Skip to content
โฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brain
  • Creative Learning
    Life Long LearningEveryone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
โฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brain
Voice of New Gen
30 October 2025

ขอเป็นกระบอกเสียงสร้างโอกาสทางการศึกษาผ่านบัตรประชาชนใบเดียว ‘Learning Passport’: เอเปค – นาถวัฒน์ ลิ้มสกุล

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ แคนคำ ตาคำ

  • ‘Learning Passport’ คือแนวคิดในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่ต้องการให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงการเรียนรู้ผ่านบัตรประชาชนใบเดียว โดยภาครัฐสามารถสนับสนุนงบประมาณไปถึงตัวเด็กโดยตรงผ่านเลข 13 หลัก
  • ‘เอเปค’ นาถวัฒน์ ลิ้มสกุล ตัวแทนเยาวชนที่ร่วมขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวบอกว่า การศึกษาเป็นการลงทุนในกลุ่มคน หากอยากให้ประเทศเป็นแบบไหน มีพลเมืองที่มีคุณภาพอย่างไร ต้องเริ่มจากการลงทุนกับเด็กๆ ที่ยังรอโอกาสอยู่
  • เอเปคเชื่อมั่นว่าโอกาสทางการศึกษาสามารถเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้ เพราะตนเองได้พบจุดเปลี่ยนนี้เมื่อได้รับทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง และทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ โดยปัจจุบันเขากำลังศึกษาอยู่ที่คณะพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยแม่โจ้

ข้อมูลจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ระบุว่าปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษากว่า 3 ล้านคน และอีกกว่า 8.8 แสนคนที่อยู่นอกระบบการศึกษา …ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่สถิติ แต่คือชีวิตจริงของเด็กไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ถูกจำกัดโอกาสจากวงจรความยากจน

เพื่อสร้างโอกาสการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนทุกคนอย่างเท่าเทียม เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มตัวแทนเครือข่ายเด็กและเยาวชนได้เดินทางไปยังตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นข้อเสนอเชิงนโยบายซึ่งหนึ่งในนั้นคือ แนวคิด ‘Learning Passport’ หรือระบบหลักประกันทางการศึกษาที่จะช่วยให้เด็กและเยาวชนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา สามารถเข้าถึงโอกาสทางการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ 

ในวันนั้นผู้ทำหน้าที่ตัวแทนเยาวชนในการนำเสนอ ‘Learning Passport’ คืออดีตนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ‘เอเปค’ นาถวัฒน์ ลิ้มสกุล ซึ่งปัจจุบันได้รับทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ โดยกำลังศึกษาอยู่ที่คณะพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 

“จริงๆ แล้ว  Learning Passport เป็นนโยบายที่ กสศ. ขับเคลื่อนมาอยู่ก่อนแล้วครับ ก่อนหน้านี้ก็มีส่วนร่วมในเรื่องของการให้ข้อมูลหลังบ้านมาตลอด แต่พอเราได้มาทำความรู้จักกับตัวนโยบายนี้มากขึ้น ก็ยิ่งเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นจริงๆ ก็เลยบอกกับทางกสศ.ว่าอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายนี้ในทุกด้านที่ทำได้ ซึ่งวันที่เรานำเสนอที่ทำเนียบ มันสะท้อนชัดเลยว่ายังมีเด็กอีกหลายล้านชีวิตที่หลุดออกจากระบบ แล้วถ้าเรามีนโยบายนี้เกิดขึ้นจริงๆ มันก็อาจเป็นคำตอบในการอุดรอยรั่วเหล่านั้นได้”

เอเปคกล่าวด้วยแววตาแห่งความหวัง เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้…ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยเกือบหลุดออกจากเส้นทางการศึกษาเช่นกัน  

