใจด้วยตัวเอง และเลือกที่จะยับยั้งชั่งใจ (delayed gratification) หากการรอจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า

ผู้ใหญ่หลายคนมักแสดงความไม่พอใจเมื่อเด็กเล็กหยิบจับบัตรเครดิต เล่นกระเป๋าสตางค์ หรือพยายามกดตู้เอทีเอ็ม แต่ความเป็นจริงแล้ว เราควรใช้โอกาสที่เด็กน้อยกำลังให้ความสนใจ อธิบายแนวคิดง่ายๆ ว่าเงินคืออะไร พ่อแม่หามาได้อย่างไร แล้วการซื้อของโดยใช้เงินสดและบัตรเครดิตแตกต่างกันอย่างไร 

แน่นอนว่าเจ้าตัวเล็กคงไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด แต่นี่ก็ถือเป็นก้าวแรกๆ ในการคุยเรื่องการเงินกับลูก และเปิดทางให้พวกเขาพร้อมเข้ามาถามคำถามเรื่องเงินในอนาคต

2. ยกตัวอย่างจากชีวิตจริง

อย่าให้การสอนลูกเรื่องการเงินกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อโดยการบรรยายเหมือนในห้องเรียน พ่อแม่สามารถหยิบเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับชีวิตคนรู้จักแล้วนำมาดัดแปลงเพื่อเล่าให้เหล่าตัวเล็กฟังในรูปแบบคล้ายนิทานก่อนนอน เช่น น้ามายด์ (นามสมมติ) ถึงจะมีรายได้ไม่มาก แต่ก็เก็บเล็กผสมน้อยจากเงินที่ได้ทุกเดือนจนตอนนี้เปิดร้านกาแฟตามฝัน แถมยังทำไอศกรีมและขนมเค้กอร่อยด้วย หรือลุงโอ๊ต (นามสมมติ) ใช้เงินซื้อของเกินตัว ออกของเล่นเป็นกล้องรุ่นใหม่แทบทุกปี แถมยังยืมเงินไปเที่ยวต่างประเทศ ตอนนี้ลำบากมากเพราะต้องทำงานหาเงินใช้หนี้แบบไม่มีวันพัก 

เรื่องเล่าเหล่านี้จะเน้นให้เด็กๆ เห็นความสำคัญเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงิน ทั้งตัวอย่างที่สำเร็จด้วยการเก็บออมและลงทุน รวมถึงหายนะหากใช้จ่ายเงินแบบไม่บันยะบันยัง

3. เล่าด้วยตัวเลข

คนจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยสันทัดวิชาคณิตศาสตร์สักเท่าไหร่ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องเงินแบบให้เห็นภาพ การเล่าเรื่องแบบมีตัวเลขก็เป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อให้เจ้าตัวเล็กเห็นภาพได้ง่ายขึ้น จากตัวอย่างก่อนหน้านี้ เราอาจใส่ตัวเลขเพิ่มเติมไป เช่น น้ามายด์วางแผนว่าจะเปิดร้านกาแฟใช้เงิน 500,000 บาท เขาเก็บเงินเดือนละ 5,000 บาททุกเดือนเกือบ 10 ปีก่อนที่ฝันจะเป็นจริง หรือลุงโอ๊ตเดือนหนึ่งหาเงินได้ 30,000 บาท แต่ซื้อกล้องที่เป็นแสนก็เลยต้องใช้บัตรเครดิต ตอนนี้เลยต้องเสียดอกเบี้ยเดือนละหลายพันบาทให้ธนาคาร 

เพียงเท่านี้ เด็กๆ จะพอเห็นภาพและสามารถเปรียบเทียบได้ว่าเงินในเรื่องที่พ่อแม่เล่าให้ฟังนั้นมูลค่ามากน้อยเพียงใด

4. อย่าโกหก

เวลาเด็กน้อยงอแงอยากได้ขนมหรือของเล่นในห้างสรรพสินค้า พ่อแม่หลายคนจะมีระบบตอบรับอัตโนมัติว่า ‘พ่อพกเงินมาไม่พอ’ หรือ ‘แม่ไม่ได้หยิบกระเป๋าสตางค์มา’ ซึ่งเปรียบเสมือนคำขาดที่จะทำให้เจ้าตัวเล็กสงบสติอารมณ์เพราะรู้ว่าโวยวายต่อไปก็ไม่มีประโยชน์

แต่รู้ไหมครับว่า เด็กๆ รู้นะว่าผู้ใหญ่กำลังโกหก (ก็แน่สิ! ตอนไปซื้อของแผนกอื่นเห็นมีเงินเป็นฟ่อน) ดังนั้นแทนที่จะโกหกลูกว่าเงินไม่พอ เราควรบอกเหตุผลจริงๆ ว่าทำไมเราถึงตัดสินใจไม่ซื้อให้ เช่น อยากได้เยลลี่รูปหมีเคี้ยวหนุบหนับ ก็บอกไปว่าคุณหมอฟันแนะนำว่าหนูยังไม่ควรกินขนมหวานนะครับ อยากได้รถของเล่นที่มีอยู่เต็มบ้าน ก็บอกไปว่าที่บ้านพ่อยังเห็นหนูเล่นไม่ครบทุกคันเลย ไว้ไปเล่นของเล่นที่บ้านให้เบื่อก่อนนะ หรืออยากได้ชุดเจ้าหญิงราคาแพงจนพ่อแม่จ่ายไม่ไหว ก็บอกไปตรงๆ ว่าพ่อแม่ยังไม่มีเงินพอที่จะซื้อให้ แต่ถ้าหนูอยากได้จริงๆ เรามาช่วยกันเก็บเงินกันซื้อในวันเกิดหนูครั้งหน้า แต่ก่อนถึงวันนั้นต้องงดซื้อขนมและของเล่นทุกอย่างนะจ้ะ

5. อย่าทะเลาะเรื่องเงินต่อหน้าลูก

ความเห็นไม่ลงรอยกันเป็นเรื่องสามัญของคู่สามีภรรยา แต่เรื่องเงินก็เช่นเดียวกับหลายๆ เรื่องที่ต่อให้คิดต่างกันก็ไม่ควรทะเลาะต่อหน้าลูก งานวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่าวัยรุ่นที่เติบโตมาในบ้านซึ่งพ่อแม่ทะเลาะกันเรื่องเงินบ่อยครั้งจะมีแนวโน้มใช้จ่ายเกินตัวและติดหนี้บัตรเครดิตแม้ว่าจะเป็นเด็กจากครอบครัวที่ร่ำรวยก็ตาม นอกจากนี้ รอยแผลเรื่องการเงินในวัยเด็กยังส่งผลให้เด็กเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า ใช้สารเสพติด หรือมีภาวะก้าวร้าวอีกด้วย

ครั้งหน้าถ้าลูกๆ เดินมาขอเงินก้อนใหญ่ เช่น ซื้อบัตรคอนเสิร์ต ลงเรียนพิเศษ หรือไปเที่ยวต่างประเทศ ก่อนที่พ่อหรือแม่จะตอบรับหรือปฏิเสธแบบทันควัน ผมแนะนำให้ขอ ‘เวลานอก’ ปรึกษากันให้เรียบร้อยเสียก่อนเพื่อให้คำตอบของทั้งสองคนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

6. แค่เอาเงินให้ยังไม่เพียงพอ

หลายครอบครัวมองว่าการสอนเรื่องการเงินที่ดีที่สุด คือ การให้เงินจำนวนจำกัดแล้วให้เด็กๆ ไปบริหารจัดการด้วยตนเอง แน่นอนครับว่าแนวคิดดังกล่าวเป็นเรื่องที่เหมาะสมแต่ยังไม่เพียงพอ เพราะพ่อแม่ควรพูดคุยเรื่องเงินกับลูกๆ อยู่เสมอ ว่าเงินที่ได้ไปนั้นใช้พอหรือไม่ แต่ละวันนำไปใช้อะไรบ้าง ถ้าอยากได้เงินค่าขนมเพิ่มจะนำไปใช้อะไร 

นอกจากนี้ การจัดการทางการเงินยังมีมิติที่มากกว่ารับมาและใช้ไป ไม่ว่าจะเป็นความสำคัญในการเก็บออม ทางเลือกต่างๆ ในการลงทุน การตัดสินใจทำประกัน ไปจนถึงการบริจาคเพื่อคืนกำไรให้กับสังคม ซึ่งพ่อแม่มีหน้าที่ปูพื้นฐานให้ก่อนที่ลูกน้อยจะเติบโตไปและต้องรับผิดชอบชีวิตการเงินของตนเองในอนาคต

7. ให้เรื่องเงินเป็นเรื่องของทุกคน

“ไปถาม (พ่อ/แม่) สิ!” ประโยคคลาสสิคของหลายครอบครัวที่คุณพ่อหรือคุณแม่เพียงคนเดียวเป็นผู้รับผิดชอบการจัดการการเงินทั้งหมดของบ้าน แต่ประโยคดังกล่าวอาจไม่เหมาะควรนัก ถึงแม้ว่าคุณพ่อจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน หรือคุณแม่มีประสบการณ์ทำงานในอุตสาหกรรมธนาคารมากว่าสิบปี แต่เรื่องเงินในบ้านควรเป็นเรื่องที่ทุกคน ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่ง

หากเราไม่แน่ใจว่าควรจะตอบคำถามลูกอย่างไร พ่อหรือแม่ก็สามารถตอบไปก่อนได้ว่า “ไม่แน่ใจ แต่ (พ่อ/แม่) จะไปหาคำตอบมาให้” แต่ที่สำคัญคือต้องทำตามสัญญาโดยการหาคำตอบมาให้กับเจ้าตัวเล็กด้วยนะครับ

8. อย่าทำนิสัยทางการเงินแย่ๆ ให้ลูกเห็น

แม้เราจะวาดหวังว่าการสั่งสอนให้ลูกเก็บออม ใช้จ่ายเงินพอดีตัว และรู้จักยับยั้งชั่งใจ จะผลิดอกออกผลให้เจ้าตัวเล็กในวันนี้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีปัญหาทางการเงินในวันหน้า แต่บทเรียนที่พร่ำสอนด้วยคำพูดทุกวันคงไร้ประโยชน์หากสิ่งที่พ่อแม่พูดกับการกระทำต่างกันราวฟ้ากับเหว

เด็กที่เริ่มรู้ความย่อมสังเกตเห็นได้ว่ามีพัสดุมาส่งที่บ้านทุกวันเพราะพ่อแม่ซื้อสินค้าออนไลน์แบบไม่เว้นวันหยุดราชการ ขณะที่บอกกับลูกว่าให้ซื้อเฉพาะของที่ ‘จำเป็น’ ไม่ใช่ทุกอย่างที่อยากได้ ซื้อเสื้อผ้าและกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพง ขณะที่สอนให้ลูกรู้จักประหยัด หรือเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่โดยใช้บัตรเครดิต ขณะที่สอนให้ลูกหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้หากไม่จำเป็นจริงๆ 

หากคิดจะสอนเรื่องการเงินให้กับเจ้าตัวเล็ก สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรทำก็คือนำบทเรียนที่กำลังจะสอนมาสอบทานพฤติกรรมของตัวเอง แล้วค่อยๆ จัดการชีวิตทางการเงินของตัวเองให้ดีขึ้นเพราะตัวอย่างที่ดีย่อมมีค่ามากกว่าคำสอน

อนึ่ง อย่าคิดว่ากฎพื้นฐานทั้ง 8 ข้อคือกฎเหล็กที่ห้ามล่วงละเมิดนะครับ ผมเข้าใจดีในฐานะคนเป็นพ่อที่บางทีเจอลูกอ้อนเข้าใจก็มีอาการ ‘ใจบาง’ กันบ้าง หากพลาดพลั้งยอมแพ้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ให้พ่อแม่รวมพลังตั้งต้นกันใหม่ เพราะเรื่องการเงินนั้น ไม่มีคำว่าช้าเกินกว่าที่จะเรียนรู้ครับ

Tags:

พ่อแม่การเงินเงินทองต้องคิดส์

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (9) : อย่ามองข้ามเรื่องการให้

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (5) : สอนลูกชั่งใจก่อนใช้เงิน (ฉบับวัยรุ่น)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (4): สอนลูกชั่งใจก่อนใช้เงิน (ฉบับเด็กเล็ก)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (3) : ออมเงินเรื่องง่าย (ฉบับเด็กโต)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (2) : ออมเงินเรื่องง่าย (ฉบับเด็กเล็ก)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel