Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: March 2019

เมื่อการเรียนรู้เชื่อมโยงสมองหลายส่วน คณิตศาสตร์จึงไม่ใช่สมองซีกซ้าย และสมองซีกขวาก็ไม่ใช่แค่ศิลปะอีกต่อไป
Learning Theory
5 March 2019

เมื่อการเรียนรู้เชื่อมโยงสมองหลายส่วน คณิตศาสตร์จึงไม่ใช่สมองซีกซ้าย และสมองซีกขวาก็ไม่ใช่แค่ศิลปะอีกต่อไป

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • การเรียนคณิตศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของสมองซีกซ้าย ศิลปะและดนตรีไม่ใช่เรื่องของสมองซีกขวาอีกต่อไป, การกระตุ้นพัฒนาการเรียนรู้ ไม่ได้จำกัดแค่ช่วงวัยใดวัยหนึ่ง, การทำซ้ำๆ จนช่ำชอง อ่านซ้ำๆ จนจำได้ ไม่ใช่การเรียนรู้ที่ดีที่สุดเสมอไป คือคอนเซ็ปท์สำคัญของ ‘การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงสมองหลายส่วน’
  • เพราะเมื่อสมองทุกส่วนถูกกระตุ้นและพัฒนาไปพร้อมกัน เซลล์ประสาทในสมองแตกแขนงเชื่อมโยงสัมพันธ์กับการทำงานของสมองหลายส่วน เพราะต้องอาศัยการประมวลผล การขยายและสร้างเครือข่ายการเรียนรู้เชื่อมกับหน่วยความจำในสมอง ไม่เฉพาะแค่ด้านใดด้านหนึ่ง
  • การเรียนรู้แบบนี้ช่วยสร้างและพัฒนาความจำได้ดีกว่าการท่องจำหรือทำซ้ำจนเคยชิน เพราะความจำที่ถูกเก็บไว้ในสมองหลายส่วนจะถูกพัฒนาทุกครั้งที่ได้รับกระตุ้นจากกระบวนการเรียนรู้ใหม่ครั้งต่อไป

หลายคนทราบอยู่แล้วว่าวิธีการสร้างการเรียนรู้ไม่มีสูตรสำเร็จไม่มีกรอบตายตัว หลักฐานคือคำว่า ‘บูรณาการ’ ที่ได้ยินกันจนคุ้นหู ‘ห้องเรียนสร้างสรรค์’ ได้ยินกันจนจำได้ขึ้นได้

แต่… ทำอย่างไร, สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองระหว่างเรียนรู้เป็นอย่างไร และตัวอย่างห้องเรียนสร้างสรรค์ มีรูปแบบใดบ้าง ขอเห็นตัวอย่างชัดๆ เลยได้ไหม?

ยกตัวอย่าง ห้องเรียนสร้างสรรค์ในคอนเซ็ปท์ ‘วิธีการสอน 1 อย่าง แต่นักเรียนได้ประโยชน์ทบเท่าทวีคูณ’ เริ่มต้นจาก ความสำคัญของการเรียนรู้สร้างสรรค์ วิธีการเรียนรู้เช่นนี้เกิดอะไรขึ้นในสมองของผู้เรียนบ้าง และตัวอย่างไอเดียการสร้างสรรค์ห้องเรียน เพื่อให้คุณครูเห็นภาพและนำไปปรับใช้ได้จริง

ห้องเรียนสร้างสรรค์ สำคัญอย่างไร หน้าตาของมันคืออะไร?

‘การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงสมองหลายส่วน’ มีคีย์เวิร์ดที่ต้องทำความเข้าใจ 3 ประเด็น คือ

  1. การเรียนคณิตศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของสมองซีกซ้าย ศิลปะและดนตรีไม่ใช่เรื่องของสมองซีกขวาอีกต่อไป
  2. การกระตุ้นพัฒนาการเรียนรู้ ไม่ได้จำกัดแค่ช่วงวัยใดวัยหนึ่ง
  3. ‘การทำซ้ำๆ จนช่ำชอง อ่านซ้ำๆ จนจำได้’ ไม่ใช่การเรียนรู้ที่ดีที่สุดเสมอไป

หนึ่ง-การเรียนคณิตศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของสมองซีกซ้าย ศิลปะและดนตรีไม่ใช่เรื่องของสมองซีกขวาอีกต่อไป แต่สมองทุกส่วนถูกกระตุ้นและพัฒนาไปพร้อมกัน เซลล์ประสาทในสมองแตกแขนงเชื่อมโยงไปยังส่วนต่างๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของสมองได้กว้างขวางขึ้น ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ต้องย้ำว่า… ทั้งหมดนี้ทำได้ด้วยวิธีการสอนที่ครูสร้างสรรค์ขึ้น

สอง-การกระตุ้นพัฒนาการเรียนรู้ ไม่ได้จำกัดแค่ช่วงวัยใดวัยหนึ่ง แต่แน่นอนว่าหากเด็กได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สร้างการเรียนรู้หลากมิติตั้งแต่ระดับปฐมวัยและประถมศึกษา หน่วยความจำในสมองของเด็กจะทำงานได้รวดเร็ว ว่องไว และสร้างพัฒนาการได้ดีกว่า ดังนั้น เมื่อนักเรียนได้มีโอกาสสัมผัสกับการจัดการเรียนรู้แบบใหม่ เช่น ได้นำเสนอคอนเซ็ปท์ในวิชาคณิศาสตร์เป็นบทกวี การเรียนรู้ลักษณะนี้จะช่วยสร้างความจำที่มั่นคงถาวรได้มากกว่า เด็กจะเข้าใจแล้วนำชุดความรู้ไปต่อยอดเพื่อเรียนรู้เรื่องอื่นที่ใกล้เคียงกันได้อย่างรวดเร็ว (การถ่ายโอนความจำ) และเป็นการเรียนการสอนที่ทำให้เด็กสนใจได้มากกว่าด้วย

จูดี้ วิลลิส (Judy Willis) นักประสาทวิทยา อาจารย์ และนักเขียน ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้และสมอง ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสบการณ์ด้านการสอนเด็กเล็กระดับปฐมวัยและประถมศึกษามากว่า 10 ปี บอกว่า ครั้งหนึ่งความบังเอิญจากประสบการณ์การสอนในห้องเรียนให้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นแรงบันดาลใจให้เธอศึกษาและค้นหาคำถามเกี่ยวกับกระบวนการสร้างการเรียนรู้ให้เด็กเข้าใจบทเรียน แล้วยังเชื่อมโยงไปสู่เรื่องอื่นได้ โดยไม่ยึดติดเฉพาะกับเนื้อหาในตำราเรียน

วิลลิสเล่าว่า เธอกำลังสอนนักเรียนเกี่ยวกับลักษณะการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ สิ่งที่พบคือ นักเรียนสับสนระหว่างการหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์และการโคจรเป็นรอบวงโคจร เธอจึงให้เด็กจับกลุ่มแล้วใช้ร่างกายตัวเองแสดงท่าทางประกอบให้เห็นภาพลักษณะการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ เพื่อสร้างการเรียนรู้และความเข้าใจร่วมกัน

วิธีดังกล่าว นอกจากทำให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนมากขึ้นแล้ว ยังทำให้นักเรียนเชื่อมโยงความรู้และความเข้าใจที่เกิดขึ้นไปสู่การอธิบายการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนรอบๆ อะตอมได้ด้วย

ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้วิลลิสศึกษาจนพบว่า การสร้างการเรียนรู้ไม่ควรจำกัดรูปแบบ และการเรียนรู้เพียงเรื่องเดียวก็สามารถเชื่อมโยงกับสมองหลายส่วนได้ ดังนั้นการสร้างการเรียนรู้จึงไม่ควรจำกัดอยู่แค่สมองส่วนใดส่วนหนึ่ง

สาม-การทำซ้ำๆ จนช่ำชอง อ่านซ้ำๆ จนจำได้ ไม่ใช่การเรียนรู้ที่ดีที่สุดเสมอไป

ที่ผ่านมาเราได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่า การเรียนรู้ที่ดีเกิดขึ้นได้จากการทำสิ่งนั้นซ้ำๆ จนช่ำชอง และการอ่านสิ่งนั้นซ้ำๆ จนจำได้ แต่การผลการศึกษาค้นพบวิธีการที่ดีกว่า นั่นคือ ครูเป็นผู้ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้นักเรียน ช่วยให้นักเรียนมีความจำที่ดีขึ้น สามารถถ่ายโอนความจำหรืออาจเรียกว่านำความจำที่บันทึกไว้ในสมองแต่ละส่วนมาประยุกต์ใช้ได้ ด้วยการจัดการความรู้ให้มีความหลากหลายเชื่อมโยงกับสมองแต่ละส่วน ไม่จำกัดหรือยึดติดอยู่ที่รายวิชาและวิธีการสอนท่องจำแบบเดิม

อย่างที่กล่าวไปว่าการเรียนรู้แบบใหม่สัมพันธ์กับการทำงานของสมองหลายส่วน เพราะต้องอาศัยการประมวลผล การขยายและสร้างเครือข่ายการเรียนรู้เชื่อมกับหน่วยความจำในสมอง ไม่เฉพาะแค่ด้านใดด้านหนึ่ง

การเรียนรู้ที่ไม่จำกัดจำเพาะนี้ (cross-referencing) ช่วยสร้างและพัฒนาความจำได้ดีกว่าการเรียนรู้ย้ำๆ ซ้ำๆ แบบเดิม เนื่องจากความจำที่ถูกเก็บไว้ในหลายส่วนของสมอง จะถูกพัฒนาทุกครั้งที่ได้รับกระตุ้นจากกระบวนการเรียนรู้ใหม่ครั้งต่อไป

การเรียนรู้แบบบูรณาการกลุ่มสาระวิชาเรียกได้ว่าเป็นการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นและพัฒนาการทำงานของสมองหลายส่วนเข้าด้วยกัน ซึ่งสามารถเชื่อมเครือข่ายเส้นใยประสาททั้งในส่วนแอกซอน* (Axon) และเดนไดรต์* (Dendrite) จากเซลล์ประสาท (Neuron) หนึ่งไปยังอีกเซลล์ประสาทหนึ่งได้

เมื่อข้อมูลความรู้ต่างๆ ถูกบันทึกไว้ในหน่วยความจำเป็นเครือข่ายในสมอง สิ่งนี้จะช่วยเปิดประตูการเรียนรู้อีกมากมาย ข้อมูลความรู้ที่เคยได้เรียนรู้จะถูกดึงกลับมาใช้ตอบสนองต่อสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่าง การเรียนรู้เรื่องขั้วบวกขั้วลบ (positive and negative) ชุดความรู้นี้นำไปใช้ได้กับทั้งการเรียนรู้ต่อยอดเรื่องอุณหภูมิบวกและลบ การดึงดูดและผลักของแม่เหล็กในวิชาวิทยาศาสตร์ และเส้นจำนวนในวิชาคณิตศาสตร์ เป็นต้น

จากการทดลองสแกนสมองขณะที่ใช้วิธีการสอนเพื่อสร้างการเรียนรู้แบบใหม่ นักวิจัยแสดงให้เห็นถึงการทำงานของสมองที่ถูกกระตุ้นซึ่งกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของสมอง โดยทำงานเชื่อมโยงกันอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทั้งในส่วน ประสาทสัมผัส (sensory) การเคลื่อนไหว (motor) ความตั้งใจ (attention) อารมณ์ (emotion) และด้านภาษา (language) เป็นกระบวนการทำงานของสมองที่เชื่อมโยงกันเพื่อใช้ความรู้เดิมเข้ามาแก้ปัญหาด้วยวิธีการใหม่

การทำงานของสมองลักษณะที่ว่านี้มีประโยชน์ต่อการสอนและการเรียนรู้อย่างไร?

การบูรณาการเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการผนวกหลายๆ ศาสตร์และศิลป์เข้าด้วยกัน ย้อนกลับไปที่บทเรียนเรื่องการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ บทเรียนครั้งนั้นวิลลิสได้นำการเคลื่อนไหวเข้ามาสร้างความเข้าใจในบทเรียน จากการศึกษาพบว่า การผสมผสานศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหว การนำเสนอหน้าชั้นเรียน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเรียนรู้และการจดจำของนักเรียน

ยกตัวอย่างการเรียนรู้เกี่ยวกับรถยนต์ เมื่อสายตามองเห็นรถ ข้อมูลจะถูกส่งไปยังเปลือกสมองส่วนการมองเห็น (visual imagine cortex) เมื่อเห็นตัวสะกด c-a-r ข้อมูลจะถูกส่งไปยังสมองที่ทำงานด้านภาษา หรือหากได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานของเครื่องยนต์ ความรู้นี้จะถูกเชื่อมโยงไปสร้างความเข้าใจเรื่องการสันดาปของเครื่องยนต์ไอพ่นและจรวดได้ อย่างที่บอกข้อมูลแต่ละส่วนจะถูกเรียกออกมาใช้ในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับกิจวัตรประจำวัน อาชีพและการใช้ชีวิตของแต่ละคน

เพียงได้เห็นคำว่า ‘รถ’ ก็ทำให้เรานึกถึง ตัวรถ เสียงเครื่องยนต์ ความรู้สึกเมื่อรถเคลื่อนที่ พาหนะอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน ส่วนในด้านภาษาเชื่อมโยงไปได้ถึงคำคล้องจอง คำเหมือนและอื่นๆ อีกมากมายขึ้นอยู่กับรากฐานความจำเดิมหรือชุดความรู้เดิมที่มีอยู่

การเรียนการสอนด้วยวิธีการดังกล่าวช่วยให้สมองสร้างการรับรู้และเรียนรู้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด สมองสามารถหยิบจับความรู้เก่าและใหม่มาผสานเพื่อสร้างความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรมไปจนถึงความรู้เชิงนามธรรม

ไอเดียสำหรับคุณครู สร้างบทเรียนเปลี่ยนการเรียนรู้

แม้อยากเปลี่ยนแปลง แต่ถ้ายังไม่เคยทำ ไม่เคยสอน การจะปรับเปลี่ยนวิธีการสอนไปเลยทันทีจึงไม่ใช่เรื่องง่าย กลยุทธ์ที่กำลังจะเอ่ยถึงต่อไปนี้เป็นทั้งตัวช่วยและเป็นโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกฝนการเรียนรู้แบบใหม่ที่สร้างทักษะติดตัวไปได้ในระยะยาว อีกทั้งยังสามารถพัฒนาต่อยอดไปสู่ทักษะด้านอื่นๆ ได้อีก

วิชาคณิตศาสตร์

  • ครูสามารถใช้ ‘ไฮกุ’ มาเป็นตัวช่วยเรียนรู้คอนเซ็ปท์เรื่องความสมมาตร ไฮกุเป็นการเขียนบทกวีสไตล์ญี่ปุ่น มีความโดดเด่นอยู่ที่ความเรียบง่าย ไม่ยึดติดกับแบบแผน ไม่เหมือนกับการแต่งกวีอื่นๆ ที่มีรูปแบบบังคับสัมผัสตามหลักฉันทลักษณ์มากมาย แต่ไฮกุตัดทอนให้เหลือหลักๆ เพียง 3 วรรค รวม 17 พยางค์ โดยแบ่งท่อนการแต่งคำแต่งละวรรคออกเป็น 5-7-5 พยางค์
  • การออกแบบการเรียนรู้เรื่องปริมาณผ่านกราฟ
  • การเรียนรู้เรื่องการคูณผ่านวิดีโอหรือเอนิเมชั่น นำเสนอภาพการเพิ่มขนาดของวัตถุ หนึ่งเท่า สองเท่า สามเท่า แทนการท่องสูตรคูณ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจคอนเซ็ปท์ของการคูณซึ่งแตกต่างจากการบวก

วิชาวิทยาศาสตร์

  • สำหรับเด็ก ครูสามารถจัดกิจกรรม เช่น การเต้นหรือการแสดงประกอบท่าทาง เรียนรู้เรื่องวงจรชีวิตของผีเสื้อและวัฏจักรของน้ำได้
  • ให้นักเรียนลองใช้จินตนาการเปรียบเทียบการเกิดปฏิกิริยาเคมีกับการจับคู่ความสัมพันธ์ของคนในชีวิตประจำวัน หรือความสัมพันธ์ของนักเรียนกับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน เพื่อเรียนรู้เรื่องการจับ แยกและสลายตัวขององค์ประกอบทางเคมีของสารต่างๆ

วิชาสังคมศึกษา

  • ให้นักเรียนเขียนรายงานข่าวเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยอาจเพิ่มเติมโจทย์ให้นักเรียนเขียนจากมุมมองของผู้ร่วมเหตุการณ์ที่รู้ข้อมูลเชิงลึกหรือจากมุมมองของคนนอกที่รายงานจากข้อมูลเบื้องต้น
  • ให้นักเรียนนำเสนอรูปแบบโครงสร้างของรัฐบาลในระบอบต่างๆ เช่น ระบอบพระมหากษัตริย์ ระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ ผ่านมุมมองที่แตกต่างกัน โดยสวมบทบาทเป็นบุคคลแต่ละสาขาอาชีพ
  • ลองให้นักเรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์ ร่างจดหมายประกาศเอกราชในรูปแบบของจดหมายรัก

ด้านภาษาและวรรณกรรม

  • ลิสต์รายชื่อตัวละครในหนังสือหรือบทวรรณกรรม ให้คล้ายรายการเมนูอาหาร แล้ววิเคราะห์กำกับตามหลังถึงรสชาติ เปรี้ยว หวาน ขม เพื่อสะท้อนถึงคาแรคเตอร์ของตัวละครแต่ละตัว
  • เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้การจัดการความรู้เพื่อสร้างการเรียนรู้แบบใหม่ โครงสร้างวิธีคิดและกระบวนการเรียนรู้ของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาจะมีความเข้าใจและเชื่อมโยงความรู้ได้ มีความจำที่พร้อมเติบโต มีรากฐานวิธีคิดที่สามารถนำไปปรับประยุกต์ แก้ไขปัญหาและคิดค้นนวัตกรรมได้อย่างสร้างสรรค์
หมายเหตุ:
ใยประสาท (Nerve fiber) แบ่งตามหน้าที่การทำงานเป็น 2 ชนิด คือ เดนไดรต์ (Dendrite) และแอกซอน (Axon)
เดนไดรต์ คือ ส่วนของใยประสาทที่ทำหน้าที่รับการกระตุ้นของสิ่งเร้า ทั้งสิ่งเร้าจากภายนอกและจากเซลล์ประสาทอื่นๆ ส่วนแอกซอน คือ ส่วนของใยประสาทที่ทำหน้าที่นำกระแสประสาทออกจากบริเวณเดนไดรต์ ไปสู่เซลล์อื่นๆ โดยทั่วไปแอกซอนมีเส้นเดียว ลักษณะเป็นเส้นใยยาวมาก มีส่วนปลายที่แตกแขนงเล็กน้อย
อ้างอิง:
edutopia.org

Tags:

STEMAdolescent Brainความคิดสร้างสรรค์(Creativity)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Adolescent Brain
    ใน “การเรียนรู้” สมองทุกส่วนมีหน้าที่สำคัญทั้งสิ้น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • 21st Century skills
    INITIATIVE: ริเริ่มสร้างสรรค์โดยไม่มีใครร้องขอ แก้ปัญหาไม่ต้องรอคนจ้ำจี้จ้ำไช

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Everyone can be an Educator21st Century skills
    USER EXPERIENCE: นักออกแบบประสบการณ์ อาชีพใหม่ที่เปลี่ยนปัญหาเป็นความสุข

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Adolescent BrainBook
    ถ้าอยากสำเร็จต้องมี PASSION แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า PASSION อย่างเดียวไม่พอ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW
Unique Teacher
4 March 2019

สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW

เรื่อง ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • ‘ครูเอ็ม’ คือ ครูภาษาอังกฤษสอนระดับมัธยมที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี แต่อีกฉากหนึ่งเขาคือ ‘NAZESUS’ แร็ปเปอร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Rap is Now 
  • ห้องเรียนภาษาอังกฤษแบบฉบับครูเอ็ม คือการฝึกให้นักเรียนใช้ WHAT, WHY, HOW เพราะจะช่วยให้เด็กหาคำตอบและตั้งคำถามด้วยตัวเอง ได้ฝึกคิดมากกว่าการนั่งท่องศัพท์
  • ครูเอ็มใช้วิชาที่เขาถนัดทั้งการแร็ปและภาษาอังกฤษผสมผสานเข้าด้วยกันและส่งต่อให้เด็กนักเรียน เช่นการเปิดเพลง This is America เพื่อวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอเมริกา ซึ่งเป็นการเรียนภาษาวัฒนธรรม โดยไม่ต้องพึ่งตำราเรียน
เรื่อง: อสรา ศรีดาวเรือง

คุณครูภาษาอังกฤษกับแรปเปอร์ผู้มีความขบถ สองบทบาทอาชีพที่ดูจะไปกันไม่ค่อยได้ แต่ครูเอ็ม – จีรังกุล เกตทอง หรือ แรปเปอร์ในนาม  AKA NAZESUS กลับเลือกที่จะเดินไปพร้อมๆ กับสองฉากชีวิตที่ดูแตกต่างกันสุดขั้ว ด้วยความฝันที่อยากเป็นครูมาตั้งแต่วัยเด็ก ที่แยกไม่ออกจากความชอบในเสียงดนตรีและไรห์มแรป

แม้ช่วงแรกของการเป็นครู เขาจะโดนโลกของความจริงซัดความฝันเสียจนเกือบหมอบ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาล้มเลิกอาชีพครูเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขากลับใช้ความชอบและความสามารถในการแรปมาออกแบบห้องเรียนที่เขาเชื่อว่า

“ห้องเรียนที่ดี คือห้องเรียนที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว”

เขาบอกเราว่า การเป็นครูไม่จำเป็นต้องทอดทิ้งตัวตนเพื่อเป็นครูตามขนบ และเขาบอกว่า การเป็นครู ทำให้ NAZESUS ที่ครั้งหนึ่งเคยวางตนเป็นศูนย์กลางของโลก มองเห็นถึงหัวใจของผู้คนผ่านนักเรียนที่เป็นดั่งบทเรียนชั้นยอด เราจึงไม่พลาดที่จะมาชวนเขามาคุยในบทเรียนชีวิตตลอด 7 ปีของการเป็นครูเอ็ม แห่งโรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี ว่าเขาล้ม ลุก ต่อสู้ และดำรงอยู่อย่างไรในวิถีนี้

ความฝันของผม คือเป็นครูที่เฟี้ยวๆ

ครูคือสิ่งที่ผมฝันเอาไว้ ว่าอยากจะเป็นครูที่เฟี้ยวๆ ก็เหมือนกับ  GTO ในการ์ตูนที่ทำเท่ เฮ้วๆ ชวนเด็กสร้างสรรค์ แต่ความเป็นจริงมันอีกรูปแบบหนึ่งเลย เราเรียนรู้ความเป็นครูก็ตอนที่เป็นครูนี่แหละ ว่ามันแหกคอกไปไม่ได้ เพราะเด็กเขาดูเราอยู่ เราเป็นต้นแบบให้เด็กอีกมากมายไม่ใช่เฉพาะเด็กที่แก่นเซี้ยว  เรายังต้องเป็นแบบอย่างให้เด็กที่ตั้งใจเรียนเป็นหมอ หรือเป็น WHATEVER ที่เขาต้องการ พอแหกคอกไม่ได้ ก็อยู่กับมันและแหกคอกแบบลับๆ (หัวเราะ) นั่นคือเราเป็นตัวเองให้ได้ขณะเดียวกันกับที่เราต้องเป็นมาตรฐานให้กับทุกๆ คนด้วย 

ด่านแรกของครู คือละลายความกลัวของนักเรียน

ความกลัวระหว่างครูกับนักเรียนเป็นสิ่งที่ต้องตัดทิ้งไปให้ได้ ผมรู้สึกว่าครูไม่ค่อยจะคุยกับนักเรียนแบบมนุษย์ธรรมดาเสียเท่าไหร่ (หัวเราะ)  และเมื่อไหร่ที่เกิดความกลัว เด็กจะทำตามเราในแบบที่เขากลัว แต่ไม่ใช่แบบที่เขาต้องการจะทำ เราจะชอบสังเกตเวลาเข้าไปในห้องเรียน เด็กทุกคนเหมือนหุ่นกระบอก แค่พูดก็เหมือนหุ่นกระบอก ซึ่งการเรียนการสอนมันควรเป็นธรรมชาติมากกว่านี้ วิธีของเราคือ เข้าไปคุยกับเขาเหมือนคนปกติคุยกัน ไม่ต้องใส่กรอบให้เขาและไม่ต้องตีกรอบให้ตัวเองด้วย ผมเชื่อว่าครูใหลายๆ คน อยู่ข้างนอกเขาก็เป็นอีกแบบ อยู่ในโรงเรียนก็ต้องสวมหน้ากากความเป็นครูอีกแบบ แค่เราเป็นธรรมชาติและคุยกับเขาแบบที่มนุษย์คุยกับมนุษย์ ก็ละลายความกลัวของเขาได้แล้ว

 ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่คลอไปด้วยบีทดนตรี

เด็กจะจำอะไรได้ดี อย่างแรกเลยคือความประทับใจ การเอาแร็ปมาใช้กับกริยาสามช่องมันโอเคเลยนะ ตอนที่ผมเข้ามาสอนแรกๆ มันไม่มี RAP IS NOW หรือ THE RAPPER เด็กก็จะงงๆ แต่พอเด็กได้เปล่งเสียง ได้พูด ได้ตะโกนออกมา มันทำให้เขาได้ผ่อนคลาย ผมว่าเด็กเขาสนใจอะไรที่ไม่อยู่บนกระดานอยู่แล้ว พอเราเปิดเพลงเขาจะสนใจ เมื่อเขาผ่อนคลายแล้วเราจะสามารถหยิบยื่นอะไรให้เขาได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นเราก็เอาเพลงฮิปฮอปของเมืองนอกมาฉาย อย่างเพลง This is America ให้เขาดูว่า อะไรที่เพลงต้องการจะพูดถึงและเกิดอะไรขึ้นกับอเมริกา หรือลองเขียนประโยคที่จะอธิบายเรื่องราวของมิวสิควิดีโอที่เราเอามาเปิดสั้นๆ ว่าอะไรที่เขาคิดว่ามันแปร่งๆ หรือรู้สึกว่าไม่เวิร์คเลย

ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่ถามแค่ WHAT, WHY, HOW

วิชาภาษาอังกฤษมันไม่ได้สอนแต่ภาษาอังกฤษ มันสอนเรื่องวัฒนธรรมการใช้ชีวิตด้วย เราก็จะแทรกวัฒนธรรมไทยไปด้วยว่าจริงๆ แล้วไทยเป็นแบบนี้ ของเมืองนอกเขาเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงต่างกัน ทำไมจีนเวลากินเขาเรอได้อย่างเปิดเผย แต่ถ้าเราเรออาจจะโดนเพื่อนเขม่นเอาได้ ความต่างเหล่านี้เป็นเพราะอะไร ให้เขาคิดต่อยอดได้

จะมีอยู่สามคำถามที่ผมจะถามคือ What, Why, How ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกว่า เขาจะต้องหาคำตอบและตั้งคำถามให้กับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ให้เขาได้คิดมากกว่าการนั่งท่องศัพท์ เพราะศัพท์สมัยนี้มันหาง่าย มันไม่ต้องเปิดดิกชันนารี แค่ดูใน Google ก็ได้ทุกอย่าง แต่การจะได้ทุกอย่างตรงนั้นมันง่ายไป ผมมีความรู้สึกว่าในประเทศเราจะครูจะพ่อหรือแม่ก็ตาม เราจะยัดเยียด จะป้อน จะเป็นผู้บังคับในสิ่งต่างๆ มากกว่าให้เขาไปคิดเอง อันนี้มันผิดตั้งแต่แรกแล้ว

ชมรม RAP IS NOW ของครู NAZESUS

แร็ปไม่ใช่การมาด่ากันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ก่อนที่เขาจะแร็ปได้ต้องผ่าน hip-hop culture ก่อน ให้เขาสนุกไปกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เราเอามาเล่าให้ฟัง เพราะก่อนที่จะชอบอะไร เขาควรรู้สิ่งนั้นให้มากพอ มันสำคัญ แร็ปคือแรงบันดาลใจ เป็นที่ให้เขาได้คิด ถ้าคิดแล้วพูดออกมาเลยก็แค่นั้น

แต่แร็ปคือการคิดและเขียน เขียนไม่พอต้องเรียบเรียง เอาคำที่สละสลวยคล้องจองมาใส่ แล้วในระบบการคิด มันได้ตกผลึกบางอย่าง แต่ละบาร์ หรือทุกๆ สี่บาร์ มันมีการตกผลึกในตัวของมัน การฝึกคิดเช่นนี้จะทำให้เด็กคิดเป็นแบบแผนมากขึ้น คิดมากกว่าปกติที่คิดไปอีกระดับหนึ่ง

การเป็นครูมันเครียดในระดับหนึ่ง และสิ่งที่จะทำให้เรามีความสุขได้คืออะไรที่ไม่ใช่การเรียนการสอน เราก็ตั้งชมรม RAP IS NOW ขึ้นมาเพราะมันน่าสนุก ไม่ได้คิดว่ามันจะต้องวางแผนการสอนด้วยซ้ำ แต่พอเด็กเข้ามา เขามีไฟ ยิ่งรู้ว่าเราคือ NAZESUS เขายิ่งอยากเข้ามา แต่เราไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เขา มันไม่แฟร์ แต่พอเราเตรียมให้ มันก็ไม่แฟร์อีกแล้วเพราะเราปูให้เขามากไป กลายเป็นการเรียนการสอนอีกแล้ว เราเลยประยุกต์ให้มันเป็นโปรเจ็คท์ขึ้นมา พยายามให้เขาออกแบบด้วยตัวเอง โดยมีแค่เราเป็นที่ปรึกษาเท่านั้น

งานของครูไม่ได้มีแค่สอนหนังสือ

ผมเชื่อว่าครูทุกคนมีหน้าที่นอกเหนือจากการสอนคนละอย่างสองอย่าง มีเวรต้องนอน มีเอกสารต้องทำ เขาอาจจะลืมไปว่าครูมีการบ้านที่ต้องตรวจ มีการสอนที่ต้องออกแบบ มันสำคัญนะ เคยไหมที่เราไม่ได้ไปโรงเรียนแล้วเรารู้สึกว่าเราจะตามเพื่อนไม่ทัน ครูก็รู้สึกอย่างนั้น เราไม่สามารถทุ่มเทการสอนในคาบนี้ได้ ในคาบถัดๆ ไปก็จับจังหวะไม่ถูก มันก็ทำให้เราเป๋เลย และด้วยหน้าที่และสิ่งที่มันมารุมเร้าโดยเฉพาะการประเมินต่างๆ ในประเทศนี้ มันไม่ใช่แค่การประเมินตัวเอง แต่มันประเมินยิบย่อย

ผลสุดท้ายพวกเขาก็มาดูแค่หน้างาน ดอกไม้สวยๆ ที่เอาไปตั้ง เล่มเอกสารที่เอาไปวาง รูปภาพที่เขาเปิดดูแล้วเขาก็จากไป โดยที่เขาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากการเตรียมการภายใน 1 อาทิตย์

เราไม่เกี่ยงที่จะถูกประเมิน แต่ว่ามาประเมินที่การสอนเลย ท่านมากันที่โรงเรียน มาเดินดูเลยไม่ต้องบอกพวกเราก่อน มาดูว่าพวกเราสอนกันยังไง ไม่ใช่แค่วันเดียวแล้วกลับ มาดูกันเป็นเดือนเลยก็ได้เพราะทรัพยากรคนของพวกท่านเยอะมาก เและจุดมุ่งหมายจริงๆ มันแค่ต้องเห็นศักยภาพของเด็กกลุ่มหนึ่ง แต่ทั้งโรงเรียนมีเด็กเป็นพัน มันไม่ใช่มีแค่ 50 คน อันนี้หรือเปล่าที่คุณควรจะต้องทำ ประเมินเรื่องจริงดีไหม  

อำนาจในมือครู

เคยได้ยินไหมว่าถ้าอยากเห็นคนคนนั้นเป็นแบบไหน ให้ยื่นอำนาจให้เขา ครูก็เหมือนกันนะเขารู้ว่าเขามีอำนาจกับเด็ก และอำนาจมันสำคัญตรงที่เราเป็นคนที่มีพลังในการพูด สั่งอะไรเด็กก็ได้ ชี้อะไรเขาก็ทำ และเราก็เคยใช้อำนาจนั้น เพราะตอนเราเป็นครูมันก็ยังไม่ได้มีกฎห้ามตีกัน

ครั้งหนึ่งเราเห็นเด็กนักเรียนกดลิฟต์ลงมา เราอยู่ชั้นสี่เพิ่งสอนเสร็จ ร้อน เหนื่อย อยากจะลงลิฟต์ พอลิฟต์ลงมาถึงและประตูเปิดได้หน่อยหนึ่ง นักเรียนรีบกดปิดแล้วรูดลิฟต์ลงไปเลย เราโมโหมาก วิ่งตามไปจนถึงชั้น 1 รอลิฟต์เปิด พอเด็กออกมาเราก็โมโห เราก็ตีเขา ตีก้นเขา ซึ่ง … มันรู้สึกแย่จนถึงทุกวันนี้

เพราะอันนั้นมันไม่ใช่การสั่งสอน ไม่ใช่ห่าอะไรเลย มันคืออารมณ์ พอตีเสร็จ เรารู้เลยทันทีว่าเราผิดละ เฮ้ย เราทำอะไรวะ เรากำลังเป็นในสิ่งที่เราไม่ชอบ มันไม่ใช่แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าพลาด นักเรียนคนที่ผมตีตรงนั้นเขาก็เป็นครูให้ผมว่าอย่าทำแบบนี้อีก

โรงเรียนกึ่งเผด็จการ

โรงเรียนปกครองแบบกึ่งเผด็จการนะ เพราะในความเป็นเผด็จการ มันมีการเลือกตั้ง (หัวเราะ) แต่ว่าการเลือกตั้ง ประธานนักเรียนก็ไม่ได้ใช้กระบอกเสียงของเขาเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับโรงเรียนได้อยู่ดี ผลสุดท้ายแล้วการเลือกตั้งประธานนักเรียนขึ้นมามันเหมือนการให้เด็กเล่นเลือกตั้ง จำลองให้ได้กา ได้เอาประธานขึ้นมานั่ง แล้วฟังครูกำหนดสิ่งต่างๆ ให้ไปทำ เอาง่ายๆ นโยบายของประธานนักเรียนที่หาเสียงในโรงเรียน มันเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน

ครูคือผู้ชี้ทางแต่ไม่ชี้นำ

ผมว่าครูคือคนที่เป็นมาตรฐานบางอย่างให้กับเด็ก ไม่จำเป็นต้องเก่งแบบโอเวอร์ ดุเวอร์ ครูเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งให้ได้ก่อนแล้วนำความธรรมดาๆ ของคุณมาเล่าให้เด็กฟัง ผมว่าครูคือคนชี้ทาง แต่ไม่ชี้นำ ครูไม่จำเป็นต้องไปพูดว่าโลกมันเป็นแบบนี้ ให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง ผมว่าเขาอาจจะตัดสินใจผิดก็ได้นะแต่สุดท้ายเขาจะเรียนรู้มันเอง แต่เมื่อไหร่ที่เราสามารถทำให้เขาเข้าใจตัวเองได้ด้วยวิธีใดก็ตาม วิชาสามัญทั้งหลายมันเป็นเรื่องรองด้วยซ้ำถ้าเทียบกับชีวิตที่เขาจะต้องเจอในอนาคต การที่เราบอกเขาได้ แนะนำเขาได้ ทำให้เขาค้นหาตัวเองได้ มันสำคัญกว่าการป้อนวิชาเหล่านี้ด้วยซ้ำ คือการชี้นำมันคือทางเดียว แต่ทางเราชี้ทาง เราชี้กี่ทางก็ได้ให้เขาเลือกเอง

บทเรียนสุดท้ายของ NAZESUS ผู้หลงตัวเอง

NAZESUS ผู้หลงตัวเอง ผู้คิดว่าตัวเองเก่ง เราก้าวร้าวพอสมควรและคิดว่าตัวเองเจ๋งไปหมด เทียบกับตอนนี้มันคงต่างกันมากพอสมควรแต่ไม่ทั้งหมดนะเพราะเรายังมีอีโก้ เพราะถ้าไม่มีเราคงไม่แร็ป เรายังเชื่อมั่นในแร็ปของตัวเอง สิ่งที่ต่างออกไปคือ เรามองโลกกว้างขึ้น เรามองว่าคนอื่นดี เรามองว่าคนอื่นเก่ง เจ๋ง และเขาเป็นพลังให้เราได้ เราไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของโลกอีกต่อไป พอมาที่โรงเรียนเราเจอลูกของคนหลายพ่อพันแม่ นิสัยก็ต่างกัน ความที่เด็กเป็นผ้าขาวเปื้อนสีมาในแบบของเขา นั่นเหมือนเราเห็นกระจกสะท้อนตัวเองทุกวัน บางอย่างในตัวเรามันเปลี่ยนไป

เราอยู่กับแร็ป อยู่กับตัวเอง อยากจะพูดระบายในมุมมองของกู แต่พอได้อยู่กับนักเรียน มันไม่ใช่แค่มุมมองกูแล้ว มันกลายเป็นมุมมองของทุกคน แน่นอนว่าเพลงที่ออกมาหลังจากที่เป็นครูแล้วมันอ่อนลงเรื่อยๆ จากที่พูดถึงด้านดาร์คเต็มที่ มันค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นเราทำเพลงเพื่อให้อะไรกลับไปสู่สังคมบ้าง

Tags:

ดนตรีRapperจีรังกุล เกตทองครูศิลปิน

Author:

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Voice of New Gen
    WISHDOM: ไอดอลสายการศึกษา ไม่เสียการเล่น เน้นการเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ความสำเร็จแชมป์บีบอยพระสุเมรุ ‘แพ้มันเข้าไป ไฟห้ามหมด’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New Gen
    บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ: เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Voice of New Gen
    รักที่จะแร็ป: เส้นสีแดงแห่งไรม์ และด้านมืดสว่างของแร็ปเปอร์

    เรื่อง

“ภูเขาหัวโล้น เพราะปลูกข้าวโพดเลี้ยงไก่ เรากินไก่ แล้วใครทำลายป่า? เฮ้ย เรานี่หว่า” วิชาธรรมชาติของแตง อาบอำไพ รัตนภาณุ
Voice of New Gen
1 March 2019

“ภูเขาหัวโล้น เพราะปลูกข้าวโพดเลี้ยงไก่ เรากินไก่ แล้วใครทำลายป่า? เฮ้ย เรานี่หว่า” วิชาธรรมชาติของแตง อาบอำไพ รัตนภาณุ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • แตง-อาบอำไพ รัตนภาณุ อดีตครีเอทีฟบริษัทเอกชน ผันตัวเป็นนักเรียนวิชาธรรมชาติและศาสตร์พระราชา ศึกษาและอาสาทำงานเพื่อให้พื้นป่ากลับมา ตั้งแต่วันแรกที่เห็นภาพภูเขาหัวโล้น
  • เมื่อออกเดินทางไปเรียนรู้ในวิชาธรรมชาติ โดยการลงพื้นที่ ฟังและพูดคุยกับชาวบ้าน ไปเห็นปัญหาจริงด้วยตาตัวเอง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แตงลุกขึ้นจัดสรรพื้นที่ข้างบ้านด้วยวิธี ‘โคกหนองนา’
  • จากเดิมเมื่อแตงเรียนจบไปมีชีวิตของตัวเอง ไม่มีอะไรจะคุยกับครอบครัวมากนัก นอกจากการถามไถ่ทั่วไป ‘กินข้าวนะ’ ‘กลับบ้านนะ’ แต่เมื่อเปลี่ยนชีวิตมาทำงานตรงนี้ ทำให้แตงมีเรื่องคุยกับพ่อแม่มากขึ้น คุยกันเรื่องสวน มันเป็นพื้นที่ฟื้นความสัมพันธ์ในครอบครัว

จากนิสิตศิลปะการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตครีเอทีฟบริษัทเอกชน ผันตัวเป็นนักเรียนวิชาธรรมชาติและศาสตร์พระราชา ความพิเศษของห้องเรียนนี้คือมันเคลื่อนที่ได้ เธอนิยามว่าคือ ‘มหา’ลัยสี่ล้อ’ เคลื่อนที่พาเธอและทีมงานศึกษาทั้งพื้นที่เขียวชอุ่มและแห้งแตกเป็นดินดานเกือบทั่วประเทศ

ประสบการณ์การเดินทางและเรียนรู้ใน ‘มหา’ลัยสี่ล้อ’ ไม่เคยทำให้อดีตครีเอทีฟเข็ดขยาด แต่ยิ่งอยากส่งต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

แตง-อาบอำไพ รัตนภาณุ นอกจากจะเป็นลูกศิษย์และเลขาฯ อาจารย์ยักษ์-วิวัฒน์ ศัลยกำธร, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อดีตประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง และอดีตประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ บุคคลสำคัญที่มีบทบาทสำคัญขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สู่ภาคปฏิบัติโดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนามนุษย์, ปัจจุบันแตงเป็นอาจารย์พิเศษหลักสูตรผู้ประกอบการสังคม สถาบันอาศรมศิลป์ เป็นครูโรงเรียนประถมและมัธยมที่โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย (ชื่ออย่างเป็นทางการ ศูนย์การเรียนกสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง) เป็นนักออกแบบกระบวนการ และสำคัญที่สุด เธอคือนักทดลอง

The Potential เคาะประตู (บุก) บ้านชวนแตงคุย เหตุใดคนหนุ่มสาว อดีตครีเอทีฟไฟแรงจึงเลือกเส้นทางใหม่ศึกษาศาสตร์พระราชา และแอบรู้มาว่าเธอจัดสรรพื้นที่รกร้างข้างบ้านขนาด 80 ตารางวา ทำเป็น ‘โคก หนอง นา’* ขนาดย่อม แตงตั้งใจไม่ล้อมรั้วเพื่ออยากให้เป็น ‘สวน’ สาธารณะในชุมชน ไม่ว่าใครก็เข้าไปใช้ประโยชน์ได้

ก่อนจะมาทำงานด้านเกษตรยั่งยืนและทำงานกับมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ คุณทำอะไรมาก่อน

เราจบศิลปะการละคร เอกกำกับการแสดง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ประมาณปี 55 ทำงานเป็นครีเอทีฟ บริษัทอีเวนต์แห่งหนึ่ง ขณะนั้นทำงานโปรเจ็คต์พิเศษด้าน CSR (Corporate Social Responsibility ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ขององค์กร) ร่วมกับสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง และมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ เลยได้มีโอกาสรู้จักกับอาจารย์ยักษ์ ทำสกู๊ปทีวี เราจึงต้องสัมภาษณ์อาจารย์ยักษ์และตามไปลงพื้นที่ด้วย ซึ่งครั้งนั้น อาจารย์บอกให้ไปดูพื้นที่ป่าต้นน้ำ ที่ลุ่มน้ำป่าสักว่ามันเป็นยังไง ได้เดินทางไปอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ กับทีมสถาบันฯ และมูลนิธิฯ ซึ่งทีมงานก็จะนำเราไปในพื้นที่และไปสัมภาษณ์คนโน้นคนนี้

เฉพาะตอนที่ยังเป็นครีเอทีฟ คนจบใหม่คนนั้นมีมุมมองต่อเรื่องพวกนี้อย่างไร

เราอินเรื่องธรรมชาติสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เราเคยดูคลิปฉลามโดนตัดครีบ หมีโดนตัดอุ้งตีน แล้วรู้สึกสะเทือน เศรษฐกิจพอเพียงเป็นคำที่ได้ยินมานาน แต่ไม่ได้สนใจ พอได้ฟังอาจารย์พูดถึงเศรษฐกิจพอเพียงตอนสัมภาษณ์ รู้สึกว่าอาจารย์เป็นคนที่อธิบายเรื่องนี้ไม่เหมือนใคร เข้าใจง่าย ไม่ได้อธิบายแต่ทฤษฎี แต่ทำให้เห็นว่ามันเชื่อมโยงกับเรายังไง เอาไปใช้ยังไง พอฟังอาจารย์พูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง มันเลยเกิดความรู้สึก ‘เข้าใจได้’ ขึ้นมาว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเอามาใช้พัฒนาประเทศทุกๆ ด้าน ไม่ใช่แค่การพัฒนาทางเกษตรอย่างเดียว นั่นก็โดนเราอีก ยังไงดี…คือเราสนใจเรื่องการทำให้ประเทศมันดีขึ้น

แต่ไม่ได้ปฏิเสธทุนนิยม?

ไม่ได้ปฏิเสธทุนนิยม ด้วยหลักการของเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ปฏิเสธทุนนิยม แต่ไม่ได้เอาทุนนิยมนำ

หลังจากพูดคุยกับอาจารย์ แล้วยังไงต่อ?

หลังจากสัมภาษณ์อาจารย์ ก็สนใจจะฟังอาจารย์อีก สนใจจะศึกษาเรื่องนี้ ด้วยความเนิร์ดส่วนตัวของเรา พอลงพื้นที่ไปดูป่าต้นน้ำ สิ่งที่เห็นคือภาพภูเขาหัวโล้น ซึ่งตอนนั้นเป็นปี 2557 นะ ยังไม่มีใครพูดเรื่องภูเขาหัวโล้นเลย อาจจะเป็นที่รู้กันในหมู่นักสิ่งแวดล้อมแต่สังคมยังไม่รับรู้นัก

พอเราไปถึงแล้วเห็นว่ามันเป็นภูเขาหัวโล้น ทีมพื้นที่ที่ดูแลให้ข้อมูลว่า มันเคยเป็นป่ามาก่อนนะ ซึ่งเราก็จินตนาการไม่ออกว่าป่าเขียวๆ มันกลายเป็นพื้นที่สีน้ำตาลทั้งหมดนี้ได้ยังไง และมันไม่ใช่แค่ลูกเดียว แต่มันคือ 360 องศา หมุนรอบตัวเรา มองไปไกลแค่ไหนก็ยังเป็นสีน้ำตาลทั้งหมด เชื่อไหมว่าตลอด 2 ชั่วโมงในการนั่งรถไถของชาวบ้านขึ้นไปเพื่อดูพื้นที่หาโลเคชั่นถ่ายทำ มันเป็นวิวแบบนี้ทั้งหมดแค่พื้นที่สูงขึ้นไป เราไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นเรื่องนี้มาก่อน เราไม่รู้จริงๆ ว่ามันเป็นเพราะอะไร

ภาพเหล่านั้นเชื่อมโยงกลับมาที่ตัวเองยังไง

เราถามพี่ๆ ในทีมว่าเขาปลูกอะไรกัน เขาตอบ ‘ข้าวโพด’ ตอนนั้นเป็นฤดูเผาพอดี เราเห็นซากไหม้ๆ ที่ถูกเผา มันเป็นภาพที่โคตรเศร้า เราถามเขาอีกว่า เขาปลูกข้าวโพดไปทำอะไร คำตอบคือ ‘เอาไปทำอาหารสัตว์ ให้ไก่กิน’ เราจำได้เลยว่า วันนั้นเราลงรูปในอินสตาแกรม แคปชั่นว่า “ตัดป่า ปลูกข้าวโพด ข้าวโพดไปเลี้ยงไก่ เรากินไก่ ใครทำลายป่า?” คำตอบคือ ‘เรานี่หว่า’ มันสะท้อนกลับมาที่ตัวเอง เฮ้ย เรานี่หว่าที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำลายป่า รู้สึกยอมไม่ได้ที่เป็นคนหนึ่งในการทำลายป่าทางอ้อม

จากนั้นไปคุยกับชาวบ้าน ลงไปถึงทางแยกของแม่น้ำป่าสัก เขามีป้ายเขียนว่าต้นน้ำป่าสัก แต่มันไม่ใช่ต้นน้ำแบบ original ตาน้ำนะ แต่เป็นทางที่แม่น้ำมาบรรจบกันซึ่งเรียกว่า แม่น้ำสองสี ที่เป็นแม่น้ำสองสีเพราะฝั่งหนึ่งน้ำใส อีกฝั่งน้ำขุ่น เราก็ถามเขาว่า ทำไมด้านหนึ่งใส ด้านหนึ่งขุ่น เขาบอกว่า มองเลยไป ตรงนั้นเป็นภูเขาหัวโล้น ส่วนฝั่งที่ใสยังเป็นป่าอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พอตัดป่าและปลูกข้าวโพด น้ำฝนมันตกมา พาเอาดินตะกอนและสารเคมีไหลมากับน้ำด้วย พอแม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน ปรากฏว่าน้ำขุ่น น้ำใสสู้น้ำขุ่นไม่ได้ ยิ่งฝนตกแรง ก็จะเกิดดินโคลนถล่มทับหมู่บ้านข้างล่างอีก

ภาพภูเขาหัวโล้น ขณะลงพื้นที่ครั้งแรกในฐานะครีเอทีฟ

เสร็จแล้วเราสัมภาษณ์ชาวบ้านต่อ คือวันนั้นพยายามหาคำตอบว่า คุณได้รับผลกระทบโดยตรงจากการตัดป่าที่อยู่เหนือบ้านตัวเอง แต่ก็ยังทำ เป็นเพราะอะไร เขาถามเรากลับว่า ‘แล้วจะให้ปลูกอะไร?’ มันเป็นคำตอบที่ง่ายและสั้นมาก แต่จังหวะนั้นมันสะเทือนเรามากเลย ทำให้เราปิ๊งขึ้นมาทันทีเลยว่า ‘เออนี่ไง เขาไม่รู้’

ทริปนั้นเราไปหลายอำเภอมาก ไปเขาค้อด้วย ซึ่งพอไปเขาค้อก็ยังเห็นภาพแบบเดิมอีก เราโวยวายแล้วอะ “เฮ้ย มันจะเยอะแยะอะไรขนาดนี้” มันไม่ใช่แค่ที่เดียวนี่หว่า แสดงว่าเรื่องนี้มันใหญ่มาก

คำถามมากมายที่เกิดระหว่างลงพื้นที่ ภาพภูเขาหัวโล้นที่อยู่ตรงหน้า การสืบค้นความจริง ทำให้เห็นอะไรบ้าง

พบว่าเกษตรกรเลือกปลูกข้าวโพดเพราะมันง่าย มันเหมือนแพ็คเกจมือถือ แค่สมัคร ที่เหลือได้ทุกอย่าง เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยา มีคนเอามาให้ถึงบ้าน เสร็จแล้วไม่ต้องไปขายที่ไหน มารับซื้อถึงบ้าน

จังหวะที่เห็นภาพความเชื่อมโยงทั้งหมด มันสะท้อนใจ รู้สึกว่า เราเองก็ไม่ได้ทำอะไร ทั้งๆ ที่เราเองมีส่วนทำให้มันเกิดขึ้น วันนั้นพอกลับมาถึงบ้าน เปิดก๊อกน้ำที่บ้านอาบ น้ำไหลโคตรง่าย แต่ก๊อกน้ำที่หมู่บ้านนั้น เปิดเท่าไหร่ น้ำก็ไม่ไหล ทั้งๆ ที่เป็นพื้นที่ต้นน้ำ

จำได้เลยว่า วันนั้นเราร้องไห้ในห้องน้ำ เรารู้สึกว่าชีวิตเราแม่งโคตรง่าย แล้วเราทำอะไรอยู่ (น้ำตาคลอ) เราต้องทำอะไรสักอย่าง เราคือคนที่ประเทศนี้ให้ไปเรียนหนังสือนะ เรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อ่านหนังสือตั้งมากมายเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรียนจนจบปริญญา ได้เกียรตินิยม แล้วเราทำอะไรอยู่?

ตอนนั้นเราทำงานมาได้สองปี แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ทำงานแปดชั่วโมงต่อวัน สิ้นเดือนได้เงิน ครบเดือนก็ใช้เงินหมด วนอยู่อย่างนี้ 2 ปี ถามตัวเองว่า ‘เรียนมาทำไมวะตั้ง 20 กว่าปี’ มันเป็นความคิดแบบนั้น เลยรู้สึกว่าอยากทำตัวเองให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ แล้วก็คุยกับทีมสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง สุดท้ายก็เลยลาออกมา

ขณะนั้นคุณอยู่ในฐานะกึ่งๆ สื่อมวลชน บทบาทหน้าที่อย่างหนึ่งก็ได้ทำเพื่อสังคมอยู่แล้ว?

ใช่ ตอนนั้นเราก็ได้ทำได้พูดผ่านสื่ออยู่แล้ว ถ่ายทำเสร็จกลับมาตัดต่อก็คิดนะ ทำยังไงให้สื่อออกไปแล้วเป็นประโยชน์มากที่สุด ไม่อยาก aggressive ไม่อยากทำออกมาแค่สื่อว่า แย่แล้ว มีภูเขาหัวโล้นเยอะมากจ้า แต่ว่า (นิ่งคิด) เราอยากใช้ความสามารถของเรามากกว่านี้ มากกว่าแค่ได้พูดมันออกไป เราอยากทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจริงๆ ไม่อยากแค่พูดในฐานะสื่อ แล้วรอให้คนอื่นไปทำ

ที่ว่า ‘อยากใช้ความสามารถของตัวเองมากกว่า’ คุณอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไร

ป่าหายต้องปลูกป่าคืนมา ตอนนั้นคิดแค่นั้นเลย อยากรู้ว่าเรื่องนี้ต้องแก้ยังไง ใครต้องทำอะไรบ้าง อยากลงมือทำด้วยตัวเอง

หลังออกจากงาน ทำอะไรต่อ

ทำโปรเจ็คต์แรกในนามสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ชื่อ ‘กล้า ท้า เปลี่ยน’ เป็นโครงการหนึ่งใน active citizen ของ สสส. เสนอว่าเราอยากทำค่ายที่มีคีย์เวิร์ดมาจากคำว่า ‘เราไม่อยากเห็นภาพนี้คนเดียว’ รับสมัครคนจากในเฟซบุ๊คและออกบูธประมาณ 2 ที่เท่านั้น มีคนสมัครเข้ามาประมาณ 150 คน

จัดที่เพชรบูรณ์ พาไปดูเขาหัวโล้น พาไปนอนดูดาว พาไปคุยกับอาจารย์ยักษ์ พี่โจน จันได และอีกหลายๆ คน ให้รู้ความเชื่อมโยง ให้ได้เจอ ให้ได้คุยกับชาวบ้าน ให้ได้อยู่ในสภาพนี้ และให้ช่วยกันเสนอทางแก้ไข สุดท้ายให้จับจอบ ลงมือทำตามแนวทางศาสตร์พระราชา

การพาคนไปเห็น จะเกิดอะไร

หนึ่ง-เปิดตา เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น และถ้าเขาได้รับเนื้อหา เขาได้จะ สอง-เปิดโลก เปิดโลกเปิดสมอง รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ เห็นความเชื่อมโยง เห็นวัฏฏะของมัน เขาจะรู้ว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของระบบ สาม-เปิดผัสสะ คือได้ทำได้สิ่งที่ไม่เคยทำ

เราคิดและสังเกตว่า วิถีชีวิตคนรุ่นเราถูกตัดออกจากธรรมชาติ เพราะเราแค่ไม่รู้จักและไม่เคยอยู่ ปกติเราเองสมัยเรียนใช้ชีวิตวนอยู่ 3 ที่ คือ บ้าน โรงเรียน ที่เรียนพิเศษอยู่ในกรุงเทพฯ เวลาออกไปเที่ยวก็ได้เห็นแต่ภาพดีๆ แต่เราไม่เคยเห็นภาพของประเทศมุมนี้ที่ถูกซ่อนไว้ เราคิดว่ามันเป็นภาพที่ซ่อนไว้นะ เพราะมันไม่ได้ถูกโปรโมท ไม่ถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นที่ต้องเร่งแก้ แต่พอปี 59 เรื่องนี้ก็ดังขึ้นมา คนก็เริ่มรับรู้มากขึ้น

ในฐานะคนหนุ่มสาวซึ่งมีอาชีพมั่นคง ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาทำก็ได้ มีหน่วยงานที่ทำงานเรื่องนี้โดยตรงทำงานอยู่แล้ว

ตอนที่เห็นภูเขาหัวโล้น เราตั้งคำถามขึ้นในใจ ใครต้องเป็นคนแก้ปัญหานี้ ชาวบ้านคนที่ตัดป่าเหรอ กรมที่ต้องดูแลป่าไม้เหรอ รัฐบาลเหรอ หน้าที่ใคร ทำไมไม่ทำ? สุดท้ายมันกลับมาที่ ‘ใครแก้ไม่รู้ รู้แต่กูซวย’

คือถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาแก้เองในวันนี้ ปัญหาจะวิกฤติไปเรื่อยๆ และอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า ในวันที่เราต้องโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ต้องดูแลประเทศต่อ ปัญหาคงยิ่งแย่มากกว่านี้ ในวันนั้นถ้าเราไม่มีความรู้ว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง เราก็ตายแน่ ไม่มีทางอื่น

พอศึกษาเรื่องพวกนี้ ต้องเจอกับปัญหาโครงสร้าง การชนกับนายทุนผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ และความซับซ้อนอื่นๆ คำถามคือ ‘แก้ที่เราก่อน’ ก็จริงอยู่ แต่ถ้าโครงสร้างหรือหน่วยงานข้างบนไม่แก้ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดได้จริงแค่ไหน

อืม… (คิด) เรายังเชื่อในพลังคนเล็กคนน้อยนะ บวกกับประสบการณ์ทำงานประมาณ 4 ปีของเราหลังจากมีโอกาสไปช่วยงานปฏิรูปประเทศ ซึ่งอาจารย์ยักษ์เข้าไปนั่งในสภาปฏิรูปฯ ด้านสิ่งแวดล้อมและด้านการศึกษา ตอนแรกก็คิดว่า โห… นี่แหละคือไม้กายสิทธิ์ แต่สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ มันไม่มีจริง ไม่มีคำสั่งจาก ‘ฟ้า’ ผ่าลงมาแล้วทุกอย่างจะดี ปัญหาจะได้รับการแก้ไข ไม่จริง ไม่มีสิ่งนั้น

หรืออย่างตอนนี้ทำงานกับกระทรวงฯ ก็ยิ่งได้เรียนรู้ว่า ระบบราชการมีความซับซ้อนสูงมาก สิ่งที่ทำได้ก็กลับมาที่ตัวเรา ‘อีกแล้ว’ (เน้นเสียง) กลับมาที่มือเรา ที่เครือข่ายนี่แหละ เพื่อนเรานี่แหละ เวลาพูดคำว่าเครือข่าย มันเหมือนแบบ… ม็อบรึเปล่านะ? หรือขายตรง? เราเลยชอบใช้คำนี้มากกว่า ‘เพื่อนเรา’ เพื่อนเราซึ่งอายุมากกว่า น้อยกว่า อะไรก็ตาม แต่นี่คือเพื่อนที่มีความคิดเดียวกัน ความฝันเดียวกัน และไม่ใช่แค่ฝัน แต่เราลงมือทำด้วย

จากนิสิตการละครมาเป็นนิสิตศาสตร์พระราชา เข้าใจว่ามีความรู้ที่ต้องศึกษาใหม่เยอะมาก เริ่มอย่างไร

ช่วงแรกๆ ที่ลาออกแล้วมาช่วยงานอาจารย์ยักษ์ เราใช้วิธี ‘ขอตามไปทุกที่’ เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นการเรียนแบบ ‘มหา’ลัยสี่ล้อ’ คือรถตู้ของอาจารย์ยักษ์นั่นแหละ หลับไม่ได้ด้วยนะ ระหว่างเดินทาง-เราถาม พอลงพื้นที่-เราเห็นแล้วก็ฟัง จดแล้วก็ถาม มีแค่นี้จริงๆ

ซึ่งการติดตามอาจารย์ เราไม่ได้ลงพื้นที่ภาคสนามอย่างเดียว แต่ได้ไปตั้งแต่งานเสวนาวิชาการ งานบรรยาย งานอบรมเกษตรกร อบรมคนเมือง อบรมข้าราชการ งานประชุมระดับนโยบาย คือต้องมีเสื้อผ้าหลายสไตล์เลย

เพราะฟัง ลงพื้นที่ และเห็นกับตา จึงเป็นเหตุผลที่ลุกขึ้นจัดสรรพื้นที่ข้างบ้านด้วย ‘โคก หนอง นา โมเดล’?

ใช่ๆ (ยิ้ม) ด้วยความที่ลูกศิษย์ของอาจารย์ยักษ์กลุ่มแรกๆ คือเกษตรกร กลุ่มหลังๆ มานี้คือคนเมือง คนเมืองอย่างเราจะถูกตราหน้าว่า ‘มึงทำไม่เป็นหรอก’ แม้เราเป็นคนที่ฟังอาจารย์เยอะ แต่พูดไป เขาก็ไม่เชื่อ เพราะเราไม่ใช่เกษตรกร เราก็รู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากการพิสูจน์ตัวเอง ไม่ได้แค่ฟัง จำ แล้วไปพูดต่อ แต่เราทำมันกับมือ เห็นมันโต มันเป็นการเรียนรู้ที่ลึกกว่า

อย่างตอนแรกที่ปลูกมะนาว ทำยังไงมันก็ไม่ออกดอก เราก็เลย ‘ขุดคลองไส้ไก่’ เลียนแบบที่เคยไปขุดดินบ้านคนอื่นเขา แต่แปลงแรกที่บ้านเราแค่กว้าง 2 เมตร ยาวไม่ถึง 4 เมตร ใช้แวก หรือจอบไซส์เล็กขุดทางน้ำแปลงเล็กๆ จากจุดที่พ่อใช้ล้างรถซึ่งสังเกตว่าจะมีน้ำหยดติ๋งๆ ตลอด ทำทางน้ำผ่านตะไคร้ ข่า เพื่อมาหามะนาว ปรากฏว่ามันดีขึ้น ครั้งแรกที่เริ่มทำเลยแบบ จริงว่ะ… ต้องบำรุงดินด้วยน้ำหมักจุลินทรีย์ ต้องกระจายความชุ่มชื้น


ความหมายและปรัชญาของ ‘โคก หนอง นา โมเดล’ เพื่อการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดย What2Grow NECTEC

อันนี้เป็นแค่แปลงเล็กๆ แต่โคกหนองนาข้างบ้าน เข้าใจว่าต้องใช้แรงงานจัดสรรพื้นที่พอสมควร

มันอาศัยแรงงาน แต่นานๆ ที หรือแค่ช่วงบำรุงดินในช่วงแรกเท่านั้น แต่หลังจากนั้นเราเลือกพันธุ์ไม้ที่เขาดูแลตัวเองได้ พึ่งตัวเองได้ ไม่ต้องประคบประหงม ก็ไม่ต้องใช้แรงมาก แต่ถ้าคุณจะปลูกผักสลัดหรืออะไรที่ต้องรดน้ำทุกวันก็จะอีกแบบหนึ่ง อยู่ที่ว่าคุณเลือกใช้ชีวิตแบบไหน ถ้าคุณมีเวลาอยู่ดูแลก็โอเค แต่ถ้าไม่มีเวลาแบบเรา ต้องทำงานต่างจังหวัดตลอด ก็ต้องเลือกอะไรที่ ‘ปล่อยแม่งเลย’ อย่างกล้วยนี่ก็ไม่เคยปลูกอีกเลยเพราะมันขึ้นมาเอง