“ตอนมัธยมต้น เรียนที่โรงเรียนรัชชประภาวิทยาคม จังหวัดสุราษฎร์ธานีครับ ตอนนั้นยังไม่มีแผนในอนาคตเลยครับ ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองมีศักยภาพด้านไหนหรือโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร รู้แค่ว่าเราต้องใช้ชีวิตผ่านไปแต่ละวันให้ได้ก่อน คิดแค่ว่าวันนี้จะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ประกอบกับพ่อแม่ก็ใกล้จะอายุ 60 แล้ว พี่สาวก็กำลังเรียนอยู่ ช่วงนั้นคือช่วงที่รายได้ครอบครัวมาถึงจุดต่ำสุด จึงคิดว่าพอจบม. 3 คงต้องออกมาหางานทำก่อนครับ”

แต่แล้วในวันที่มืดมิดไร้หนทาง เอเปคกลับพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเรียนทุนในโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงของ กสศ. ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต และเปลี่ยนทัศนคติของเขาไปอย่างสิ้นเชิง

“ตอนจบม. 3 เห็นโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพของ กสศ. เปิดรับสมัครพอดี ซึ่งเป็นปีแรกครับ ตอนนั้นเห็นว่าเงื่อนไขเราเข้าแก๊ปที่เขาเปิดรับ คือต้องเป็นเด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ก็เลยลองสมัครดู แล้วพอเราเข้าเงื่อนไข ก็จะเข้าสู่กระบวนการที่มีคณะกรรมการมาตรวจเยี่ยมบ้านตามขั้นตอน

ตอนได้ทุน กสศ. ดีใจมากครับ เพราะหลังจากนั้นเราก็เริ่มกล้าฝัน กล้าวางแผนในอนาคตว่าอยากจะพาตัวเองไปไว้จุดไหน ส่วนหนึ่งเพราะเราไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกแล้ว เลยได้กลับมาโฟกัสกับการเรียน และพัฒนาตัวเองให้มากที่สุด จนเริ่มเห็นว่าตัวเองมีศักยภาพมากกว่าที่คิด”

หลังได้รับทุน เอเปคได้ย้ายมาศึกษาที่โครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของวิทยาลัยเทคนิคพังงา เขาได้ใช้เวลาตลอด 5 ปีเต็มอย่างคุ้มค่า ค่อยๆ สะสมประสบการณ์ สร้างผลงาน และค้นพบศักยภาพซ่อนเร้นของตนเอง 

“มีหลายเหตุการณ์ที่ประทับใจครับ อย่างครั้งแรกที่ได้ก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซน คือการไปออดิชั่นเป็นพิธีกรบนเวทีในงานประชุมนานาชาติของโครงการฐานวิทย์ครับ ซึ่งทุกปีเขาจะเชิญนักเรียนจากหลายประเทศมาร่วมงานกับนักเรียนจากฐานวิทย์ทั้ง 5 แห่งในประเทศไทย เพื่อนำเสนอโปรเจกต์ครับ ถือเป็นเวทีแรกที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษแบบจริงจัง พอปีถัดมาอาจารย์ก็ให้โอกาสอีกครั้ง ซึ่งโชคดีที่มีคนเห็นถึงศักยภาพของเราเพิ่มขึ้น และเริ่มติดต่อให้เราไปเป็นพิธีกรข้างนอกบ้าง ทำให้มีรายได้เสริมเข้ามาครับ”

นอกจากการเป็นพิธีกรที่เป็นเหมือนงานอดิเรก เอเปคยังพิสูจน์ให้เห็นว่าการได้รับโอกาสของเขาไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่ยังสามารถต่อยอดสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคม 

“ตอนปวช. 3 มีโอกาสสมัครเข้าร่วมโครงการของ สสส. ที่มุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาส่งเสริมสุขภาพในด้านต่างๆ จึงเลือกทำโปรเจกต์เกี่ยวกับสุขภาพจิตไปแข่งขัน เพราะส่วนตัวมองว่าสุขภาพจิตเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ครับ ไม่ใช่เฉพาะเด็ก แต่รวมถึงทุกคนในสังคม ถ้าใจเราไม่ไหวก็ไม่มีแรงเดินต่อแน่นอน ดังนั้นอย่าให้มายด์เซ็ตที่ถูกปลูกฝังมาว่าการไปพบจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เท่ากับว่าคนๆ นั้นต้องเป็นบ้า อยากให้ทุกคนเข้าใจใหม่ว่าจริงๆ แล้วมันก็เป็นเหมือนอาการเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย เพียงแต่สิ่งนี้มันอยู่ในใจซึ่งหากปล่อยไว้มันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

อีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกันคือปัญหาสุขภาพจิตอาจจะดูเป็นเรื่อง Luxury หรือคนมีเงินเท่านั้นที่จะเข้าถึงการรักษาบำบัดได้ เราเลยพัฒนาแอปพลิเคชันชื่อ Safe Zone เอาไว้ช่วยให้เด็กๆ ผ่อนคลายความเครียด และเรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์ แต่หากเจอปัญหาที่แก้ไม่ไหว ก็จะส่งต่อให้คุยกับนักจิตวิทยา ซึ่งตอนนั้นมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับนักจิตวิทยาของจุฬาที่เข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้วยครับ แล้วพอทีมของเราพัฒนาแอปนี้ไปเรื่อยๆ ก็สามารถคว้ารางวัลระดับชาติ ต่อด้วยรางวัลชนะเลิศอันดับ 2 บนเวทีประชุมนานาชาติของฐานวิทย์ครับ”

ด้วยคุณสมบัติของคนที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง เอเปคจึงเหมือนนักกีฬาที่พร้อมลงแข่งอยู่เสมอ และเมื่อทราบข่าวเรื่อง ทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ ที่สนับสนุนทุนการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ทั้งยังครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายเดือน เขาจึงไม่ลังเลที่จะส่งใบสมัครเพื่อคว้าโอกาสนี้ เพราะเขาต้องการต่อยอดความรู้เพื่อนำกลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตัวเอง

“ทุนนี้มีเงื่อนไขว่าผู้สมัครต้องมีรางวัลระดับประเทศหรือนานาชาติ ซึ่งตลอด 5 ปีที่พังงา เราเก็บผลงานต่างๆ ไว้หมด ทำให้มีคุณสมบัติเทียบเท่า พอได้ทุนก็เริ่มมองหามหาวิทยาลัยที่ตอบโจทย์ความฝันของเรา คือการกลับไปทำรีสอร์ตหรือโฮมสเตย์เล็กๆ ที่บ้านในสุราษฎร์ธานี เพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับวิถีชุมชน รวมไปถึงการสร้างแหล่งเรียนรู้ให้กับเด็กๆ ทำให้ตัดสินใจเลือกเรียนคณะพัฒนาการท่องเที่ยว ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ครับ เพราะหลักสูตรนี้ไม่ได้สอนแค่การท่องเที่ยวทั่วไป แต่จะเป็นเน้นเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงการวางแผนกลยุทธ์ท่องเที่ยวด้วย

พอได้มาเรียน ต้องบอกว่ามันตอบโจทย์ความฝันของเรามากครับ ยิ่งได้ไปลงพื้นที่เพื่อทำงานกับชุมชนต่างๆ อย่างล่าสุดได้ไปร่วมกับชุมชนที่สันผีเสื้อ เป็นกลุ่มสตรีเขาจะมีตัวบาล์มสมุนไพร โดยก่อนหน้านี้ผลิตภัณฑ์ของเขาจะดูเหมือนกับสินค้าโอทอปทั่วไป เราเลยเข้าไปช่วยวางกลยุทธ์ โดยใช้พวก Design Thinking และ Service Design เข้ามารีแบรนด์ใหม่ จนตอนนี้บาล์มสมุนไพรก็ยกระดับขึ้นไปเป็นแบรนด์ที่เจาะกลุ่มไฮเอนด์ได้สำเร็จ”

แม้ชีวิตนักศึกษาของเอเปคดูจะประสบความสำเร็จ จนได้รับการทาบทามและสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยให้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท แต่เขาก็ไม่เคยลืมที่มาของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงตั้งใจเป็นกระบอกเสียงเพื่อสร้าง ‘โอกาส’ ให้กับเยาวชนอีกหลายล้านคนที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษา 

“โอกาสทางการศึกษาจำเป็นมากๆ ครับ เพราะถ้าเกิดไม่ได้รับทุน ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะจะเอาตัวเองไปไว้ตรงจุดไหนของสังคม อย่างมากก็คงแค่ทำงานรับจ้างไปวันๆ เพื่อให้มันผ่านพ้นไป มีเงินใช้ มีข้าวกิน อะไรอย่างนี้ครับ 

แต่ว่าพอเราได้รับโอกาส มันเลยทำให้เห็นว่า เราสามารถใช้ศักยภาพของเราไปขับเคลื่อนสังคมตรงไหนได้บ้าง มันอาจจะไม่ได้เป็นการช่วยเหลือที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่โตอะไร แต่อย่างน้อยเราก็จะเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ เพราะอย่าลืมว่าคนที่ได้รับทุนเป็นแค่ส่วนเล็กๆ มันยังมีเด็กอีกหลายล้านคนที่ไม่ได้โอกาสอย่างนี้ครับ แล้วถ้าทุกคนได้โอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมกัน ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งเราอาจจะได้นายกรัฐมนตรีที่มาจากตรงนี้ และเห็นคุณค่าของโอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กยากจน”

และหนึ่งในโปรเจกต์ที่เอเปคพยายามผลักดันจนได้ไปนำเสนอที่ทำเนียบรัฐบาลคือเรื่อง Learning Passport ที่จะเป็นเครื่องมือช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ภายใต้แนวคิดที่ว่าบัตรประชาชนเพียงใบเดียว สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ที่หลากหลายและยกระดับหลักประกันการศึกษาที่ไร้รอยต่อ ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงวัยทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระบบ นอกระบบ หรือตามอัธยาศัย เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต 

“สำหรับ Learning Passport ที่นำไปเสนอที่ทำเนียบ ชูประเด็นว่ายังมีเด็กอีกหลายล้านชีวิตที่หลุดออกจากระบบการศึกษา และนโยบายนี้อาจเป็นคำตอบสำคัญว่าเราจะอุดรอยรั่วเหล่านั้นได้อย่างไร ซึ่ง Learning passport จะเป็นเหมือนกับการโอนเงินพร้อมเพย์ทางการศึกษา โดยผูกกับเลขบัตรประชาชน 13 หลักของเด็กแต่ละคน เพื่อให้รัฐสามารถโอนเงินสนับสนุนด้านการศึกษาหรือสวัสดิการต่างๆ (เช่น สุขภาพ สังคม  และแรงงาน) ไปถึงตัวเด็กโดยตรง และลดการรั่วไหลของงบประมาณ 

นอกจากนี้ ก็ยังมีระบบที่สามารถบันทึกข้อมูลการเรียนรู้ทั้งในและนอกระบบไว้ในฐานข้อมูลเดียว เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กที่อยู่นอกระบบหรือเสี่ยงออกนอกระบบให้สามารถเทียบโอนหน่วยกิตหรือกลับมาเรียนต่อได้สะดวกและยืดหยุ่นขึ้น ซึ่งข้อมูลเครดิตการเรียนเหล่านี้จะสามารถนำไปใช้ในการสมัครงานในอนาคต อย่างวันนี้บางคนเขาอาจยังไม่พร้อมเรียนต่อ แต่สิ่งที่เขาเคยเรียนมาแล้วจะถูกบันทึกอยู่ในฐานข้อมูลตัวเลข 13 หลักนี้ แล้วถ้าวันหนึ่งเขาอยากกลับเข้ามาเรียน มันก็จะยังช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเขาครับ

หลังจากที่ได้เข้าไปคุยวันนั้น เราไม่รู้ว่าเขาจะเอาไปทำต่อไหม แต่เขาก็บอกว่า มันเป็นนโยบายที่ทาง กสศ. เคยเข้ามานำเสนอแล้วครั้งหนึ่ง แต่ว่าครั้งนั้นเขายังมองไม่เห็นภาพชัดเจนเท่าไหร่ แต่พอวันนี้ได้มาฟังเสียง จากเด็กที่เป็นตัวแทนจากครอบครัวที่ยากจนจริงๆ เขาก็มองเห็นว่ามันควรจะถูกขับเคลื่อนให้เกิดขึ้น ส่วนตัวก็ดีใจที่มีเวทีให้เยาวชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนนโยบาย แต่อีกใจก็หวังว่าสิ่งที่นำเสนอจะถูกขับเคลื่อนจริงๆ และไม่อยากให้จบลงด้วยการเป็นแค่ผักชีโรยหน้าครับ”  

นอกจากการนำเสนอนโยบายกับรัฐบาล เอเปคยังฝากข้อความถึงผู้ใหญ่ใจดีที่ช่วยสนับสนุนเขาและเด็กๆ ในด้านการศึกษา เพราะการลงทุนด้านศึกษานั้นเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า และจะสะท้อนกลับมาเป็นสังคมที่มีคุณภาพในอนาคต

“การศึกษาก็เป็นเหมือนกับการลงทุนอย่างหนึ่ง แต่มันเป็นการลงทุนในกลุ่มคน เหมือนกับที่พวกเราเคยได้ยินกันครับว่า ‘เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า’ ดังนั้นเราอยากให้ประเทศนี้เป็นแบบไหน มีพลเมืองที่มีคุณภาพอย่างไร เราเลือกได้ครับ เริ่มจากการหันมาลงทุนกับเด็กๆ กลุ่มนี้ที่ยังรอโอกาสอยู่ เพื่อให้ประเทศของเรามีบุคลากร มีพลเมืองที่มีคุณภาพมากขึ้น เพราะการศึกษานอกจากจะช่วยเพิ่มความรู้แล้ว ยังช่วยให้เขามีมุมมองที่กว้างมากขึ้น และสามารถเอาศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ในการขับเคลื่อนสังคม 

ก็อยากให้ทุกคนมองว่า การศึกษามันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ มันเป็นเหมือนกับประตูบานแรกในการสร้างชีวิตคนๆ หนึ่ง ก่อนต่อยอดไปสู่การสร้างประเทศ รวมถึงสร้างโลกใบนี้ครับ

สำหรับ กสศ. ที่ให้โอกาสมาโดยตลอด ก็อยากฝากขอบคุณที่เห็นคุณค่าในตัวเด็กคนนี้ และคอยส่งเสริมหยิบยื่นโอกาสต่างๆ ให้ นอกเหนือไปจากเงินที่ได้รับมา ยังสนับสนุนเพื่อให้เรามีศักยภาพที่มากขึ้น อยากให้สัญญาครับว่าโอกาสที่ได้รับมานี้ จะไม่ทำให้มันสูญเปล่า และจะนำต้นทุนนี้มาใช้เพื่อเติบโตไปเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของสังคม เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ และตอบแทนโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้”

Tags:

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเยาวชนนโยบายLearning Passport

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Photographer:

illustrator

แคนคำ ตาคำ

Related Posts

  • Social Issues
    วิเคราะห์มุมมืดระบบการศึกษาไทย สู่ความเป็นไปได้ใหม่ในการปฏิรูปการเรียนรู้

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • ‘ผลสอบ PISA’ กับความจริงที่ว่า ระบบการศึกษาไทยอ่อนแอ ความสามารถเด็กไทยลดลง

    เรื่อง The Potential

  • Movie
    Vaathi: ครูดีอาจทำให้เด็กคนหนึ่งไปถึงฝัน แต่ระบบการศึกษาคุณภาพจะช่วยเด็กจำนวนมากเข้าถึงโอกาสในการมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Social Issues
    ถึงเวลาการศึกษาไทยต้องอัพเดทแพทช์! ความหวังหลังเลือกตั้งของ ‘อร-พัศชนันท์ เจียจิรโชติ’

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel