Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: June 2020

บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (1): ความไม่ง่ายของการตัดสินใจเป็นพ่อ
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
12 June 2020

บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (1): ความไม่ง่ายของการตัดสินใจเป็นพ่อ

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การเป็นพ่อคือความรับผิดชอบหนักอึ้งในการชุบเลี้ยงสิ่งมีชีวิตตัวน้อยให้เติบใหญ่ ที่สำคัญตำแหน่งนี้ไม่มีโอกาสให้เซ็นใบลาออก ชีวิตเปลี่ยนตลอดไม่อาจถอยหลังกลับ เป็นความผูกพันระยะยาวที่ต้องใช้ทรัพยากรทั้งทุน เวลา และอารมณ์ การตัดสินใจเปลี่ยนสถานะจากบุคคลธรรมดาเป็นพ่อของอีกหนึ่งคนจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
  • เราอาจคิดว่าการมีลูกนั้นแสนง่ายเหมือนกับที่สื่อมวลชนกระแสหลักประโคมข่าววัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควรเพราะมีเซ็กซ์โดยไม่ป้องกันคืนวันวาเลนไทน์ เมื่อประสบกับตนเอง ผมพบว่าการมีลูกยากกว่าที่คิดและจำเป็นต้องอาศัยวิทยาศาสตร์เข้าช่วยเพื่อคาดการณ์วันไข่ตก (Ovulation) ซึ่งเป็นช่วงสองสามวันในแต่ละเดือนที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงสุด
  • ชวนอ่านการตัดสินใจมีลูกของคนรุ่นใหม่ที่มีเรื่องต้องคำนึงมากมาย การวางแผนรองรับการมีลูกหลายเรื่อง เช่น การคำนวนเงินออมสำหรับการศึกษาบุตรในอนาคต

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นพ่อคนในช่วงอายุที่ยังไม่แตะเลขสาม

ไม่ใช่สิ ผมอาจไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะได้มีสถานะเป็นพ่อ เพราะตั้งแต่สมัยปริญญาตรี ผมมักเป็นเป้ากึ่งแซวกึ่งกระแนะกระแหนว่าอยากเห็นหน้าแฟนในอนาคตจัง อาจเป็นเพราะการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่ไม่ค่อยขนบกับเด็กคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีสักเท่าไหร่ แถมยังไม่มีท่าทีสนใจจะคบหาใครเพราะหมดเวลาไปกับกิจกรรมและการเรียน

พวกมันคงช็อกไม่น้อยที่ผมกลับแต่งงานและมีเจ้าตัวเล็กเป็นคนแรกๆ ของรุ่น (ฮ่าฮ่า!)

คำถามหนึ่งที่เพื่อนหลายคนถามมาหลังไมค์เมื่อได้ข่าวว่าภรรยาผมตั้งท้องคือคิดยังไงถึงอยากมีลูก?

เพื่อนผมหลายคนเขียนสาธยายยาวเหยียดบนโซเชียลมีเดียว่าด้วยเหตุผลที่ไม่อยากมีลูก เขาและเธอมองอนาคตของโลกใบนี้ไม่ค่อยสดใสนัก ทั้งการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ เศรษฐกิจที่ลุ่มๆ ดอนๆ อาชญากรที่มีอยู่เต็มเมือง วิกฤติสิ่งแวดล้อมที่ดูจะไร้ทางออก ตอกย้ำด้วยโรคระบาดที่ไม่รู้จะควบคุมได้เมื่อไหร่ และอีกสารพัดความเลวร้ายที่ทำให้ดูเป็นการใจร้ายอย่างยิ่งที่คนสองคนจะปลงใจให้กำเนิดลูกน้อยในภาวะที่ดูสิ้นหวัง

ผมอ่านข้อความเหล่านั้นแล้วยักไหล่ เพราะหากพิจารณาตัวชี้วัดระดับมหภาค คุณภาพชีวิตของประชากรในปัจจุบันดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหากเทียบกับในอดีต ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนครัวเรือนที่เข้าถึงน้ำประปาและไฟฟ้า คุณภาพบริการด้านสุขภาพ อายุขัยเฉลี่ย จำนวนปีที่เด็กได้เข้าศึกษา อัตราการอ่านออกเขียนได้ เปอร์เซ็นต์ของเด็กแรกเกิดที่เสียชีวิต และอีกสารพัดตัวชี้วัดที่บอกกับเราว่าชีวิตในวันนี้ดีกว่าในอดีตหลายเท่านัก 

เพื่อให้พอเห็นภาพ ผมขอหยิบตัวเลขจีดีพีต่อหัว (GDP per capita) มาเปรียบเทียบแบบกำปั้นทุบดิน โดยพ.ศ. 2534 ปีที่ผมเกิดซึ่งก็คือปีที่คุณพ่อแม่ตัดสินใจมีลูก จีดีพีต่อหัวอยู่ที่ราว 4,290 บาทต่อคนต่อเดือน (1,716 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี) ขณะที่ พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นปีที่ผมตัดสินใจว่าจะมีลูกอยู่ที่ราว 19,480 บาทต่อคนต่อเดือน (7,792 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี) จะเห็นว่ารายได้ในปัจจุบันสูงกว่าในอดีตถึง 5 เท่า (หรือราว 2 เท่าหากปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ)

สิ่งเดียวที่น่ากังวลคือปัญหาวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่แม้จะดูไร้ความหวัง แต่เราก็เห็นถึงความพยายามของคนจำนวนมากในการบรรเทาวิกฤติดังกล่าว อีกอย่าง ชีวิตจะไปสนุกอะไรถ้ามันดำเนินไปอย่างราบเรียบไร้ความท้าทาย?

แต่การตัดสินใจเป็นพ่อคงไม่ได้ใช้เพียงแค่สมอง เพราะอีกองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้คือการไตร่ตรองโดยใช้หัวใจซึ่งนับว่ายากกว่าหลายเท่าตัว

ใครบ้างจะไม่กังวลกับการรับบทบาทหน้าที่ใหม่ ความรับผิดชอบหนักอึ้งในการชุบเลี้ยงสิ่งมีชีวิตตัวน้อยให้เติบใหญ่ ที่สำคัญตำแหน่งนี้ไม่มีโอกาสให้เซ็นใบลาออก ตัดสินใจแล้วชีวิตเปลี่ยนตลอดไม่อาจถอยหลังกลับ ผมใช้เวลาทบทวนคำถามนี้ลึกๆ ว่าทำไมตัวเองถึงอยากมีลูก

ต้องการหาคนสืบสายสกุล? อันนี้ไม่เคยอยู่ในหัวสมอง

ต้องการมีคนดูแลตอนแก่ชรา? เรื่องนี้วางแผนไว้แล้วในบัญชีเงินออมและลงทุน

สุดท้ายผมก็ได้คำตอบที่ค่อนข้างโรแมนติก (หากอิงจากค่อนชีวิตที่อยู่กับตัวเลขและงานวิชาการ) นั่นคือผมอยากสัมผัสกับความรักที่ไม่มีเงื่อนไขแบบที่เรามีสถานะผู้ให้มากกว่าผู้รับ ที่สำคัญครอบครัวของผมและภรรยาต่างก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่หากเราตัดสินใจจะมีสมาชิกตัวน้อย องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ผมคลายความกังวลและตัดสินใจได้ไม่ยากนัก

ผ่านจากสมอง หัวใจ มาจบที่กระเป๋าสตางค์ เพราะเงินเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญไม่น้อยไปกว่าเวลาและความรัก

ค่าใช้จ่ายก้อนแรกจะเริ่มตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ทั้งมีค่าฝากครรภ์ไปจนถึงทำคลอด หากเป็นโรงพยาบาลเอกชนก็ค่อนแสน หลังคลอดก็เป็นช่วงที่จำเป็นต้องใช้เงินอีกก้อน ทั้งเฟอร์นิเจอร์สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเจ้าตัวเล็ก คาร์ซีทเพื่อความปลอดภัย เสื้อผ้า ของใช้ของเล่น และอีกจิปาถะที่ซื้อนู่นนิดนี่หน่อยก็อาจทำให้เงินหลายหมื่นบาทหายวับไปในพริบตา

แถมแต่ละเดือนยังมีค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองทั้งผ้าอ้อมและอาหารการกิน แม้เราตั้งมั่นว่าจะใช้ผ้าอ้อมแบบซักได้และให้กินนมแม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ต้องกันเงินเตรียมไว้แต่ละเดือนอย่างน้อยสามพันบาท

โชคดีที่ผมกับภรรยาเก็บหอมรอมริบไว้พอสมควร ผนวกกับเงินก้นถุงค่าสินสอดที่ทั้งสองบ้านยกให้ใช้ตั้งตัว เราจึงมั่นใจว่ามีทรัพยากรเพียงพอที่จะดูแลสมาชิกใหม่ในช่วงแรกเริ่ม แต่ที่น่ากังวลคือค่าเล่าเรียนในอนาคต เพราะต่อให้ไม่ได้ส่งไปโรงเรียนสามภาษาค่าเทอมหลักแสน เราก็อยากปูทางไว้หากสักวันหนึ่งที่ลูกต้องการไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ทุนทรัพย์จะได้ไม่กลายเป็นข้อจำกัดสำหรับความฝันของเจ้าตัวเล็ก

ผมคำนวณคร่าวๆ ว่าจะใช้เวลา 15 ปีในการเก็บหอมรอมริบเงินก้อนหนึ่งไว้เป็นทุนการศึกษาโดยตั้งเป้าว่าจะเก็บให้ได้ราวสองล้านบาท แน่นอนว่าผมคงไม่อยากให้อนาคตของลูกไปผูกติดกับความผันผวนของราคาหุ้น เงินลงทุนจึงต้องอยู่ในสินทรัพย์ความเสี่ยงไม่สูงมากแต่ผลตอบแทนต้องสมน้ำสมเนื้อ

ตัวเลือกอันดับหนึ่งคือบัญชีฝากประจำปลอดภาษีซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีแทบทุกธนาคาร โดดเด่นโดยการหักเงินจากบัญชีแบบอัตโนมัติในแต่ละเดือนโดยได้ผลตอบแทนรวมกับโบนัสหากฝากครบตามเกณฑ์ราว 2 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เมื่อครบกำหนดแล้วค่อยถอนมาลงในกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ทางเลือกที่ความเสี่ยงต่ำและได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน สำหรับกลยุทธ์นี้ผมกดตัวเลขกลมๆ เท่ากับการเก็บออม 10,000 บาทต่อเดือนที่หากทำได้ต่อเนื่องตามแผนก็จะมีเงินก้อนรวม 2.1 ล้านบาทในปีที่ 15

ตัวเลขดังกล่าวนับว่าไม่เยอะมากมายนัก เพราะหากหารสองระหว่างผมและภรรยาก็จะตกคนละ 5,000 บาทต่อเดือน เรื่องเงินๆ ทองๆ ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยาวจึงนับว่าเบาใจได้

หลังจากตัดสินใจร่วมกันว่าพร้อมที่จะมีลูก แต่เรากลับต้องเจออุปสรรคที่ไม่คาดฝัน ผมเคยเข้าใจว่าการมีลูกนั้นง่ายแสนง่าย เหมือนกับข่าวที่สื่อมวลชนกระแสหลักประโคมข่าววัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควรเพราะมีเซ็กซ์โดยไม่ป้องกันคืนวันวาเลนไทน์ แต่เมื่อต้องพยายามด้วยตัวเอง ผมก็เพิ่งทราบว่าการมีลูกยากกว่าที่คิดและจำเป็นต้องอาศัยวิทยาศาสตร์เข้าช่วย

อย่างแรกคือวิตามินที่ผมและภรรยารับประทานเพื่อให้มั่นใจว่าเจ้าตัวเล็กจะแข็งแรง อย่างที่สองคือแอปพลิเคชันเพื่อคาดการณ์วันไข่ตก (Ovulation) ซึ่งเป็นช่วงสองสามวันในแต่ละเดือนที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงสุด โดยภาระหนักจะตกอยู่ที่ภรรยาของผมที่ต้องคอยใส่ข้อมูลทั้งอารมณ์ อุณหภูมิหลังตื่นนอน วงจรประจำเดือน อาการปวดเกร็งต่างๆ เพื่อให้อัลกอริธึมประเมินว่าการมีเซ็กซ์วันไหนจะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูงสุด

ผ่านไปร่วมค่อนปีก็ยังไม่มีวี่แวว เราเริ่มท้อใจและคิดว่าจะไปปรึกษากับคุณหมอแผนกผู้มีบุตรยาก ซึ่งคุณหมอท่านก็แนะนำว่าให้ลองพยายามวิธีธรรมชาติให้ครบหนึ่งปีเสียก่อนค่อยมาคุยกัน แต่ในใจผมภาวนาลึกๆ ว่าอยากให้เป็นไปตามธรรมชาติ ทำไมน่ะหรอครับ? ก็เพราะกระบวนการทำกิ๊ฟ (Gamete Intra – Fallopian Transfer: GIFT) หรือ IVF (In Vitro Fertilization) ใช้ทุนทรัพย์ร่วมแสนแถมยังไม่การันตีว่าจะประสบผลสำเร็จเสียอีก

เราตั้งดีเดย์ไว้วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ว่าจะยกธงขาวและนัดพบคุณหมอ ก่อนหน้านั้นผมและภรรยาหยุดยาวช่วงสงกรานต์ เราใช้โอกาสนั้นไปเที่ยวตุรกี ตากแดดร้อนเปรี้ยงตะลุยเมืองโบราณเอฟิซุส (Ephesus) เมืองหลวงแห่งโลกตะวันออกของอาณาจักรโรมัน นั่งรถสมบุกสมบันชมหมู่หินหน้าตาแปลกประหลาดที่คัปปาโดเกีย (Cappadocia) แล้วมาชิมช็อปที่อิสตันบูล เราหอบของฝากพะรุงพะรังและร่างกายเหนื่อยอ่อนกลับกรุงเทพฯ

ไม่นานหลังจากถึงบ้าน ภรรยาของผมก็รู้สึกไม่สบายตัวซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นผลมาจากการท่องเที่ยวที่สมบุกสมบัน แต่หลังจากใช้ที่ตรวจการตั้งครรภ์ ในที่สุดเราก็ได้เห็นเส้นสีแดงลางๆ ที่เราเฝ้ารอมานาน มันเป็นสัญญาณว่าเราประสบความสำเร็จแบบไม่ต้องเสียสตางค์

เราไปตรวจอีกครั้งที่โรงพยาบาลใกล้บ้านเพื่อความมั่นใจ ผลการอัลตร้าซาวด์เห็นจุดจิ๋วๆ ที่คุณหมอบอกว่านี่แหละคือลูกน้อยอายุสี่สัปดาห์ มันเป็นช่วงเวลาที่หลากอารมณ์ทั้งดีใจ เครียด ตื่นเต้น กังวล และอีกสารพัดถูกปั่นรวมกันในหน้าอก ผมรู้สึกตัวจากภวังค์อีกทีเมื่อคุณพยาบาลเรียกให้เราไปรับบัตรนัด นั่นเป็นครั้งแรกที่คนอื่นเรียกผมว่า ‘คุณพ่อ’

Tags:

พ่อบันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ลูกเกิดมาดี สวยงาม สมบูรณ์แบบแล้ว: ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ พ่อเลี้ยงเดี่ยวของลูกที่มีความพิการ

    เรื่องและภาพ คชรักษ์ แก้วสุราช

  • MovieDear Parents
    Beautiful Boy: ไม่ว่าลูกจะเลือกทางไหน พ่อจะเห็นลูกเป็น ‘บิ้วตี้ฟูลบอย’ ของพ่อเสมอ

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Life classroomอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (4): หน้าที่ของพ่อคือเปิดโอกาสให้แม่ไม่ต้องเป็นแม่

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (3): โกลาหลหลังคลอด และต้องลุ้นว่าน้ำนมจะมารึเปล่า

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นBook
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน (2): ตามหาสูตรสำเร็จในการเลี้ยงลูก

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Perfume น้ำหอมมนุษย์: ความสัมพันธ์กับตัวเองและผู้อื่น ที่เรียนรู้มาจากผู้เลี้ยงดู
Life classroom
12 June 2020

Perfume น้ำหอมมนุษย์: ความสัมพันธ์กับตัวเองและผู้อื่น ที่เรียนรู้มาจากผู้เลี้ยงดู

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • เกรอนุย ตัวละครในนวนิยายเรื่อง Perfume น้ำหอมมนุษย์ ปลิดชีพคนอื่นและตัวเองเหมือนที่แม่เขี่ยเขาทิ้ง ตัวเราเองก็อาจไม่ต่างจากเขานัก เพียงแต่เรื่องราวของเราส่วนใหญ่อาจเป็นเพียงความรู้สึกเดียดฉันท์ตัวเองเฉพาะในส่วนที่คนดูแลของเราไม่ชอบหรือที่คิดว่าคนดูแลของเราไม่ชอบ ซึ่งอาจถึงขนาดทำให้บางด้านของตัวเองดังกล่าวหายไปจากความรับรู้ของเรา
  • ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา เขียนถึง เกรอนุย ในมุมมองจิตวิทยาเกี่ยวกับตัวตนที่มีผลส่วนหนึ่งมาจากการเลี้ยงดูโดยพ่อแม่หรือผู้ดูแล กล่าวคือ เราอาจมีลักษณะหรือนิสัยบางอย่างที่มาจากการพยายามทำให้พ่อแม่หรือผู้ดูแลเราพอใจ ขณะเดียวกันก็มีลักษณะหรือนิสัยอื่นๆ ที่พยายามจะไม่เป็น และอาจถึงขนาดที่ไม่ตระหนักรู้มันเลย
  • เช่น ช่วงเวลาหนึ่งในวัยเด็กของใครบางคน เขามักถูกตำหนิเมื่อเข้าไปกวนพ่อแม่ และได้รับคำบอกกล่าวว่าให้ช่วยดูแลน้องเสียบ้าง เขาแปรสารนั้นไปเป็นความชิงชังส่วนหนึ่งในตัวเองที่มีลักษณะเป็น ‘ภาระ’ และพยายามรับผิดชอบการเรียน จัดการตัวเอง ช่วยเลี้ยงน้องอย่างดีที่สุด เขาโตมาโดยใช้โมเดลของการพร้อมจะแบกรับทุกอย่างไว้เพื่อคนอื่น หลีกเลี่ยงการเป็นผู้รับ เขาได้กำจัดเด็กคนที่มีสิทธิ์จะเรียกร้องการโอบอุ้มอย่างอ่อนละมุนให้ตายไปจากการรับรู้แล้ว

1.

“พ่อครับแม่ครับ แต่ถึงอย่างนั้น… ผมก็รักพ่อแม่เสมอ” – เกออร์ก เบ็นเดมันน์, The Judgment โดย คาฟคา

มนุษย์ส่วนใหญ่ เมื่อคลอดและอยู่รอดมาแล้ว ก็ย่อมอยากได้รับการยอมรับและอยากมีคุณค่า แต่หลายครั้ง นิยามคุณค่าต่างๆ เป็นสิ่งที่เราได้รับอิทธิพลมาจากคนอื่นอีกที ไม่ว่าจากคนที่เคยดูแลเราครั้งยังเด็ก หรือกระแสสังคม คนมากมายเติบมาโดยตั้งเงื่อนไขให้ตัวเองมีเฉพาะคุณลักษณะบางชุด และจะใจดีกับตัวเองไม่ได้หากชีวิตไม่เป็นไปตามเงื่อนไขนั้น จึงกลบตัวเองด้วยน้ำหอมกลิ่นสังเคราะห์อยู่ร่ำไป กระทั่งไม่ได้กลิ่นเดิมของตนเองที่รุ่มรวยเต็มเปี่ยมกว่านั้นอีกแล้ว  

ทว่าหากเราพร้อมทำงานกับโลกภายใน เราก็ยังสามารถที่จะได้กลิ่นอื่นๆ ของตัวเองซึ่งซ่อนอยู่ และโอบกอดมันไว้ในความตระหนักรู้ ต่อให้คนอื่นเห็นว่าเป็นกลิ่นสกปรกน่ารังเกียจก็ตาม อีกทั้งเรายังโชคดีกว่าใครคนหนึ่งที่ไม่เคยมีแม้แต่กลิ่นของตน เขามีจมูกชั้นเลิศที่สามารถใช้รังสรรค์น้ำหอมที่ทำให้ผู้คนทั้งโลกสยบได้ แต่นั่นไม่เคยเป็นความสัมพันธ์จริงๆ เพราะเขาไม่แม้แต่จะสามารถมีความสัมพันธ์กับตัวเอง    

ในศตวรรษที่ 18 ฌอง บับติสเกรอนุย (อ่านว่า เกรอ-นุย) ตัวละครใน Das parfum นวนิยายที่เขียนขึ้นในปี 1985 โดยนักเขียนชาวเยอรมัน Patrick Süskind เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เรื่อง Perfume (น้ำหอมมนุษย์) เกิดมาในตลาดปลากลิ่นคาวคละคลุ้งแห่งนครปารีส แม่ทิ้งเกรอนุยซึ่งยังเป็นทารกน้อยไว้กับกองซากปลา ก่อนจะถูกพิพากษาประหารชีวิตด้วยข้อหาพยายามฆ่าลูกในไส้ตัวเอง เกรอนุยจำต้องเข้าไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีเด็กๆ คนอื่นคอยปองร้ายเพราะรู้สึกว่าเขามีลักษณะบางอย่างแตกต่างจากคนอื่น ทว่าเขาสามารถอยู่ในโลกแห่งกลิ่นอันไร้ขีดจำกัดแต่เพียงลำพัง ต่อมาเขาถูกขายให้ไปทำงานหนักที่โรงฟอกหนัง และภายหลังก็ถูกช่างทำน้ำหอมซื้อตัวไปช่วยงาน

ตลอดชีวิตที่ดำเนินไป ไม่มีใครรักเกรอนุยเลย หากจะมีคนที่แยแสเขาบ้างก็เพียงหวังผลประโยชน์ แต่เขาก็ยังพยายามรับมืออย่างดีที่สุดเท่าที่จะคิดได้ในตอนนั้นแล้ว เช่น ยอมทำงานหนักเกินวัยเพื่อสร้างประโยชน์ให้ผู้ใหญ่ที่เขาไปอยู่ด้วยอย่างเหลือคณานับ หรืออยู่คนเดียวในโลกของกลิ่น และมีเพื่อนเป็นกลิ่นเมื่อเพื่อนๆ ที่เป็นคนรุมแกล้ง (เหมือนเราหลายคนในวัยเด็ก ซึ่งเมื่อถูกรุมแกล้งก็อาจเลือกจะหลบลี้อยู่ในโลกของหนังสือหรือโลกจินตนาการเพื่อปลอบประโลมตนเอง) 

ชีวิตเกรอนุยจะแตกต่างไปอย่างไรหากมีใครแม้เพียงหนึ่งคนรักใคร่ เอ็นดู และผูกพันกับเขาบ้าง? และหากเกรอนุยเองมีโอกาสขอบคุณและชื่นชมเด็กน้อยคนนั้นในตัวเขาที่ได้ทำดีที่สุดอย่างที่จะทำได้ในเวลานั้นแล้ว? เพราะหากทำดีกว่านั้นได้ เขาก็ทำไปแล้ว  

อย่างไรก็ดี ไม่มีใครประคองเกรอนุยให้ได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น และกาลก็ได้ล่วงไป เกรอนุยย้ายงานไปที่โรงทำน้ำหอมในเมืองกราสส์ และเริ่มคร่าชีวิตสาวงามพริ้งพรายเพื่อเก็บกลิ่นมาปรุงเป็นน้ำหอมอันเลอเลิศ เกรอนุยได้รับอำนาจจากน้ำหอมมนุษย์จรุงกลิ่นอันยิ่งกว่าความอภิรมย์ใดบนสรวงสวรรค์ ซึ่งสามารถโน้มนำความรักของมนุษยชาติ 

กระนั้น วรรคตอนหนึ่งในภาพยนตร์กล่าวว่า “เพียงอย่างเดียวที่น้ำหอมไม่สามารถทำได้ก็คือ ไม่อาจทำให้เกรอนุยกลายเป็นบุคคลที่อาจรักและได้รับความรัก”  …เกรอนุยเดินทางกลับปารีสบ้านเกิด เขาราดน้ำหอมลงบนตัวเอง ยังให้ฝูงอาชญากรกระโจนเข้ารุมทึ้งกลืนกินเขา …ในนามของความรัก  

2. 

ความสัมพันธ์ของเกรอนุยถูกถักทอขึ้นด้วยความตาย อันเป็นการทำซ้ำวิธีผูกสัมพันธ์อย่างเดียวที่เขารู้จักจากแม่  นอกจากสาวงามที่ต้องมาพลีชีพเป็นน้ำหอมแล้ว ผู้คนที่เกรอนุยเคยอยู่ด้วยนั้น เมื่อขายเกรอนุยหรือปล่อยให้เขาจากไปอย่างไร้เยื่อใย คนเหล่าก็นั้นจะมอดม้วยด้วยภัยต่างๆ คล้ายจะเป็นสัญลักษณ์บอกกับผู้ที่เคยอ่านหนังสือหรือดูหนังเรื่องนี้ว่า ในเมื่อคนอื่นไม่ให้ค่าเกรอนุย ชีวิตคนอื่นก็ไร้ค่าสำหรับเกรอนุยด้วย

ส่วนความตายของเกรอนุยเอง – ผู้ไม่แน่ใจว่าตนเองคือใคร แม้กระทั่งดำรงอยู่หรือไม่ – คืบคลานตามมาหลังจากที่เขารับรู้ว่า แม้น้ำหอมวิเศษกลิ่นสาวสะคราญจะทำให้มนุษย์อื่นหลงใหลเขาได้ ทว่าอย่างไรเสียผู้คนก็เพียงต้องมนตร์กลิ่นน้ำหอมที่เขาปรุงขึ้น แต่ไม่ได้พิศวาสตัวเขา อีกทั้งเขาก็ชิงชังมนุษย์ด้วย อย่าว่าแต่เขาไม่อาจรักคนอื่นเลย …เขาเองก็ไม่มีตัวเองให้รัก  

ก่อนที่เกรอนุยจะเดินทางมาถึงเมืองกราสส์ เขาได้หลีกลี้ผู้คนมาพำนักอยู่ในซอกหลืบกรุ่นกลิ่นหินมรณะอันสงบบนภูเขา และ ณ ที่นั่นเอง เขารับรู้ว่าตัวเองไม่มีกลิ่น เสมือนหนึ่งว่าไร้ชีวิตที่จะมา สัมพันธ์ กับตัวเองและคนอื่นอย่างแท้จริงได้ เขาเป็นเพียงซากปลา แม้แต่สำหรับแม่.. สายใยแรกของทารกเกรอนุยและผู้ดูแลไม่เคยผูกพันมั่นคง 

3. 

ในหนังสือ The Highly Sensitive Person ดร. อิเลน อารอน (Elaine N. Aron) เขียนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพิ่งเกิดว่าจะติดแม่ ดังที่แม่ส่วนใหญ่ก็ต้องการ แต่ในบางกรณี แม่หรือผู้ดูแลหลักอาจมีปัญหาทางจิตหรือปัญหาอื่นๆ เกินกว่าจะใจใส่เด็ก หรือผู้ดูแลไม่ปลอดภัยต่อเด็ก หรือให้ค่าเด็กที่ทำตัวมี “ปัญหา” ให้น้อยที่สุด หรือบ้างก็เหมือนกับแม่ของเกรนุยที่ถึงขนาด “อยากให้เด็กตายไปเลย” 

ทารกที่ได้รับสารเช่นนั้นจะพยายามไม่พันผูกกับผู้ดูแลอย่างที่สุด และมักหลีกเลี่ยงความใกล้ชิดหรือการปฏิสัมพันธ์เหมือนกับเกรอนุย เกรอนุยไม่เคยมีแม่แบบของความสัมพันธ์อันรักใคร่ผูกพันกับแม่และมนุษย์คนอื่น ดังนั้น ในความพยายามอันเดียงสาที่จะสานสัมพันธ์กับ(กลิ่นของ)มนุษย์อื่น เกรอนุยจึงทำได้เพียงส่งต่อความตายให้ผู้อื่นและตนเอง

พวกเราเองก็อาจจะไม่ต่างอะไรกับเกรอนุยมากนักในแง่ที่ว่า ลักษณะการตอบสนองที่ผู้ดูแลต้องการจากเรามีผลกระทบกับความรับรู้เกี่ยวกับตัวเอง อีกทั้งกำหนดพฤติกรรมของเราและวิธีการที่เราใช้สัมพันธ์กับผู้อื่นไม่มากก็น้อย

เกรอนุยเป็นตัวละครในนวนิยายซึ่งมีความสุดโต่ง กล่าวคือ เขาปลิดชีพคนอื่นและตัวเองดังที่แม่เขี่ยเขาทิ้ง แต่เรื่องราวของพวกเราส่วนใหญ่อาจเป็นเพียงความรู้สึกเดียดฉันท์ตัวเองเฉพาะในส่วนที่คนดูแลของเราไม่ชอบ และอาจถึงขนาดทำให้ด้านที่เกี่ยวกับตัวตนดังกล่าวหายไปจากความรับรู้ของเรา

ทว่านี่ก็เป็นเพียงตัวอย่างผลกระทบแบบหนึ่งเท่านั้น เพราะมนุษย์มีความซับซ้อนหลากหลายและมีปัจจัยแวดล้อมไม่เหมือนกัน ต่อให้เจอประสบการณ์เดียวกันในวัยเดียวกัน ก็อาจรับรู้และตอบสนองแตกต่างกันมากถึงขั้นไปในทิศทางตรงข้ามเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี ในวัยเด็กที่เราต่างก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ การทำตัวให้ถูกใจคนดูแลไม่เพียงเป็นความอยู่รอด แต่เด็กที่รู้ความขึ้นหน่อยแล้วก็มักรักและเห็นใจคนที่มาดูแลเรามากเช่นกัน อันเป็นส่วนทำให้เกิดการตอบสนองรูปแบบหนึ่ง(ท่ามกลางความเป็นไปได้ของรูปแบบอีกมากมาย) เป็นการทำเฉพาะสิ่งที่ทำให้ผู้ดูแลสบายใจนับแต่วัยเด็กมาเรื่อยๆ 

เช่น บางคนเคยรับรู้ว่าพ่อหรือแม่เครียดมากพอแล้วและมักตำหนิเขาอยู่เนืองๆ เมื่อรู้สึกว่าเขากวน ทั้งมักบอกให้เขาช่วยดูแลน้องเสียบ้าง เขาแปรสารนั้นไปเป็นความชิงชังส่วนหนึ่งในตัวเองที่มีลักษณะเป็น ‘ภาระ’ จากนั้นก็พยายามรับผิดชอบการเรียน จัดการชีวิตประจำวันของตัวเอง ช่วยเลี้ยงน้องอย่างดีที่สุด และอื่นๆ เขาโตมาโดยใช้โมเดลของการพร้อมจะแบกรับทุกอย่างไว้เพื่อคนอื่น หลีกเลี่ยงการเป็นผู้รับ เขากำจัดเด็กคนที่มีสิทธิ์จะเรียกร้องการโอบอุ้มอันอ่อนละมุนให้ตายไปจากความรับรู้แล้ว ลึกๆ เขาไม่เชื่อว่าตัวเองควรค่าจะได้รับสิ่งดีๆ จนกว่าเขาจะทำตามเงื่อนไขบางอย่างแล้วเท่านั้น และหลายครั้ง คนอื่นๆ ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าวก็ดูด้อยค่าในสายตาเขาด้วยเช่นกัน  

การตีความรับรู้เหตุการณ์และเงื่อนไขที่แต่ละคนตั้งให้ตัวเองเพื่อตอบสนองความรับรู้ต่างๆ ย่อมไม่เหมือนกัน แต่ก็มักได้รับการพัฒนาขึ้นโดยไม่รู้ตัวในวัยเด็ก และมีกรณีมากมายในแฟ้มงานนักจิตบำบัดที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อชุดคุณลักษณะหนึ่งๆ ถูกใช้มานานเกินไป วันหนึ่งใครบางคนก็กลายเป็นผู้ใหญ่เศร้าสร้อย เหนื่อยหมดพลัง บ้างก็อยากตาย เริ่มเรียกร้องจากคนอื่นเกินงาม มักรับรู้ข้อความที่เคยถูกตัดสินในอดีตผ่านปากและสายตาของคนอื่น (โดยคนอื่นในปัจจุบันอาจตัดสินจริงหรืออาจไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยก็ได้) หรือบางคนก็ไม่ได้คิดลบอะไรแต่ป่วยเรื้อรังทางร่างกายอย่างประหลาด อันเป็นจุดที่เขาแสวงหาหนทางเปลี่ยนแปลง

ในกระบวนการทำงานกับจิตใจ ใครคนหนึ่งตระหนักในที่สุดว่าตัวเองพิพากษาว่าเด็กในอดีตคนนั้นเป็นภาระ (ซึ่งอาจเป็นความรู้สึกที่เด็กได้รับจากผู้ดูแลอีกที แม้ว่าผู้ดูแลดังกล่าวจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม) ถ้าไม่เกิดมาผู้ใหญ่ก็คงไม่ลำบาก หรือบางคนก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้มากมาตั้งแต่เด็ก แต่เพิ่งตระหนักว่าเขากดดันตัวเองมากขึ้นไปอย่างไร้เพดานเพื่อทำสิ่งที่ผู้ดูแลเคยเคี่ยวกรำให้เขาทำ แม้ว่าจะไม่สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันของเขาแล้ว อีกทั้งมักจะลืมหรือถึงขนาดไม่เคยขอบคุณสิ่งดีๆ ที่ตนเองทำเลย แต่ในกระบวนการเยียวยา เขาก็ได้หวนระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้เสียใจ ปลดปล่อยความบอบช้ำออกมากับน้ำตาอีกครั้ง และกลับไปโอบอุ้มเด็กที่เคยเสียใจคนนั้น พร้อมกับมองเห็นคุณลักษณะน่าสรรเสริญอื่นๆ อีกมากของเด็กคนนั้นในตัวเองที่เขาจงใจทิ้งไป อีกทั้งระลึกได้ถึงหลายห้วงเวลานับแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ที่พ่อแม่ชื่นชมเขามาก เขารู้สึกมีพลังขึ้นมหาศาล  

4. 

จะเกิดอะไรขึ้นหากเราทุกคนได้กลับไปโอบอุ้มและขอบคุณตัวเราในวัยเด็ก? 

เราจะยอมรับตัวเองไปถึงส่วนที่ถูกปฏิเสธได้ไหม? เรายังจำเป็นต้องมีเฉพาะลักษณะตามอุดมคติที่ตัวเองใฝ่ฝันเสมอไป หรือตามที่ผู้ดูแลพอใจอย่างเกินพอดีต่อไปอีกหรือไม่? พวกเขาอยากให้เรามีลักษณะบางอย่างชั่วนิรันดร์ หรือเขาแค่พูดด้วยอารมณ์ที่เกิดเฉพาะในห้วงเวลานั้นๆ? และถ้าหากเรามีคุณค่าในตัวเองอยู่แล้วและคู่ควรกับความรักอันปราศจากเงื่อนไขจากตัวเอง เรายังจะส่งต่อเงื่อนไขที่เคยเอามาเฆี่ยนตีตัวเองไปให้คนอื่นอย่างเลยเถิดหรือไม่? 

ในกระบวนการทางจิตวิทยา มีกรณีที่ผู้เข้าร่วมตระหนักรู้ไปอีกชั้นหนึ่ง อันว่าวิธีการที่พ่อแม่ใช้สัมพันธ์กับเขาซึ่งทำให้เขาไม่ชอบบางส่วนของตนเองนั้น เขากลับใช้วิธีการดังกล่าวกับลูกเป็นอาจิณ และได้ส่งต่อไปให้ลูกของเขาอีกทอดหนึ่งแล้ว เช่น แสดงความเป็นห่วงด้วยการตำหนิเป็นเนืองนิตย์ หรือใช้ความรุนแรง หรือแสวงหาความสมบูรณ์แบบอย่างร้ายกาจ และอื่นๆ

กระนั้น ความตั้งใจที่จะเข้าใจตัวเองของเขาช่างน่าชื่นชม และมรดกกรรมของเขาก็รุนแรงน้อยลงมากแล้วเมื่อเทียบกับวิธีที่คนรุ่นก่อนใช้ดูแลเขา ถ้าเขารู้จักวิธีที่ดีกว่านี้ เร็วกว่านี้ เขาก็คงใช้ไปนานแล้ว

อีกทั้งวิธีการเหล่านั้นของคนทุกรุ่นก็ยังมีสารที่เป็นบวกซ่อนอยู่มากกว่านั้นอีก เช่น วิธีการเหล่านั้นมาจากความรัก วิธีการเหล่านั้นทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้ วิธีนี้ทำให้ลูกปลอดภัยได้เร็วที่สุด เป็นต้น การไม่ผลักไสความไม่พอใจที่อาจเกิดขึ้นก็จำเป็นในการเยียวยาแต่ในการตระหนักรู้ความรู้สึกดังกล่าวก็ยังมีความ รู้สึกขอบคุณ ได้เช่นกัน 

ดังนั้น หากวิธีที่คนดูแลเราตอนเด็กมีผลลบต่อวิธีที่เราดูแลตัวเองและเริ่มเป็นโทษต่อคนที่เราดูแลอยู่ในตอนนี้ เราก็สามารถขอบคุณความคุ้นเคยเก่าแล้วโบกมือลาปรับโปรแกรมหาจุดสมดุลใหม่ได้เสมอ  

ไม่ว่าความสัมพันธ์กับคนอื่นจะเป็นเช่นไร พวกเราก็ย่อมโชคดีกว่าเกรอนุยที่ยังมีตัวเองไว้สัมพันธ์ด้วย เรามีศักยภาพที่จะหลุดพ้นจากเงื่อนไขอันคับแคบที่เอามาขังตัวเอง เห็นคุณค่าและยอมรับตัวเองได้ แม้ในส่วนที่ไม่สอดคล้องกับอุดมคติที่เราหรือคนอื่นวาดไว้ โดยเราอาจใช้วิธีจัดการข้อมูลต่างๆ ในจิตใจอีกครั้งเหมือนที่นักเล่นแร่แปรธาตุทดลองผสมผสานธาตุต่างๆ จนเกิดธาตุใหม่ขึ้น 

ดังนั้น ต่อให้บางครั้งเราต้องแหลกสลาย แต่มันก็เป็นโอกาสขยายความสำนึกรู้ใหม่ๆ อันมีอิสรภาพที่กว้างขวางออกไป และเหนือไปกว่านั้นก็อาจกระตุ้นให้เรารู้สึกขอบคุณสิ่งต่างๆ มากกว่าคนที่ไม่ตระหนักถึงความตายก่อนตายแบบนี้ด้วย

อย่าลืมสิว่า เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราก็สามารถเป็นพ่อแม่อีกคนของตัวเอง ซึ่งสามารถรักตัวเองอย่างไร้เงื่อนไขได้เสมอ 

อ้างอิง

ภาพยนตร์ Perfume: The Story of a Murderer (2006) กำกับโดย Tom Tykwer ซึ่งบทภาพยนตร์อิงจากนวนิยาย Das Parfum (1985) โดย Patrick Süskind มีฉบับแปลเป็นภาษาไทยชื่อ น้ำหอม แปลโดยสีมน มีทั้งที่พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์ และสำนักพิมพ์เวิร์ด วอนเดอร์The Highly Sensitive Person: How to Thrive When the World Overwhelms You (2011) โดย Elaine N. Aron

Tags:

การเติบโตภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนาMyth Life Crisisจิตวิทยาspiritual

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ผ่านไซเรนในน่านน้ำ: เสียงวิจารณ์ภายในที่ต้อนเราให้อยู่ในวิธีคิดเดิมๆ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • Myth/Life/Crisis
    คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    Swan Lake 1: เงามืดในตัวเองที่เราไม่ยอมรับรู้ ซึ่งไปปรากฏในการเสพติดความสัมพันธ์

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Life classroom
    เติบโตก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ผ่านตำนาน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

คัดเลือกเข้า ป.1 ถ้าไม่สอบวิชาการ ใช้วิธีอะไรได้บ้าง? ตัวอย่างโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ และ เพลินพัฒนา
Social IssuesEarly childhood
11 June 2020

คัดเลือกเข้า ป.1 ถ้าไม่สอบวิชาการ ใช้วิธีอะไรได้บ้าง? ตัวอย่างโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ และ เพลินพัฒนา

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • ช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมามีการผลักดันให้ยกเลิกการสอบคัดเลือกเด็กป.1 เข้าโรงเรียน
  • แม้พระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 จะไม่ได้ระบุให้ยกเลิกการสอบเข้า ป.1 ยังคงมีการตั้งคำถามว่ามีเพียงวิธีการสอบเท่านั้นเหรอที่ใช้คัดเลือกเด็กๆ ป.1 เข้าโรงเรียน? ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่ วิธีที่จะไม่เป็นการผลักภาระไปให้ไหล่เล็กๆ ของเด็กๆ ต้องแบกรับความกดดัน ความเครียด
  • The Potential ชวนผู้บริหารจาก 2 โรงเรียนใหญ่ คือ คุณอรุณศรี จันทร์ทรง ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ และ คุณทนง โชติสรยุทธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเพลินพัฒนา ซึ่งไม่มีการจัดสอบวิชาการคัดเลือกเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ว่า เมื่อไม่มีการจัดสอบวิชาการ โรงเรียนใช้วิธีอะไรคัดเลือก จัดทำด้วยวิธีคิดอะไร และอยากส่งต่อข้อเสนออะไรต่อสังคม

หลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย มีมาตรการคลายล็อกดาวน์ กระบวนการหรือการดำเนินงานทั้งทางรัฐ เอกชน และภาคธุรกิจ ค่อยทยอยกลับไปดำเนินการหลังจากทุกอย่างหยุดชะงักลง หนึ่งในนั้นคือการเปิดรับนักเรียนในภาคการศึกษา 2563 โดยเฉพาะการเปิดรับนักเรียนเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 

ในระดับชั้นปีอื่นการรับนักเรียนเข้าคือการสอบเข้าได้ตามกระบวนการ แต่สำหรับชั้นป.1 เนื่องจากเรามีพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 ซึ่งประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2562  

โดยมาตรา 8 ระบุว่า การจัดการเรียนรู้ของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยต้องเป็นไปเพื่อเตรียมความพร้อมของเด็กปฐมวัย แต่ต้องไม่เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการสอบแข่งขันระหว่างเด็กปฐมวัย 

แม้ พ.ร.บ. ดังกล่าว จะไม่ได้ระบุให้ยกเลิกการสอบเข้า ป.1 อย่างที่นักการศึกษาผลักดันและคาดหวังกันในช่วงร่างพ.ร.บ. เพื่อลดความร้อนแรงของความคาดหวังกดดัน และนำเด็กๆ วัยปฐมวัย หรือ อนุบาล กวดวิชาอย่างเข้มงวดเครียดขึง อย่างไรก็ตาม ยังมีการทำงานผลักดันเพื่อสร้างความเข้าใจในระดับนโยบายกับผู้บริหารสถานศึกษา และ ผู้ปกครองรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง 

หากผู้ปกครองท่านใดอยากทราบหรือศึกษาต่อว่า การสอบเข้าป.1 ส่งผลเสียอย่างไร อ่านต่อได้ที่นี่ 

The Potential ชวนผู้บริหารจาก 2 โรงเรียนใหญ่ คือ คุณอรุณศรี จันทร์ทรง ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ และ คุณทนง โชติสรยุทธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเพลินพัฒนา ซึ่งไม่มีการจัดสอบวิชาการคัดเลือกเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ว่า เมื่อไม่มีการจัดสอบวิชาการ โรงเรียนใช้วิธีอะไรคัดเลือก จัดทำด้วยวิธีคิดอะไร และอยากส่งต่อข้อเสนออะไรต่อสังคม

โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ ไม่สอบวิชาการเข้า ป.1 แล้วคัดเลือกนักเรียนอย่างไร? 

ราวปี พ.ศ. 2561 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศเริ่มเปลี่ยนวิธีคัดนักเรียนชั้น ป.1 จากเดิมที่ใช้การประเมินตามหลักปฐมวัยและสอบเชาวน์ มาเป็นการคัดเลือกโดยใช้ หนึ่ง-พอร์ตรายงานพัฒนาการของนักเรียน ซึ่งเป็นรายงานที่คุณครูโรงเรียนสาธิตละอออุทิศและที่อื่นๆ มักจดเอาไว้อยู่แล้ว สอง-ใช้การพูดคุยกับเด็กๆ ในเรื่องทั่วไปเพื่อให้เห็นตัวตน วิธีคิด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ตามพัฒนาการที่ควรเป็น และ สาม-ใช้การสัมภาษณ์ผู้ปกครองเพื่อให้เห็นทัศนคติต่อการดูแลลูก หนึ่งในนั้นคือทัศนคติที่ว่าการดูแลเด็กคนหนึ่งไม่ใช่หน้าที่ของโรงเรียนฝ่ายเดียว แต่มาจากการได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองด้วย 

คุณอรุณศรี จันทร์ทรง

“จริงๆ การสอบเดิมของเราก็ไม่ได้เป็นการสอบวิชาการแต่ใช้ข้อสอบเชาวน์ปัญญา เช่น การใช้ภาพอนุกรมง่ายๆ การทดสอบทักษะทางภาษาโดยให้เล่นเกมเรียงบัตรคำได้  หรือ ใช้เกมการศึกษาของเด็กปฐมวัยทั้ง 13 แบบ มีอุปมา อุปไมย การเปรียบเทียบ และอื่นๆ 

“แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ยกเลิกการสอบเข้าป.1 เริ่มจากการเห็นภาระของครูผู้ดูแลเด็กอนุบาล 3 ว่า ตอนต้นปีครูยังสนุกอยู่ แต่เมื่อเริ่มภาคเรียนที่ 2 ราวๆ เดือนพฤศจิกายน ถึง ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กต้องไปสอบโรงเรียนดังๆ ครูจะเริ่มเครียดจากความคาดหวังของผู้ปกครอง เช่นว่า ทำไมลูกยังอ่านไม่ได้ เขียนหนังสือยังไม่อยู่ในบรรทัดเลย กิจกรรมที่โรงเรียนส่วนใหญ่ก็มีแต่การเล่นอิสระ ผู้ปกครองเลยกังวลและเกิดการเปรียบเทียบกับโรงเรียนรอบข้างที่เร่งสอนอ่านเขียนให้เด็ก ผู้ปกครองมารับลูกที่โรงเรียนประมาณ 3-4 โมง ก็จะพาไปเรียนกวดวิชากับอาจารย์ชื่อดัง เรียนตั้งแต่ 4 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม หลังปีใหม่เด็กจะลาหยุดทั้งอาทิตย์เพราะผู้ปกครองไปซื้อคอร์สเรียนพิเศษไว้ 2 สัปดาห์ให้เด็กเรียน เมื่อถามเด็กว่าเรียนอะไรไปบ้าง เขาก็บอกว่าทำแบบฝึกเสริมทักษะทุกวัน ช่วงเช้า 3 ชั่วโมง บางทีเช้า 2 ชั่วโมง บ่าย 2 ชั่วโมง เด็กก็จะเข้าไปเรียนตามตาราง 

“ไม่ใช่แค่ครูที่เครียด แต่เราเห็นความเป็นเด็กของเขาหายไป แววตาเขาจะมีความทุกข์”

กลับมาที่วิธีการรับนักเรียนของโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ ผอ. อรุณศรี อธิบายให้ฟังทีละขั้น ขั้นแรกคือ พอร์ตรายงานพัฒนาการของนักเรียน หรือ portfolio 

“ปกติแล้วคุณครูชั้นปฐมวัยทุกระดับชั้นจะรวบรวมแฟ้มผลงานและเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กให้ไม่ว่าเด็กจะเรียนต่อที่เดิมหรือไปสมัครเข้าที่อื่น ทุกคนจะได้แฟ้มผลงานเป็นของตัวเอง พอร์ตนี้จะเป็นตัวแทนบอกเล่าพัฒนาการของเด็กทุกด้าน ผลงานที่เด็กและผู้ปกครองเลือกเก็บในแฟ้มก็ยังสะท้อนตัวตนรอบด้านของเด็กด้วย” 

ผอ. อรุณศรีอธิบายต่อว่า แม้นักเรียนไปสอบที่อื่นแล้วไม่ผ่านเกณฑ์ประเมิน ยังมีสิ่งยืนยันจากแฟ้มว่า เขาไม่ได้ไม่เก่ง ยังมีสิ่งยืนยันในแฟ้มอีกมากที่เป็นตัวตนของเขา 

ต่อมา คือ การพูดคุยกับเด็กๆ เพราะเห็นว่าพัฒนาการของเด็กในวัยนี้ การเขียนไม่ใช่พัฒนาการที่ควรมีสูงสุดแต่เป็นการสื่อสาร ซึ่งจะเป็นการพูดคุยในเรื่องทั่วไปก่อน และต่อมาที่คำถามปลายเปิดกว้างๆ เพื่อให้เห็นจินตนาการ วิธีคิด หรือสิ่งที่อยู่ในใจของเด็ก เช่น ให้เด็กยกตัวอย่างถึงสิ่งของหรืออะไรก็ได้ที่ให้แสงสว่าง ส่วนใหญ่เด็กจะตอบว่าหลอดไฟ แต่บางคนอาจบอกว่า ดวงอาทิตย์ เทียน หรืออื่นๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเขามีจินตนาการหรือคิดยืดหยุ่นแค่ไหน 

ตรงนี้ ผอ. อรุณศรี ตั้งข้อสังเกตว่า “อาจไม่จริงนะคะ แต่สังเกตว่าเด็กที่กวดวิชาเยอะ เขาจะคิดเลขเร็ว แต่ถ้าพลิกแพลงหรือให้ตอบคำถามปลายเปิด จะไม่ค่อยเห็นคำตอบที่ยืดหยุ่นเท่าไร” 

นอกจากนี้ ยังใช้คำถามวัดว่าเขาจะแก้ปัญหาจากสถานการณ์ที่ให้ได้ไหม เช่น ให้เด็กลองไปทำความรู้จักกับคุณครูคนอื่น ให้ลองไปถามชื่อคุณครูท่านนี้ให้หน่อย ไปลองยืมไม้บรรทัดคุณครู เพื่อดูว่าเขากล้าแสดงออกไหม กล้ามีปฏิสัมพันธ์กับใครอื่นหรือเปล่า

สุดท้าย คือการสอบผู้ปกครอง เป็นการวัดทัศนคติผู้ปกครองที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ต่อโรงเรียน และดูความพร้อมของผู้ปกครองในการสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กๆ คู่ไปกับโรงเรียน ไม่ผลักให้การดูแลเด็กเป็นของโรงเรียนแต่ผู้เดียว 

ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการคัดเลือกนักเรียนของโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ อย่างไรก็ตาม ผอ.อรุณศรี เข้าใจว่าในโรงเรียนใหญ่ๆ และดัง ซึ่งมีความต้องการเข้าโรงเรียนสูงแต่เก้าอี้มีน้อย ก็เป็นสิทธิ์ของโรงเรียนที่จะจัดการคัดอย่างไรก็ตาม แต่ส่วนตัวมองว่าการคัดเลือกควรเป็นไปอย่างเข้าใจพัฒนาการเด็ก และเชื่อว่าการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ โรงเรียนคือปัจจัย คือการจัดชุดประสบการณ์ตามแนวทางที่โรงเรียนเชื่อ และเป็นสภาพแวดล้อมหนึ่งของเด็ก แต่อีกส่วนอยู่ที่ครอบครัวหรือคนที่แวดล้อมเด็กด้วย 

“สมัยก่อนอาจบอกว่า ผู้ปกครองอยากให้เข้าโรงเรียนประถมชื่อดังเพื่อที่จะได้เรียนต่อชั้นมัธยมที่นั่นต่อไปได้ เรียกว่ายอมลำบากในตอนเด็กๆ จะได้อยู่ที่โรงเรียนนี้ยาวไปเลย แต่ยุคสมัยนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว วันหนึ่งเด็กอาจจะอยากเรียนในแนวทางอื่นซึ่งโรงเรียนที่ว่าไม่ตอบโจทย์ก็ได้ หรืออาจมีโรงเรียนอื่นที่พัฒนาคุณภาพขึ้นมาเท่าเทียมกันหรืออาจดีกว่า เป็นตัวเลือกใหม่ๆ ก็ได้ 

“แต่ไม่ว่าจะเรียนที่ไหน พ่อแม่ก็ต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ของชีวิตเขา หากวันนี้กำลังจะพาเขาไปลองสอบที่โรงเรียนดังๆ อยากฝากถึงผู้ปกครองว่าอย่าคาดหวังในการสอบ แค่บอกกับเขาว่าให้ทำให้เต็มที่ คำพูดของพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญนะคะ ต่อให้คุณครูทั้งโรงเรียนชื่นชมแต่ถ้าพ่อแม่ไม่เคยยอมรับในความสามารถของลูก ความสำคัญมันไม่เท่ากันเลย ถ้าเขาไม่ได้ก็อย่าซ้ำเติมเขา บอกเขาว่าเราไปเรียนโรงเรียนอื่นก็ได้ ลองถามเขาดูว่าบรรยากาศการสอบเป็นยังไง พ่อแม่ก็คือคนสำคัญของลูกไม่ว่าจะระดับชั้นอนุบาล ประถม หรือจนเขาเติบโต พ่อแม่ก็ยังเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา

“ส่วนตัวเชื่อว่ารูปแบบการเรียนรู้ควรจะเปลี่ยนไปและต้องมีความหมายกับชีวิตของเขา เริ่มจากการมองให้เห็นว่าเด็กแต่ละคนมีความเก่งไม่เหมือนกัน คิดว่าเรา เราหมายถึงทั้งโรงเรียนและผู้ปกครองต้องทำยังไงถึงจะผลักดันความสามารถของเขาไปสู่เส้นทางที่เขาอยากเป็นหรือช่วยให้เขาค้นพบตัวตนได้อย่างไร 

“ช่วงอนุบาลควรให้เด็กได้ลองทุกอย่าง เมื่อเขาค้นพบตัวตนของเขาเราก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเขา และสนับสนุนให้เขาทำมันได้ดีที่สุด คนที่วางนโยบายหลักต้องเข้าใจความแตกต่างข้อนี้ก่อน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคำเปรียบเปรยว่า เรากำลังตัดเสื้อไซส์เดียวเพื่อให้ทุกคนใส่ เช่นนี้เราก็เอาข้อสอบเดียวมาวัดเด็กไม่ได้เหมือนกัน” ผอ. อรุณศรีกล่าว 

การคัดเลือกเด็กเข้าเรียน ป.1 แบบโรงเรียนเพลินพัฒนา 

ที่โรงเรียนเพลินพัฒนาก็ไม่ใช้วิธีรับเด็ก ป.1 ด้วยการสอบตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนในปี พ.ศ. 2545 และเป็นหนึ่งในโรงเรียนเครือข่ายที่ผลักดันพ.ร.บ. ปฐมวัย พ.ศ. 2562 นี้ เพราะเชื่อว่าการเร่งรัดพัฒนาการของเด็กๆ ด้วยการสอบคัดเลือก จะสร้างความกดดันให้พ่อแม่ส่งลูกไปกวดวิชา กลายเป็นผลเสียต่อพัฒนาการของเด็ก ลงท้ายทำให้เด็กไม่มีความสุขกับการเรียน และอาจสร้างบาดแผลหรือปมวัยเด็กจากความรู้สึกล้มเหลวโดยไม่จำเป็น

คุณทนง โชติสรยุทธ์

“ไม่ได้หมายความว่าเด็กเรียนรู้ไม่ได้นะ จริงๆ การคิดเลข หรือการอ่านออกเขียนได้เร็ว ไม่ได้เป็นข้อเสียถ้าเป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติ ไม่ใช่จากการกวดวิชา ซึ่งทำให้เด็กไม่มีความสุขกับการเรียน ผมคิดว่าในช่วงแรกของการศึกษา เราควรทำให้เด็กเกิดความรู้สึกอยากเรียนก่อน แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยการไปยัดเยียดเด็ก เขาอาจเริ่มไม่สนุกกับการเรียนรู้ ส่งผลต่อพัฒนาการในระยะยาว เพราะเด็กต้องมานั่งอยู่ในห้องที่มีการเตรียมสอบอย่างเดียว เราคิดว่ามันทำให้พัฒนาการเด็กเสียไป” ผอ. ทนง โชติสรยุทธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเพลินพัฒนา 

การรับเด็ก ป.1 ของโรงเรียนเพลินพัฒนา ผอ.ทนงเรียกว่า เป็นการทดสอบพัฒนาการของเด็ก โดยแบ่งเป็น 2 การทดสอบ คือ Denver II และ Mini IQ test

“Denver II เป็นการทดสอบในเรื่องและการช่วยเหลือตนเอง กล้ามเนื้อเล็กและการปรับตัว ด้านภาษา การใช้กล้ามเนื้อใหญ่ และมีการบันทึกพฤติกรรมขณะทดสอบ เพื่อคัดกรองเด็กเบื้องต้น ค้นหาเด็กที่ไม่มีอาการผิดปกติและแยกเด็กที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาด้านพัฒนาการ เพราะเด็กกลุ่มหลังต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การทดสอบจะช่วยให้เราเห็นพัฒนาการอย่างรอบด้าน และสามารถออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมให้พวกเขาได้ อย่างเด็กที่พัฒนาการปกติก็สามารถจัดการเรียนรู้แบบทั่วไป ส่วนเด็กที่มีความเสี่ยงหรือมีอาการผิดปกติ เบื้องต้นเราจะให้ผู้ปกครองพาเด็กไปตรวจเพื่อวินิจฉัยให้ละเอียดก่อนที่เราจะวางแผนออกแบบจัดการเรียนรู้ให้เขาได้อย่างเหมาะสม

“ส่วน Mini IQ test เป็นการทดสอบเพื่อดูพัฒนาการเด็ก เช่น ความสามารถในการเรียนรู้ การแก้ไขปัญหา รวมไปถึงดูเรื่องการใช้กล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวต่างๆ การจับประเด็น การใช้ภาษา จะไม่ได้เป็นการทดสอบด้านวิชาการ การทดสอบพวกนี้เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นตามพัฒนาการเด็กอยู่แล้ว เราอาจทดสอบผ่านการทำกิจกรรม การเล่นเกม

“อีกส่วนหนึ่งเป็นการสัมภาษณ์ผู้ปกครอง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ปกครองเข้าใจแนวทางของโรงเรียนจริงๆ ซึ่งทั่วไปเราอยากให้ผู้ปกครองได้เดินดูโรงเรียนจนถึงมัธยมปลายเลย ว่าแนวทางการจัดการเรียนรู้และบรรยากาศต่างๆ ตรงกับที่อยากได้ไหม  หากคิดว่าใช่จึงค่อยสมัคร ที่ต้องเน้นเรื่องพวกนี้ เพราะผู้ปกครองและโรงเรียนต้องทำงานร่วมกันในการพัฒนาเด็กของเรา ต้องไปในทางเดียวกัน”

เมื่อถาม ผอ. ทนง ว่าคิดเห็นอย่างไรกับการสอบในระบบใหญ่ การแข่งขัน และธุรกิจการศึกษา ผอ. ทนงให้ความเห็นอย่างน่าสนใจว่า

“แน่นอนว่าการสอบคือการคัดเลือกเด็กเข้ามาในระบบ แต่ไม่ได้เป็นตัวพิสูจน์ว่าระบบการเรียนรู้ของโรงเรียนดีจริง หรือเพียงพอต่อการพัฒนาเด็กคนหนึ่ง ที่โรงเรียนเพลินพัฒนา เราเชื่อในกระบวนการบ่มเพาะเด็กของเรา ถ้าเป็นเด็กที่เข้ามาเรียนตามความเหมาะสมของวัยเขา เมื่อเข้ามาอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้เด็กอยากที่จะเรียนรู้ เรียนแล้วเข้าใจ สามารถประยุกต์ใช้งานได้ เราเชื่อว่าเด็กทุกคนสามารถพัฒนาได้หมด”

ผอ.ทนง เล่าต่อว่า วิธีการรับเด็กโดยไม่ใช้การสอบวิชาการ จะเป็นตัวกระตุ้นหรือสร้างความเข้าใจ (educate) ให้ผู้ปกครองหันมาสนใจพัฒนาการตามวัยของเด็กมากขึ้น ที่โรงเรียนมีนโยบายให้ผู้ปกครองที่สนใจส่งลูกมาเรียนที่นี่ต้องเข้าคอร์สอบรมก่อน เพื่อได้เข้าใจว่าพัฒนาการลูกในแต่ละช่วงวัยเป็นอย่างไร แม้สุดท้ายอาจไม่ได้เข้าเรียนที่นี่ ก็ยังได้ประโยชน์จากการเข้าใจพัฒนาการของลูก แล้วนำไปใช้งานจริงได้

“การเลี้ยงลูกให้เหมาะสมตามพัฒนาการแต่ละช่วงวัยเป็นสิ่งที่โรงเรียนเราสนับสนุนมาตลอด เรามีจัดอบรมให้ผู้ปกครองเพื่อให้สามารถจัดการเลี้ยงดูที่เหมาะสมตามวัยของลูก เช่น มีพื้นที่และช่วงเวลาให้เด็กได้เล่น ได้พักผ่อน มีกิจกรรมให้ทำ ฝึกการใช้กล้ามเนื้อ ซึ่งเราหวังว่าการทำงานนี้จะเป็นตัว educate พ่อแม่ให้มีความรู้มากขึ้นตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ อยู่”

หลายคนอาจตั้งคำถามว่า แล้วการคัดเลือกเด็กผ่านพัฒนาการต่างกับการสอบอย่างไร สุดท้ายแล้วการคัดเลือกเด็กเข้าโรงเรียนยังคงมีอยู่ไม่ว่าจะรูปแบบไหน ผอ.ทนงให้ความเห็นว่า จุดประสงค์ของการทดสอบเด็กที่โรงเรียนเพลินพัฒนาเพื่อดูว่าเด็กมีพัฒนาการรอบด้านอย่างไร เพื่อที่จะได้จัดรูปแบบการศึกษาให้ตรงกับเด็ก ส่วนการคัดเลือกอื่นๆ ที่ต้องมีอยู่ส่วนใหญ่เกิดเพราะความต้องการของผู้ปกครองที่อยากให้ลูกเข้าโรงเรียนดังๆ มีสูง แต่ที่นั่งในโรงเรียนมีจำกัด ทำให้ต้องใช้วิธีคัดเลือกที่อาจเรียกว่า ‘แข่งขัน’ โดยปริยาย 

“ขณะนี้ต้องยอมรับว่าโรงเรียนในไทยยังมีคุณภาพที่แตกต่างกันค่อนข้างเยอะ ทำให้พ่อแม่ที่มีกำลังและมีทางเลือก พยายามเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดให้กับลูก ผมมองว่าสิ่งที่โรงเรียนแต่ละแห่งทำได้ คือ พัฒนาคุณภาพการศึกษาของตัวเอง อย่างโรงเรียนทางเลือกแบบเรา ก็พยายามเน้นการเรียนรู้ที่เด็กสนุกกับการเรียนรู้  โดยผ่านประสบการณ์การลงมือทำ พยายามให้ทุกวิชามีความหมายและมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตในอนาคต มีสมรรถนะสำคัญเพื่อให้พร้อมเผชิญกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว วิชาเรียนของที่นี่และกระบวนการเรียนรู้ของเรา จึงไม่ค่อยเหมือนโรงเรียนทั่วไป คือ เด็กได้เรียนรู้มากกว่าหลักสูตรปกติเยอะมาก เพื่อสร้างเยาวชนที่มีศักยภาพอีกระดับหนึ่งขึ้นมาให้กับประเทศ”

“ส่วนตัวผมอยากให้พ่อแม่เลือกโรงเรียนที่เหมาะสมกับตัวเด็กและอยู่ใกล้บ้าน อย่างที่โรงเรียนเพลินพัฒนา ถ้าผู้ปกครองอยู่ไกลมาก เราก็ขอให้เขาลองมองโรงเรียนอื่นที่อยู่ใกล้บ้านเขาแทน เพราะถ้าโรงเรียนอยู่ไกล คนที่เหนื่อยคือเด็ก ส่งผลให้เด็กเกิดความเครียด ผมคิดว่าโรงเรียนดีๆ ยังมีอีกเยอะ แล้วพ่อแม่เองก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยพัฒนาโรงเรียนแถวบ้านให้มีคุณภาพที่ดีได้ ผ่านการสนับสนุน ให้กำลังใจ หรือกระตุ้นอะไรบางอย่าง ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถช่วยกันทำได้ ให้โรงเรียนใกล้บ้านของเรามีคุณภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

“ผมว่าการศึกษาตอนนี้มันกำลังเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับคำว่าสมรรถนะ คือ เด็กเรียนรู้แล้วเอาไปใช้งานในชีวิตจริงได้เท่าไหร่ เด็กมีความสามารถที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน ตัวเด็กมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ มี mindset เป็นยังไง ผมว่าเรื่องพวกนี้เป็นหัวใจของความสำเร็จมากกว่า ก่อนอื่นผมอยากให้พ่อแม่เข้าใจทิศทางของโลกที่เปลี่ยนไปแล้ว มันไม่เหมือนที่เราเคยเจอที่เด็กต้องเก่งเรื่องการสอบเป็นหลัก ฉะนั้น พ่อแม่อย่าไปซีเรียสว่าต้องหาโรงเรียนที่เน้นวิชาการจนกลายเป็นเน้นเรื่องการสอบ การไปติวกัน เพราะเด็กจะสูญเสียโอกาสที่ได้เรียนรู้สิ่งอื่นๆ ซึ่งอาจสำคัญกว่าการสอบ     

“แต่ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องเชื่อมั่นก่อน ซึ่งความเชื่อมั่นเกิดมาจากเข้าใจสถานการณ์จริงๆ เช่น ตอนนี้เทรนด์การรับสมัครของบริษัทชั้นนำต่างๆ เขาคัดเลือกคนโดยดูจากทักษะการแก้ไขปัญหา ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ความสามารถในการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ความมุ่งมั่น ความรับผิดชอบ มันไม่ใช่ว่าคะแนนดีจะมีโอกาสดีมากกว่าคนคะแนนไม่ดี หรืออย่างการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยที่ปัจจุบันใช้ระบบ TCAS รอบแรกมีการคัดที่แฟ้มผลงานของเด็ก แปลว่าเขาต้องการเด็กที่มีแรงบันดาลใจ มีความสนใจ มีความสามารถและมีตัวตนเหมาะที่จะมาเรียนวิชาชีพนี้ไหม  

“สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่พ่อแม่ทุกคนทำได้ คือ การให้กำลังใจลูก เพราะเมื่อไรที่เขาเริ่มสนุกกับการเรียนรู้ เขาอยากรู้ ทุกอย่างมันตามมาเอง” ผอ.ทนง กล่าวทิ้งท้าย 

Tags:

ยกเลิกสอบเข้าป.1Social Issuesปฐมวัย

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    โฮมสคูลบนดอยของ ‘น้องเททีกับคุณพ่อคลีโพ’ : ร้อง เล่น และเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก 

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Learning Theory
    7 คาแรคเตอร์ของเด็กเจนฯ อัลฟ่า

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    ทำไมเด็กๆ จึงไม่ควรสอบเข้า ป.1

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhood
    ยกเลิกสอบเข้า ป.1 เพื่ออะไร และ สอบเข้า ป.1 กันไปทำไม

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Early childhood
    5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

‘วิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์’ ทางออกปัญหาสุขภาพจิตในเด็ก โดยคนวัย 14 ปี
Everyone can be an EducatorVoice of New Gen
11 June 2020

‘วิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์’ ทางออกปัญหาสุขภาพจิตในเด็ก โดยคนวัย 14 ปี

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • เวลาที่คนเราเครียดมากๆ สมองจะตั้งโปรแกรมใหม่เพื่อรับมือกับความเครียด สารความสุขไม่หลั่งมา ทำให้เราต้องหาวิธีจัดการกับความเครียดไม่ให้ทำร้ายเรา
  • แต่ถ้าความเครียดเกิดกับเด็กที่ประสบการณ์ยังน้อย ไม่รู้วิธีรับมือกับความเครียดหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง บางครั้งทำให้จัดการผิดพลาด นำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าได้
  • ญา ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา อายุ 14 ปี เธอคิดวิธีแก้ไขปัญหานี้ด้วยการทำวิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ หวังว่าวิชานี้จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้และสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้

โกรธ แล้วทำลายข้าวของ

ผิดหวัง แล้วทำร้ายตัวเอง

เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเด็กต้องเผชิญกับสถานการณ์ปัญหาจนเกิดเป็นความเครียดและไม่รู้ว่าจะจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร

ญา หรือ ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา วัย 14 ปี เธอทำงานช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคซึมเศร้า บอกว่า ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่ เด็กก็มีเรื่องเครียดเช่นกัน เด็กเครียดจากความคาดหวังของพ่อแม่ว่าต้องเรียนเก่ง เป็นเด็กกิจกรรม เป็นเด็กสมบูรณ์แบบ และด้วยประสบการณ์ที่ยังน้อย ทำให้พวกเขาหาทางออกไม่เจอ ไม่รู้จะจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร เป็นต้นตอของความเครียดสะสมจนนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า และทำร้ายตัวเอง

วิชา ‘ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์’ คือหนึ่งในความพยายามของเธอในการช่วยเหลือเพื่อนที่เผชิญกับภาวะนี้ ชวนทำความรู้จักกับ ญา และวิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์กันค่ะ

ที่ปรึกษาโรคซึมเศร้า

ช่วงปีที่ผ่านมาถ้าใครได้ติดตามข่าววงการสุขภาพจะเจอกับข่าว ‘เด็กอายุ 14 ขอแก้พรบ.สุขภาพ’ ซึ่งคนๆ นั้นก็ คือ ญา เธอเริ่มทำงานช่วยเหลือเด็กที่ประสบปัญหาสุขภาพจิตขณะเธออายุ 12 ปี จุดเริ่มต้นเกิดจากเธอเคยช่วยเหลือเพื่อนที่เป็นโรคซึมเศร้าตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จึงอยากช่วยเหลือคนอื่นๆ ต่อไปอีก ปัจจุบันงานที่เธอทำคือ จัดอบรมให้ความรู้แก่เด็กๆ ในโรงเรียน และให้คำปรึกษาเด็กที่มีปัญหา 

“เราเคยเห็นรอยแผลกรีดข้อมือของเพื่อน เราก็สงสัยว่าอาการกรีดข้อมือมันคืออะไร หาจากกูเกิลเจอว่าการกรีดข้อมือเป็นอาการของโรคซึมเศร้า

“เราได้ยินคำว่าโรคมาตั้งแต่เด็กแล้ว โรคไข้หวัดนู่นนี่นั่นที่ครูมาตรวจ เราเลยรู้สึกว่าโรคนี้มันหายได้เหมือนกัน ฉะนั้น เราเลยต้องพาเพื่อนไปหาหมอ คำถามต่อมาคือหมออะไร เราก็หาต่อว่าต้องพาเพื่อนไปที่ไหน มันมีสถาบันสุขภาพจิตที่เป็นของเด็กอยู่ที่รามา เราเลยคิดที่จะพาเพื่อนไป เรารู้สึกว่าการที่เขากรีดข้อมือเราก็ไม่รู้ว่าวันหน้าเขาจะตายไหม เราไม่อยากที่จะเสียเพื่อนคนนี้ไป เราเลยหาทางที่จะช่วยเขา”

ทว่าไม่เพียงนักเรียนเท่านั้น คนอื่นๆ ที่เคยร่วมงานกัน ก็พากันมาขอคำปรึกษาจากเธอ มีตั้งแต่เด็กประถมจนถึงนักศึกษามหาวิทยาลัย ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมพวกเขาจึงเลือกที่จะมาเล่าปัญหาและขอความช่วยเหลือจากคนอายุ 14 ปีอย่างญา เธอตอบว่า อาจเป็นเพราะเธอเป็นคนที่ฟังโดยไม่ตัดสิน แต่ช่วงแรกๆ ที่ให้คำปรึกษาก็เคยทำผิดพลาด เธอเลือกที่จะตอบพวกเขาหลังจากฟังปัญหาเสร็จว่า ‘ไม่เป็นไร สู้ๆ นะ’ สุดท้ายเพื่อนคนที่มาปรึกษาก็ไม่กลับมาคุยกับเธออีก ทำให้ญาตั้งคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่เธอทำมันควรหรือไม่

“พอเราได้กลับมาคุยกับเพื่อนคนนี้ เขาบอกว่าการที่แกบอกว่าสู้ๆ นะ เหมือนตัดประเด็น เหมือนไม่อยากคุย จบเลย สิ่งที่เขาต้องการคือคนที่รับฟัง คนที่บอกว่าเขาสามารถผ่านไปได้ สมมติเขายืนอยู่คนเดียวเราควรทำให้เขารู้ว่ามีเราอยู่ข้างๆ เขา”

“อย่างแรกเราจะปล่อยให้เขาพูดเลย เราจะรับฟังเขา ถ้าเรารู้สึกว่าเขามีแนวโน้มการฆ่าตัวตายสูงก็จะแนะนำว่าไปหาหมอคนนี้ไหม เรารู้จัก แต่ถ้าเขายังไม่ได้เป็นถึงขั้นนั้น เราจะวิเคราะห์ไปแต่ละเรื่อง สมมติเขาโดนบูลลี่มา อะไรคือสิ่งที่ควรจะทำ เช่น โดนเพื่อนบูลลี่ทั้งห้อง เราอาจจะพักการเรียนไปสักพักไหม ถ้าพร้อมค่อยกลับมา

“บางคนเครียดมากไม่รู้จะไปแก้ตรงไหน เราจะพยายามหาจุดให้เขาคิดได้ เชื่อว่าคนอื่นแก้ปัญหาได้ไม่เท่ากับตัวเขาแก้ปัญหาเอง สมมติคนอื่นมาบอกเราให้เราจัดการอารมณ์มันก็ยาก แต่ถ้าเราหาวิธีจัดการอารมณ์ของตัวเองได้มันเป็นอะไรที่ใช้ได้ตลอดชีวิต”

ปัญหาสุขภาพจิตในเด็ก

คนรุ่นเดียวกับญามีความเครียดอะไรบ้าง? คำตอบแรกที่ญาตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว อันดับหนึ่ง คือพ่อแม่ เด็กส่วนใหญ่เกิดความเครียดจากการถูกกดดัน คาดหวังว่าต้องสมบูรณ์แบบ เรียนเก่ง กิจกรรมดี เมื่อเด็กทำไม่ได้ พ่อแม่ก็เกิดอาการผิดหวัง 

“พอเด็กผิดหวังกลับมาไม่เจอคำแนะนำหรือให้กำลังใจ กลับบ้านมาเจอพ่อแม่ซ้ำอีกว่าทำไมทำไม่ได้ ทำไมไม่ตั้งใจ สำหรับเด็ก เราคิดว่าเราตั้งใจแล้วแต่มันไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องการสอบการเรียน”

ปัญหาต่อมา คือ การบูลลี่ในโรงเรียน ซึ่งมีตั้งแต่อาจารย์ไปจนถึงเพื่อนด้วยกันเองที่เป็นผู้กระทำ ญายกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ครูโรงเรียนหนึ่งล้อเลียนเด็กว่าเป็นเงาะป่าหน้าเสาธง ทำให้เด็กคนนี้ถูกเพื่อนคนอื่นๆ ล้อเลียน เป็นการย้ำว่าเขาเป็นเงาะป่า เป็นคนที่ไม่สามารถอยู่ในโรงเรียนนี้ได้ ส่งผลกระทบต่อจิตใจทำให้ไม่กล้ามาโรงเรียน 

เหตุการณ์พวกนี้ส่งผลกระทบกับจิตใจของเด็ก บางคนเก็บไว้กับตัว ไม่กล้าปรึกษาใคร นานวันไปความเศร้าความเครียดสะสมเรื่อยๆ ลงท้ายด้วยการหาทางออก คือ ฆ่าตัวตาย งานของญาจึงพยายามเข้าไปช่วยเหลือเด็กที่มีอาการดังกล่าว เบื้องต้นเธอและทีมงานสภาเด็กจะไปลงพื้นที่โรงเรียนที่เป็นสีแดง เป็นโรงเรียนที่มีเหตุการณ์เด็กฆ่าตัวตาย งานของพวกเธอเข้าไปให้ความรู้ พร้อมกับสำรวจว่ามีใครที่กำลังประสบปัญหาเพื่อที่ให้ความช่วยเหลือ

“เริ่มจากกิจกรรมสันทนาการให้ความรู้ปัญหาสุขภาพจิต หลังจากนั้นเราจะให้นักเรียนหลับตาแล้วถามว่าใครรู้สึกเศร้า รู้สึกเครียดบ้างให้ยกมือขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ไต่ระดับคำถาม จนสุดท้ายถามว่ามีใครเคยคิดทำร้ายตัวเองไหม

“ที่ให้หลับตาเพราะบางคนไม่กล้ายก เพื่อนไม่ยกเราก็ไม่ยก เราเลยให้หลับตายกมือ ให้ทีมงานจำว่าน้องคนไหนยกมือบ้าง วางแผนต่อทำ focus group ต่อ พอเรากลับมาอีกครั้งก็จะดึงเด็กกลุ่มนี้มานั่งวงคุยกัน ถามก่อนว่าสบายใจที่จะคุยกับคน 10 คนไหม ถ้าไม่ก็แยกไปคุยส่วนตัว บางคนอยากมีเพื่อนมานั่งด้วยก็อนุญาต จะเห็นว่าในเด็ก 10 คนมีใครสีแดงคิดฆ่าตัวตายแล้ว สีเหลืองเคยคิดแต่ไม่เคยทำ หรือสีเขียวมีภาวะที่จะเป็นแต่ยังอยากอยู่ในโลกนี้อยู่

“ถ้าเป็นสีแดงจะติดต่อครูเพื่อถามว่าพ่อแม่เขาเป็นใครเราจะพาน้องไปรักษา หรือว่าทิ้งคอนแทคน้องให้คุณหมอติดต่อคุยกับน้อง มันก็จะมีอีกหลายคนที่ไม่ยกมือ ไม่ได้ทำโฟกัสกลุ่มกับเรา เราก็จะทิ้งคอนแทคไว้ มีเด็กทักมาประมาณ 30-40 คน เพราะไม่กล้ายกมือ” 

แต่ปัญหาเดิมๆ ยังคงกลับมา คือ เด็กไม่สามารถรับการรักษาได้ถ้าไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง ญาตัดสินใจแก้ไขปัญหานี้ด้วยการยื่นเรื่องขอแก้ไขพระราชบัญญัติสุขภาพจิต ให้เด็กสามารถเข้ารับการรักษาได้โดยไม่ต้องรับคำยินยอม

“จริงๆ ต้องเล่าก่อนว่าพ.ร.บ.นี้บอกว่า ในกรณีที่เด็กต้องเข้ารับการบำบัดรักษาต้องพาผู้ปกครองมาด้วย แต่ไม่ได้บอกว่าถ้าแค่ขอคำปรึกษาสามารถทำได้เลย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อหมออ่านพ.ร.บ.นี้เขาคิดว่าไม่สามารถให้ได้แม้แต่คำปรึกษากับเด็ก แล้วมันมีเรื่องเล่าในวงการว่าถ้าให้คำปรึกษาเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จะโดนพ่อแม่เขาฟ้อง หมอเลยพยายามบล็อกทุกทางไม่ให้เด็กเข้ามา 

“ฉะนั้น ปัญหาหลักๆ ไม่ใช่พ.ร.บ แต่คือมายเซ็ตของคนที่ปฎิบัติงาน ทางกระทรวงจะช่วยเราได้ด้วยการส่งหนังสือเวียนไปตามโรงพยาบาลว่าหมอสามารถให้คำปรึกษาได้ไม่โดนฟ้อง แล้วถ้าหมอรู้สึกว่าให้ยาเด็กคนนี้ได้ไม่กระทบกับการเรียน หรือเรื่องอะไรหมอสามารถให้ไปเลย”

วิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์

แม้ว่าจะแก้ไขให้เด็กสามารถเข้ารับคำปรึกษาจากคุณหมอได้โดยไม่ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง  แต่นั่นเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ เพราะต้นเหตุ คือ เด็กไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ แล้วมันจะดีกว่าไหมถ้าสอนเขาให้รู้วิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง นี่จึงเป็นที่มาของวิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ที่ญากำลังทำ

“ถ้าเราสามารถหยุดความเครียดของตัวเองไว้ได้ตั้งแต่ต้น ไม่ให้มันเตลิดไป มันก็จะหยุดโรคซึมเศร้าได้ เพราะซึมเศร้ามาจากการที่เราเครียดมากๆ แล้วสมองของเราไม่ได้สร้างมาเพื่อรับความเครียด แต่เพื่อหลั่งสารความสุข

“ฉะนั้น พอเครียดมากๆ สารเคมีในสมอง (ฮอร์โมนความเครียดในชื่อคอลติซอลและไซโตไคน์) จะเปลี่ยนเพื่อตั้งรับกับความเครียด* เมื่ออยู่ในสภาวะแบบนี้มากๆ ทำให้สมองจมอยู่กับสารแห่งความเครียดและสารความสุขไม่หลั่งมาแล้ว นี่เป็นต้นเหตุทางสมองของการเป็นซึมเศร้า ถ้าเราสอนให้เขาจัดการความเครียดตั้งแต่ต้น เขาจะสามารถรับมือกับความเครียดของตัวเองได้”

ญาเล่าว่า เธอได้ไอเดียวิชานี้ตอนที่หาวิชาเรียนสำหรับ homeschool แล้วเจอว่าที่ต่างประเทศมีการบรรจุวิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ไว้ จึงเกิดความสนใจ และมีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ที่จุฬาฯ ซึ่งกำลังทำหลักสูตร CBT** (Cognitive Behavioral Therapy) อยู่พอดี ทำให้ญาตัดสินใจคิดวิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ขึ้นมา

“วิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์เป็นวิชาที่สอนเรื่องระบบจัดการความคิด มันจะให้เราแยกความคิดเป็นส่วนๆ โดยให้เราจดความคิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไว้ เช่น มีเรื่องพ่อแม่-จด เรื่องเพื่อน-จด เสร็จแล้วเอากระดาษมาฉีก 1 ความคิด/1 ชิ้น แล้วก็นั่งแยกความคิดไหนดี ความคิดไหนไม่ดี เราจะรู้ว่าในแต่ละวันเราคิดอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ดีหรือไม่ดี ไปยังขั้นต่อไปที่ว่าจะจัดการยังไงไม่ให้เอาความคิดแบบนี้มาอยู่ในสมองเรา”

ส่วนหลักสูตร CBT ที่ญาไปศึกษานั้นเป็นเรื่องของจิตบำบัดเพื่อจัดการกับอารมณ์ในทางลบของมนุษย์ แต่หลักสูตรตัวนี้ใช้สอนในระดับมหาวิทยาลัย เธอเลยนำมาปรับผสมกับวิชาภูมิคุ้มทางอารมณ์ที่ไปศึกษาของต่างประเทศมา กลายเป็นเป็นวิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ที่ใช้สอนในโรงเรียนไทย นักเรียนสามารถเข้าใจและทำตามได้ ญาเล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงโครงสร้างวิชา โดยจะเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษา มี 5 บท คือ

  1. บทรู้จักอารมณ์ ให้ทำความเข้าใจว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง ใช้ตุ๊กตาเป็นสื่อการเรียนรู้แทนแต่ละอารมณ์ แล้วให้เด็กลองจดบันทึกว่าในแต่ละวันเขามีอารมณ์อะไรบ้าง บันทึกประมาณ 1 สัปดาห์ นำมาวิเคราะห์กับครูว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขมากน้อยแค่ไหน
  2. บทแยกความคิด ให้เด็กเขียนว่าในแต่ละวันมีความคิดอะไรบ้างใส่กระดาษ จากนั้นฉีกแยกแต่ละความคิด เพื่อจะได้มองเห็นว่าในแต่ละวันเขามีความคิดที่ส่งผลดีหรือไม่ดีกับตัวเขาเอง
  3. บทจัดการกับอารมณ์ สอนวิธีรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง ช่วยค้นหาวิธีที่เหมาะสมให้กับแต่ละคนเช่น บางคนโกรธต้องนับ 1 – 10 เพื่อลดอารมณ์ตัวเอง หรือบางคนถ้าเศร้าต้องระบายด้วยการคุยกับคนอื่น เป็นต้น
  4. บทรู้จักกับโรคที่เกิดขึ้นทางจิตใจ เช่น อาการไบโพลา อาการโฟเบีย
  5. บทจัดการกับการบูลลี่ เริ่มต้นด้วยไซเบอร์บูลลี่ด้วยแนวคิด STOP BLOCK TELL คือ หยุดที่ตัวคนถูกกระทำไม่ใช่หยุดที่คนกระทำ เพราะส่วนใหญ่คนที่บูลลี่ คือ คนที่เคยถูกบูลลี่มากก่อน เขารู้สึกว่าถ้าเขาโดนคนอื่นต้องโดนด้วย บล็อกเราไม่ให้ไปทำกับคนอื่นต่อ

“เวลาถูกบูลลี่ คนชอบบอกให้เก็บเอามาเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวผ่านมันไปได้ แต่เราจะไม่สอนแบบนั้น เราจะสอนให้เขาจัดการกับมัน ถึงแม้มันจะอยู่ตรงหน้าเราแต่ไม่สามารถทำอะไรเราได้

“สมมติถูกบูลลี่ว่าเป็นลูกคนเก็บขยะ สังคมบอกต้องผลักดันตัวเอง ทำให้มากกว่าเป็นลูกคนเก็บขยะให้ได้ แล้วถ้าสมมติเขาอายุสามสิบยังทำงานเก็บขยะเหมือนที่พ่อแม่เขาทำ เขาอาจรู้สึกว่าชีวิตเขามันแย่ว่ะ เขาไปมากกว่านี้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นก็คือ ‘ลูกคนเก็บขยะแล้วไง?’ มันก็คืออาชีพหนึ่งซึ่งไม่ควรถูกบูลลี่ ฉะนั้น เราจะไม่สอนให้เขาเก็บเอามาเป็นแรงผลักดัน แต่จะทำให้มันไม่มีผลอะไรกับเขา ไม่สามารถทำอะไรเขาได้”

ซึ่งไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่เรียนรู้ ผู้ปกครองและครูก็ต้องมีส่วนร่วมด้วย ญาบอกว่าหลักสูตรของเธอจะครอบคลุมไปถึงครูและพ่อแม่ โดยครูที่สอนวิชานี้จะต้องมีความรู้โดยเฉพาะ ซึ่งจะมีหลักสูตรสอนครูโดยตรง ส่วนพ่อแม่เองควรเข้าใจจะได้ปฎิบัติกับลูกได้เหมาะสม 

“เราจะให้ครูเรียนก่อนจบมาเป็นครู เพราะเราเห็นว่าหลักสูตรครูแทบไม่มีเรื่องจิตวิทยาเด็กเลย ครูต้องอยู่กับเด็ก วิชานี้จะเกี่ยวข้องเหมือนของเด็ก เราต้องสอนให้ครูควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อน เวลาครูปรี๊ดแตกเด็กก็ไม่เข้าใจว่าทำไมครูต้องเป็นแบบนี้ สอนให้ครูควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อน

“สามารถสังเกตได้ว่าเด็กคนไหนเป็นซึมเศร้า ถ้ามีเด็กมาปรึกษาต้องให้คำแนะนำยังไง ปัญหาที่เจอคือครูอยากช่วยเด็กแต่ไม่รู้วิธี เวลาเด็กมาปรึกษาครูจะคิดว่าปัญหามาจากพ่อแม่ ฉะนั้น ให้เด็กกลับไปคุยกับพ่อแม่ ซึ่งครูคิดว่าเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดแล้วแต่กลายเป็นว่าเด็กรู้สึกครูไม่เข้าใจเอาซะเลย สอนให้ครูรับฟังเป็น ให้คำปรึกษาเป็น ส่องเคสเป็น ครูสามารถโทรหาหมอได้ตลอดเวลาเพื่อที่จะส่งเด็กไปรักษาได้ ครูดีลกับพ่อแม่ยังไงเพื่อจะพาลูกไปรักษา”

ปัจจุบันวิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์กำลังรอให้กระทรวงศึกษาพิจารณาเพื่อนำไปพัฒนาต่อเป็นวิชาที่ใช้สอนในโรงเรียนทั้งหมด แต่ญาวางแผนว่า อยากให้ปรับลดวิชาเรียนก่อน เธอมองว่าถ้าเพิ่มหลักสูตรนี้เข้าไปมันอาจจะไม่ได้ให้ประโยชน์มาก เพราะเด็กต้องเรียนวันละ 8 – 9 คาบต่อวัน พวกเขาเองรู้สึกเหนื่อย อาจต้องลดวิชาลงแล้วใส่วิชานี้เพิ่มเข้าไป ทำให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายแล้วเขาจะตอบรับวิชานี้

ทัศนคติของสังคมไทยต่อปัญหาสุขภาพจิต 

ด้วยเพราะมีความสนใจงานด้านนี้ นอกจากงานที่ทำญายังมีความฝันอย่างอื่นอีก เธออยากเป็นหมอรักษาเด็กและเป็นนักจิตบำบัด เป้าหมายต่อไปของญานอกจากทำวิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ คือ สร้างคลินิกจิตเวชหรือพื้นที่ให้คนที่มีปัญหาได้เข้ามาปรึกษา รับคำแนะนำ อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่า เป็นสิ่งที่ทำได้ยากเพราะทัศนคติของสังคมที่มองว่า คนที่เข้าคลินิกพวกนี้เป็นโรคทางจิต หรือ การเป็นโรคซึมเศร้าเท่ากับเป็นคนบ้า ทั้งๆ ที่เขาอาจจะแค่มีปัญหาที่ต้องการการปรึกษา งานของญาจึงไม่ใช่แค่ช่วยคนป่วย แต่พยายามปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคมด้วย

“การเปลี่ยนทัศนคติมันต้องเปลี่ยนเป็น cast by cast เราต้องได้เจอคนๆ นั้นบ่อยๆ พ่อแม่เรา พ่อแม่เพื่อนเรา ครูที่รู้จัก เจ้าหน้าที่ เราสามารถคุยได้ ค่อยๆ ให้ความรู้ที่ละนิด น้ำหยดลงหินทุกวัน มันก็คือวิชาภูมิคุ้มกันที่หวังให้เปลี่ยนสังคม อาจจะเปลี่ยนคนเจนเก่าไม่ได้ แต่เราเชื่อว่าเมื่อวิชานี้เผยแพร่ออกไป เด็กที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตเขาจะเข้าใจเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น

“ถึงคุณจะไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า ก็เข้าใจคนที่เป็นได้ ไม่จำเป็นว่าเราต้องเศร้า การเข้าใจ คือ ทุกคนเครียดได้ ทุกคนเจอปัญหาได้ แล้วถ้าวันหนึ่งเขาเจอปัญหาที่ทำให้เขาจะฆ่าตัวตาย หน้าที่ของเราคือดึงเขากลับมา ไม่ใช่ถีบเขาลงไป”

พื้นที่การทำงานของเด็ก

ญาเริ่มต้นทำงานตอนอายุ 12 ปี ตอนนี้เธออายุ 14 ปีแล้ว ปัญหาที่เจอระหว่างทางการทำงาน คือ ทัศนคติของผู้ใหญ่ที่มองว่าเธอเป็นแค่เด็ก ทำให้บางครั้งไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร

“ไปทำงานเจอผู้ใหญ่อายุ 40-50 ปี เขายังมองว่าเราเป็นเด็ก ไม่ค่อยจะรับฟังความคิดของเราสักเท่าไร สิ่งที่เราทำคือ สู้ ไม่หมดกำลังใจ คำว่าเด็กมันหมายถึงอายุ แต่ไม่สามารถตัดสินความคิดของเราได้ บางคนอายุ 12 แต่ความคิดคือมีวุฒิภาวะไปแล้ว หนูคิดว่าวุฒิภาวะไม่ควรตัดสินที่อายุ

“ยอมรับว่าเราเป็นเด็ก แต่ไม่ได้หมายความว่าความคิดเราจะเด็กเสมอไป หรือถึงแม้มันจะเป็นความคิดของเด็กหรือของผู้ใหญ่เอง ก็ควรได้รับการให้เกียรติเท่าเทียมกัน เขาควรจะรับฟังเรา เด็กกล้าอย่างเดียวไม่ได้ ผู้ใหญ่ต้องให้พื้นที่ ส่วนใหญ่เด็กไม่กล้าออกมาทำงานเพื่อคนอื่นเพราะมายเซ็ตของผู้ใหญ่ที่ตัดสินว่า เด็กคือเด็ก ทำให้เด็กจะคิดว่า ‘เออ เราก็เด็กจริงๆ เราไม่ควรไปทำอะไรพวกนี้’

“คนทุกเพศทุกวัยสามารถออกมาทำงานเพื่อคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นโรคซึมเศร้าก็สามารถทำได้ อย่าดูถูกความคิดตัวเอง สิ่งเล็กๆ ก็สามารถเปลี่ยนได้ แม่ญาบอกเสมอว่าไม่ว่าคิดทำอะไรให้คิดว่าทำสำเร็จไว้ก่อน” ญากล่าวทิ้งท้าย

*สมองถูกตั้งโปรแกรมให้ไวต่อความเครียด : โดยปกติแล้วเมื่อคนเราเข้าสู่ภาวะเครียด จะเกิดการปรับตัวทางสมองครั้งใหญ่เพื่อต่อสู้และคลี่คลายกับความเครียดนั้นได้เอง แต่หากเครียดมากๆ เป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดสมองมีภาวะตึงเครียดอย่างไม่เคยได้พัก ความเครียดที่ว่าจะส่งสัญญาณไปเปลี่ยนแปลงการทำงานสมอง เช่น …
การปรับลดเนื้อเยื่อสมองสีเทา หรือ เมื่อเซลล์ประสาทถูกทำลายมากเกินไป มันเชื่อมต่อกับกลไกสมองเรื่องความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของฮิปโปแคมปัสเรื่องความทรงจำ, คอร์ปัส-แคลลอสซัม และ สมองส่วนหน้า – ทั้งหมดนี้มีผลต่อความสามารถในการคิด ตัดสินใจ สมาธิ และการควบคุมอารมณ์ 
และที่บอกว่าสมองอาจตั้งโปรแกรมใหม่ให้ไวต่อความเครียดคือ แกนตอบสนองความเครียด HPA (ไฮโปธาลามัส-ต่อมใต้สมอง-ต่อมหมวกไต) ถูกตั้งโปรแกรมให้เร่งผลิตฮอร์โมนความเครียดในชื่อคอลติซอลและไซโตไคน์ ภาวะนี้หมายถึงสมองถูกตั้งโปรแกรมให้เราตอบสนองต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งด้วยความเครียดได้ง่ายและคลี่คลายยาก นี่เป็นคำตอบว่าทำไมบางคนจึงหลุดจากภาวะเครียดหรือเอาตัวเองออกจากความคิดด้านลบได้ยากโดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและจิตเภทบางประเภท นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยสมัยใหม่บอกว่ามันส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายด้วย

**CBT ย่อมาจาก Cognitive Behavioral Therapy เป็นจิตบำบัด (psychotherapy) ชนิดหนึ่งที่มีเป้าหมายเพื่อจัดการกับอารมณ์ในทางลบของมนุษย์ (เช่นเศร้า กังวล โกรธ ฯลฯ) ด้วยการปรับเปลี่ยนความคิด (cognitive) และพฤติกรรม (behavioral) การบำบัดมีลักษณะเน้นที่ปัจจุบัน เจาะจงปัญหาที่ชัดเจน มีการกำหนดเป้าหมายในการบำบัดอย่างเป็นรูปธรรม เน้นความร่วมมือของผู้รับการบำบัดเพื่อนำไปสู่การฝึกฝนทักษะในการจัดการกับปัญหาของตนเองให้ได้ดียิ่งขึ้น
ที่มา Chula CBT

Tags:

วิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญาeveryone can be an educator

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง: สนามความรู้ที่มากกว่าเกมกีฬา พื้นที่แสดงวิชาของ ‘วิศรุต สินพงศพร’

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Everyone can be an Educator
    “ขยะก็เหมือนความสัมพันธ์ ถูกผลักจากตัวเหมือนตัดความสัมพันธ์ทั้งที่เราสร้างมันขึ้นมา” ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    จากแอร์โฮสเตสสู่ผู้ปกครองอาสาโรงเรียนเพลินพัฒนา: การเรียนรู้ใหม่อีกครั้งของแม่บี๋ สิติมา

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Everyone can be an Educator
    มุมมองใหม่ในการรู้จักตัวเอง ผ่านการดูไพ่ทาโรต์

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Education trend
    เครื่องมือช่วยเด็กคุยกับตัวเอง คลี่คลายความเครียด โดยนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ มานิตา บุญยงค์

‘แบ่งปันความอิ่ม’ คูปองอาหารที่ให้คนมาจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อเพื่อนที่ลำบากในช่วงโควิด
Voice of New GenSocial Issues
10 June 2020

‘แบ่งปันความอิ่ม’ คูปองอาหารที่ให้คนมาจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อเพื่อนที่ลำบากในช่วงโควิด

เรื่อง นฤมล ทิพย์รักษ์

  • มิ้ว – อริสา โพธิ์ชัยสาร จากทีม ‘แบ่งปันความอิ่ม’ หน่วยพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล หนึ่งในผู้ที่ลุกขึ้นมาพัฒนาโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อนจากวิกฤตโควิด-19
  • ด้วยการจัดทำคูปองปันกันอิ่มไว้ตามร้านอาหารต่างๆ โดยจ่ายเงินค่าอาหารเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้คนที่ลำบากสามารถมาทานอาหารได้ ส่วนคนที่พอมีก็สามารถซื้อและเซ็นคูปองไว้ เพื่อแบ่งปันให้คนที่เดือดร้อนคนอื่นๆ ต่อไป
  • “เริ่มจากเงิน 200 บาทของเรานี่แหละ จากนั้นไปชวนพี่ๆ ซึ่งทำงานที่ศิริราช ชวนอาจารย์หมอที่อยู่ในหน่วยด้วย คุณหมอบางคนเขาฝากเงินมาให้ เพราะตัวเองรักษาผู้ป่วยโควิดอยู่ ออกมาไม่ได้ แต่อยากจะดูแลประชาชนเหมือนกัน เขาซาบซึ้งที่ประชาชนส่งหน้ากากส่งของเข้าไปให้ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของ Pay It Forward ซึ่งจริงๆ ในเมืองไทยก็มีหลายๆ กลุ่มที่ทำอยู่”
ภาพ: ทีมแบ่งปันความอิ่มประเทศไทย

ภายใต้วิกฤตโควิด-19 ทำให้เราได้เห็นการช่วยเหลือสังคมในรูปแบบต่างๆ มากมาย ทั้งแจกอาหาร แจกข้าวของ แต่ด้วยเงื่อนไขของการดำเนินวิถีชีวิตในช่วงโควิด ทำให้การช่วยเหลือมักถูกจำกัดอยู่เพียงพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเท่านั้น ทั้งที่ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือเช่นกัน 

แต่มีโครงการหนึ่งที่ไม่ได้ต้องการแค่ช่วยเหลือคนในพื้นที่ แต่ยังสร้างพลังให้ทุกคนได้เชื่อมั่นว่า ไม่ว่าเราจะมีน้อยแค่ไหน เราทุกคนสามารถเป็นผู้ให้ได้เสมอ นั่นก็คือโครงการ “แบ่งปันความอิ่ม” หรือ “Pay it forward” โครงการที่จัดทำคูปองปันกันอิ่มไว้ตามร้านอาหารต่างๆ โดยจ่ายเงินค่าอาหารเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้คนที่ลำบากสามารถมาทานอาหารได้ ส่วนคนที่พอมีก็สามารถซื้อและเซ็นคูปอง เพื่อแบ่งปันให้คนที่เดือดร้อนคนอื่นๆ ต่อไป

วันนี้เรามาคุยกับ มิ้ว – อริสา โพธิ์ชัยสาร ทีมแบ่งปันความอิ่ม จากหน่วยพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ที่ได้ลุกขึ้นมาพัฒนาโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน ว่าสิ่งสำคัญของการช่วยเหลือคนครั้งนี้คืออะไร และพลังของคนตัวเล็กๆ ทั่วทั้งประเทศเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไรบ้าง 

มิ้ว – อริสา โพธิ์ชัยสาร

เมื่อความช่วยเหลือไปไม่ถึงคนเดือดร้อน 

เราเห็นคนเดือดร้อนจากโควิด แม้รัฐจะออกมาตรการเงินเยียวยา 5,000 บาท แต่ด้วยเหตุปัจจัย ทำให้คนที่เป็นชายขอบของสังคมไม่สามารถเข้าถึงมาตรการการช่วยเหลือนี้ได้ และยิ่งทำให้เขากลายเป็นชายขอบมากกว่าเดิมอีก อย่างคนแถวหอเรา มีเงินในกระเป๋าแค่ร้อยเดียว แต่ว่าต้องเอาเงินไปซื้ออินเทอร์เน็ต เพื่อที่จะมาลงทะเบียนรับ 5,000 บาท ซึ่งมันไม่ได้จบในครั้งเดียว ลงทะเบียนผิดบ้างอะไรบ้างก็ไม่ได้เงิน

เราเองเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่เดือดร้อนแบบนั้นและหาทางออกไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น วันนี้ที่เรายังไม่ได้เดือดร้อนถึงขั้นนั้น เราก็ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างนึง จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ เราไม่มีหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายก็จริง แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่เราลุกขึ้นมาทำได้ คิดแค่นั้นเราก็ทำเลย 

ไม่ใช่แค่ประชาชนช่วยหมอ แต่หมอก็อยากช่วยประชาชน

เราคุยกับพี่สาวว่าในวิกฤตโควิดแบบนี้เราจะช่วยคนได้ยังไงบ้าง เเราเห็นคนเยอะแยะเลยที่เดือดร้อนและเข้าไม่ถึงการช่วยเหลือของรัฐบาล พี่สาวก็เลยบอกว่ามันมีนะ Pay It Forward ให้เราไปจ่ายเงินล่วงหน้าไว้ก่อนเพื่อให้คนอื่นมากินข้าวจากเงินที่เราจ่ายไป รู้สึกว่าน่าสนใจมาก คิดกับพี่ว่า ‘เรามาทำกันไหม’ ก็เลยเริ่มทำ 

เริ่มจาก 200 บาทของเรานี่แหละ จากนั้นไปชวนพี่ๆ ซึ่งทำงานที่ศิริราช ชวนอาจารย์หมอที่อยู่ในหน่วยด้วย คุณหมอบางคนเขาฝากเงินมาให้ เพราะตัวเองรักษาผู้ป่วยโควิดอยู่ ออกมาไม่ได้ แต่อยากจะดูแลประชาชนเหมือนกัน เขาซาบซึ้งที่ประชาชนส่งหน้ากากส่งของเข้าไปให้ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของ Pay It Forward หรือ แบ่งปันความอิ่ม ซึ่งจริงๆ ในเมืองไทยก็มีหลายๆ กลุ่มที่ทำอยู่   

มากกว่า “อยากมีเงิน” คือ “อยากมีค่า” 

เราเข้าใจว่าความลำบากความเดือดร้อนมันเป็นยังไง เวลาที่คนไม่มีหนทางที่จะเดินต่อ มันคิดสั้นได้เสมอเลย อย่างบางคนวันนี้เขามีงานทำ ดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ ตื่นขึ้นมาอีกวัน เขากลายเป็นคนตกงาน ไม่มีเงินค่าเช่าหอ ไม่มีเงินซื้อข้าว เขากลายเป็นคนไร้บ้านเลยทันที ทั้งๆ ที่เขาก็ยังมือดีเท้าดี ยังทำงานได้ แต่ว่าด้วยภาวะตอนนี้ มันทำให้เขาไม่สามารถดูแลตัวเองได้  มันก็ไม่แปลกเลย ที่หลายคนเขาจะรู้สึกไม่มีคุณค่าในตัวเอง แล้วก็เลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง เพราะคนทุกคนอยากมีคุณค่าในตัวเอง มีคุณค่าที่จะทำอะไรเพื่อผู้อื่น แต่วันนึงเราตื่นขึ้นมา เรากลายเป็นคนไร้ค่า มันรู้สึกแย่มาก 

ต้องเซฟตัวเองให้มาก เรามาเพื่อช่วยไม่ใช่สร้างภาระ 

สำหรับโควิด ความจริงเราก็กลัวค่ะ เพราะเราก็ทำงานในโรงพยาบาลด้วย เราก็ต้องระมัดระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ เราเห็นแล้วว่าบุคลากรทางการแพทย์เหนื่อยแค่ไหน เวลาเราออกไป เราก็ต้องป้องกันตัวเองดีมากๆ เลย หน้ากากต้องใส่ เจลแอลกอฮอล์ล้างมือต้องพก เวลายืนคุยกันเราจะห่างกันแค่ไหน ที่จะไม่ทำให้เขารู้สึกว่าหวาดกลัว ต้องเซฟตัวเองให้มากที่สุด เพราะว่าถ้าเป็นจิตอาสาแล้วติดโควิด จากที่อยากทำดีจะกลายเป็นสร้างภาระแทน  

แม้จะช่วยแบบเดิมไม่ได้ แต่เราก็ยังช่วยกันได้

การช่วยเหลือคนในช่วงนี้ต้องระมัดระวังหลายอย่างเลย เพราะว่าโควิด มันทำให้เราไม่สามารถช่วยเหลือกันได้แบบน้ำท่วม ไฟไหม้ คือเรามีของ เราขนกันไปแจก คนมารวมตัวกัน แจกได้ แต่ช่วงโควิดทำแบบนั้นไม่ได้ โรงทานยุคโควิดต้องเปลี่ยนไป ซึ่งแบ่งปันความอิ่มก็จะไปตอบโจทย์ เป็นเหมือนโรงทานยุคใหม่ คือมีคนหิวเดินเข้ามา เอาไปทาน อย่างนี้ ไม่ต้องทำเป็นจำนวนมากๆ คือเราจะบอกกับร้านเสมอว่าค่อยๆ แจกนะ ไม่ใช่เท่ากับโรงทาน เพราะว่าคนหิวมีทุกวัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบแจกให้หมดภายในวันเดียว ตรงนี้ก็จะช่วยได้แล้ว เหมือนเป็นการบริหารจัดการการทำบุญรูปแบบใหม่ 

น้ำใจคนไทยมีมากกว่าที่เราคิด

จริงๆ พอเริ่มทำแบ่งปันความอิ่ม เราได้เห็นเลยว่าคนไทยใจดีมีเยอะมาก เพียงแต่ว่ายังไม่ได้มีช่องทางเพื่อให้เขาได้แสดงออกหรือว่าหยิบยื่นน้ำใจนั้นให้กับเพื่อนมนุษย์ เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มมีคนเปิด คนไทยก็พร้อมที่จะหยิบยื่น เข้ามาช่วยกัน  

มีคนติดต่อขอบริจาคเยอะมาก ซึ่งเราไม่ได้รับบริจาค เพราะเงินจะมากองอยู่ตรงกลาง ไม่กระจายไปทั่วประเทศ เราก็เลยบอกให้เขาไปลองทำในชุมชนดูไหม เพราะคนเดือดร้อนมีทุกที่จริงๆ เราก็ให้เมล็ดพันธุ์ไป ให้ไฟล์คูปอง ให้วิธีการว่าทำยังไงชุมชนถึงจะทำได้สำเร็จ แล้วก็คอยสนับสนุนให้เขาลองเอาเมล็ดพันธุ์นี้ไปปลูกในชุมชนของเขาเอง ก็ปรากฏว่ามันก็เบ่งบาน แล้วมันก็สุขใจเอง ที่ได้ให้เอง ได้ทำด้วยตัวเอง 

แม้เพียงเล็กน้อย ก็สร้างสังคมแห่งการแบ่งปันได้ 

เราคิดว่าการไม่นิ่งเฉย ต่อความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ เราก็สามารถสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันได้ คนตัวเล็กๆ นี่แหละที่ลุกขึ้นมาทำ เราว่าแค่เด็กคนเดียวได้เห็น ว่าวันที่เดือดร้อนผู้ใหญ่เขาช่วยกันแบบนี้ แล้วเด็กได้มีโอกาสได้กระปุกออมสินตัวเอง เอามาบริจาค 10 บาท 20 บาท ให้เด็กได้รู้จักการช่วยคน เราค่อยๆ ปลูกฝังให้เขาเติบโตในสังคมแห่งการแบ่งปันแบบนี้ไปเรื่อยๆ

บางคนมีศักยภาพในการเลี้ยงลูกหลานตัวเองให้รอดได้ ได้การศึกษาที่ดี มีความเป็นอยู่ที่ดี แต่ถ้าสังคมไม่รอด เราก็ตั้งคำถามกลับไปว่า แล้วลูกหลานเราจะรอดไหม เราว่าแค่เด็กหนึ่งคนได้เห็นการแบ่งปันนี้ก็คุ้มค่าแล้ว 

เติมความอิ่ม พร้อมกับเติมเต็มคุณค่าให้กันและกัน 

เราคุยกันตลอดเลยว่าคนที่เขาเดือดร้อนในวันนี้ เขาแค่กำลังเจอกับวิกฤต แต่ว่าเขายังเป็นคนที่มีแรงมีพลัง เราต้องเสริมพลังให้เขาได้ลุกขึ้นมา เมื่อถึงวันต่อมาที่มันดีขึ้น กลับมาช่วยคนอื่นได้ ไม่ต้องมองว่าตัวเองเป็นภาระ อย่ามองว่าตัวเองสร้างความเดือดร้อนให้ใคร วันนี้โควิดมันไม่ได้เลือกนี่ว่าคุณรวย คุณจน ทุกคนโดนผลกระทบกันหมด เพราะฉะนั้นคนที่ยังพอมีกำลังสู้ไหวอยู่ ก็มาจับมือเพื่อนคนที่กำลังล้ม ลุกขึ้นมา จะได้สู้ไปด้วยกัน 

อันนี้เราว่าสำคัญมาก ทุกๆ ร้านที่เราไป เราก็จะบอกร้าน ให้พูดกับคนที่ใช้คูปองว่า “ไว้ทำงานได้แล้ว กลับมาซื้อคูปองให้คนอื่นนะ” มีบางคนวันนี้มาหางาน แล้ววันต่อมาก็ยังหางานไม่ได้ แต่วันนี้เขาบอกกับร้านว่า จะมาขอล้างจานให้ที่ร้านได้ไหม หรือบางคนบอกว่าวันนี้ไปรับจ้างมาได้แล้ว วันนี้ไม่ใช้คูปองนะ ขอจ่ายเหมือนเดิม บางคนก็บอกว่ายังหางานไม่ได้ ไม่มีอะไรจะให้เลย ก็เลยไปพับใบเตยหอมเป็นดอกกุหลาบเอามาฝากให้คนที่เขามาเติมอิ่ม เราก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นภาระ แล้วตัวเขาเองก็ซาบซึ้ง แล้วการแบ่งปันตรงนี้มันก็ไปเติมเต็มหัวใจของเขา ที่ตอนนี้อาจจะแบบอ่อนแอแล้วก็บอบช้ำมากๆ  

เราจะช่วยกันได้ เราต้องเชื่อใจกันก่อน 

เราได้เห็นว่าชุมชนนี่แหละคือหัวใจสำคัญในการดูแลกันและกัน เพราะถ้าชุมชนไม่ลุกขึ้นมาทำ จะไม่เติบโตและยั่งยืนได้ขนาดนี้ ที่สำคัญคือทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากพื้นฐานของความเชื่อใจ อย่างไปร้านค้าก็จะมีคนถามว่า เอาเงินไปให้เขา 500-600 แล้วจะไว้ใจได้ยังไงว่าเขาจะทำ คือมันต้องเริ่มต้นจากความเชื่อใจจริงๆ 

เราไปคุยกับเขา เขาดูเป็นคนใจดี เขาอยากช่วยเขาอยากทำ แล้วร้านค้าเองตอนนี้เขาก็เดือดร้อน เราก็เหมือนไปช่วยเขา แล้วเราก็บอกเขาว่า หนูไว้ใจและเชื่อใจคุณป้ามากๆ ว่าคุณป้าจะช่วยเลือกคนที่เดือดร้อนให้กับหนู หนูดูแลเขาไม่ได้ แต่ว่าคุณป้าจะช่วยดูแลได้ 

เราคิดว่ามันเป็นการเหนี่ยวนำให้คนส่งต่อจิตใจที่ดีๆ กัน เหมือนเราเหนี่ยวนำว่าคุณเป็นคนดีนะ แล้วคนที่เขารออยู่ เขาก็รอคนดีอย่างคุณนี่แหละไปช่วยเหลือ มันก็เหนี่ยวนำให้พวกเรามีจิตใจที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เริ่มต้นจากคำว่าเชื่อใจก่อน แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะพอเวลาอิ่มหมด บางทีร้านค้าเขาก็จะเติมเอง 

อย่างร้านคุณพี่จุ๋ม บางกรวย เจ้าหญิงแห่งวงการแบ่งปันของเรา ตอนแรกที่เราไปดีล เขาบอกเริ่มต้นที่ 40 บาท เราบอกว่าเราขอซื้อ 30 ได้ไหม คนจะได้กินได้จำนวนเยอะขึ้น เขาก็บอกว่า ได้ แต่เป็นข้าวไข่ดาวไข่เจียวได้ไหม เราก็บอกว่า ก็ได้นะ อย่างน้อยคนก็ได้กิน 

พอเขาเห็นคนเก็บขยะมาเขาก็เรียกก่อน เขาก็ฉีกคูปองให้ คุณป้าที่เป็นคนเก็บขยะก็ไปบอกเด็กๆ ว่า ร้านเจ๊จุ๋มมีข้าว เด็กๆ ก็ออกมาเต็มเลย แล้วพอพี่เขาเห็นเด็กที่มาจากชุมชนแออัด ไข่เจียวไข่ดาวเขาก็ทำไม่ได้แล้ว ก็เอาหมูแถมไข่ดาวไปอีกในราคา 30 บาท ร้านเขาก็มีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วเขาก็ทำต่อเรื่อยๆ ไม่หยุด ไปชวนคนนู้นคนนี้มาทำ 

เหนื่อยแค่ไหน ก็เปี่ยมด้วยพลังใจและพลังชีวิต 

คนที่เป็นผู้ปันอิ่ม ร้านปันอิ่ม หรือแม้กระทั่งตัวเราก็มีความสุข เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เราไม่เลื่อนนาฬิกาปลุก ปกติคือเหนื่อยเหลือเกิน แต่ทุกวันนี้ 6 โมงก็ดีดขึ้นมา ทั้งที่เมื่อคืนนอน ตี 2 ตี 3 อยากลุกขึ้นมาตอบอยากลุกขึ้นมาดูว่า มีใครถามอะไร เราจะคิดวางแผนต่อยังไง 

ทีมเราก็ทำทุกอย่างเลย 10 กว่าคน ตอนนี้ work from home เราแบ่งออกเป็น 2 ทีม มีส่วนที่ลงสนามกับส่วนแอดมินเพจ มาคอยตอบคำถาม ดูแลร้านค้า ถ้ามีคนอยากจะบริจาคก็จะแนะนำให้ดูในอัลบั้ม แล้วสามารถโอนเงินได้เลย แต่ทุกอย่างทำหลังเลิกงานนะคะ

คนที่ไม่มี เขาจะคิดเผื่อคนที่ไม่มีเสมอ 

มีเคสหนึ่งวันนั้นเราไปแถวสี่แยกบ้านแขก ไปเจอร้านไข่เจียว  1 ฟอง 25 บาท 2 ฟอง 30 บาท ก็ติดคูปองเรียบร้อยแล้ว อธิบายให้เจ้าของร้านรู้เรื่องแล้ว ก็มีพี่คนนึงที่ดูเหมือนเป็นคนไร้บ้านเดินเข้ามา เขากำเหรียญ 5 มา 5 เหรียญ แล้วก็ถามเขาว่าวันนี้ทานอะไรดีคะ เขาก็บอกว่าขอซื้อข้าวไข่เจียวฟองนึง 25 บาทเอาเหมือนเดิม เราก็เลยบอกว่างั้นวันนี้เราขออนุญาตมาแบ่งปันนะ อยากจะขอจ่ายให้ไว้ก่อนได้ไหมสัก 30 บาท วันนี้ให้ไข่ 2 ฟองเลย เขาก็ยิ้มแล้วก็บอกว่า ครับ ขอบคุณมากนะ งั้นผมขอขายแค่ฟองเดียวได้ไหมครับ 25 บาท อีก 5 บาทผมขอเก็บไว้ให้เพื่อน 

โอ้โห ตอนนั้นใบคูปองในมือสั่นเลย คนที่เขาไม่มี เขานึกถึงคนที่ไม่มีเสมอเลย โดยส่วนใหญ่ที่เราไปเจอก็จะเป็นแบบนี้ 25 บาทของเขา กว่าที่เขาจะหาได้ แต่พอวันนี้มีให้เลือก เขาก็เลือกเอาเท่าเดิม แล้วก็ขอแบ่งส่วน 5 บาทของเขา เอาไว้ให้คนอื่นอีก มันยิ่งใหญ่มาก 

ไม่ใช่แค่ร้านข้าวไข่เจียวนะ อย่างรถไอติมปั่นจักรยาน ที่คนแก่ชอบขายเป็นไอติมตัด หรือน้ำแข็งใส เราก็เอาเข้าร่วมโครงการนะ เพราะเรารู้สึกว่าการได้กินอะไรแบบนี้ มันก็เป็นเหมือนรางวัลในชีวิต 

ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างใจเราเสมอไป 

อย่างที่บอกว่า มันเริ่มต้นจากความเชื่อใจ เพราะฉะนั้นลองดูก่อน ถ้าเขาไม่แจก ไม่ดี ไม่ทำ เราก็แค่ไม่ไปเติมร้านเขาแล้วแค่นั้นเอง เราจะเติมไม่เกิน 600 บาทต่อร้านอยู่แล้ว ประมาณ 20 -30 อิ่ม เงิน 600 บาทมันไม่ได้ทำให้รวยในทันที ถ้าเขาทำดีเขาก็จะได้รับการต่อยอดเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่จากเรานะ แต่จากชุมชนรอบข้าง 

เคยมีเคสที่ร้านไม่แจกอิ่มที่เราไปซื้อไว้ ชุมชนเขาก็จะจัดการกันเอง เราที่เป็นคนเข้าไปในชุมชน ต้องไม่ไปสุมให้เขาหัวร้อนขึ้น เราก็จะบอกว่า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวไปเติมร้านอื่นก็ได้ มีร้านไหนแนะนำไหมคะ แล้วก็ชี้ให้เขาเห็นอีกแง่นึงว่า หรือเขาอาจจะเอาคูปองไปแจกผู้ป่วยติดเตียงที่ออกมาไม่ได้หรือเปล่า พูดไปแบบนี้เขาจะได้คลายความโกรธกันลงบ้าง 

ถามว่าในใจเรารู้สึกไหม มันก็เป็นธรรมดา ที่เราจะต้องรู้สึกเสียใจอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นเงินบุญ แต่เราก็ต้องแสดงออกไปแบบนั้น ไม่งั้นจะกลายเป็นว่า ไปทำให้ชุมชนเขาทะเลาะกัน แค่เราไม่ทำแบบเขาก็ได้ ถ้าเรารู้สึกว่ามันไม่ดีแต่อย่าไปว่าเขาเลย เราอาจจะไม่รู้ความจริงทั้งหมด พยายามเหนี่ยวนำให้ไปในทางที่ดี มันจะได้ไปต่อได้ ไม่งั้นมันก็ทำต่อไม่ได้ 

การให้เล็กๆน้อยๆ เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ 

รู้สึกว่าคนที่เข้ามาร่วมแบ่งปันความอิ่ม เขาจะได้เห็นว่าแค่เริ่มให้จากตัวเอง ก็มีความสุขทั้งตัวเขาเองและคนที่ได้รับ มันเป็นการให้ที่เริ่มด้วยจำนวนเล็กน้อย มีแค่ 10 บาทก็แบ่งปันได้ รูปแบบการทำบุญก็จะเปลี่ยนไป ไม่ต้องทำทีละเยอะๆ เป็นหมื่นเป็นแสน และได้ทำบุญกับคนที่กำลังเดือดร้อนจริงๆ 

สังคมเรามีความหลากหลายมากเลย อย่างตอนนี้ก็มีหลวงพ่อติดต่อมา อยากจะขอฝากสตางค์ไปช่วยโยม เมื่อก่อนเราไปทำบุญที่วัด แต่ตอนนี้หลวงพ่อติดต่อมาอยากจะช่วยประชาชน  

มีบ้านนึงเขาจะพาเด็กๆ ไปทำ ให้เด็กเป็นอาสาสานอิ่มอธิบายเองเลย เด็กๆ ชอบที่ได้แคะกระปุกออกมาได้เซ็นคูปอง วันต่อมาเขากลับไปดู Feedback สิ่งที่เด็กๆ ภูมิใจที่สุดคือคูปองของเขาถูกใช้ แล้วก็คูปองที่ทำไปมีคนมาเติม ทำให้เราได้เห็นว่ามันมีทั้งให้ มีทั้งรับ 

มือของคนตัวเล็กๆ จะช่วยประคับประคองสังคมไปด้วยกัน

ถ้าเรารู้สึกว่าเราต้องทำอะไรบางอย่าง เพราะเราทนไม่ไหวกับสิ่งที่ได้เห็น ก็ขอให้เราลุกขึ้นมาทำ ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตาม เราจะไม่เสียใจที่เราได้ลองทำ ถ้าไม่สำเร็จเราก็แค่หยุดทำ หาสิ่งใหม่มาทำ แค่นั้นเอง ไม่ต้องกลัว และไม่ต้องหยุดที่จะกล้าคิดกล้าฝัน คิด ทดลอง ลงมือ ทำเลย  เราเรียนรู้ว่า การเป็นคนตัวเล็กๆ ก็ทำได้ มีน้อยก็แบ่งได้ แล้วถ้ามันเป็นสิ่งที่ดี มันก็จะเหนี่ยวนำผู้คนที่ดีให้มาเจอกัน วันนั้นที่เราทำก็ไม่ได้คิดว่ามันจะไปได้ไกลหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากขนาดนี้ เพราะพลังจากคนตัวเล็กๆ อย่างพวกเรานี่แหละ ที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมให้เดินไปได้ 

สิ่งที่กลุ่มแบ่งปันความอิ่มทำในวันที่สังคมเผชิญวิกฤต อาจไม่ใช่แค่การแบ่งปันมื้ออาหาร แต่อาจหมายถึงการแบ่งปันคุณค่า แบ่งปันน้ำใจ แบ่งปันความรู้สึก ว่าเขาไม่ได้เผชิญปัญหาอยู่เพียงลำพัง ทุกมื้อเล็กๆ เพียง 20-30 บาท ที่ถูกหยิบยื่นจากชุมชน ได้ส่งมอบความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ให้กับพวกเขาไปด้วย ไม่แน่ว่าสิ่งที่จะทำให้เรารอดชีวิตจากการแพร่กระจายของไวรัสในครั้งนี้ อาจจะหมายถึงการแพร่กระจายของน้ำใจ และความปรารถนาดีที่มีต่อกันให้เต็มทั่วทั้งสังคมก็เป็นได้ 

Tags:

ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)อริสา โพธิ์ชัยสาร

Author:

illustrator

นฤมล ทิพย์รักษ์

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.1 ‘I feel hopeless.’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • โจทย์ไม่เยอะแต่ท้าทาย เป้าหมายคือสมรรถนะ : การจัดการเรียนรู้ระดับประถม ‘ครูยิ้ม – ศิริมา โพธิจักร์’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Education trend
    โควิด19-เทคโนโลยี-ทัศนคติ ความท้าทายเเละจุดเปลี่ยนระบบการศึกษา: สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Education trend
    เครื่องมือช่วยเด็กคุยกับตัวเอง คลี่คลายความเครียด โดยนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Social Issues
    เปิดเทอมใหม่ อย่าเพิ่งสอนวิชาการ เยียวยาเด็กและเพื่อนครูด้วยกันก่อน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

Never Have I Ever แม้ไม่ใช้ชีวิตตามความคาดหวังของแม่ แต่ยังอยากได้ยิน ‘แม่ภูมิใจในตัวลูกนะ’
Dear ParentsMovie
10 June 2020

Never Have I Ever แม้ไม่ใช้ชีวิตตามความคาดหวังของแม่ แต่ยังอยากได้ยิน ‘แม่ภูมิใจในตัวลูกนะ’

เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • “การเข้าไปเจอนักจิตบำบัดของเดวี่ (ตัวเอกในเรื่อง Never Have I Ever) ทุกครั้งมีความน่าสนใจสำหรับเรามาก เพราะเดวี่และแม่รู้สึกว่า มันไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงความเศร้าออกมาหลังจากที่พ่อเสียชีวิต ซึ่งการแสดงออกแบบนั้นทำให้ทั้งสองคนไม่สามารถหลุดพ้นจากความเศร้าได้อย่างแท้จริงเพราะไม่เคยยอมให้ตัวเองพังทลายเพื่อรับรู้และเข้าใจความรู้สึกลึกซึ้งภายใน”
  • “เราเคยไปเจอนักจิตบำบัดที่เปิดไพ่ให้คำปรึกษา คุยกับเขาเรื่องแม่ เราเป็นลูกคนเดียวเหมือนเดวี่และแม่เลี้ยงเรามาคนเดียวด้วย วันนั้นเราโดนยิงคำถามหลายคำถามที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน ได้เจออะไรบางอย่างที่มันไปซ่อนอยู่ที่ไหนมาก็ไม่รู้ แล้วก็ได้น้ำตาแตกกับประโยคที่ว่า ‘เราไม่เคยดีพอสำหรับแม่’ ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหน แม่ก็ไม่เคยภูมิใจในตัวเราได้จริงๆ เพราะมันไม่ได้บรรลุเป้าหมายที่เค้าได้ตั้งไว้ ที่เค้าได้คาดหวังในตัวเราเอาไว้”
  • อีกหนึ่งบทความของพิมพ์พาพ์ ที่อ่านจบแล้วเราอยากกลับไปกอดเด็กตัวเล็กๆ ที่ยังอยู่ในความทรงจำของเรา และค้นลึกว่า เรามีเสียงที่ซ่อนไว้แบบนี้อยู่เหมือนกันรึเปล่า เสียงที่ไม่เคยพูดออกไปเพราะกลัวพ่อแม่ไม่ยอมรับ

“นักจิตบำบัดผ่านไพ่” ที่พิมพ์พาพ์กล่าวถึง อ่านได้ที่นี่ค่ะ 🙂

Tags:

ซีรีส์พิมพ์พาพ์dear parentsเพศ

Author & Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    Sex Education: ความเข้าใจเรื่องสิทธิ์เนื้อตัวไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ครอบครัวต้องหยุดสร้างทัศนคติ Victim blaming

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Moxie (2021) หนังที่บอกเราว่าไม่ควรเมินเฉยต่อการถูกแกล้ง ลวนลาม แต่จงลุกขึ้นมาส่งเสียงของตัวเอง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    How I met your mother: เมื่อต้องตกลงกันว่าจะส่งต่อความเชื่อของตัวเองสู่ลูก ดีรึเปล่า?

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Grace and Frankie: หย่าร้างในวัย 70 การมูฟออนที่ทำให้พบตัวเองอีกครั้งในเวอร์ชันที่ต่างไปจากเดิม

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Dear Parents
    “จะยังรักเหมือนเดิมไหมหากฉันไม่ใช่ลูกสาวอย่างที่ท่านคิด” ขอพื้นที่ส่วนตัวค้นหา(เพศ)ตัวเอง

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

ห้องเรียนประวัติศาสตร์และพุทธศาสนาที่ชวนตั้งคำถามถึงความดี ความรู้ และความจริง
Unique Teacher
9 June 2020

ห้องเรียนประวัติศาสตร์และพุทธศาสนาที่ชวนตั้งคำถามถึงความดี ความรู้ และความจริง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • ครูแนน – ปาริชาต ชัยวงษ์ สอนวิชาพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และวิชาประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์ นนทบุรี
  • การสอนคือความฝัน และเธอจินตนาการถึงมันอยู่ตลอดเวลา จนเลือกบรรจุเข้าสอนในโรงเรียนรัฐ เธอบอกว่านั่นเพราะจะทำให้เข้าถึง “เด็กส่วนใหญ่” ได้มากกว่า
  • ถ้าอยากเห็นโลกเปลี่ยนแปลง ต้องเปลี่ยนห้องเรียนให้ได้เสียก่อน ห้องเรียนพุทธศาสนาและประวัติศาสตร์ที่ครูแนนสอนจึงออกแบบให้การวิเคราะห์วิพากษ์ต้องเกิดขึ้น นี่คือวิธีการที่เธอเลือก

“อย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่ายๆ!!” ครูแนน-ปาริชาต ชัยวงษ์ สอนวิชาพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และวิชาประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์ นนทบุรี เอ่ยถึงบทเรียนเรื่องกาลามสูตร 10 ในวิชาพระพุทธศาสนา ขณะที่เด็กๆ กำลังมีอารมณ์ร่วมไปกับคลิปวิดีโอสั้น 5 เรื่อง ที่ครูเพิ่งเปิดให้ดูผ่านไป แต่ละคลิปมีความยาวไม่เกิน 5 นาที

นักเรียนทุกคนนั่งนิ่งจดจ่อกับภาพเคลื่อนไหวบนจอ หลายคนน้ำตาซึมเมื่อเรื่องถึงจุดพีคพลิกผัน บางคนนิ่งอึ้งแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งผ่านสายตาไป

“กาลามสูตรเป็นเรื่องร่วมสมัย เราชวนเด็กมาวิเคราะห์สื่อที่เผยแพร่ให้เห็นในชีวิตประจำวัน ขยับต่อไปที่เฟคนิวส์ เล่นเกม ‘ใช่หรือมั่ว ชัวร์หรือไม่’ ชวนกันมาดูว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ทำไมถึงคิดว่าใช่ ทำไมถึงคิดว่าไม่ใช่ แล้วให้เขาคิดต่อว่าเฟคนิวส์เป็นเรื่องของยุคนี้หรือมีมานานแล้ว”

ครูแนน อธิบายวิธีการสอนบทเรียนเรื่องกาลามสูตรให้เราฟัง

“เราต้องการชวนให้เด็กคิด ว่าอันที่จริงเฟคนิวส์มีมานานแล้ว ในสมัยก่อนอาจอยู่ในรูปแบบอื่น ส่วนในยุคนี้เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อเฟคนิวส์ถ้าเท่าทันสื่อ หลังจากนั้นก็นำเข้าสู่บทเรียนกาลามสูตรว่าในสมัยพุทธกาลมีพูดถึงเรื่องนี้ไว้ด้วยนะ กาลามสูตร 10 ข้อ อธิบายไว้ว่า อย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่ายๆ”

ครูแนนจบการศึกษาคณะครุศาสตร์ มัธยมศึกษา เอกเทคโนโลยีการศึกษา คู่สังคมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรจุเข้าเป็นครูประจำการได้ราวปีกว่า นอกจากสอนแล้ว ปัจจุบันยังเป็นครูประจำชั้นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 อีกด้วย

“ถ้าเราอยากเห็นโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจากนี้ เราต้องเปลี่ยนห้องเรียนให้ได้ก่อน รอให้ระบบเปลี่ยนอย่างเดียวมันไม่ทัน ขณะเดียวกันก็คิดว่ามันใจร้ายเกินไปหากเราผลักหรือไปคาดหวังคนอื่นในโรงเรียนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่เราเชื่อทั้งหมด ทางที่ดีที่สุดจึงเริ่มจากห้องเรียนของเราก่อน ถ้าสิ่งที่ทำไปคอนเนคกับใคร ก็มาคุยมาทำงานด้วยกัน”

เลือกเข้าสู่เส้นทางครูในโรงเรียนรัฐ

ก่อนบรรจุเข้าเป็นครูประจำการ ครูแนนเคยเป็นครูพิเศษให้กับโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเลย ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอเลือกเดินเข้ามาสอบบรรจุเพื่อให้มีโอกาสได้สอนในโรงเรียนรัฐ

“ครูพิเศษ เวลาสอนคือเราเข้าไปในโรงเรียนแล้วออกมา เราไม่ได้เป็นเจ้าของร่วมกับงานที่เราทำ การสอนจบไปเป็นครั้งๆ ซึ่งเราไม่ได้อิน ตอนนั้นออกมาไม่ทำอะไรเลยอยู่ 10 เดือน แล้วรู้สึกเหมือนจะตาย อยู่ไม่ได้ แต่ก็ได้ใช้เวลาช่วงนั้นอ่านหนังสือที่ตอนเราทำแต่งาน เราไม่มีเวลาอ่าน ทุกครั้งที่อ่าน เรามีจินตนาการตลอดเวลาว่า ถ้าสอนเด็กเรื่องนี้เราจะทำยังไง อยากรู้ว่า ถ้าเราชวนเด็กคุยเรื่องนี้แบบนี้ เด็กจะเข้าใจคอนเซปท์ออกมาแบบไหน ถ้าอยากแก้พฤติกรรมนี้ออกมาแล้วจะเป็นยังไง ก็เลยเห็นตัวเองชัดว่าจริงๆ เราแสวงหาสิ่งนี้ แล้วบอกกับตัวเองว่าสงสัยต้องเข้าระบบแล้วล่ะ อย่างน้อยก็ได้ทำงานที่อยากทำ โรงเรียนรัฐเป็นที่ที่เด็กส่วนใหญ่เข้าถึงได้ง่าย เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากเดินข้างๆ เขา เพื่อให้เขาค้นพบความหมายของชีวิตด้วยอะไรบางอย่าง เส้นทางนี้ จะทำให้เข้าถึงเด็กส่วนใหญ่ได้มากกว่า”

เส้นทางของครูแนนเป็นการเดินเข้าหาระบบการทำงานที่มีระเบียบแบบแผน ซึ่งทำให้ใครหลายคนอึดอัด ท้อใจมานักต่อนัก แต่กลับไม่ทำให้เธอรู้สึกว่าได้เดินเข้ามาติดกรอบ

“เราเชื่อว่าทุกคนเหมือนกันตรงที่พยายามแสวงหาความหมายของตัวเอง เพียงแค่ว่าความหมายของเราอยู่ตรงนี้ เราเตรียมใจไว้อยู่แล้ว รู้อยู่แล้วว่าลงสนามนี้จะต้องกับเจออะไร แต่ยังคงเลือกงานที่ตัวเองรัก เรายังคงเลือกวิธีการทำงานของตัวเอง เลือกสิ่งที่จะทำด้วยตัวเอง เรามีโลกในแบบที่อยากเห็น แล้วก็กำลังพยายามสร้างมันผ่านวิธีการที่เราเลือก”

“บางทีคนก็มองในเชิงอคติว่าครูโรงเรียนรัฐขี้เกียจ พึ่งสวัสดิการ เช้าชามเย็นชาม แต่ถ้าได้มาสัมผัสด้วยตัวเองคุณจะเห็นเลยว่าวัฒนธรรมเชิงอำนาจภายในระบบแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป อะไรที่ทำให้ครูเลือกใช้อำนาจกับเด็ก แทนที่จะใช้ความเป็นมนุษย์คุยกัน ไม่ใช่อยู่ๆ เขาอยากจะบ้าอำนาจ ไม่จริง…มันมีหลายปัญหาซ้อนกันอยู่ ทั้งเชิงโครงสร้าง ทั้งวัฒนธรรม”  

ให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง เพราะเราไม่อาจเป็นใครได้เลยนอกจากตัวเอง 

“ตัวเราเป็นการประกอบสร้างของผู้คนที่เจออย่างละนิดอย่างละหน่อย” ครูแนนเล่าถึงเส้นทางการเป็นครูของตัวเอง

“ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เราอ่าน ครู อาจารย์หรือคนอื่นๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วเราจะเจอทางของตัวเอง เราไม่อาจเป็นใครได้เลยนอกจากตัวเอง แค่เราเป็นตัวเองจากการที่ได้เรียนรู้จากคนอื่นๆ มา แล้วมาเจอความพอดีในตัวเรา”

นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ห้องเรียนของครูแนน เป็นห้องเรียนที่ให้อิสระกับนักเรียนอย่างเต็มที่ในการแสดงความคิดเห็น ไม่พุ่งเป้าไปที่การสั่งสอนให้เด็กต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ 

“โตไปในแบบของตัวเองนั่นแหละ ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ถ้า ณ จุดหนึ่งเจอปัญหา ไม่รู้จะแก้หรือจัดการอย่างไร หรือแค่อยากให้เราร่วมรับรู้ถึงการเดินทางของเขา เด็กก็เดินมาคุยกับเราได้ อย่างน้อยประสบการณ์ที่เรามี เรื่องที่เราได้เรียนรู้มา อาจทำให้เราตั้งคำถามให้เด็กได้คิด ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เพราะชีวิตผิดพลาดได้ การทำไม่ดี กับ การเป็นคนไม่ดี เป็นคนละเรื่อง ถ้าเราอนุญาตให้ตัวเองพลาดได้ เราจะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเกินไป เวลาที่ทำผิดพลาดไปแล้วถูกคนอื่นตัดสินอีกแบบหนึ่ง เรียนรู้ที่จะยอมรับและอยู่กับตัวเองให้ได้ แก้ไขแล้วไปต่อ”

เรียนประวัติศาสตร์เพื่อเข้าใจมนุษย์ ฝึกตั้งคำถามกับปัจจุบันและอนาคต

ครูแนน บอกว่า วิชาสังคมไม่ใช่วิชาท่องจำและน่าเบื่อ แต่ทำให้เข้าใจมนุษย์และโลกมากขึ้น ยกตัวอย่างวิชาประวัติศาสตร์ สำหรับครูแนนแก่นแท้ของวิชานี้ คือ การศึกษาเพื่อเข้าใจความเป็นมนุษย์ เข้าใจว่ามนุษย์เป็นมาอย่างไร ทำให้ตั้งคำถามกับปัจจุบันว่า “ทำไมวันนี้ถึงเป็นแบบนี้?” ส่องสะท้อนให้เห็นเค้าลางของอนาคตที่เรากำลังจะเดินไป 

“เราคิดว่าตัวเองเติบโตมาทางสายมนุษยศาสตร์ เลือกเรียนครุศาสตร์สายสังคม เพราะต้องการเข้าใจความเป็นมนุษย์ เราอยากทำงานกับเด็ก คิดอยู่เสมอว่าทำอย่างไรจึงจะเข้าใจมนุษย์ได้มากขึ้น ทำให้หลายครั้งที่เราตกอยู่ในสถานการณ์อึดอัด การพยายามทำความเข้าใจคนอื่นทำให้เราผ่านมาได้”

วิชาพุทธศาสนากับการวิเคราะห์สังคม

ห้องเรียนพุทธศาสนาไม่ได้มีแค่นักเรียนที่นับถือศาสนาพุทธเข้าชั้นเรียน แต่เป็นวิชาบังคับที่นักเรียนทุกคนต้องเรียน ครูแนนจึงออกแบบห้องเรียนพุทธศาสนาที่ไม่สร้างบรรยากาศให้นักเรียนรู้สึกว่าศาสนาใดดีกว่าศาสนาใด และตั้งคำถามกับเรื่องราวที่กำลังเรียนรู้

ยกตัวอย่างเช่น การให้นักเรียนอภิปรายพุทธศาสนสุภาษิต ไม่ใช่แค่เพื่อทำความเข้าใจความหมาย แต่เพื่อขยายความเข้าใจ เปรียบเทียบให้เข้ากับสถานการณ์โลก แล้วนำมาวิเคราะห์ว่าพุทธศาสนสุภาษิตนี้ใช้ได้จริงหรือไม่ แล้วใช้ได้ในบริบททางสังคมแบบไหน  

“การอภิปรายไม่ใช่เพื่อตัดสินว่าดีหรือไม่ดี แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเรายังไม่ยึดหรือเชื่ออะไรไปก่อน จนกว่าจะได้วิพากษ์ว่ามันทำงานอย่างไร การเชื่อไปเลยโดยไม่ตั้งคำถาม จะทำให้เด็กไม่สามารถมองโลกด้วยความเข้าใจจากมุมอื่น ยกตัวอย่าง สุภาษิต อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ บอกว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นักเรียนตีความว่าอย่างไร คิดว่าจริงเสมอไปไหม หรือในบางสังคม ความพยายามของเราไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้สำเร็จ ยังมีเรื่องของอำนาจ วัฒนธรรม และการเมืองด้วย

“การอภิปรายเป็นการชวนให้เด็กคิด มองความเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นเราก็จะไปไม่พ้นเรื่องในระดับปัจเจกว่าต้องพยายามนะ แต่ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้เพราะไม่ได้มองรอบด้าน ทั้งที่ปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ให้คำอธิบายได้หลากหลายมาก ขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังมองผ่านชุดคุณค่าไหน การวิพากษ์ร่วมกันทำให้เด็กเห็นความคิดที่หลากหลาย ที่ไม่ได้มาจากชุดคุณค่าเดียว

“ตัวอย่างเรื่องการทำแท้ง ชุดคุณค่าเรื่องศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม เห็นคล้ายๆ กัน คือ ไม่ให้ฆ่าชีวิต แต่ถ้ามองผ่านชุดคุณค่าเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังท้องและกำลังตัดสินใจว่าจะเอาลูกไว้หรือไม่เอาลูกไว้ มีสิทธิในร่างกายของตัวไหม ความเท่าเทียมระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายในกรณีนี้เป็นแบบไหน หรือความเชื่อเรื่องการเป็นบัณเฑาะก์ในพระพุทธศาสนาที่หมายถึงกะเทยหรือการรักร่วมเพศกับสภาพสังคมปัจจุบัน เป็นเรื่องที่ควรนำมาถกเถียงอย่างเปิดเผยได้บนฐานคิดที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่เป็นบาปหรือไม่บาป”

ค่าเริ่มต้น by default

เด็กรุ่นใหม่มักถูกตั้งคำถามถึงการแสดงออกที่หลายครั้งไม่เข้าตาผู้ใหญ่ – เปิดเผย มั่นใจ รุนแรง หรือต่อต้าน (จนเกินไป) เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ให้ใส่ไว้ในวงเล็บ 

อย่างไรก็ตาม ครูแนนบอกว่า หากมองให้เป็นเรื่องปกติ พฤติกรรมที่แตกต่างกันของผู้คนแต่ละยุคเป็นเรื่องธรรมดาที่เป็นธรรมชาติ เพราะมนุษย์ต่างก็มีค่าเริ่มต้นหรือค่ามาตรฐานในการเป็นเสรีชน ไม่ว่าจะเกิดอยู่ในยุคใดสมัยใด หรือจะถูกนิยามว่าเป็นคนเจเนอเรชันไหน   

“ผู้ใหญ่เขารู้สึกว่ามันเกินไป เพราะความเป็นจารีตนิยมที่เขาคุ้นเคยกำลังถูกท้าทาย ความเชื่อที่ว่าโลกมีศีลธรรม ความดีงามที่เป็นความจริง เป็นกฎธรรมชาติ ถูกกำหนดมาแล้วและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ กำลังถูกตั้งคำถามโดยเด็กรุ่นใหม่ๆ เขาเลยรู้สึกไม่มั่นคง และลึกๆ แล้วมันคือความกลัว

“จริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน ในยุคไหนของโลก มนุษย์ย่อมแสวงหาอิสรภาพเสมอ เพียงแค่ว่าโลกในตอนนั้นอนุญาตให้คุณแค่ไหน ถ้าคุณเกิดในยุคโรมัน ค่า by default ในความเป็นเสรีชนของคุณถูกกดไว้มากน้อยตามสถานภาพ ถ้าคุณโตในยุคนั้นคุณก็เป็นวัยรุ่นที่ได้รับอนุญาตโดยระเบียบโลกให้เป็นเสรีชนได้ในความหมายของยุคนั้น แต่คุณก็จะไม่หยุดหรอก คุณจะแสวงหาทางเลือกที่ดีกว่าที่เป็นอยู่เสมอ ประวัติศาสตร์ก็มีให้เห็น มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการหลุดพ้นจากการถูกกดขี่ครอบงำ

“ส่วนในยุคนี้ที่เรามีเวลากันมากขึ้น แต่ละครอบครัวมีกันไม่กี่คน ไม่เหมือนยุคพ่อแม่ที่ต้องทำงานหนักเพราะตายายมีลูก 8 คน ถ้าเกิดในสังคมที่เป็นประชาธิปไตย มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีรัฐสวัสดิการ คุณก็จะมีเวลา มีทรัพยากร มีพื้นที่ให้สร้างสรรค์ 

“ค่าเริ่มต้นในความต้องการอิสระของเราทำงานได้มากขึ้น ตอนเราเป็นเด็กยังไม่มีอินเทอร์เน็ตแพร่หลายเหมือนเด็กยุคนี้ เรามีแค่หนังสือ มีโรงเรียน มีพ่อแม่ ปู่ย่าตายายข้างบ้าน เราเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน พื้นที่และวิธีการแสดงออกทางความคิดของเราเกี่ยวข้องโดยตรงกับความสัมพันธ์ที่เรามีกับคนอื่น การแสดงออกของเราในตอนนั้นก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง มีความประนีประนอมมากกว่า ความกลัวก็มากกว่าด้วย

“แต่พอมาเป็นเด็กยุคนี้ค่า by default ทำงานได้มากขึ้นไปอีก เขาเข้าถึงความรู้ได้ง่ายขึ้น สร้างหรือเลือกชุมชนของเขาเองได้ พื้นที่ในการแสดงออกทางความคิดไร้พรมแดน หลายครั้งเขาเป็นคนสร้าง content เองเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น เราก็จะเห็นเขาแสดงออกในสิ่งที่คิด ที่เชื่อ และตั้งคำถามมากกว่าแต่ก่อน”

นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมวิชาพุทธศาสนาจึงควรเป็นมากกว่าแค่การท่องจำประวัติของพระพุทธเจ้า หรือยกเอาศีลธรรมชุดไหนให้เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ นักเรียนควรได้ศึกษาพระพุทธศาสนาในฐานะหนึ่งในศาสนาแห่งการพัฒนาการเรียนรู้ เพื่อให้สามารถคิด วิเคราะห์ มีเหตุผล มีสติ โดยเฉพาะในสังคมที่ผู้คน มีโอกาสกำหนดถูกผิดด้วยด้วยเองได้น้อยลงเรื่อยๆ

“ธรรมชาติของมนุษย์เมื่อมีอะไรเข้ามาทำให้สะเทือนใจ ความรู้สึกจะทำงานก่อน ไม่เป็นไรที่ความรู้สึกจะทำงานก่อน โกรธก็คือโกรธ เศร้าก็คือเศร้า เพราะโดยธรรมชาติสมองจะส่งการให้ส่วนความรู้สึกทำงานก่อนอยู่แล้ว ก็ปล่อยให้ทำงานไป เมื่อเบาลงเราค่อยมาขยับเชิงเหตุผลก็ได้ มาดูว่าพอเรามีสติขึ้นเราเห็นมันในมุมไหนบ้าง อย่าเพิ่งตัดสินใจตอนที่เรากำลังรู้สึก แต่ให้ตัดสินใจตอนที่เราใช้เหตุผลอย่างเท่าทันกับมันแล้วดีกว่ามั้ย”

จริงแท้ (Authenticity)

เราให้ครูแนนเลือกบัตรคำที่อธิบายถึงความเป็นตัวเองขึ้นมา 1 ใบ จากบัตรคำทั้งหมด 24 ใบ “จริงแท้” เป็นคำที่ครูแนนเลือก

“ถ้าเด็กทำอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนั้นแน่เลย อย่าให้เด็กทำอย่างนั้นเพราะเด็กจะเป็นอย่างนี้ ที่ห้ามไม่ได้อะไรนะแต่เพราะไม่อยากให้เป็นแบบนี้”

อย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ทำแบบนี้ แล้วจะเป็นแบบนั้น เป็นอุปทานและจิตนาการในความคิดของผู้ใหญ่ที่มักกระทบเส้นทางการเติบโตของเด็ก แต่ก็เข้าใจได้ว่าหลายครั้งคำพูดที่พรั่งพรูออกมาเหล่านี้เกิดขึ้นจากความห่วงใย (เกินเหตุ)

“เราไม่ชอบคนที่ตัดสินเก่ง รู้ดีเก่ง หรือใช้ความเป็นห่วงในฐานะผู้ใหญ่มาขโมยประสบการณ์ของเด็ก เรารู้สึกว่าทุกครั้งที่ห้ามเด็กไม่ให้ทำอะไรสักอย่าง ด้วยเหตุผลของความเป็นห่วงเป็นหลัก มันขโมยประสบการณ์การเป็นมนุษย์ของเขา

“การหลงรักหัวปักหัวปำ การอกหักร้องไห้ แว้นมอเตอไซค์ท่อดัง สอบตกติดศูนย์ เด็กควรได้เรียนรู้แล้วผ่านไปให้ได้เพื่อทำให้เขาโตขึ้น ความเป็นห่วงมากเกินไป ทำให้การแสดงออกของเราเหมือนรู้ดีเกินแล้วกลายเป็นเราไปตัดสินเขา”

‘การรู้สึกตัว’ ‘การรู้ตัวเอง’ ในแบบที่ตนเองเป็น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่กระบวนการเรียนรู้ควรพาเด็กไปให้ถึง เพื่อให้เข้าใจ ‘ความจริงแท้’ ของตนเอง รู้เป้าหมาย ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ จะไปไหน แล้วหาวิธีการว่าจะไปได้อย่างไร

“เราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วการสอนที่ถูกคืออะไร การสอนที่ดีที่สุดคืออะไร แต่เรารู้ว่าเราเชื่อในอะไร รู้ว่าตัวเองกำลังคิดและทำอะไร มันจะทำให้โลกดีขึ้นอย่างที่คิดได้จริงหรือเปล่า เราไม่มีทางรู้อนาคต เลยไม่แน่ใจกับมัน  แต่เรารู้ว่าความเป็นตัวเองในตอนนี้มาจากความจริงแท้ข้างในของเรา เท่าที่เราเห็น เท่าที่เราเป็น และเท่าที่เราเรียนรู้อยู่ 

“เราเชื่อว่าถ้าเด็กได้เห็นตัวเองชัดๆ เห็นโลกชัดๆ มีความจริงแท้ของตัวเองจริงๆ เด็กจะสามารถออกแบบโลกในแบบที่พวกเขาอยากเห็นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเหมือนเรา แค่เขาต้องเห็นให้ชัดก่อน ต้องมีโอกาสได้ตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบ ต้องขยับออกจากกรงที่ขังอยู่ให้ได้ก่อน หรืออย่างน้อยได้รู้ตัวว่ามีกรงหรือข้อจำกัดบางอย่างขังพวกเขาอยู่ ถ้าเรายอมรับตัวเองได้เราก็จะยอมรับคนอื่นได้ง่ายขึ้น เห็นโลกชัดขึ้น เราก็จะรู้ว่าจะไปต่ออย่างไร”

เมื่อถามครูแนนว่า หากไม่เป็นครู มองไปที่ความจริงแท้ของตัวเอง ครูแนนมองเห็นตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ครูแนน บอกว่า

“อยากเปิดห้องสมุดที่เป็นบาร์ตอนกลางคืนและเป็นร้านนมตอนกลางวัน เพราะชอบคอมมูนิตี้ที่คนได้เข้ามาเป็นตัวของตัวเองตรงนั้น เป็นพื้นที่ทางปัญญา ในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่ของปัจเจกด้วย ธรรมชาติของร้านนมก็เป็นพื้นที่แบบหนึ่ง ร้านเหล้าก็เป็นพื้นที่อีกแบบหนึ่ง เราชอบบทสนทนาทั้งจากในร้านนมและจากในร้านเหล้า แล้วเราก็ชอบอยู่นิ่งๆ เงียบๆ คนเดียวในห้องหนังสือ

“แต่สำหรับหน้าที่ครูตอนนี้ เราอยากทำงานให้คมขึ้น อยากชวนให้เด็กวิพากษ์ให้หนักขึ้น ทำงานกับข้อมูลให้เป็น เรารู้ว่าการสอนเป็นเรื่องของประสบการณ์และชั่วโมงบินด้วย กับการที่เราจะค่อยๆ พาตัวเองไปคุ้นเคยกับการออกแบบการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ให้มากกว่านี้ ตอนนี้เรายังมีชั่วโมงบินต่ำ ต้องค่อยๆ ลองค่อยๆ หมุนกันไป”

ล้อมกรอบ
คำสอนของพระพุทธเจ้า หลักกาลามสูตร 10 พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ 10 ประการนี้
1.มา อนุสฺสวเนน : อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
2.มา ปรมฺปราย : อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
3.มา อิติกิราย : อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
4.มา ปิฏกสมฺปทาเนน : อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
5.มา ตกฺกเหตุ : อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
6.มา นยเหตุ : อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
7.มา อาการปริวิตกฺเกน : อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
8.มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา : อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
9.มา ภพฺพรูปตา : อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
10.มา สมโณ โน ครูติ : อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา

Tags:

โรงเรียนเทคนิคการสอนปาริชาต ชัยวงษ์unique teacher

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Unique Teacher
    ห้องแนะแนวที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า อารมณ์ น้ำตา และคนรับฟัง ของครูต้น-เบญจวรรณ บุญคลี่

    เรื่อง The Potential ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Social Issues
    เปิดเทอมใหม่ อย่าเพิ่งสอนวิชาการ เยียวยาเด็กและเพื่อนครูด้วยกันก่อน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Creative learning
    สุข สนุก และได้เลือกเรียนเอง เด็กๆ บ้านควนเก จึงอยากมาโรงเรียนทุกวัน

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    เปิดห้อง MAKERSPACE โรงเรียนบ้านปลาดาว: แค่นั่งมองต้นไม้เฉยๆ ก็รู้ว่าเรียนรู้จากมันได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

จากแอร์โฮสเตสสู่ผู้ปกครองอาสาโรงเรียนเพลินพัฒนา: การเรียนรู้ใหม่อีกครั้งของแม่บี๋ สิติมา
Everyone can be an Educator
8 June 2020

จากแอร์โฮสเตสสู่ผู้ปกครองอาสาโรงเรียนเพลินพัฒนา: การเรียนรู้ใหม่อีกครั้งของแม่บี๋ สิติมา

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • จากคนนอกสู่คนใน จากแอร์โฮสเตสสู่นักการศึกษาในฐานะผู้ปกครองอาสาโรงเรียนเพลินพัฒนา เรื่องของแม่บี๋ สิติมา มุรธาทิพย์ ยืนยันกับเราว่า ใครๆ ก็เป็น ‘นักจัดการเรียนรู้’ ได้
  • ความฝันของสิติมามีคำว่า ‘การศึกษาปฐมวัย’ ตั้งแต่มีคำนำหน้าว่าเด็กหญิง เพียงแต่คนรอบข้างเห็นศักยภาพของเธอว่าควรไปทิศทางอื่น น่ากลัวว่า… เธอดันทำมันได้ดี เพียงแต่การมีลูกทำให้เธอต้องกลับมาเกี่ยวข้องกับประเด็นการศึกษา และนี่เป็นจุดที่ทำให้เธอพบทางเดินใหม่
  • การเปลี่ยนอาชีพที่เคยทำมาเป็นเวลา 25 ปี กระโดดสู่พรมแดนการเรียนรู้ใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เธอ …ทำได้

แม้แสงแดดยามเช้าวันพฤหัสบดีจะทำให้รู้สึกร้อน แต่สายลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านรอบตัว เปลี่ยนอากาศอบอ้าวค่อยให้สบายตัวขึ้น ยังมีสีเขียวและร่มเงาของต้นไม้ที่โอบล้อมโรงเรียนเพลินพัฒนา ทำให้ไอร้อนทำอะไรเราไม่ได้มากนัก ที่นี่สถานที่นัดพบระหว่างเรากับ แม่บี๋ หรือ สิติมา มุรธาทิพย์ ผู้ปกครองอาสาและประธานสภาผู้ปกครองโรงเรียนเพลินพัฒนา จุดเริ่มต้นของบทสนทนาครั้งนี้มาจากการที่เราอยากรู้ว่า ทำไมเธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพ จากแอร์โฮสเตสสู่การเป็นผู้ปกครองอาสา ทำงานด้านการศึกษาเต็มตัว 

รอยยิ้มหวานเป็นสิ่งแรกที่ได้รับจากการพบหน้ากันครั้งแรกนี้ เธอเชิญชวนเราเข้าไปข้างในโรงเรียนเพื่อหาที่นั่งคุยกัน ระหว่างทางเดิน เราเห็นครูเดินเข้ามาทักทายแม่บี๋อย่างไม่ขาดสายสลับกับการรับโทรศัพท์ที่ดังเข้ามาเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกว่า เป็นผู้ปกครองอาสานี่ก็ไม่ได้ง่ายและว่างเลย 

แม่บี๋เล่าให้เราฟังว่า นอกจากงานผู้ปกครองอาสาที่ทำ เธอยังได้รับงานตำแหน่งใหม่เป็นประธานสภาผู้ปกครองโรงเรียนเพลินพัฒนา หน้าที่ของเธอเป็นคนคอยประสานสร้างความเข้าใจระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน

โต๊ะไม้สีน้ำตาลซึ่งตั้งอยู่หน้าห้องกระจกเล็กๆ เป็นที่ๆ แม่บี๋บอกกับเราว่าเหมาะแก่การพูดคุย ซึ่งเราเห็นด้วยถึงแม้ว่ามันจะตั้งอยู่ข้างนอกท่ามกลางแดดยามเช้า แต่อากาศที่เย็นสบาย พร้อมๆ กับเสียงนกร้องช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการพูดคุย เมื่อนั่งที่เรียบร้อยแล้ว เราจึงไม่รอช้าที่จะเริ่มบทสนทนากับแม่บี๋ 

เธอเล่าก่อนว่า กว่าจะได้มีโอกาสมาทำตามความฝันในวันนี้ เธอทำตามคำแนะนำของคนอื่นต่อการตัดสินใจเรื่องอาชีพอยู่หลายครั้ง ครั้งเมื่อต้องเลือกสายการเรียนช่วงมัธยมปลาย แม้ใจอยากเรียนสายศิลป์ เพราะติดใจชื่อ ‘คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย’ ตั้งแต่ม.3 ครูแนะแนวนำสมุดที่ระบุว่ามหาวิทยาลัยเปิดสอนคณะไหนบ้างมาดู ครูประเมินจากคะแนนและศักยภาพที่โดดเด่นในการเรียนของเธอและแนะว่า สิติมาควรเรียนสายวิทย์-คณิต ไปก่อน เรียนกว้างๆ ไปก่อนแล้วจะเบนเข็มไปเลือกคณะสายศิลป์ก็ยังไม่สาย 

อีกครั้งคือช่วงเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ใจของสิติมาบอกให้เธอเลือกคณะในฝันของตัวเอง คือ คณะครุศาสตร์ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ครูของสิติมาแนะนำว่า ‘คะแนนของเธอเยอะนะ ถ้าอยากเข้าสายศิลป์ เรียนนิติศาสตร์ดีมั้ย’ แม้ไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบหรือไม่ แต่สุดท้ายเธอเลือกเชื่อความเห็นของคนที่เธอเคารพ 

เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงการทำงาน แม่บี๋ที่รู้สึกสนุกกับสายงานกฎหมาย แต่คนที่ทำงานที่เธอเคยไปฝึกงานด้วยกลับบอกว่า ‘ลุคแบบเธอไม่เหมาะกับงานสายนี้’ เมื่อเพื่อนแม่บี๋ชวนไปสมัครเป็นแอร์โฮสเตส แม่บี๋ก็ตัดสินใจไป พอสอบติดเธอก็เลยเลือกทำงานเป็นแอร์โฮสเตส

แม้สิ่งที่คนอื่นเลือกให้ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี สิติมาบอกว่าประสบการณ์ในช่วงวัยนั้นก็ทำให้มีความสุขเหมือนกัน เพียงแต่ไม่แน่ใจว่ามันเป็นความสุขในแบบที่เธอต้องการรึเปล่า  

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นช่วงที่แม่บี๋มีลูก เป็นตอนที่เธอกำลังหาโรงเรียนให้กับลูกวัยขวบครึ่ง โจทย์ของเธอคือขอโรงเรียนที่ไม่เหมือนกับที่ตัวเองเคยเจอมา แม่บี๋ก็ไปเจอกับโรงเรียนเพลินพัฒนา แค่ประโยคแรกที่ปรากฎบนเว็บไซต์โรงเรียนก็เรียกความสนใจจากแม่บี๋ ‘อยากรับสมัครครูที่มีใจอยากสร้างคนพันธ์ุใหม่ให้ประเทศ’ ทำให้แม่บี๋ตัดสินใจส่งลูกเข้าเรียนที่นี่ทันที

ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือเพราะโชคชะตา โรงเรียนมีนโยบายประกาศรับสมัคร ‘ผู้ปกครองอาสา’ เพื่อมาช่วยงานครูประจำชั้น เมื่อได้เห็นประกาศนี้ความรู้สึกเก่าๆ ของแม่บี๋ก็กลับมาอีกครั้ง โอกาสที่จะได้ทำงานอยู่กับเด็กๆ ตามความฝัน แม่บี๋ตัดสินใจถอดปีกนางฟ้า ลาออกจากอาชีพแอร์โฮสเตสที่ทำมากว่า 25 ปี แล้วเดินเข้าไปโรงเรียนเพื่อเริ่มต้นอาชีพใหม่ในฐานะ ‘ผู้ปกครองอาสา’ อาชีพที่อนุญาตให้เธออยู่กับเด็กๆ ดังความฝันตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงสิติมา 

“นี่แหละคือชีวิตเรา นี่แหละคือสิ่งที่เราตามหา สิ่งที่เรารอคอย” เป็นความรู้สึกของแม่บี๋ที่ได้จากการทำตามความฝันของตัวเอง

‘ไม่มีคำว่าสายสำหรับทำตามความฝัน’ คือสิ่งที่ได้จากการฟังเรื่องราวของแม่บี๋ อาจต้องอาศัยสิ่งที่ทำยากอยู่สักหน่อย คือ ‘ความกล้า’ แต่แม่บี๋ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อไรที่เรามีความกล้า กล้าที่จะฟังและทำตามเสียงใจตัวเอง เราจะพบผลลัพธ์ที่รออยู่ นั่นคือความสุข 

ไม่ใช่แค่ได้ทำตามความฝัน แต่การเปลี่ยนอาชีพกลายเป็นคนทำงานด้านการศึกษาในวัย 40 ปี นี่คือจุดที่เราอยากชวนเธอคุย – ใครๆ ก็เป็นนักจัดการเรียนรู้ได้ จากคนนอกสู่คนใน เปลี่ยนอาชีพเป็นนักจัดการศึกษาเต็มตัว 

จุดเริ่มต้นอาชีพใหม่ของแม่บี๋มาจากการหาโรงเรียนให้ลูก ทำให้เกิดความสงสัยว่าทำไมแม่บี๋จึงอยากให้ลูกเข้าเรียนที่นี่

ต้องย้อนกลับไปช่วงที่เราหาโรงเรียนให้ลูก เราไม่อยากให้ลูกเจอสภาพแวดล้อมแบบเดิมๆ เหมือนที่เราเคยเจอ แล้วมาเจอโรงเรียนเพลินพัฒนาซึ่งอยู่แถวบ้านเราพอดี ก็สนใจลองเปิดเว็บไซต์โรงเรียนดู เห็นข้อความประกาศรับสมัครครู เขาบอกว่า อยากรับสมัครครูที่มีใจอยากสร้างคนพันธ์ุใหม่ให้ประเทศ เราก็แบบ ‘คนพันธ์ุใหม่เป็นยังไงนะ’ ยิ่งได้ไปดูคลิปสัมภาษณ์ครูปาด ศีลวัต ศุษิลวรณ์ รองผู้อำนวยการโรงเรียนเพลินพัฒนา ยิ่งรู้สึกว่า ‘ที่นี่แหละที่เราอยากให้ลูกอยู่ อยากให้ลูกเรียน’

แต่ต้องเล่าว่า ลูกเราสอบเข้าโรงเรียนครั้งแรกไม่ได้นะ (หัวเราะ) คือ เขาจะมีการทดสอบเด็กด้วยการให้ขวดเล็กๆ ข้างในใส่ลูกเกดไว้ โจทย์คือให้เด็กเอาลูกเกดออกจากขวด ถ้าเด็กทั่วไปเขาจะยกขวดแล้วเท ส่วนลูกดิฉันนะ พยายามเอานิ้วแหย่ในปากขวดแล้วพยายามดึงขึ้นมา (หัวเราะ) ซึ่งมันก็ไม่ได้อยู่แล้วเลยไม่ผ่าน อีกเรื่องที่ทำให้ไม่ผ่านก็คือ พ่อแม่นี่แหละ ตอนนั้นเราเลี้ยงลูกประคบประหงมมาก ไม่ปล่อยให้คลาดสายตาเลย อาจจะเพราะพื้นฐานเราเคยเสียลูกคนแรกมาก่อน แต่เราก็ไม่คิดนะว่ามันจะมีผลขนาดนี้

ตอนท้องลูกคนนี้เคยไปเข้าคอร์สของแม่ชี ศันสนีย์ ท่านชวนเราคุยพร้อมกับจับท้องเราแล้วบอกว่า ‘คนนั้นก็คือคนนั้น เขาจบไปแล้ว เราอย่าทำให้คนนั้นมามีผลกับคนนี้’ แต่ก็จำได้แค่อาทิตย์เดียว (หัวเราะ) จนครั้งนี้ครูมาบอกเรา ทำให้เราคิดว่าต้องเปลี่ยนแล้วนะ ถ้าเราอยากอยู่ที่นี่ ตัดสินพาลูกไปลงเรียนแบบ playground ให้เขาได้มีโอกาสทำกิจกรรมต่างๆ เจอกับเพื่อนคนอื่นๆ พอครูเรียกกลับไปสอนใหม่ก็สอบเข้าได้

พอลูกได้เข้ามาเรียนที่นี่ บรรยากาศการเรียนตอบโจทย์ความต้องการของแม่บี๋ไหม

ที่นี่เขาไม่ได้เน้นสอนให้เด็กรู้วิชาการ แต่สอนให้เด็กอยากที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต แทบทุกบทเรียนจะส่งเสริมให้เด็กอยากเรียนรู้ อยากออกไปค้นคว้า ครูมีหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจ ส่วนพ่อแม่ก็สานต่อแรงบันดาลใจนั้น

ยกตัวอย่างช่วงปิดเทอม คุณครูให้การบ้านเรื่องต้นไม้มหัศจรรย์ เขาจะเอาตัวอย่างต้นไม้ประเทศต่างๆ มาให้ดู หลังจากนั้นให้เด็กไปเลือกต้นไม้มหัศจรรย์ที่ตัวเองชอบมาแล้วหาข้อมูล จากนั้นให้ทำชิ้นงานอะไรก็ได้มาส่งตอนเปิดเทอม ถ้าพ่อแม่ที่เข้าใจว่าโรงเรียนทำเพื่ออะไร โปรแกรมเที่ยวตอนปิดเทอมอาจจะพาไปลูกไปเที่ยวตามธรรมชาติ ดูต้นไม้ เป็นต้น สุดท้ายยังได้เที่ยวกับลูก เพิ่มเติมช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของเขา

จุดเริ่มต้นที่ทำให้แม่บี๋เปลี่ยนจาก ‘แม่ที่มีลูกเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้’ กลายมาเป็น ‘ผู้ปกครองอาสาของโรงเรียน’ เริ่มมาจากอะไร

ช่วงแรกๆ มีเด็กเข้าเรียนเยอะมาก (ลากเสียง) แล้วกำลังครูไม่พอ แม้ตอนนั้นเรายังทำงานเป็นแอร์โฮสเตสอยู่แต่ครูก็ชวนเราเพราะเห็นว่าเราน่าจะทำได้ เราก็เลยไปลอง เงื่อนไขมันดีด้วย คือให้ดูแลแค่ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ แต่ความที่ห้องที่เราไปดูแล ครูประจำชั้นมีความจำเป็นต้องย้ายไปทำหน้าที่อื่น ประกอบกับมีผู้ปกครองที่เป็นเพื่อนกับเราตั้งแต่ ป.1 ลูกของเขาก็เรียนห้องนี้ เขาก็ไว้ใจอยากให้เรามาช่วยอยู่ประจำ พอครูชวนว่ามาอยู่แบบประจำดูแลห้องนี้เลยได้ไหม เราก็ตอบตกลงทันที

การต้องทิ้งงานที่ทำมากว่า 25 ปีอย่างแอร์โฮสเตส เพื่อมาเริ่มต้นทำงานใหม่เป็นผู้ปกครองอาสาแม่บี๋ตัดสินใจยากไหม 

ไม่นานเลย เพราะเราเป็นคนอยากอยู่กับลูกและอยากลองทำงานแบบนี้อยู่แล้ว พอดีกับช่วงนั้น ที่ทำงานเรามีนโยบาย leave without pay (การหยุดงานโดยไม่รับเงินเดือน) เป็นเวลา 2 ปีพอดี เราก็ตัดสินใจยื่นขอหยุดงานโดยไม่รับเงินเดือนด้วยเลย แต่ในระหว่าง 2 ปีนั้นเราก็ไม่ได้หยุดทำงานซะทีเดียวนะ มีสลับกลับไปบินบ้าง

ครั้งหนึ่งเราไปบิน กลับถึงบ้าน 5 ทุ่มแล้วต้องตื่นตีห้าครึ่งเพื่อมาทำงานที่โรงเรียนต่อ วันนั้นทั้งวันเรานั่งเลี้ยงเด็กในห้องโดยไม่มีอารมณ์หงุดหงิด ไม่ง่วง มีแต่ความสุขที่ได้อยู่กับเด็กทั้งวัน มันทำให้เรารู้สึกว่า ‘เออ นี่แหละคือชีวิตเรา คือสิ่งที่เราตามหา สิ่งที่เรารอคอย’ เลยเป็นเหตุผลที่ตัดสินใจลาออกเลย

ต้องมาเริ่มต้นทำอาชีพใหม่ ซึ่งเป็นอาชีพที่ไม่เคยทำมาก่อน แม่บี๋มีการเตรียมตัวยังไงบ้าง

เรารู้สึกว่างานมันไม่ได้ยาก เหมือนกับเราไปเลี้ยงลูกตัวเอง งานของเราคือการเป็นผู้ช่วยครู ซึ่งครูเขาจะดูแลเรื่องการสอนนักเรียนอยู่แล้ว หน้าที่ของเราคือดูแลเด็กๆ อาบน้ำ ป้อนข้าว เล่นกับเขา 

ปกติแล้วแม่บี๋เป็นแม่ ดูแลลูกตัวเอง แต่เมื่อมาเป็นผู้ปกครองอาสาที่ต้องดูแลลูกคนอื่น บทบาทนี้จุดประกายอะไรในตัวแม่บี๋รึเปล่า

เราเริ่มสนใจหาความรู้มากขึ้น เริ่มต้นจากการลงคอร์สเรียนเกี่ยวกับเด็กเล็ก ซึ่งโรงเรียนนี้เขาจะคอยเปิดคอร์สสอนตลอดอยู่แล้ว คือสอนทั้งผู้ปกครองและสอนครู คอร์สแรกที่เราเรียนเป็นคอร์ส ‘สกัดจุด…ลูกจอมเฮี้ยว’ ของครูพบ – เกียรติยง ประวีณวรกุล เนื้อหาเกี่ยวกับ เลี้ยงลูกยังไง คนเลี้ยงจึงไม่โวยวาย (หัวเราะ) หมายถึงว่า ทำยังไงไม่ให้คนเลี้ยงโวยวาย ลูกก็จะได้สงบ มีความสุขกันทั้งคนเลี้ยงและคนถูกเลี้ยง คอร์สนี้ให้ประโยชน์กับเรามากๆ มาจนถึงทุกวันนี้ จากนั้นมาเราก็ค่อยๆ ลงเรียน ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ พอเรียนไปได้ระยะหนึ่ง ครูในโรงเรียนก็ชวนเราไปเรียนคอร์สที่เป็นของครูเลย

ตอนนั้นมีคนถามเหมือนกันนะว่าทำไมไม่ไปเรียนปริญญาโท เรียนครุศาสตร์ปฐมวัยให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย แต่เรารู้สึกว่าตรงนั้นไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของเรา ไปเรียนทฤษฎีแต่ต้องทิ้งภาคปฎิบัติ เรารู้สึกว่าการได้มาเจอของจริงในห้องมันทำให้เรารู้สึกแบบ… ‘เฮ้ย เราเจอปัญหาแบบนี้ เราจะแก้ยังไง’ จากนั้นค่อยไปหาความรู้จากผู้รู้ ลงเรียนคอร์สอบรม หรือหาความรู้จากอินเทอร์เน็ตเอาได้

พอได้มาศึกษาเรื่องเหล่านี้ คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปมั้ย 

เปลี่ยนมาก ทำให้รู้เลยว่าเลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่มันก็ไม่ได้ยากถ้าเราเข้าใจและยอมรับมัน (เสียงหนักแน่น) อย่างหนึ่งที่เราได้จากการไปเรียนเรื่องพวกนี้คือ เขาจะสอนให้เรามองมนุษย์คนหนึ่งในแบบที่เขาเป็น ให้เรามองลูกของเรา มองเด็กคนนี้เนี่ย (ลากเสียง) แบบที่เขาเป็น อย่าพยายามไปเปลี่ยนเขาให้เป็นคนอื่น อย่าพยายามไปเปรียบเทียบว่าคนนี้ทำได้ ลูกเราก็ต้องทำได้สิ

อย่างลูกเราเองเขาก็ไม่เหมือนเด็กคนอื่น เขาไม่ใช่เด็กช่างเจ๊าะแจ๊ะแต่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ครูก็จะคอยมาปรึกษาเราเรื่องมนุษยสัมพันธ์ social skill ของลูก ถามว่ากลัวไหมที่ครูบอกเราแบบนั้น ก็กลัวนะ แต่พอได้มาศึกษาเรื่องพวกนี้ ทำให้เรารู้ว่าลูกยังไม่รู้สึกปลอดภัยที่จะไปคุยกับครู ยังไม่รู้สึกปลอดภัยที่จะไปคุยกับเพื่อน เราก็ต้องยอมรับ แต่ลูกไม่ได้ไม่มีความสุขอะ ลูกไม่ได้บอกว่า ‘หนูไม่อยากไปโรงเรียน’ ‘หนูไม่อยากอยู่กับเพื่อน’ ลูกมีความสุขที่ได้อยู่แบบนี้ พอเราได้ไปเรียนถึงเข้าใจจุดนั้น เราต้องรอจนกว่าเขาจะพร้อม

อย่างการเรียนรู้แนว Montessori (แนวการศึกษาที่คิดโดย Maria Montessori เชื่อว่า สภาพแวดล้อมที่ดีเหมาะสมกับการเรียนรู้ จะช่วยพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ในตัวเด็ก) หรือ Waldorf (แนวการศึกษาที่คิดโดย รูดอร์ฟ สไตเนอร์ เชื่อเรื่องการเติบโตในทางมนุษยปรัชญา) ที่เราไปเรียนต่างก็บอกว่า ทุกคนมีศักยภาพ ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง ทุกคนมีอะไรอยู่ในใจ อย่าง Montessori จะบอกเลยว่า พ่อแม่มีหน้าที่จัดสิ่งแวดล้อมให้พร้อมกับจุดที่เด็กคนนั้นเป็น พ่อแม่มีหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ (observer) มองให้ออกว่าลูกต้องการอะไร แล้วจัดสิ่งแวดล้อมให้เขา จากนั้นเขาจะเป็นคนเรียนรู้เอง

ปรับใช้กับลูกยังไงบ้าง 

เราจะคอยสังเกตว่าตอนนี้ลูกกำลังสนใจเรื่องอะไร ซึ่งได้จากโรงเรียนนี่แหละ เขาจะเป็นคนจุดประกายการเรียนรู้เป็นประเด็นๆ ไป ส่วนเรามีหน้าที่สานต่อ เช่น ช่วงหนึ่งลูกเราสนใจเรื่องมะม่วงหาวมะนาวโห่ เขาเดินมาบอกเราว่าอยากรู้เรื่องนี้ เราก็ ‘ไปลูก เดียวแม่พาไปหา’ ขับรถพาลูกไปคุยกับชาวสวน ซื้อต้นไม้กลับมาปลูกที่บ้าน จนทุกวันนี้เขายังจำเรื่องนี้ได้อยู่เลย เขาภูมิใจกับเรื่องนี้มาก เราเลยรู้ว่าถ้าเราจัดสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับความสนใจของเขาปุ๊บ มันส่งผลกับลูกเราทันที

เรารู้ว่าลูกเราเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ก็รู้ว่าการสร้างให้พวกเขามี self-esteem มันไม่ได้เกิดจากที่เราไปบอกว่า ‘หนูเก่งนะ หนูได้รางวัลนู่นรางวัลนี่เยอะเลย’ มันไม่ใช่ มันเกิดจากการที่ตัวเด็กเองรู้สึกได้จากข้างในตัวเขาว่า ‘ฉันทำได้’ ความภูมิใจเกิดขึ้นได้ด้วยตัวมัน ฉะนั้น ถ้าเรารู้ว่าลูกชอบอะไร เราจะสนับสนุนเขา ค่อยๆ แหย่เขาเข้าไป แหย่สิ่งต่างๆ ทีละนิดๆ ให้กับเขาจนเขาทำเรื่องนั้นๆได้ดี

ทั้งการทำงานกับเด็ก หรือแม้แต่การเลี้ยงลูกของตัวเอง เคล็ดลับที่แม่บี๋ใช้ในการทำงานทั้งสองอย่างนี้คืออะไร

ศาสตร์เดียวที่แม่บี๋ใช้ คือ การรับฟัง เราต้องฟังเข้าไปให้เห็นถึงสิ่งที่เด็กเขาจะพูดกับเรา เพราะบางครั้งสิ่งที่เขาพูดอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากบอก แต่ถ้าเราตั้งใจฟังจะรู้เลยว่า การที่เด็กสื่อสารแบบนี้เขาต้องการอะไร ไม่ใช่เด็กพูดมาสามคำแล้วเราตอบไปว่า ‘ทำไมทำแบบนี้’ แปลว่าเราไม่ได้ตั้งใจฟังเสียงเด็ก แต่เรากำลังได้ยินแต่สิ่งที่เราอยากบอกเด็ก ลองวางความเป็นตัวตนของผู้ใหญ่ลง แล้วนั่งลงพร้อมกับตั้งใจฟัง เท่านั้นเลย 

ทั้งบทบาทแม่และผู้ปกครองอาสาที่แม่บี๋เป็น แม่บี๋คิดว่าสองบทบาทนี่มันมีความเหมือนหรือความแตกต่างอย่างไรบ้าง

เหมือนกัน ตรงที่เป้าหมายเราคือเด็ก เราอยู่ในจุดที่สามารถตอบตัวเองได้ว่า ‘ทำไมทำงานเยอะขนาดนี้ถึงไม่เหนื่อยนะ’ เพราะเรามองเป้าหมายเดียวคือเด็กเท่านั้นเลย จริงๆ เราเป็นคนขี้กลัว กลัวสัมพันธภาพระหว่างคนทั่วไป การที่เรากล้าลุกขึ้นมาบอกคนอื่นว่า ‘อันนี้ทำไม่ถูกนะ’ เพราะเรามองเด็กเป็นตัวตั้ง เป็นสิ่งที่เราได้จากรองผู้อำนวยการโรงเรียนเพลินพัฒนา เขาสอนเราว่า การทำงานให้ยึดเด็ก ยึดสิ่งที่ถูกต้องเป็นที่ตั้ง เด็กได้ประโยชน์สูงสุด คือ สิ่งที่เราจะทำ แม้จะขัดกับใครบ้างก็ตาม

การเปลี่ยนผ่านมาทำงานผู้ปกครองอาสา ทำให้แม่บี๋ลุกขึ้นมาศึกษาเรื่องเด็กอย่างจริงจัง เลยอยากรู้ว่านิยามการเรียนรู้ของแม่บี๋คืออะไร

เรารู้เลยว่าการเรียนรู้มันอยู่ได้ทุกที่ ทุกเวลานาที ทุกสถานการณ์ อย่างเมื่อสองวันก่อนมีแมลงเม่าบินรอบตอนเรากำลังนั่งกินข้าวกับลูก เขาชวนเรานั่งดูแมลงเม่า เราก็ใช้เวลานั่งดูด้วยกันไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน พอวันรุ่งขึ้น เล่น facebook เจอคนโพสต์เรื่องแมลงเม่า เราก็เข้าไปอ่านข้อมูล เอามาเล่าให้ลูกฟัง เขาก็ได้เรียนรู้ว่าแมลงเม่ามันเป็นยังไง ทำให้เห็นเลยว่าการเรียนรู้ของเรามันอยู่ในทุกอณูนาทีแค่เราฟัง ใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าใช้ชีวิตให้เร่งเรีบเกินไป ใส่ใจทุกอย่างที่เจอ 

Tags:

โรงเรียนเพลินพัฒนาสิติมา มุรธาทิพย์everyone can be an educator

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Creative learning
    สานเสวนา (Dialogue) เชื่อมโยงบทเรียนภาษาไทยสู่การเรียนรู้เชิงรุก : ครูมิลค์ – นิศาชล พูนวศินมงคล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Everyone can be an Educator
    เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง: สนามความรู้ที่มากกว่าเกมกีฬา พื้นที่แสดงวิชาของ ‘วิศรุต สินพงศพร’

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    Visible Learning : 4 ครูต้นเรื่อง ที่เติมหัวใจแห่งการเรียนรู้ให้เด็กด้วยการตั้งคำถามและหาคำตอบเอง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Everyone can be an Educator
    “ขยะก็เหมือนความสัมพันธ์ ถูกผลักจากตัวเหมือนตัดความสัมพันธ์ทั้งที่เราสร้างมันขึ้นมา” ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an EducatorVoice of New Gen
    ‘วิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์’ ทางออกปัญหาสุขภาพจิตในเด็ก โดยคนวัย 14 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

Toxic Relationship: ทําไมเราถึงทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่บั่นทอนจิตใจได้นานแรมปี
Relationship
7 June 2020

Toxic Relationship: ทําไมเราถึงทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่บั่นทอนจิตใจได้นานแรมปี

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • “ความสัมพันธ์รูปแบบนี้เกิดขึ้นกับประสบการณ์ในอดีตที่คุณเคยเจอรูปแบบความสัมพันธ์แบบนี้มา ถ้าคุณเกิดมามีพ่อแม่ที่ให้ความรักอย่างสมํ่าเสมอ เมื่อโตขึ้น ถ้าคุณเจอความสัมพันธ์ที่มันไม่สมํ่าเสมอ ไม่มั่นคง คุณก็คงรู้สึกว่ามันแปลกและตัดสินใจเดินออกมา เพราะที่ผ่านมาคุณเจอความรักที่มั่นคงตลอด แบบนี้ไม่ใช่ความรักที่ดีที่คุณเคยได้รับจากความอบอุ่นของพ่อแม่ กลับกันถ้าคุณได้รับความรักที่ไม่มั่นคงจากพ่อแม่มาตลอด เวลาเจอความรักที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายในความสัมพันธ์มันก็อาจไม่ได้รู้สึกแปลกเพราะมันก็เป็นสิ่งที่เราเข้าใจผ่านจิตใต้สำนึกแล้วว่า …นี่คือความรักตั้งแต่ยังเด็ก”  
  • “สำหรับใครหลายคนไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอยู่ในความสัมพันธ์ที่บั่นทอน เพราะต้องทนเจ็บปวดกับความรู้สึกที่ไม่มั่นคง ระแวงอยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับบางคนก็เป็นเรื่องที่เขายินยอม เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าการได้อยู่คนเดียวกับอารมณ์เหงา เศร้า โดดเดี่ยว ไม่เป็นที่รักซึ่งมันเจ็บปวดกว่าการถูกกระทำโดยคนรักหลายเท่า ดังนั้นการอยู่ในความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดจึงอาจเป็นอีกทางเลือกและไม่ใช่ทางเลือกสำหรับใครหลายคน”

วันหนึ่งคุณมีโอกาสได้เดทกับผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบมานาน คุณทั้งสองมีคํ่าคืนที่สุดแสนโรแมนติก คืนนั้นผ่านไปรวดเร็ว เช้าวันต่อมา คุณรีบส่งข้อความไปหาเขาเพื่อหวังว่าเราจะได้มีบทสนทนาที่ต่อเนื่องและทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้งเพิ่มเติม แต่เขากลับทําตัวเหมือนไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน และค่อยๆ ถอยห่างออกไป 

เมื่อคุณรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงพยายามส่งข้อความไปหาเขามากขึ้น เพื่อหวังว่าเขาจะตอบกลับมาบ้าง บางทีเขาอาจกำลังยุ่งจึงไม่ได้ตอบหรืออาจมีเหตุผลอื่นที่ทำให้เขาไม่สะดวกตอบกลับในช่วงเวลานั้น แต่เขาก็ไม่สนใจและยังคงเฉยชา เมื่อพยายามถึงจุดหนึ่ง คุณจึงตัดสินใจถอยออกห่างเพราะไม่รู้จะทําอย่างไรต่อไป เข้าใจและยอมรับว่านี่อาจเป็นคำปฏิเสธที่นุ่มนวลกลายๆ ก็ได้ 

แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นเขาก็กลับมาทําดีกับคุณอีก ณ จุดนั้น คุณรู้สึกว่าอารมณ์ที่กำลังโหยหาความรักของคุณได้รับการตอบสนองอีกครั้ง เขาได้เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายคล้ายจิ๊กซอว์ที่ลงตัวพอดี คุณรู้สึกมีความสุข ราวอยู่บนสรวงสวรรค์

แต่แล้ว… เมื่อกลับมาอยู่ในความสัมพันธ์จริงๆ เนื้อเพลงของวง Klear ก็ขึ้นมาในหัว “ตกลงว่า เธอจะเอายังไงกับฉัน ไม่รู้เธอมาแบบไหน เธอจะดีหรือเธอจะร้ายก็ฉันยังไม่เข้าใจ…” 

เดี๋ยวเขาก็ดีกับคุณ เดี๋ยวก็ปฏิบัติกับคุณเหมือนไม่ใช่คนรักจนคุณเดาใจเขาไม่ถูก ความรู้สึกไม่เข้าใจสับสนนี้ทําให้คุณตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะอยู่ในความสัมพันธ์นี้ต่อ หรือจะทําอย่างไรต่อไป 

สถานการณ์นี้อาจะเรียกได้ว่า ความสัมพันธ์ที่เสพติด (Addictive Relationship) 

โดยทีล สวอน (Teal Swan) นักเขียนชาวอเมริกันได้ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ประเภทนี้ โดยประยุกต์มาจากงานทดลองของผู้ชายชื่อ B.F. Skinner และทีม ที่ได้นําหนูมาทดลองในกรง โดยมีสถานการณ์เงื่อนไขว่า ถ้าหนูเหยียบคาน หนูจะได้เม็ดอาหาร ผลลัพธ์ก็เดาไม่ยากเลยคือหนูจะหมกหมุ่นอยู่กับการเหยียบคาน ในการทดลองกลับกัน หนูจะไม่ได้รับอาหารใดๆ ไม่ว่ากดหรือไม่ก็ตาม ปรากฎว่าความสนใจของหนูก็ค่อย ๆ ลดลงตามลําดับ 

สิ่งที่เหมือนกันของการทดลองสองรูปแบบนี้คือ รูปแบบที่สามารถ “คาดเดา” ได้ว่า อาหารจะหล่นลงมาหรือไม่ 

ต่อมานักวิทยาศาสตร์สงสัยว่าถ้าทําให้หนูเดารูปแบบไม่ได้ว่าอาหารจะหล่นตอนไหน เดี๋ยวหล่นบ้างไม่หล่นบ้าง คล้ายเวลาเล่นการพนันที่คาดเดาไม่ได้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร 

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหนูก็คงจะลดความสนใจลงไปเรื่อยๆ แต่ปรากฏว่าหนูยิ่งหมกมุ่นมากกว่าเดิมอีกจนไม่สนใจดูแลตัวเองหรืออย่างอื่นเลย มันกดคานไปเรื่อยๆ เหมือนคนเสพติดและกำลังลงแดง โหยหาอาหารอยู่ตลอดเวลา การทดลองรูปแบบนี้เรียกว่า การเสริมแรงเป็นครั้งคราว (Intermittent Reinforecment) 

จะเห็นได้ชัดว่าการเสริมแรงเป็นครั้งคราวทําให้เกิดการเสพติด ซึ่งจากตัวอย่างคือการมีรูปแบบความสัมพันธ์ที่เราคาดเดาไม่ได้เลยว่า อีกฝ่ายจะปฎิบัติตัวอย่างไรกับเรา จึงทําให้เราสับสน ไม่รู้ว่าต้องทําตัวอย่างไรกับเขา กระทั่งเกิดความกลัวและกังวลอยู่ในใจลึกๆ แต่เมื่อเขากลับมาทําดีกับเรา เราก็รู้สึกโล่งเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ซึ่งเจ้าความรู้สึกท่วมท้นไปด้วยความสุขและโล่งนี้ ต้องระวังการตีความว่า ‘เรารักเขามาก เราจึงมีความสุขขนาดนี้’ เพราะนี่อาจเป็นเพียงแค่ความโล่งอกเพราะอารมณ์โหยหาได้รับการตอบสนองเพียงเท่านั้น เหมือนเรารู้สึกโล่งเวลาได้กินกาแฟแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากาแฟดีเสมอไป 

การตอบสนองอารมณ์ในความสัมพันธ์แบบนี้มักเกี่ยวกับ ‘ความต้องการ’ ลึกๆ ในใจมนุษย์ เช่น ต้องการความแน่นอน ความรัก ความใส่ใจ ความสําคัญ ซึ่งความต้องการเหล่านี้มักเป็นตัวขับเคลื่อนให้เราไปหาคนที่ให้ความรู้สึกแบบนี้ได้ ตามหลักทฤษฎีรางวัลและความต้องการพึงพอใจ (Reward/ Need Satisfaction Theory)

หลังจากที่อ่าน ถ้าคุณพบว่ากำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนกระทําหรือถูกกระทําอย่าง ตั้งใจและไม่ตั้งใจ คุณกําลังอยู่ในรูปแบบความสัมพันธ์ที่จะนําความเจ็บปวดไม่มีสิ้นสุดมาสู่ตัว  

ทีล สวอนกล่าวต่อว่าบางคนอาจมีลักษณะความสัมพันธ์แบบหลีกหนี (Avoidant Attachment) คือ กลัวความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ทําให้เขาจะเสริมแรงอีกฝ่ายเป็นครั้งคราว (ไม่ต่อเนื่อง) กล่าวคือ ถ้าความสัมพันธ์ยังไม่แน่นอนนัก เขาก็อาจให้ความรัก ความห่วงใย แต่ถ้าความสัมพันธ์เริ่มใกล้ชิดมากขึ้น เขาก็จะค่อยๆ ถอยออกโดยไม่รู้ตัวด้วยซํ้าว่าตัวเองกําลังเสริมแรงแบบนั้น 

อีกส่วนคือกลุ่มที่กระทําโดยจงใจอย่างรู้ตัว อาจเป็นการที่ผู้ชายคนหนึ่งสร้างเงื่อนไขว่าจะไม่คุยกับแฟนจนกว่าแฟนจะเลิกตอบแชทช้า ซึ่งปกติเขาอาจเป็นคนที่พูดจาหวานเสนาะหู แต่ก็ทำการหยุดเสริมแรง (การพูดจาหวานๆ) ด้วยการใช้คําพูดรุนแรงที่ตัวเองรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบ ทำไปเพื่อให้อีกคนปรับพฤติกรรม 

จะเห็นได้ว่าจากกรณีตัวอย่าง 2 กรณีข้างต้น พฤติกรรมของการเสริมแรง หรือที่เรียกว่า การให้รางวัลและลงโทษแบบครั้งคราว ทําให้เกิดผลเสียต่อความสัมพันธ์ในระยะยาว 

ระหว่างนี้คุณลองสังเกตดูนะครับว่าความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ของคุณเป็นแบบนี้หรือไม่ ถ้าเป็นแบบนี้… สิ่งที่จะเกิดขึ้นของผู้รับเลยคือ ความรู้สึกไม่มั่นคง (Insecure) ในใจ สับสน ไม่รู้จะทําตัวอย่างไร และสิ่งที่เขาจะทําต่อไปคือการคาดการณ์ว่าเขาควรทําอย่างไรเพื่อให้อีกฝ่ายไม่ทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบหรือรู้สึกไม่มั่นคง 

ถ้าเขารู้ว่าแฟนจะอารมณ์ดีเวลาที่ได้จับเนื้อต้องตัว เขาก็จะพยายามทําแบบนั้นเมื่อเห็นสัญญาณว่าแฟนกําลังจะอารมณ์เสีย ซึ่งผลเสียโดยตรงของคนที่พยายามควบคุม คือ ความรู้สึกไม่มั่นคง กังวลในใจเสมอว่าจะดีกับเราไหม เขาจะชอบเราไหม เขาอาจพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกอย่าง และที่สําคัญคือ …บางครั้งตัวเขาเองอาจไม่ได้รู้สึกอยากทํา เพียงแต่ “ฝืน” ทํา เมื่อทําบ่อยเข้าก็กลายเป็นกดความต้องการและละเลยความรู้สึกของตัวเอง จนกระทั่งสูญเสียความเป็นตัวเอง อะไรก็ขึ้นอยู่แต่กับแฟนไปเสียหมด 

หรือคุณอาจเป็นแฟนที่พยายามควบคุมโดยการทําสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวอย่างด้านบนก็เป็นได้ ซึ่งจะเห็นว่าการควบคุมแบบนี้ เป็นการควบคุมเชิงจิตวิทยาที่ไม่ได้ใช้คำสั่ง แต่เป็นการวางเงื่อนไขทางจิตใจแทน 

แล้วทําไมคุณถึงมีความสัมพันธ์แบบนี้ล่ะ ? 

รูปแบบนี้เกิดขึ้นกับประสบการณ์ในอดีตที่คุณเคยเจอรูปแบบความสัมพันธ์แบบนี้มา ผมชอบการยกตัวอย่างในบทความที่อ้างอิงมาก เขาบอกทํานองว่า ถ้าคุณเกิดมามีพ่อแม่ที่ให้ความรักอย่างสมํ่าเสมอ เมื่อโตขึ้น ถ้าคุณเจอความสัมพันธ์ที่มันไม่สมํ่าเสมอ ไม่มั่นคง คุณก็คงรู้สึกว่ามันแปลกและตัดสินใจเดินออกมา เพราะที่ผ่านมาคุณเจอความรักที่มั่นคงตลอด แบบนี้ไม่ใช่ความรักที่ดีที่คุณเคยได้รับจากความอบอุ่นของพ่อแม่ 

ในทางกลับกันถ้าคุณได้รับความรักที่ไม่มั่นคงจากพ่อแม่มาตลอด เวลาเจอความรักที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายในความสัมพันธ์มันก็อาจไม่ได้รู้สึกแปลกเพราะมันก็เป็นสิ่งที่เราเข้าใจผ่านจิตใต้สำนึกแล้วว่า …นี่คือความรักตั้งแต่ยังเด็ก 

แล้วจะมีความรักที่อบอุ่นได้อย่างไร ? 

คําตอบคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพฤติกรรมข้างต้น หากลักษณะของการเสริมแรงแบบครั้งคราว (Intermittent Reinforcement) คือการคาดเดา เอาแน่เอานอนไม่ได้ สิ่งที่ต้องทําคือ ทําให้แน่นอน ถ้าให้ความรักก็ให้ตลอด ความสัมพันธ์ที่มั่นคงและปลอดภัยเกิดไม่ได้หากปราศจากความต่อเนื่อง เมื่อเราให้ความรักอย่างต่อเนื่องก็จะไม่ต้องมาคอยกังวลหรือสังเกตพฤติกรรม (โดยรู้ตัว หรือไม่รู้ตัว) เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเราจะได้รับความรัก ความกังวลในความสัมพันธ์ก็จะหายไป 

ลองคิดดูว่าถ้าคุณมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงต่อเนื่องแบบนั้น คุณจะมีความสุขแค่ไหน ? 

ทีล สวอนทิ้งท้ายถึงวิธีการสร้างความต่อเนื่องว่า คุณจะต้องตอบสนองความต้องการทางความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง เช่น
การสัมผัส การสื่อสาร การบอกรัก อะไรก็แล้วแต่ที่คุณและคู่รู้สึกว่ามันคือสิ่งสําคัญในความสัมพันธ์ ทํา… แม้บางครั้งอาจรู้สึกไม่อยาก สําคัญคือต้องใจเย็นกับตัวเอง พยายามทําความเข้าใจหาเหตุผลให้ตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไปว่า ทําไมถึงควรทําหรือไม่ควรทํา 

และอีกอย่างคือ คุณจะต้องชัดเจนและไม่ละเลยความรู้สึกตนเอง อย่าพยายามทําอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง อย่ายอมให้คนอื่นมาควบคุมบงการ ฟังความรู้สึกตัวเองให้มากก่อนจะคิดจะพูดจะทําอะไร  

แล้วถ้าสิ่งที่อีกฝ่ายอยากได้มันขัดกับความรู้สึกเราอย่างมาก ควรทําอย่างไร ? 

คุณควรถามตัวเองว่าคุณยอมได้ไหม ถ้ามีประโยชน์ต่อ “ความสัมพันธ์” ทั้งเขาและเราก็ลองพยายามดู แต่ถ้าไม่มีประโยชน์หรือยังทําไม่ได้ก็ให้ลองสื่อสารกันดูว่า “จะทําอย่างไร” 

ถ้าสุดท้ายไม่ไหวจริง ๆ จะออกจากความสัมพันธ์รูปแบบนี้อย่างไร ?

สำหรับใครหลายคนไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอยู่ในความสัมพันธ์ที่บั่นทอน เพราะต้องทนเจ็บปวดกับความรู้สึกที่ไม่มั่นคง ระแวงอยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับบางคนก็เป็นเรื่องที่เขายินยอม เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าการได้อยู่คนเดียวกับอารมณ์เหงา เศร้า โดดเดี่ยว ไม่เป็นที่รักซึ่งมันเจ็บปวดกว่าการถูกกระทำโดยคนรักหลายเท่า ดังนั้นการอยู่ในความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดจึงอาจเป็นอีกทางเลือกและไม่ใช่ทางเลือกสำหรับใครหลายคน

อันที่จริงถ้าจะเรียกความสัมพันธ์ก็คงไม่ถูกนัก เพราะดูเหมือนสิ่งที่ทั้งคู่โหยหาคือความรู้สึกร่วมระหว่างสองคน เช่น  การมีคนมาตอบสนองอารมณ์เหงา โดดเดี่ยว การได้โทรคุยเวลาสองทุ่ม

เมื่อมองลึกไปในระดับบุคคล หลายอย่างก็คล้ายว่า
ไม่ใครก็ใครในความสัมพันธ์นี้เป็นเหมือนวัตถุตอบสนองทางอารมณ์ที่เพียงแค่มีไว้ให้อุ่นใจเท่านั้น

ซึ่งวงจรความสัมพันธ์ที่เสพติดนี้ดูเป็นวงจรที่ไม่มีสิ้นสุด และเป็นวงจรที่ออกไม่ง่ายเพราะเมื่อคนรักได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน อีกฝ่ายจะเข้ามาเป็นตัวตน (Identity) ของเรา จึงไม่แปลกที่คู่รักหลายคู่มักมีพฤติกรรมคล้ายกันหรือถูกทักว่าหน้าเหมือน ยิ้มเหมือน เมื่อจะออกจากความสัมพันธ์นั้นหมายถึงการต้องเสียตัวตนและกิจวัตรบางส่วนไป

จากที่เคยคุยโทรศัพท์ด้วยกันเวลาสองทุ่มก็ไม่มีอีกแล้ว จากที่เคยมีคนแบ่งปันสารทุกข์สุกดิบก็หายไป เหลือไว้เพียงเราคนเดียว

อย่างแรกที่อยากบอกคือ อย่าเข้าใจผิดว่าการเสพติดคือความรัก มีงานวิจัยบอกว่า บริเวณสมองที่ถูกกระตุ้นเวลาอยากโคเคนกับเวลาเห็นคนรักคือจุดเดียวกัน จึงกล่าวได้ว่าความรักก็คล้ายสารเสพติดชนิดหนึ่ง เหมือนคู่รักที่มีพฤติกรรมคาดเดาไม่ได้ ตอบสนองความต้องการไม่ต่อเนื่อง สามวันดีสี่วันร้ายจนทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยอันนำมาซึ่งความรู้สึกระแวงต้องคิดโน่นนี่เสมอ

ในความสัมพันธ์ที่เสริมแรงเป็นครั้งคราว (Intermittent Reinforcement) หรือพูดง่าย ๆ ความสัมพันธ์ที่ให้ความรักบ้างไม่ให้บ้าง เมื่อคุณตัดสินใจออกจากความสัมพันธ์ อีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างที่คุณเคยอยากให้เป็นมาตลอด คุณจะพบว่าเขาอบอุ่น ให้ความรัก ปากหวาน เอาใจใส่ แต่นั่นอาจเป็นเพียงภาพลวงตา เขาจะหยุดทำเมื่อคุณกลับมาอยู่ในความสัมพันธ์ ดังนั้นระวังคนที่คาดเดาอารมณ์ยากให้ดี


อีกอย่าง เมื่อคุณลังเลที่จะออกจากความสัมพันธ์ให้ถามตัวเองให้ดีว่า “นี่ใช่ชีวิตที่คุณต้องการไหม”

ให้มองชีวิตยาว ๆ ว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปอีก 1 ปี 5 ปี 10 ปี คุณจะยอมรับได้ไหม ระหว่างที่คิดให้หยุดนึกถึงคนอื่น ลองเงียบ หลับตา ฟังเสียงความรู้สึกแวบแรกที่โผล่เข้ามา นั่นจะเป็นคำตอบที่จริงใจที่สุดของคุณ



ท้ายสุด ความโหยหาคิดถึงมักมาในช่วงที่เราเจอตัวกระตุ้น (Stimulus) บางอย่าง
ยกตัวอย่าง เวลาเศร้าอีกฝ่ายมักคอยรับฟังอยู่เสมอ ตัวกระตุ้นคือ “ความเศร้า” สิ่งที่มาตอบสนองคือ “อีกฝ่าย” เมื่อเป็นวงจรกระตุ้น-ตอบสนองไปเรื่อย ๆ ก็เกิดเป็นพฤติกรรมที่เคยชินกับการได้รับการตอบสนอง 

วิธีแก้คือ ลองสังเกตดูว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้เราคิดถึงเขา เมื่อเห็นแล้วให้ลองเปลี่ยนการตอบสนองกับตัวกระตุ้นนั้น เช่น เวลาเศร้า ปกติคุยกับแฟนก็ลองเปลี่ยนไปคุยกับเพื่อน เล่นกับน้องหมา หรือปกติเราจะส่งสติ๊กเกอร์ไลน์มอร์นิ่งให้แฟนทุกเช้า เวลาเช้าอาจทำให้คุณคิดถึงแฟน แต่ให้ระลึกไว้ว่า “คุณอาจไม่ได้คิดถึงก็ได้ มันเป็นเพียงแค่ความเคยชิน” แล้วก็ทำสิ่งอื่นเช่น ส่งสติ๊กเกอร์ให้พ่อแม่แทน



ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์นำมาซึ่งนำมาซึ่งความกลัวและอ่อนแอในใจมนุษย์

ดังนั้น การหาใครสักคนมาอยู่เคียงข้างให้เขาช่วยประคองเรานับเป็นเรื่องที่ควรทำ เช่น ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ นักจิตวิทยา เล่าความเศร้าให้คนรอบข้างฟัง 

ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไป เพียงทำวันละเล็กน้อย ค่อยเป็นค่อยไป ลองนึกถึงตอนที่เรารักเขา อยู่ดี ๆ ก็ไม่ได้รักเลยซะหน่อย ความรู้สึกมันก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา

เช่นเดียวกันถ้าจะลดความรู้สึกเหล่านี้ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป


สำคัญที่สุด คุณต้องเมตตากับตัวเองให้มาก ค่อยเป็นค่อยไปกับความรู้สึก อย่าอารมณ์เสียที่ตัวเองยังคิดถึงเขา อนุญาตให้ตัวเองทุกข์และฟังเสียงมันให้ชัด แล้วคุณจะรักตัวเองได้มากขึ้น และเมื่อหลุดจากวงจรนี้ เชื่อว่าคุณจะรู้สึกเหมือนเจอตัวตนที่หล่นหายไปในอดีต-ตัวตนที่สดใส มีความสุข ไม่ต้องพึ่งพาความรู้สึกใคร

ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีครับ 🙂

หมายเหตุ บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เพจ Chuck Chatpong และปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อเผยแพร่ที่ The Potential
หมายเหตุ2 มีการปรับปรุงและเพิ่มอ้างอิงอีกครั้ง วันที่ 10 มิถุนายน 2563
อ้างอิง 
หนังสือ Love Never Fails ไม่มีความรักครั้งไหนที่สูญเปล่า
Intermittent Reinforcement (Why You Can’t Leave The Relationship)
5 Ways to End a Bad Relationship for Good
4 Keys to Leaving a Bad Relationship
Someone You Love: 5 Essential Steps

Tags:

จิตวิทยาความรักrelationship

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Relationship
    Platonic Love: ความรักที่ไม่จำเป็นต้องตกหลุมรัก ไม่ครอบครองและไม่มีวันเลิกรา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • RelationshipHow to enjoy life
    รักดาราแล้วได้อะไร (ตอน 1): ยีนคลั่งคนดัง และต้นแบบในดวงใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.3 การแสดงออกซึ่งความรัก

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

โรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ พลิกคุณภาพโรงเรียนด้วยการสอนคิดและฝึกฝีมือคุณครู
Creative learning
4 June 2020

โรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ พลิกคุณภาพโรงเรียนด้วยการสอนคิดและฝึกฝีมือคุณครู

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนบ้านโนนแสนคำ–หนองศาลาศรีสะอาดมาจากผลประเมินของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) พบว่า โรงเรียนตกมาตรฐานหลายด้าน หนึ่งในนั้น คือ ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน
  • เพื่อหาทางแก้ไข ผอ.สมรักษ์ พรมมาสุข และครูในโรงเรียน ช่วยกันหาวิธีการสอนใหม่ นั่นคือ Open approach และ Lesson study เป็นจุดที่ทำให้พวกเขาค้นพบว่า เด็กแต่ละคนแตกต่าง มีความคิด ความถนัด และศักยภาพที่ไม่เหมือนกัน ไม่มีมาตรฐาน คำตอบ หรือวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่จะวัดความสามารถพวกเขาได้ รูปแบบการสอนแบบเดิมๆ ต้องปรับเปลี่ยนใหม่ โดยมีหลักเพื่อให้เข้ากับเด็กได้ทุกคน นั่นคือ การสนับสนุนให้เด็กได้คิดและแสดงวิธีคิดในแบบของพวกเขาเอง 
  • จากจุดเริ่มต้นที่ต้องการแค่เปลี่ยนวิธีการสอน กลายเป็นเปลี่ยนระบบทั้งโรงเรียน แปลงเกษตร แผนธุรกิจ และธนาคารโรงเรียน ซึ่งเคล็ดลับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ผอ.สมรักษ์บอกว่า เริ่มมาจากสิ่งหนึ่งที่คนเป็นผู้อำนวยการต้องมี นั่นก็คือ ความกล้า

“ไม่มีเด็กคนไหนโง่ มีแต่เด็กที่มีความคิดไม่เหมือนกัน” คือคำตอบของครูฉัตรชัย ดีเลิศ ครูคณิตศาสตร์ประจำโรงเรียนบ้านโนนแสนคำ-หนองศาลาศรีสะอาด

เพราะเด็กแต่ละคนแตกต่าง มีความคิด ความถนัด และศักยภาพที่ไม่เหมือนกัน ไม่มีเครื่องมือมาตรฐานเพียงหนึ่งเดียวที่จะตัดสินความสามารถพวกเขาได้

บุคลากรโรงเรียนบ้านโนนแสนคำ–หนองศาลาศรีสะอาด (ต่อไปจะขอเรียกเพียงโรงเรียนบ้านโนนแสนคำ) โรงเรียนประถมศึกษาขนาดกลาง นักเรียน 274 คน ตั้งอยู่ในอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ พวกเขาเชื่อว่า เด็กแต่ละคนแตกต่าง วิธีการสอนแบบเดิมที่มีคำตอบเพียง ‘ถูกหรือผิด’ ใช้กับเด็กๆ ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนการสอนแบบใหม่เพื่อให้เข้ากับเด็กได้ทุกคน นั่นคือ การสนับสนุนให้เด็กได้คิดและแสดงวิธีคิดในแบบของพวกเขาเอง

ขณะที่รถของเราขับเข้ามาในตัวโรงเรียน หากมองแค่ภายนอก โรงเรียนบ้านโนนแสนคำก็เหมือนกับโรงเรียนทั่วไป มีสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยตึกเรียน แต่ละตึกมีความสูงไม่มากนักประมาณ 2 ชั้น ภายในตึกมีห้องเรียนอยู่ประมาณ 4-5 ห้อง แบ่งเป็นตึกละชั้นเรียน แต่เรารู้ว่ามีสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้อาคารปูนเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ทำให้โรงเรียนบ้านโนนแสนคำแตกต่างจากที่อื่นๆ และนั่นเป็นภารกิจของเราสำหรับการมาโรงเรียนครั้งนี้

เมื่อย่างเท้าก้าวลงจากรถ ภาพแรกที่สะดุดตาคือภาพของนักเรียนที่กำลังเก็บขยะ พวกเขากระจายตัวอยู่ทั่วโรงเรียน บ้างจับกลุ่มเก็บที่สนามฟุตบอล บ้างจับไม้กวาดกวาดพื้นบริเวณทางเดิน มากกว่านั้น ไม่มีเด็กคนไหนสวมชุดนักเรียนแต่สวมชุดไปรเวทแทน  

“ทุกวันศุกร์เราจะให้เด็กๆ แต่งกายอย่างอิสระ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายผู้ปกครอง” คำตอบแรกจากปากสมรักษ์ พรมมาสุข ผู้อำนวยการโรงเรียน นี่เป็นหนึ่งในไอเดียที่ ผอ.สมรักษ์ ได้จากการไปทัวร์สำรวจโรงเรียนต่างๆ เพื่อนำมาปรับใช้ที่โรงเรียน นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับวิธีการเรียนรู้ของที่นี่ คือ ฝึกให้นักเรียนคิดโดยใช้วิธีเรียนแบบเปิด (Open approach) พร้อมกับติดตั้งทักษะผู้ประกอบการให้นักเรียนผ่านการคิดโปรเจกต์ธุรกิจและธนาคารโรงเรียน

เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง ด้วยการฝึกให้เด็กคิดผ่านวิธี Open approach

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนมาจากการประเมินของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เมื่อ พ.ศ. 2550 ผลการประเมินพบว่า โรงเรียนบ้านโนนแสนคำตกมาตรฐานหลายด้าน หนึ่งในนั้น คือ ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน

เพื่อหาทางแก้ ผอ.สมรักษ์ และครูในโรงเรียนพากันเริ่มต้น ‘ทัวร์โรงเรียน’ เดินทางไปสำรวจโรงเรียนต่างๆ ว่าจัดการเรียนการสอนแบบไหนบ้าง เพื่อนำมาปรับใช้ในโรงเรียน แต่ก็ยังไม่เจอวิธีที่จะนำมาปรับใช้กับโรงเรียนของพวกเขาได้ จน ผอ.สมรักษ์ ได้ไปเจอกับกระบวนการสอนของ ผศ.ดร.ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่กล่าวถึงกระบวนการสอนที่ใช้วิธีการสอนแบบเปิด (open approach) และการพัฒนาบทเรียนร่วมกัน (lesson study)

สมรักษ์ พรมมาสุข ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ

“วิธี open approach เป็นกระบวนหรือนวัตกรรมการสอนอย่างหนึ่งที่มองว่าครูต้องให้นักเรียนหาคำตอบ หาวิธีที่เหมาะสมด้วยตัวของเขาเอง วิธีการมีอยู่ 4 ขั้นตอน คือ หนึ่ง-ตั้งโจทย์ปัญหาในห้องเรียน สอง-ให้นักเรียนลองหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง สาม-ให้นักเรียนออกมานำเสนอวิธีแก้ปัญหาตามความคิดของตัวเอง สี่-แลกเปลี่ยนคำตอบกันในห้องเรียน และสรุปเป็นความรู้ร่วมกัน

“ส่วน lesson study คือการให้ครูออกแบบแผนการเรียนรู้ร่วมกัน ครูแต่ละคนจะนำแผนการเรียนที่ออกแบบไว้มานำเสนอในที่ประชุม แล้วให้ครูท่านอื่นๆ ช่วยกันดูว่าแผนการเรียนนี้ เด็กได้อะไร ไม่ได้อะไรบ้าง เมื่อนำไปสอนเสร็จก็กลับมาคุยกันอีกครั้งว่าผลที่ได้เป็นยังไง”

ด้วยวิธีดังกล่าวที่ดูแปลกใหม่ สร้างความสนใจให้กับ ผอ.สมรักษ์ และครูในโรงเรียน พวกเขาตัดสินใจนำวิธีนี้มาทดลองใช้กับวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาแรก ส่วนเด็กๆ ที่จะเข้าร่วมโครงการทดลองในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้น ป.1 และ ป.4

ผอ.สมรักษ์ เล่าว่า ช่วงแรกๆ ของการทดลอง ตัวเขาเองและครูในโรงเรียนยังไม่ค่อยเชื่อว่าวิธีนี้จะแก้ปัญหาการคิดวิเคราะห์ของเด็กๆ ได้ เพราะมันแตกต่างจากรูปแบบการสอนเดิมที่พวกเขาคุ้นเคย วิธีการสอนแบบนี้จะเน้นให้นักเรียนเป็นคนคิดหาวิธีเอง ส่วนครูจะเป็นเพียงคนคอยชี้แนะ ทำหน้าที่สังเกตการณ์ (Observer) แนวคิดที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานของนักเรียน แต่เพราะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของนักเรียนหลังจากทดลองใช้วิธีการดังกล่าว จากที่ไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์ กลับกลายเป็นอยากเรียนมากขึ้น ในคาบเรียนเองเด็กก็กล้าตอบคำถาม ไม่รู้สึกกลัว ถึงขั้นหมดคาบแล้วยังชวนครูสอนต่อ

“พอเอาวิธีนี้มาใช้ พ่อสังเกตว่าเด็กที่เก่งจะไม่พูด จะนิ่ง ถามก็ไม่อยากจะตอบ ส่วนเด็กอ่อนตอบทุกคำถามเลย พอมาคุยกับครูก็ได้ข้อสรุปว่า เด็กเก่งอาจจะติดอยู่กับ ‘ถูก – ผิด’ เพราะเวลาเขาตอบทุกครั้งครูจะบอกว่าถูกตลอด พอเที่ยวนี้ตอบครูไม่บอกถูกหรือผิด แต่ถามกลับไปว่า ‘ลูกมีวิธีคิดยังไง’ แทน 

“มันยิ่งเห็นความแตกต่างตอนประชุม ที่โรงเรียนจะมีประชุมทุกวันศุกร์ โดยครูจะคิดประเด็นมาคุยกับนักเรียน เช่น ‘ตอนนี้โรงเรียนมีขยะเยอะขึ้น เราจะแก้ไขยังไงดี’ ให้เขามีส่วนร่วมกับโรงเรียน ปรากฎว่าเด็ก ป.1 กับป.4 ที่เข้าร่วมโครงการตอบทั้งหมดเลย เขากล้าที่จะพูด กล้าที่จะเสนอความคิดตัวเอง ต่างจากเด็กที่ไม่ได้เข้าโครงการ

“เด็กเขาจะมองครูเป็นเหมือนพี่ เพื่อน ที่ปรึกษาของเขา เขาจะไม่กลัวครู เมื่อก่อนกลัวครูทำโทษ ตอนนี้บอก ‘ครูจะทำโทษหนูเรื่องอะไร’ (หัวเราะ) เด็กสามารถบอกเหตุผลได้ว่าหนูทำแบบนี้เพราะเหตุผลนี้”

สมรักษ์ พรมมาสุข ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ

พอฟังสิ่งที่ ผอ.สมรักษ์อธิบาย ก็กระตุ้นต่อมความอยากรู้ของเราที่อยากไปสัมผัสกับบรรยากาศในห้องเรียน เราขออนุญาต ผอ.สมรักษ์ ไปสำรวจการสอนในห้องเรียน ด้วยความที่ตอนนี้เป็นเวลาช่วงเช้า เด็กๆ ยังคงนั่งเรียนในห้อง เราเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ซึมซับบรรยากาศในโรงเรียน จนไปหยุดอยู่ตรงตึกด้านในสุดของโรงเรียน เป็นตึกที่มี 2 ห้องเรียน ป้ายข้างหน้าห้องเขียนไว้ว่าห้องเรียน ป.2/1 และห้องเรียน ป.2/2 บรรยากาศภายในห้องเรียนค่อนข้างเงียบ เด็กๆ นั่งแยกโต๊ะใครโต๊ะมัน แต่ละคนกำลังจดจ่อกับกระดาษที่อยู่ตรงหน้า

ครูอัจฉริยา คุณมาศ ที่กำลังดูแลห้องดังกล่าว เดินมาต้อนรับเราพร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า ตอนนี้เด็กๆ กำลังฝึกทำข้อสอบคณิตอยู่ ระหว่างรอเด็กๆ ให้ทำข้อสอบเสร็จ เราถือโอกาสชวนเธอคุยถึงการเรียนการสอนของที่นี่

การพูดคุยกันเบื้องต้นทำให้รู้ว่าครูอัจฉริยาเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ เธอเป็นครูกลุ่มแรกๆ ที่ทดลองใช้วิธี open approach และ lesson study ในห้องเรียน ครูอัจฉริยาเริ่มต้นอธิบายการสอนของเธอด้วยการให้ดูหนังสือประกอบการสอน เป็นหนังสือเรียนที่แปลมาจากหนังสือเรียนของประเทศญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นผู้แปล เธอเปิดหนังสือให้ดูพร้อมกับอธิบายว่า ในหนังสือเขาจะสอนเด็กเรียนเลขผ่านการทำกิจกรรม

ครูอัจฉริยา คุณมาศ
หนังสือเรียนวิชาคณิตศาสตร์ แบบ open approach และภาพกิจกรรมในโทรศัพท์มือถือที่ครูอัจฉริยานำไปสอนจริงในห้องเรียน

“การสอนที่นี่เราเน้นให้เด็กได้สัมผัสกับของจริง อย่างสอนบวกลบในหนังสือจะให้เด็กนับของ เราก็หยิบสิ่งที่มีอยู่ในบทเรียนมาทำจริงๆ ให้เด็กสามารถสัมผัสได้ เด็กจะเข้าใจมากขึ้น ในหนังสือเขาจะมีแอปเปิ้ล ส้ม เค้ก เราก็หามาเตรียมแบบในหนังสือเลย แต่ถ้าอันไหนหาไม่ได้ เช่น เค้กก็เปลี่ยนเป็นพายแทน ในหนึ่งคาบเรียนเราจะมีโจทย์คณิตศาสตร์ให้เด็กทำ 1 ข้อ ใช้เวลาทั้งคาบ

“วิธีการสอนเราจะให้เด็กๆ เป็นคนหาคำตอบเอง เด็กแต่ละคนเขาจะมีวิธีคิดไม่เหมือนกัน บางคนอาศัยวิธีนับเอา หรือบางคนแยกเป็นตัวประกอบ บางคนวาดรูป พอเด็กคิดเสร็จเราจะให้เขาออกมานำเสนอวิธีคิดหน้าห้องให้เพื่อนฟัง ถ้าคนไหนได้คำตอบที่ไม่ถูก เราจะพยายามให้เขาออกมาก่อน เผื่อว่าคนข้างในจะได้ช่วยกันดู เด็กๆ เขาจะเป็นคนสงสัยเองว่าทำไมได้เท่านี้ ครูจะเป็นแค่คนคอยกระตุ้นคำถามให้กับเขา ‘หนูลองอธิบายวิธีหาคำตอบของหนูให้เพื่อนๆ ฟัง’ เพื่อนๆ เขาจะช่วยกันบอก ช่วยกันอธิบายว่าคำตอบจริงๆ ต้องเป็นเท่าไร สุดท้ายเด็กที่คำตอบไม่ถูกจะเข้าใจว่าวิธีการคิดเขายังคลาดเคลื่อนอยู่ เขาจะยอมรับที่เพื่อนๆ บอก” 

ครูฉัตรชัย ดีเลิศ เป็นครูอีกคนที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ เล่าให้เราฟังว่า ช่วงที่เขาสอนแรกๆ วิธีการสอนของครูฉัตรชัยเน้นให้เด็กจำเนื้อหา พยายามหาคำตอบถูก-ผิดด้วยวิธีการเดียว ทำให้นักเรียนไม่เข้าใจเนื้อหาที่เขาสอน พาลไม่อยากเรียนต่อ

“ตอนแรกๆ เนื้อหาที่เราสอน เด็กบางคนเข้าใจง่าย บางคนสอนแล้วสอนอีก บางคนไม่เข้าใจเลย เราก็ทำจนรู้สึกว่าเหนื่อย เด็กๆ เขาก็พากันไม่เอา ไม่ชอบ ไม่เรียนเลย จนเกิดคำถามในใจ ‘เราจะสอนไปทำไม’ ‘เราจะสอนอะไรเด็กดี? สอนไปเขาก็ไม่รับกัน’ จนเจอวิธีนี้ที่ครูควรสอนให้เด็กคิดนะ ก็เลยปิ๊งไอเดียได้พอดี ส่วนตัวเรารู้อยู่แล้วว่าจะสอนเนื้อหาอะไรให้เขา ที่เพิ่มเติมคือมีวิธีมาช่วยทำเด็กให้เข้าใจมากขึ้น

ครูฉัตรชัย ดีเลิศ

“พอเปลี่ยนแล้วบรรยากาศในห้องเรียนดีขึ้น จากที่เราเคยเป็นครูที่เข้มงวดมาก เราฟังนักเรียนมากขึ้น เพราะนักเรียนบางคนได้คำตอบไม่เหมือนกัน คนที่เราไม่เคยคาดหวังว่าเขาจะทำได้ ก็หาคำตอบด้วยวิธีการของเขา เน้นให้หลากหลายวิธี ยิ่งหลากหลายยิ่งดี วิธีการสอนแบบนี้เอื้อให้เด็กได้คิดในแบบของตัวเอง ครูไม่ต้องเหนื่อยมานั่งคาดหวังว่าเด็กต้องคิดแบบครูเท่านั้น วิธีอาจจะไม่ถูกแต่เห็นแนวคิดของเขา วิธีไหนก็ได้ขอให้ได้คำตอบ”

ครูฉัตรชัยอธิบายต่อว่า แม้ว่ากระบวนการสอนแบบนี้มันจะทำให้ครูต้องทำงานหนักมากขึ้น ต้องเตรียมสื่อที่เน้นใช้ของจริง คิดสถานการณ์ปัญหาอิงกับความเป็นจริง เพื่อให้เด็กเข้าใจง่ายขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับมา คือ ความสนุกทั้งครูและตัวนักเรียนเอง ไม่มีนักเรียนคนไหนถูกทิ้ง ไม่มีการตีตราเด็กว่า ‘โง่’ ‘ไม่เก่ง’ เพราะเด็กทุกคนมีวิธีคิดของตัวเอง

มันจะมีเด็กคนหนึ่งถ้าเรียนวิธีเดิมเขาจะถูกบอกว่าโง่ เป็นเด็กหลังห้อง แต่พอเรียนด้วยวิธีนี้ปุ๊บ เวลาครูถามว่า ‘ใครคิดได้ไหม’ เด็กหัวอ่อนคิดได้ทันที เพราะมันไม่มีอะไรกดดันเขา ไม่มีสูตรตายตัว ทีนี้ก็จะไม่มีเด็กโง่ละ มีแต่เด็กที่มีความคิดไม่เหมือนกัน

ครูฉัตรชัยกล่าวทิ้งท้าย

เตรียมให้เด็กเป็นผู้ประกอบการ ผ่านการคิดโมเดลธุรกิจ ธนาคารโรงเรียน และภาษาอังกฤษ

เมื่อวิธีคิดของนักเรียนเปลี่ยนไป เด็กกล้าที่จะคิด กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นมากขึ้น ไม่กลัวเรื่องถูกผิด เป้าหมายต่อไปของ ผอ.สมรักษ์ คือการนำกระบวนการ open approach ที่ใช้ในห้องเรียนมาให้นักเรียนใช้ในชีวิตจริง ผอ.สมรักษ์ยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งให้เราฟัง เป็นช่วงที่โรงเรียนจัดการแข่งขันศิลปะหัตถกรรม มีคนจากโรงเรียนอื่นๆ มาพักที่โรงเรียน 300 กว่าคน

ผอ.สมรักษ์ เกิดไอเดียชวนเด็กนักเรียนในโรงเรียนมาคิดโปรเจกต์ธุรกิจ โดยมีกลุ่มลูกค้าเป็นคนที่มาเข้าพักโรงเรียนในตอนนั้น นักเรียนจะเป็นคนคิดและทำโปรเจกต์ด้วยตัวเอง ส่วนโรงเรียนจะเป็นคนออกทุนให้

“บางคนขายสินค้า บางคนทำของที่ระลึก บางคนก็เลือกเป็นมัคคุเทศก์ ปรากฎว่าเด็กๆ ได้กำไรเกือบทุกกลุ่ม ขาดทุนแค่กลุ่มเดียว ตั้งแต่นั้นมาเด็กเขาก็กล้าคิดโปรเจกต์มากขึ้น แล้วนำมาเสนอเรา อย่างตอนนี้ก็มีเสนอว่าอยากทำตลาดนัด”

พอเด็กๆ คิดและทำให้โปรเจกต์นั้นเกิดขึ้นมาได้จริง  ผอ.สมรักษ์ก็เกิดไอเดียต่อว่า อยากสอนให้เด็กรู้จักกับ ‘ระบบ’ การเงินทั้งระบบ เพราะการทำธุรกิจต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆ ทองๆ จึงเกิดเป็นไอเดียก่อตั้งธนาคารโรงเรียนขึ้นมา โดยมีเป้าหมายใหญ่เพื่อติดตั้งทักษะผู้ประกอบการให้กับนักเรียน โดยมีโรงเรียนมีชัยพัฒนาเป็นโคชให้ 

“โรงเรียนมีชัยพัฒนาเขาเคยมาสอนเราทำแปลงเกษตร ซึ่งโรงเรียนของเขาก็ทำฐานการผลิต-ขายสินค้าเอง พ่อก็มานั่งคิดว่า ถ้าเราผลิตเป็นอย่างเดียวแต่ไม่รู้วิธีขายมันก็ไม่ได้ เลยลองให้เด็กๆ เขาคิดตลาดขายสินค้าที่เราผลิต

“มันเลยจำเป็นต้องมีธนาคารเพื่อฝึกเด็กให้รู้จักการบริหารเงิน ธรรมชาติของวงจรเงินก็มีทั้งการฝาก ถอน กู้ การที่เราลองให้เด็กมากู้เงินไปทำธุรกิจ ถือเป็นการสอนให้เขามีวินัยในการใช้จ่ายเงินว่า ‘เราต้องรับผิดชอบสิ่งที่เรากู้’

“ชุมชนที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนก็สนใจมาเข้าร่วมขอกู้เงินด้วย โรงเรียนมีชัยพัฒนาเองก็ส่งเงินทุนมาช่วยเหมือนกัน ตอนนี้เราเริ่มทำธนาคารโรงเรียนมาได้ 4 – 5 เดือนแล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงให้เด็กมาฝากเงิน ต้องรอให้ครบ 6 เดือนถึงจะปล่อยให้เด็กกู้ได้ 

“ขั้นตอนการกู้ นักเรียนต้องทำโปรเจกต์มาก่อนว่า กู้เงินแล้วจะเอาไปทำอะไร จะเอาไปทำธุรกิจกับกลุ่มตัวเอง หรือทำกับพ่อแม่ก็ได้ เวลานักเรียนนำเสนอจะมีคณะกรรมการที่เขาจะพิจารณา ไปดูสถานที่ทำธุรกิจ แล้วถ้าผ่านก็อนุมัติเงิน สมมติถ้าเด็กทำธุรกิจแล้วขาดทุน เราก็ไม่ได้ไปปรับเงินหรือยึดทรัพย์เด็กๆ แต่ให้เขาทำงานแทน เช่น ล้างห้องน้ำโรงเรียน เป้าหมายเราแค่ให้เด็กรู้จักระบบการเงิน สร้างวินัยให้กับพวกเขา”

แต่แค่ให้เด็กรู้จักคิดโมเดลธุรกิจ เข้าใจระบบการเงินอาจจะยังไม่พอสำหรับการมีทักษะผู้ประกอบการ ‘ภาษา’ เป็นสิ่งที่ผอ.สมรักษ์อยากพัฒนาต่อ เขาบอกว่า การพัฒนาภาษาอังกฤษในประเทศไทยมีมานาน แต่ยังไม่ก้าวหน้า เพราะเด็กๆ ยังเอามาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้สิ่งที่โรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ วางแผนทำ คือการใช้ภาษาอังกฤษในห้องเรียน โดยเริ่มจากคาบวิชาภาษาอังกฤษที่ให้ครูพูดอังกฤษอย่างเดียว หากได้ผลจะขยายไปใช้ในวิชาอื่นๆ  

“โลกต่อไปมันต้องแข่งด้านภาษา ตอนพ่อไปญี่ปุ่น พ่อไม่เข้าใจภาษาเขาเลย ต้องอาศัยแอปพลิเคชันช่วยแปลเอา พ่อรู้สึกว่ามันไม่ได้ละ ก็เลยกลับมาคิดถึงเด็กของเราว่าถ้าเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้ภาษา การพัฒนาของเขาก็จะมีขีดจำกัด ไปคุยกับมูลนิธิพุทธรักษา เขากำลังทำโครงการสอนภาษาอังกฤษ เราขอให้เขามาช่วยสอนภาษาให้เด็กเรา

“มูลนิธิจะทำโปรแกรมการสอนภาษาอังกฤษให้เรา ส่งครูภาษาอังกฤษจากมูลนิธิมาให้โรงเรียน แล้วจะพาครูของเราไปอบรมช่วงปิดภาคเรียน พ่อเองก็จะไปคุยกับศูนย์เด็กเล็กที่อยู่ใกล้โรงเรียนเรา ขอเด็กเขามาเรียนกับเราด้วย เพราะมูลนิธิพุทธรักษาบอกว่า ถ้าฝึกตั้งแต่เด็กยังเล็กๆ จะดี

“ความรู้เดียวนี้มันอยู่ในอากาศ อยู่ในทุกที่ เราต้องรู้วิธีการดึงความรู้พวกนี้มาใช้อย่างมีสมรรถนะ หมายถึงใช้อย่างมีคุณธรรม ใช้อย่างถูกวิธีการ เด็กไม่จำเป็นต้องมาโรงเรียนก็ได้ สอนให้เขาหาความรู้เอง สมัยนี้เด็กหาความรู้จากกูเกิลมาตอบครู”

ครูพัฒนาแผนการสอนด้วยวิธี Lesson study และ ผอ. สนับสนุนให้ครูออกไปหาประสบการณ์

แน่นอนว่าเบื้องหลังของการเรียนการสอนแนวใหม่ต้องมาจากการทำงานทุ่มเทของคุณครู เบื้องหลังการออกแบบการเรียนการสอนคุณครูที่นี่ใช้วิธี lesson study 

lesson study ช่วยเปลี่ยนแปลงครูได้อย่างไร ครูอัจฉริยาอธิบายขั้นตอนให้เราฟังว่า จากเมื่อก่อนที่ครูต่างคนต่างคิดแผนการสอนของตัวเอง ก็เปลี่ยนให้เอาแผนการสอนของตัวเองมานำเสนอในที่ประชุมซึ่งจัดขึ้นทุกวันพฤหัสบดี เพื่อให้ครูคนอื่นๆ ช่วยกันแชร์ความคิดเห็นว่าแผนการสอนมีอะไรที่ควรแก้หรือเพิ่มเติม เธอใช้คำว่า ‘เรียนรู้ด้วยกัน’

เพราะมนุษย์เรามีความคิด มุมมอง หรือความถนัดไม่เหมือนกัน การให้ครูช่วยกันดูแผนการสอนของแต่ละคน ก็เพื่อให้ได้มุมมองที่หลากหลายขึ้น มันอาจมีบางอย่างที่คนนี้มองข้าม อีกคนเข้ามาช่วยเติม สิ่งสำคัญคือ อิสระที่ครูทุกคนได้รับ พวกเขาสามารถครีเอทการสอนของตัวเองได้ 100% รวมไปถึงการออกไปหาวัตถุดิบมาเติม อย่างเช่น ประสบการณ์ ครูอัจฉริยาเล่าว่า ที่โรงเรียน ผอ.สมรักษ์ จะคอยจัดทริปพาครูไปศึกษางานตลอด ทริปส่วนใหญ่เริ่มจากการถามความเห็นครูว่า ‘อยากเรียนรู้เรื่องอะไร’ พอได้เป้าหมายก็ทำการจัดทัพเดินทางไปเรียนรู้ทันที

“มีทริปหนึ่งที่พี่ประทับใจ เป็นทริปพาไปดูโรงเรียนรุ่งอรุณ ไปแล้วเหมือนเปิดมุมมองเราได้เห็นอะไรใหม่ๆ มีวิธีการหลายอย่างที่เราเห็นแล้วชอบอยากเอามาใช้ที่โรงเรียน แต่บริบทมันแตกต่างกัน เราก็เอามาปรับใช้แค่บางอย่าง เช่น ที่โรงเรียนรุ่งอรุณเขาจะให้เด็กแต่งชุดไปรเวท เราก็เอามาลองทำเริ่มจากแต่งทุกวันศุกร์ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ปกครองๆ เขาก็เห็นด้วยนะ เขาบอกว่า ‘ดี ไม่ต้องซื้อชุดเพิ่ม สามารถใส่ชุดที่มีได้’ ตัวพี่เองก็คิดว่าการเรียนกับความตั้งใจมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ชุด ส่วนอันที่เรายังทำไม่ได้ เช่น ระบบการแยกขยะ เขาทำหลายขั้นตอนมากต้องใช้เงินทุน เรายังไม่มีเงินสำหรับส่วนนั้น ก็แยกขยะเท่าที่เราทำได้”

พอฟังทำให้เราได้คิดว่า มุมมองของผู้อำนวยการโรงเรียนก็เป็นส่วนสำคัญ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดคงจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าผู้อำนวยการไม่สนับสนุน ผอ.สมรักษ์ เล่าว่า วิธีการ open approach และ lesson study กลายเป็นตัวจุดประกายให้ตัวเขาและครูในโรงเรียนได้คิดว่า ‘วิธีการที่เหมาะสมกับเรามีอะไร’ และอยากที่จะหาวิธีที่เหมาะสม 

“คนอื่นมองเห็นสิ่งที่เราทำอาจจะคิดว่าเราเก่ง จริงๆ เราไม่เก่งไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ (หัวเราะ) ตอนนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ แต่พ่อเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ เชื่อว่าสิ่งที่เราทำมันถูก สิ่งหนึ่งที่คนเป็น ผอ. ต้องมีก็คือความกล้า เพราะบางทีสิ่งที่เราทำมันอาจจะไปตีกับระเบียบกระทรวง ตีกับความรู้สึกคนอื่น 

“อีกอย่างหนึ่ง คือ ผู้บริหารต้องเปิด ไม่ใช่บอกว่าครูต้องสอนแบบนี้ๆ เท่านั้น เพราะครูแต่ละคนเขาจะมีวิธีคิดวิธีการของเขาเอง เราทำหน้าที่สนับสนุน”

จากความคิดนี้ทำให้ ผอ.สมรักษ์ ติดตั้งเครื่องมือให้ครูในโรงเรียน ด้วยการสนับสนุนให้พวกเขาออกไปหาประสบการณ์จากข้างนอก ถ้ามีโควต้าสามารถส่งครูไปต่างประเทศได้ ผอ.สมรักษ์ให้คำมั่นว่าจะส่งครูไป เพื่อให้ไปสัมผัสกับโลกภายนอกและนำมาเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง

“ถ้าครูไม่ตระหนักว่าตัวเองอยากรู้มันไม่รู้หรอก ตราบใดที่ครูอยากจะรู้มันจะรู้ ก่อนครูอยากจะรู้คงจะต้องมองให้เห็นถึงความจำเป็นที่อยากจะรู้ นั่นคือศิษย์ ถ้าครูรักนักเรียน รักที่จะสอน ครูถึงอยากจะรู้ อยากจะหาวิธีอื่นๆ มาสอนนักเรียนของตัวเอง”

ผอ.สมรักษ์

Tags:

ผู้ประกอบการ(entrepreneurship)การจัดการเรียนการสอนแบบเปิด(open approach)การพัฒนาบทเรียนร่วมกัน(Lesson Studyพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาCreative Learningโรงเรียนบ้านโนนแสนคำ-หนองศาลาศรีสะอาดศรีสะเกษ

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • Education trend
    SISAKET ASTECS: กรอบหลักสูตรฐานสมรรถนะ หมุดหมายการสร้างเมืองและคนศรีสะเกษในระยะ 10 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ: คุณภาพการศึกษาที่คนศรีสะเกษออกแบบเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ระเบียบ ‘ชุดนักเรียน’ ยืดหยุ่นไม่ได้จริงหรือ? คุยกับโรงเรียนที่ให้นักเรียนแต่งไปรเวท

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Unique Teacher
    จากครูไหวใจร้ายกลายเป็นครูเอ๋ใจเย็น: การเปลี่ยนผ่านของอดีตครูเจ้าระเบียบ เน้นท่องจำ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Unique Teacher
    ยอดรัก ธรรมกิจ: สอนแบบเดียวกับวิถีที่เด็กใช้ชีวิต อยากเป็นครูที่ทำให้ชีวิตเด็กดีขึ้น

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel