- ‘หมอลำศึกษา’ เป็นหลักสูตรเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ในวงหมอลำสามารถกลับมาเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้อีกครั้ง ภายใต้แนวคิดการเรียนรู้แบบยืดหยุ่น โดยศูนย์การเรียนปัญญากัลป์และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
- บทความนี้ชวนไปฟังเสียงจริงจากสามเยาวชน ‘หมอลำนิวเจน’ ฮักแพง – วรัญญาภรณ์ วันทา, หยก – ปิยพร ฟองลม และ บาส – วิชัย นนทะพิมพ์ ที่กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า ความฝันบนเวทีและอนาคตทางการศึกษาสามารถเดินไปด้วยกันได้
- การศึกษาไม่จำเป็นต้องผูกติดกับห้องสี่เหลี่ยมเสมอไป เมื่อการเรียนรู้ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับโจทย์ชีวิตที่แตกต่างของแต่ละคน ย่อมไม่มีเด็กคนไหนถูกทิ้งไว้นอกเส้นทางการเรียนรู้ เช่นเดียวกับเยาวชนนอกระบบการศึกษาในคณะหมอลำ
เสียงกลอง เสียงพิณ และแสงไฟบนเวทีหมอลำอาจเป็นเพียงความบันเทิงสำหรับผู้ชม แต่สำหรับเด็กและเยาวชนจำนวนหนึ่ง เสียงดนตรีและการฟ้อนรำ คือ ชีวิต และ เส้นทางอาชีพ ที่พวกเขาเลือกเดิน แม้ต้องแลกมาด้วยการหยุดเรียนกลางคัน หลายคนยังคงก้าวต่อไปบนเส้นทางศิลปะพื้นบ้านอีสาน ด้วยความหวังว่าวันหนึ่งจะสามารถสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับตนเองและครอบครัวได้
แม้ในความเป็นจริง หลายคนที่ก้าวขึ้นเวทีตั้งแต่อายุยังน้อยต้องสูญเสียโอกาสด้านการศึกษา เพราะการเรียนในระบบโรงเรียนไม่สอดคล้องกับชีวิตการทำงานในวงหมอลำ ทั้งการซ้อม การเดินทาง และการแสดงที่กินเวลาแทบทั้งวัน ผลที่ตามมาคือ เด็กๆ เหล่านี้กลายเป็นเยาวชนนอกระบบการศึกษา แม้ในใจยังคงมีความฝันและหวังว่าสักวันจะมีวุฒิการศึกษามารับประกันความก้าวหน้าในชีวิต

เพื่อแก้โจทย์นี้ ศูนย์การเรียนปัญญากัลป์และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จึงออกแบบหลักสูตร ‘หมอลำศึกษา’ เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ในวงหมอลำสามารถกลับมาเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้อีกครั้ง ภายใต้แนวคิด Flexible Learning หรือ การเรียนรู้แบบยืดหยุ่น ทุกที่คือโรงเรียน ทุกประสบการณ์คือบทเรียน โดยใช้เวทีหมอลำเป็นห้องเรียนที่เด็กๆ สามารถบูรณาการองค์ความรู้ต่างๆ เข้ากับโจทย์ชีวิตของตนเอง และนำไปเทียบโอนเป็นวุฒิการศึกษาได้
นี่จึงไม่ใช่แค่การคืนโอกาสทางการศึกษา แต่เป็นการตอกย้ำว่า ศิลปะพื้นบ้านสามารถกลายเป็นฐานการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง บทความนี้ชวนไปฟังเสียงจริงจากสามเยาวชน ‘หมอลำนิวเจน’ ฮักแพง – วรัญญาภรณ์ วันทา จากวงสาวน้อยลำเพลิน Show, หยก – ปิยพร ฟองลม จากวงสาวน้อยเพชรบ้านแพง และ บาส – วิชัย นนทะพิมพ์ จากวงอีสานนครศิลป์ ที่กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า ความฝันบนเวทีและอนาคตทางการศึกษาสามารถเดินไปด้วยกันได้
‘ฮักแพง’ ผู้ไม่หยุดที่ความสำเร็จบนเวที เพราะอนาคตเริ่มที่การเรียนรู้
ฮักแพง-วรัญญาภรณ์ วันทา วัย 17 ปี เป็นเด็กสาวจากจังหวัดร้อยเอ็ด เติบโตมากับเสียงดนตรีพื้นบ้าน ความรักในเสียงเพลงทำให้เธอตัดสินใจลองออดิชั่นบนเวที สาวน้อยเพชรบ้านแพง ตอนอายุ 16 ปี และนั่นคือก้าวสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตให้กลายมาเป็นศิลปินหมอลำเต็มตัว ซึ่งปัจจุบันเธอเป็นศิลปินในสังกัดวงหมอลำ สาวน้อยลำเพลินโชว์

“ตอนนั้นอยู่ ม.3 หนูลาออกจากโรงเรียน เพราะต้องมาทำหน้าที่เป็นหมอลำ จริงๆ หนูชอบเสียงเพลงมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้วค่ะ ก็เลยอยากลองพัฒนาประสบการณ์ของตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วโอกาสตรงนี้ที่วงหมอลำมันได้มายากนะคะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมี หนูเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้โอกาส จึงเลือกที่จะยอมถอยจากการเรียนปกติไว้ก่อน ”
แม้จะเลือกทำในสิ่งที่รัก แต่ความฝันด้านการศึกษาของฮักแพงก็ยังไม่หายไปไหน เธอตั้งใจไว้ว่าอยากได้วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายเป็นอย่างน้อย ดังนั้น เมื่อมีคนมาแนะนำโครงการหมอลำศึกษา เธอจึงหาข้อมูลเพิ่มเติมและสุดท้ายก็ตัดสินใจสมัครเรียน
“หนูรู้สึกดีใจมาก เพราะความฝันของหนูในวันนั้นคืออยากมีวุฒิการศึกษาขั้นต่ำ ม.6 หนูยึดความคิดนี้ไว้ตลอด เพราะเป็นคนที่ชอบเรียน แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนั้น หนูยังติดขัดและไม่มีโอกาสจะได้เรียนต่อ ต้องออกมาทำงานก่อน เลยจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งค่ะ”
เธอมองว่าหลักสูตรหมอลำศึกษาตอบโจทย์ชีวิตอย่างแท้จริง เพราะสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา
“คอนเซปต์การเรียนตรงนี้คือทุกที่สามารถเป็นโรงเรียนได้ค่ะ เพราะไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไร เวลาไหน ก็ยังเรียนได้ สมมติว่ากำลังแต่งหน้าอยู่ คุณครูก็ส่งข้อสอบมาให้ทำ หนูก็สามารถทำได้เลย หรือหลังจากลงเวทีมาก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งเรียนในห้องทุกเช้าเหมือนโรงเรียนทั่วไป”
สิ่งที่เรียนไม่ได้มีแต่วิชาการ ยังรวมถึงนาฏศิลป์ ดนตรี และศิลปะการแต่งกายที่เธอนำไปปรับใช้กับงานจริงบนเวที
“มีหลายวิชาค่ะ โดยเฉพาะวิชาศิลปะที่สามารถนำไปใช้ได้ทุกฝ่าย ทุกแผนก อย่างหนูที่เป็นแดนเซอร์ ก็ได้ท่าเต้นท่าฟ้อนใหม่ๆ มาปรับใช้ รวมถึงการเรียนเรื่องศิลปะการแต่งกาย ที่สามารถนำมาดีไซน์ชุดใหม่ให้เข้ากับการแสดงได้
อีกส่วนคือเรื่องสังคมค่ะ เพราะสังคมในวงหมอลำไม่เหมือนกับสังคมนักเรียนทั่วไป แต่ละคนต่างทำงาน การจะอยู่ร่วมกันได้ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จริง การเรียนรู้ตรงนี้ก็เหมือนเป็นวิชาสังคมที่สำคัญมากค่ะ”
ฮักแพงภูมิใจที่หมอลำทำให้เธอมีรายได้เลี้ยงครอบครัวและยืนหยัดได้ด้วยตนเอง แม้เส้นทางยังไม่แน่ว่าจะเลือกอะไร แต่เธอชัดเจนว่ารักทั้งการร้องเพลงและการเป็นครูนาฏศิลป์
“ความฝันของหนูยังไม่แน่นอน แต่สิ่งที่ชัดเจนคือหนูได้ทำในสิ่งที่รักและชอบ คือการร้องเพลง ส่วนความฝันในวัยเด็กคืออยากเป็นครู โดยเฉพาะเมื่ออายุ 15–16 ปี หนูค้นพบว่าตัวเองชอบวิชานาฏศิลป์ ก็เลยอยากเป็นครูนาฏศิลป์ แต่ตอนนี้ยังไม่มีโอกาส จึงเลือกทำตามฝันการร้องเพลงไปก่อน”
แม้ในวันนี้ ฮักแพงจะประสบความสำเร็จไปอีกขั้นแล้วในฐานะศิลปินที่โด่งดัง และมีแฟนคลับติดตามเธอจำนวนมาก แต่เธอก็มองว่าโครงการนี้ช่วยให้เธอมองเห็นอนาคตที่มั่นคงและหลากหลายมากขึ้น

“ความฝันสูงสุดของหนูคือการเป็นทั้งครูนาฏศิลป์และนักแสดงหมอลำไปพร้อมๆ กัน ซึ่งโครงการนี้ช่วยให้เราได้เรียนทั้งวิชาการ ภาคปฏิบัติ สังคม การงาน และศิลปะ มีการสอบเหมือนโรงเรียนปกติ เช่น สอบปลายภาค และเมื่อเรียนจบก็จะได้วุฒิ ม.6 โดยวันสุดท้ายจะเหมือนศิลปนิพนธ์ คือการนำความรู้จากค่ายมาจัดการแสดงเอง”
สุดท้าย เธอฝากกำลังใจถึงเพื่อนๆ และสังคม พร้อมทั้งขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยยอมแพ้
“หนูเป็นรุ่นแรกของโครงการ หนูว่ามันเหมาะมากกับอาชีพอย่างหนู หรือสำหรับน้องๆ ที่ขาดโอกาสด้านการศึกษา ไม่มีทุนทรัพย์ หากอยากกลับมาเรียน หนูแนะนำโครงการนี้มากๆ เลยค่ะ เพราะมันตอบโจทย์หลายอย่าง ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
และหนูอยากขอบคุณตัวเอง ที่ไม่เคยยอมแพ้และนำความพยายามกับความอดทนมาใช้ เวลามีปัญหา หนูเจออุปสรรคแทบทุกวัน แต่ก็บอกกับตัวเองเสมอว่าจะไม่ถอยค่ะ”
‘หยก’ แม่วัยใสและหมอลำรุ่นใหม่ ผู้เดินหน้าสู่ชีวิตที่ดีกว่า
หยก – ปิยพร ฟองลม อายุ 19 ปี เริ่มต้นการเป็นแดนเซอร์ในคณะหมอลำซิ่งตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ม.3 กระทั่งเมื่อถึงชั้น ม.5 ชีวิตก็เปลี่ยนไป เพราะเธอตั้งครรภ์และเลือกเดินออกจากโรงเรียน
“ตอน ม.5 หนูก็มีน้องค่ะ เลยไม่ได้เรียนต่อจนจบ ม.6 แล้วก็มาทำงานกับสาวน้อยเพชรบ้านแพงจนถึงปัจจุบัน”
หยกทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เด็ก แม้จะเหนื่อย แต่ก็ภูมิใจที่ช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวได้
“หนูเป็นคนชอบทำงาน แล้วก็ทำงานหาเงินเองตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ก็รู้สึกว่าสนุก ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุก อะไรที่ทำแล้วได้เงินมันก็เป็นความสุขของเรา ช่วงที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย หนูก็เรียนทันเพื่อนอยู่นะคะ แต่ว่ามันต้องไปนั่งเรียนในห้อง ซึ่งบางทีเรารับงานเช้า–เย็น เราก็ไม่ได้ไปโรงเรียน แต่พอรู้ว่าตัวเองมีน้อง ก็เลยออกมาหาขายของแถวบ้าน เราคิดแค่ว่าทำยังไงให้มีเงินมาเลี้ยงลูก ถามว่าเสี่ยงไหม มันก็เสี่ยง แต่ว่าเราก็ต้องหาเงิน”

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อคุณป้าของเธอส่งใบสมัครโครงการหมอลำศึกษาให้เธอลองสมัครดู แม้แรกเริ่มเธอจะรู้สึกไม่แน่ใจว่าจะเรียนได้ไหม แต่ท้ายที่สุดหยกก็ตัดสินใจเข้ามาเรียน
“ป้าส่งใบสมัครให้หนู บอกว่าไปลองเรียนดูไหม ตอนแรกหนูก็ไม่ได้สนใจ กลัวเป็นเหมือนกศน. ที่ต้องมาสอบให้ได้ตามที่เขากำหนด ซึ่งหนูติดข้อจำกัดเพราะต้องทำงานรันยาวจนกว่าจะปิดฤดูกาล ซึ่งใช้เวลา 8–9 เดือนเลยค่ะ”
พอหยกเห็นว่าโครงการนี้ตอบโจทย์กับตัวเอง เธอจึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ เพราะเธออยากมีวุฒิการศึกษาเพื่อสานความฝันในการเป็นครูนาฏศิลป์ ซึ่งหยกก็มองว่าหลักสูตรนี้ช่วยเปิดทางได้ โดยรูปแบบการเรียนก็สอดคล้องกับวิถีชีวิตศิลปินหมอลำของเธอ เพราะเป็นการเรียนที่ไหนก็ได้ โดยครูจะส่งใบงาน พาวเวอร์พอยต์ และโจทย์ผ่านไลน์หรือเฟซบุ๊ก ทำให้สามารถเรียนได้แม้หลังเวที
“เวลาทำงานหนูจะอยู่ช่วง 3 ทุ่ม ถึงตี 2 ตี 2 ครึ่ง แกะหัว แกะชุดอะไรเสร็จหนูก็จะมานั่งทำงานส่งครู”
หนึ่งในทักษะใหม่ที่หยกค้นพบคือการร้องเพลง จากเดิมที่ไม่มั่นใจในเสียงตัวเอง แต่เมื่อได้เรียนก็เริ่มกล้าที่จะลอง รวมทั้งยังทำให้เธอเปลี่ยนแปลงทัศนคติและเติบโตขึ้น
“พอเรามาอยู่กับคนหมู่มาก หนูก็จะได้ทำงานร่วมกับเพื่อนวงอื่น ทำให้หนูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น โตขึ้นจากเมื่อก่อน บรรยากาศการเรียนมันท้าทายดี มันทำให้เราอยากจะลองทำ ครูก็จะสอนแบบตัวต่อตัวเลย จนกว่าเราจะได้ ไม่ได้ปล่อยเราไปเฉย ๆ”

และแม้บางครั้งจะเจอคำดูถูก แต่หยกกลับใช้เป็นแรงผลักดัน
“หนูจบ ม.3 แล้วก็มาเต้นในวงหมอลำ คนรอบข้างบอกว่าจบแค่ม.3 มาเต้นกินรำกิน จะเอาอะไรมากิน จะเอาอะไรมาเลี้ยงลูก แต่เราก็เอาตรงนั้นมาเป็นแรงผลักดัน ต่อให้เราช้ากว่าเพื่อน แต่ว่าเราก็ภูมิใจในตัวเองค่ะ”
หยกในวันนี้ตั้งเป้าจะเรียนให้จบ ม.6 แล้วต่อมหาวิทยาลัย แม้ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย และดูแลลูกไปด้วย แต่เธอก็พร้อมจะสู้เพื่ออนาคตของตัวเองและครอบครัว
“หนูจบปีนี้ หลักสูตรนี้หนูเรียน 2 ปี พอได้วุฒิ ม.6 ก็จะเอาวุฒิ ม.6 นี้ไปต่อมหาวิทยาลัย แต่ก็ต้องหาตังค์ก่อน ถึงจะไม่ได้ทุน หนูก็รู้สึกว่าโอกาสที่ได้รับครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว”
นอกจากนี้เธอยังฝันที่จะก้าวจากแดนเซอร์ไปเป็นนักร้อง เพื่อเพิ่มโอกาสและรายได้ในอนาคต พร้อมกันนั้นยังคงยืนยันว่าอยากเป็นครูนาฏศิลป์ และใช้ความรู้ที่ได้สืบสานศิลปะหมอลำต่อไป
“หลักสูตรนี้ตอบโจทย์กับคนที่ไม่มีเวลาเรียน แล้วก็ไม่มีทุนเรียนจริงๆเป็นการเรียนที่อิงกับวิถีชีวิตของเราจริงๆ ซึ่งตอบโจทย์หนูมากเลยค่ะ”
‘บาส อีสานนครศิลป์’ เมื่อความฝันต้องแลกด้วยการออกจากโรงเรียน
สำหรับเด็กหลายคน ‘การเรียน’ คือเส้นทางตรงไปยังอนาคต แต่สำหรับบางคน เส้นทางนั้นต้องหยุดชะงักกลางทางเพื่อเลือกสิ่งที่จำเป็นกว่า นั่นคือ ‘การทำงาน’ เพื่อหาเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว
บาส – วิชัย นนทะพิมพ์ อายุ 19 ปี คือหนึ่งในนั้น เขาเคยใกล้จะจบ ม.3 ในระบบโรงเรียน แต่ก็ต้องตัดสินใจลาออกเพื่อคว้าโอกาสการเป็นศิลปินวงหมอลำ หลังจากวงหมอลำอีสานนครศิลป์เข้ามาทาบทาม
“เอาจริงๆ ตอนนั้นก็เสียดายครับ เสียดายทั้งเพื่อนๆ และเสียดายที่อีกนิดเดียวก็จะจบ ม.3 อยู่แล้ว แต่บาสดีใจที่ได้กลับมาเรียน เพราะเราสามารถเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย และยังมีวุฒิการศึกษาเป็นหลักประกันอนาคต เพราะความฝันของเราคือ ถ้าจบ ม.6 อยากเรียนต่อวิทยาลัยเพื่อเป็นครูศิลปะดนตรีครับ”

การเลือกออกจากโรงเรียนของบาสไม่ใช่เพราะไม่อยากเรียน แต่เพราะความจำเป็นบังคับ เนื่องจากไม่สามารถทำอาชีพหมอลำและเรียนในระบบไปพร้อมๆ กันได้ การเข้าร่วมคณะหมอลำ อย่างน้อยนอกจากได้ทำในสิ่งที่ชอบคือการร้องและรำ ยังเป็นหนทางหาเงินมาจุนเจือครอบครัว
ทว่าระหว่างที่ทำงานกับคณะหมอลำ ได้มีทีมงานของศูนย์การเรียนปัญญากัลป์เข้าไปรับสมัครนักเรียนที่หลังเวที ซึ่งบาสมองว่าเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อให้คนทำงานอย่างเขาสามารถเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้ จึงตัดสินใจสมัครเรียน
“ในวิชาพื้นฐานทั่วไป ครูจะส่งใบงานทางกลุ่มไลน์ แล้วเราก็ทำส่งงานตามกำหนด ถ้าไม่เข้าใจก็ถามครูได้เลย ครูให้คำปรึกษาตลอดครับ”
นอกจากนั้น ยังมีค่ายเสริมศาสตร์หมอลำที่ช่วยต่อยอดทักษะบนเวทีให้เขาโดยตรง
“ได้เรียนรู้หลายอย่าง ทั้งกลอนรำ กลอนร้อง รวมถึงการฝึกกับศิลปินแห่งชาติ ทำให้ได้พัฒนาทักษะด้านการร้องและการรำมากขึ้นครับ”

สำหรับบาส การได้เรียนอีกครั้งทำให้เขาภูมิใจที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง
“โครงการนี้ทำให้บาสพัฒนาตัวเองมากขึ้น ทั้งเรื่องการเรียนและการทำงานไปพร้อมกัน ภูมิใจที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ หาเงินใช้เอง เก็บเองครับ”
แม้ปัจจุบันเขายังทำงานหมอลำไปด้วย แต่บาสมองอนาคตไกลกว่านั้น เพราะรู้ว่าชีวิตบนเวทีมีข้อจำกัดเรื่องอายุ
“อยากเป็นข้าราชการครูครับ จริงๆ ถ้าอยากทำหมอลำต่อก็ได้ แต่ข้อจำกัดคือทำได้แค่ช่วงอายุหนึ่งเท่านั้น 40–45 ปี ก็อาจจะไม่ไหวแล้ว ดังนั้นบาสอยากมองหาความมั่นคงระยะยาวด้วยครับ”
บาสยังมองว่าโครงการนี้คือการมอบโอกาสให้เด็กที่มีข้อจำกัด สามารถเติบโตไปมีอนาคตที่มั่นคงขึ้นได้
“บาสอยากบอกเพื่อนๆ ทุกคนว่า ในโครงการนี้เราสามารถเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยได้ครับ และอยากขอบคุณทาง กสศ. และศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ ที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ที่ไม่มีโอกาส ได้กลับมาเรียนอีกครั้งครับ”
เรื่องราวของฮักแพง หยกและบาส คือสิ่งที่ยืนยันว่า การศึกษาไม่จำเป็นต้องผูกติดกับห้องสี่เหลี่ยมเสมอไป เมื่อการเรียนรู้ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับโจทย์ชีวิตที่แตกต่างของแต่ละคน ย่อมไม่มีเด็กคนไหนถูกทิ้งไว้นอกเส้นทางการเรียนรู้ เช่นเดียวกับเยาวชนนอกระบบการศึกษาในคณะหมอลำ ที่หลักสูตร ‘หมอลำศึกษา’ เปิดโอกาสให้พวกเขาได้พัฒนาตัวเองอย่างเต็มศักยภาพ และสุดท้ายเสียงพิณและแสงไฟบนเวทีก็จะกลายเป็นแสงแห่งความหวังที่ส่องทางให้พวกเขาเดินต่อไปอย่างมั่นคง