วันแรกที่บอกพ่อแม่ว่าจะทำโคกหนองนา มีฟีดแบคยังไง

เขาก็รอดูว่าจะเลิกเมื่อไร (หัวเราะ) เป็นอารมณ์แบบ มันจะไปได้สักกี่น้ำ เดี๋ยวมันก็เลิก ไม่ได้ค้าน แต่ไม่ได้สนับสนุนตั้งแต่แรก เช่น พ่อไม่ให้ทำน้ำหมักเพราะกลัวสกปรก แต่พอทำแล้วเขาได้กินกล้วย มะละกอ มะนาว เยอะแยะ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะ การได้กินเนี่ย คือคำว่า ‘เห็นผล’ ต้องได้ผลอะ

หรืออย่างเช่น เขาเป็นคนที่หวงหญ้ามาก ชอบหญ้านวลน้อย ไม่ชอบหญ้าแห้วหมู พ่อเคยเอายาฆ่าหญ้ามาฉีดฆ่าแห้วหมู ซึ่งเราโกรธมาก เราทำงานต่อต้านเรื่องพวกนี้อยู่อะ เราก็แบบ “ไม่ได้ เอาออกไปจากบ้าน” เขาก็ไม่ยอม เสร็จแล้วหญ้าทั้งสองชนิดก็เริ่มตายเป็นวงเหมือนสนามเป็นกากเกลื้อน เราก็เลยไปหาความรู้ พบว่ามันเกิดจากดินปิด น้ำหมักนี่แหละช่วยได้ เราก็ อะ… เข้าทาง ก็เอาน้ำหมักที่หมักไว้นี่แหละฉีด มันก็คือการเอาจุลินทรีย์มาลงดินแล้วให้เขาทำงานเอง พอมันทำงาน หญ้านวลน้อยก็กลับมา พ่อตกใจ “เฮ้ย น้ำหมักอะไร”

น้ำหมักเปลี่ยนชีวิต!

ประมาณนั้น…

พอเราเปลี่ยนชีวิตมาทำงานตรงนี้ ก็มีเรื่องคุยกับพ่อแม่มากขึ้น เราก็เป็นเด็กปกติที่พอเรียนจบแล้วก็มีชีวิตของเรา ช่วงทำงานก็คุยกับเขาน้อยลง ไม่มีอะไรจะคุยนอกจากแบบ ‘กินข้าวนะ’ ‘กลับบ้านนะ’ แต่พอมีเรื่องนี้ เรามีอะไรคุยกัน มันเลยเป็นสวน เป็นพื้นที่ฟื้นความสัมพันธ์ในครอบครัว

เป็นพื้นที่ที่เพื่อนก็มากินข้าวแม่ มาลงแขกแลกแรงกัน เลยเรียกว่าสวนของเพื่อน เพราะว่าเพื่อนทำ เราทำน้อยมากเลย (หัวเราะ)

อยากทำพื้นที่แบบนี้เพื่อพิสูจน์อะไรรึเปล่า?

คิดว่าในกรุงเทพฯ ต้องมีสักที่ที่พิสูจน์สิว่า โคกหนองนาทำได้ทุกที่ และการปลูกอะไรแบบนี้มันง่ายนะ ใครก็ทำได้

ทำไมต้องมีพื้นที่แบบนี้ในเมือง

มีคนเมืองเยอะที่สนใจและไปสัมภาษณ์ ไปเรียนกับอาจารย์ยักษ์ คนมักถามว่าทำยังไง มีตัวอย่างให้ดูมั้ย? จะไปดูที่มาบเอื้องอยู่ชลบุรีก็ไกล เลยอยากเห็นพื้นที่แบบนี้ในกรุงเทพฯ อยากให้เห็นว่ามันย่อขนาดได้ สนุกได้ ไม่ได้ใช้ตังค์เยอะ เพราะไม่มีตังค์ แต่โชคดีที่มีที่ของเรา ก็ใช้พื้นที่ที่เรามี พึ่งตัวเอง

มีครั้งนึงไปร้านกาแฟ เห็นเด็กต้องมาเล่นในร้านกาแฟ เศร้านะ คือที่วิ่งเล่นกับธรรมชาติในเมืองมันน้อยลง ก็ชวนคิดกับพี่ๆ เล่นๆ ว่าน่าทำ play ground ที่เป็นดิน น้ำ ทราย ต้นไม้ เนอะ และมีโซนเย็นๆ ให้พ่อแม่นั่ง ก็เป็นความคิดแต่ยังไม่ได้ทำ แต่เฉพาะแปลงข้างบ้านของเรานี้ เราตั้งใจไม่ทำรั้วเพราะอยากให้เป็นที่ๆ ใครมาปลูกและเก็บผลผลิตก็ได้ ตอนนี้เป็น play ground ของนก กระรอกอยู่

4 ปีของการเดินทางในสายนี้ เป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าเทียบ learning curve ของสี่ปีในช่วงมหาวิทยาลัยกับสี่ปีที่ผ่านมา คนละเรื่องกันเลย เรารู้สึกว่ามันเป็นสี่ปีที่ก้าวกระโดดมากสำหรับชีวิตคนคนหนึ่ง เปลี่ยนจากเด็กที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปไหน ไม่รู้ว่าอยู่ไปทำไม หาเงินไปวันๆ เป็นคนที่ตั้งเป้าหมายกับชีวิตว่าจะทำเรื่องนี้ ชีวิตนี้คุ้มแล้ว

มีคนถามเราว่าจะทำงานให้อาจารย์ยักษ์ไปนานมั้ย? เราไม่รู้ แต่รู้อย่างหนึ่งว่า

สิ่งที่เรารู้วันนี้ รู้แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปรากฏในหนังสือ ในคลิปวิดีโอต่างๆ แล้ว แต่สำคัญกว่าคือมันต้องเข้าไปอยู่ในคน

เรารู้แล้วว่าทางรอดของคน ของธรรมชาติ ของเศรษฐกิจ ของประเทศ แก้ได้ด้วยวิธีง่ายๆ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำไว้ให้ดูแล้ว แม้วันหนึ่งเราอาจไม่ได้ทำงานกับอาจารย์ยักษ์แล้ว แต่ก็คงเดินบนเส้นทางนี้ต่อ

Fun Fact

โคกหนองนา หรือแปลงเกษตรของแตงเป็นพื้นที่ข้างบ้านกินพื้นที่เล็กๆ ราว 80 ตารางวา เดิมเป็นพื้นที่รกร้าง ดินปะปนไปด้วยเศษขยะ ช่วงแรกของการเปลี่ยนที่ดินเธอตั้งใจแค่ขุดหลุมฝังขยะเศษอาหารเท่านั้น ต่อมามีไฟไหม้จากการเผาขยะลามมาถึงในบริเวณนี้ จึงคิดทำแนวกันไฟด้วยการปลูกกล้วยเป็นกอติดรั้วบ้าน

แต่เมื่อตั้งใจอยากทดลองทำโคกหนองนาด้วยตัวเอง เธอเริ่มจากปรับพื้นดินด้วยมือตัวเอง (และมือเพื่อน) ก่อนจะพบว่า ยิ่งขุดลงไป ก็พบแต่ขยะปนกับดินจำนวนมาก จึงตัดสินใจถมที่ดิน จากนั้นใช้รถขุดขนาดเล็กขุดหนองน้ำ 2 หนอง ไล่ระดับเป็นชั้นๆ คล้ายขั้นบันไดด้วยเห็นว่า หากมีน้ำเต็ม พื้นที่ขั้นบันไดจะเป็นที่วางไข่ของปลา แต่หากน้ำแล้ง ขั้นบันไดดังกล่าวใช้ปลูกพืชได้

ปัจจุบันภารกิจของเธอยังไม่เสร็จสิ้น แต่ด้วยความที่เธอเลือกใช้พันธุ์ไม้ที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง สวนดังกล่าวจึงทำงานขยายพันธุ์ด้วยตัวเอง โดยมีเธอ ครอบครัว และเพื่อนๆ ช่วยกันเล็มใบกล้วยและนำพันธุ์ไม้ใหม่ๆ ลงมาปลูกตามสมควร

Tags:

พลเมืองเกษตรกรสิ่งแวดล้อมศูนย์การเรียนกสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้องอาจารย์ยักษ์ วิวัฒน์ ศัลยกำธรอาบอำไพ รัตนภาณุ

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘วิชาถิ่นนิยม’ บนดอยหลวงเชียงดาว: ก่อนจะเป็นเป็นจะที่นิยม ต้องทำให้ท้องถิ่นเป็นความรื่นรมย์เสียก่อน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Social Issues
    สู้วิกฤตฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ด้วยการทำเครื่องฟอกอากาศ DIY

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Everyone can be an Educator
    กวิ๊: ดริปกาแฟ หมักเหล้าบ๊วยแบบโลกไม่สวยแต่ยั่งยืน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Social Issues
    CONNECT TO THE FUTURE: “มันต้องไม่เป็นอย่างนี้” เปลี่ยนอนาคตด้วยการไม่ทนอีกต่อไป

    เรื่อง

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel