- สุข เศร้า เหงา โกรธ มาด้วยกันเสมอ ถ้าเด็กๆ ได้สัมผัสอารมณ์บูดเหล่านั้นด้วยตัวเอง เขาจะเรียนรู้จัดการได้อย่างถูกต้องสมวัย
- พ่อแม่ควรให้พื้นที่และเวลา เขาจะค่อยๆ สัมผัสความรู้สึกด้านลบเหล่านั้น ไม่ต่างจากการฝึกกินผัก แปรงฟัน และนอนหลับให้เต็มอิ่ม
- การโอ๋จนลูกสงบลง พยายามทำให้เขาสนุก หรือให้ขนมดึงความสนใจเขาออกจากความทุกข์ พูดบ่อยๆ ว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง – นี่ต่างหากที่ไม่ควรทำ
ถ้าให้เลือก Joy กับ Sadness ในหนังเรื่อง Inside Out เชื่อว่าพ่อแม่คงเลือกข้าง Joy เลือกเสียงหัวเราะ เสียงออดอ้อนจากลูก มากกว่าน้ำตา ความเศร้า และเสียงหวีดร้อง
บ่อยครั้งที่อารมณ์บูดๆ ของลูกทำให้พ่อแม่รู้สึกอึดอัดยามต้องรับมือ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เศร้า ผิดหวัง โกรธ ซึ่งผู้ใหญ่มักตั้งโปรแกรมตัวเองไว้ว่าจะต้องปกป้องเด็กๆ จากความรู้สึกแบบนี้ และทำให้เขากลับมามีความสุขอีกครั้งให้ได้
แต่เพราะอารมณ์สุข เศร้า เหงา โกรธ มาด้วยกันเสมอ จะดีกว่าไหม หากเด็กๆ ได้สัมผัสและเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์บูดเหล่านั้นด้วยตัวเองและทำได้อย่างถูกต้องสมวัย
พื้นที่และเวลาของความเศร้า
เจนนิเฟอร์ อันเดอร์วู้ด (Jennifer Underwood) ผู้เขียนบล็อกเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กวัยรุ่นในเว็บไซต์ SexandtheSilly.com เกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกสาววัยรุ่นตอนต้นของเธอ เขียนเล่าว่า การเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่เคยพูดถึงความรู้สึกอย่างจริงจัง ทำให้เราฝังมันไว้จนระเบิด ไม่เกิดการเรียนรู้ที่รับผิดชอบต่อความเสียหายและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการระเบิดความรู้สึกที่ไม่เหมาะสม ไม่มีการขอโทษ และไม่มีการเรียนรู้ แล้วก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
“เรามักถูกตั้งโปรแกรมมาให้โอ๋จนลูกๆ สงบลง พยายามทำให้เขาสนุกหรือให้ขนมดึงความสนใจเขาออกจากความทุกข์ พร่ำบอกว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง แน่นอนล่ะว่าเด็กๆ อยากให้เราปลอบ แต่พวกเขาก็ต้องเรียนรู้วิธีปลอบตัวเอง ฉุดตัวเองขึ้นจากความเศร้า ก้าวพ้นความเจ็บปวดทั้งทางกายและจิตใจได้เองด้วย ซึ่งนั่นแหละคือหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องทำให้เขามั่นใจว่าเราจะไม่ไปไหนในเวลาที่อยากร้องไห้ ตะโกน และคร่ำครวญ”
สิ่งที่จำเป็นสำหรับเด็กจริงๆ คือ พื้นที่และเวลาค่อยๆ สัมผัสความรู้สึกด้านลบเหล่านั้น เหมือนกับที่พวกเขาต้องกินผัก แปรงฟัน นอนหลับเต็มอิ่ม – เพราะสิ่งเหล่านี้จำเป็นกับชีวิตมากๆ
5 วิธีฝึกให้ลูกรู้จักความโกรธ เศร้า เหงา กลัว
- บอก ‘ชื่อ’ ความรู้สึก เช่น ถ้าลูกนอนอยู่และบอกว่าเหนื่อยจนยอมให้คุณเลือกเสื้อผ้าให้ เป็นโอกาสดีที่คุณจะแนะนำให้เขารู้จักความรู้สึกที่เรียกว่า ‘หมดแรง’
- เข้าใจปัญหาของเขา เป็นกองหนุนด้านอารมณ์ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ว่า ต่อให้รู้สึกแย่แค่ไหนเขาก็จะผ่านมันไปได้ เช่น บอกเขาว่า ความรู้สึกท้อระหว่างพยายามทำสิ่งใหม่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
- ช่วยหาทางออก ลองพูดคุยกับเด็กๆ ถึงไอเดียในการจัดการความรู้สึกตัวเอง ช่วยกันสร้างจุดที่ตัวเขาจะรู้สึกสงบและร่วมกันฝึกทักษะการจัดการอารมณ์บ่อยๆ
- มองข้ามการกระทำ อะไรที่ผ่านแล้วก็ให้ผ่านไป ใส่ใจสิ่งที่เด็กๆ รู้สึกมากกว่าท่าทีที่เขาแสดงออกมา ลองเปลี่ยนการลงโทษเป็นความเห็นอกเห็นใจในความรู้สึกของพวกเขาดูสิ
- หาวิธีสื่อสารใหม่ๆ การปล่อยให้เด็กๆ บ่นหรือสั่งได้ทุกอย่างตามใจอาจทำให้พวกเขาไม่สนใจอารมณ์บูดๆ ที่เกิดขึ้น ลองสอนวิธีที่จะทำให้เขาสื่อสารความรู้สึกในแบบที่ต่างจากเดิม เช่น อาจถามเขาว่า “หนูคิดว่าควรพูดขอความช่วยเหลือยังไงดีคะ”
คำพูดดีๆ แทนคำว่า “หยุดร้องไห้”
“หยุดร้องนะ” “ดูสิ คนอื่นมองหมดแล้ว” “อย่าโง่น่ะ” “หุบปากเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นโดนตีแน่”
เคยพูดหรือได้ยินคำเหล่านี้กันใช่ไหม … สุดท้ายแล้วเด็กๆ ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น บางครั้งกลับร้องไห้อาละวาดหนักกว่าเดิมเสียอีก
ในเมื่อตอนนี้เรารู้แล้วว่า ควรปล่อยให้ลูกสัมผัสอารมณ์ด้านลบของตัวเองเพื่อเรียนรู้การจัดการอารมณ์ คำพูดข้างบนนี้จึงรังแต่จะทิ่มแทงจิตใจให้บอบช้ำ ลองเปลี่ยนเป็นคำพูดแบบนี้ดูสิ เพราะทุกคนต่างก็ชอบฟังคำพูดดีๆ กันทั้งนั้นแหละ
- หนูเศร้าได้ ไม่เป็นไรหรอก
- สำหรับหนู มันคงหนักหนาจริงๆ
- ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม
- พ่อ/แม่อยู่ตรงนี้กับหนูนะ
- พ่อ/แม่ฟังอยู่จ้ะ
- สำหรับหนู นั่นคงน่ากลัว/น่าผิดหวัง/น่าหงุดหงิด/น่าเศร้า (ฯลฯ) จริงๆ
- พ่อ/แม่จะคอยช่วยหนูนะ
- ไม่ยุติธรรมเลยนะ
- พ่อ/แม่เข้าใจว่าลูกต้องการพื้นที่ แค่อยากให้รู้ว่าพ่อ/แม่อยู่ใกล้ๆ เสมอ พร้อมเมื่อไหร่ก็มาหาได้เลยนะจ๊ะ