- จากเด็กที่เคยไม่ชอบวิชาวิทยาศาสตร์เท่าไรนัก หลังจากได้เรียนวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ ที่ใช้กระบวนการ Project-based learning ‘กะทิ’ และ ‘เจได’ นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์เข้าร่วมแข่งขันในเวที Genius Olympiad 2025
- วิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง โดยพัฒนาโจทย์จากเรื่องใกล้ตัวให้เป็นโครงงาน เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง โดยมีครูทำหน้าที่เป็นโค้ชคอยป้อนคำถามและชวนสะท้อนคิดตลอดกระบวนการ
- สิ่งที่กะทิและเจได ได้รับจากการเรียนวิทยาศาสตร์ผ่านการทำโครงงาน นอกจากองค์ความรู้และทักษะต่างๆ เช่น การวางแผน การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม การสื่อสาร พวกเขายังได้ค้นพบศักยภาพของตนเองและมีทัศนคติที่ดีต่อวิชาวิทยาศาสตร์
กะทิ: “วิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ ฝึกให้รู้จักตั้งคำถามในสิ่งที่สนใจ สืบค้นข้อมูลด้วยตนเอง ฝึกกระบวนการคิด การวางแผน และการทำงานทั้งหมด วิทยาศาสตร์ทำให้เข้าใจระบบของโลกนี้มากขึ้น”
เจได: “การได้มีโอกาสทำโครงงานวิทยาศาสตร์ช่วยให้ผมให้ผมโตขึ้นมากเลยครับ ได้องค์ความรู้ใหม่ๆ และยังได้ฝึกทักษะ soft skill ที่เป็นประโยชน์”
แม้จะเคยตั้งคำถามกับการเรียนวิทยาศาสตร์ แต่หลังจาก ‘กะทิ’ ศักดินันท์ ปฏิภาณญาณกิตติ และ ‘เจได’ นันทิน เลิศวรรณวิทย์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี ได้เรียนรู้ผ่านการทำโครงงาน (Project-based learning) ในวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ ความคิดของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
ความสงสัยที่เกิดจากการสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว กลายมาเป็นสารตั้งต้นในการออกแบบการเรียนรู้ การค้นคว้าหาคำตอบและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง นอกจากจะทำให้ทั้งสองคนเข้าถึงหัวใจสำคัญของการเรียนวิทยาศาสตร์ ยังทำให้พวกเขาได้ทั้งความรู้และทักษะต่างๆ รวมไปถึงการค้นพบศักยภาพของตัวเอง
มากไปกว่านั้น ‘โครงงานการศึกษาผลการใช้ไมโครแคปซูลในฟิล์มหลังคาดูดซับรังสียูวี’ ที่กะทิและเจไดร่วมกันออกแบบ ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition: YSC) ให้เข้าร่วมการแข่งขัน Genius Olympiad 2025 ณ Rochester Institute of Technology (RIT) เมืองโรเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และคว้ารางวัลเหรียญทองแดงมาได้สำเร็จ

เข้าถึงหัวใจของวิชาวิทยาศาสตร์ด้วย ‘Project-based learning’
‘วิทยาศาสตร์เรียนไปทำไม ถ้าไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์?’ คำถามที่ผุดขึ้นในใจของใครหลายคนนี้ก็เกิดขึ้นกับ ‘เจได’ เช่นเดียวกัน กระทั่งเขาได้มาพบกับวิชา ‘โครงงานวิทยาศาสตร์’ ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เรียกว่า ‘Project-based learning’
“ช่วงที่เรียนมัธยมต้น ผมรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ไม่ค่อยน่าเรียนสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะวิชาชีวะ ผมไม่ชอบเลย เพราะมองว่าเป็นการเรียนเพื่อเอาไปใช้สอบ สุดท้ายก็ลืมไป แล้วก็คงนำไปใช้กับงานที่อยากทำในอนาคตไม่ได้ เนื่องจากช่วงนั้นอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่พอเข้าเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี ได้มารู้จักกับวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ ก็ทำให้รู้ว่าวิทยาศาสตร์ไม่ใช่แค่ฟิสิกส์ เคมี หรือชีวะ แต่มีเรื่องของกระบวนการคิดและการประยุกต์ใช้ทั้งการตั้งคำถาม การตั้งสมมติฐาน และการฝึกคิดอย่างเป็นระบบ”
ขณะที่ ‘กะทิ’ กล่าวเสริมว่า “สำหรับผมวิชาโครงงานคือความอิสระครับ” เขาเล่าว่า โครงงานเป็นวิชาที่ไม่มีใครมาบังคับว่าคุณต้องเรียนบทนี้ ต้องทำสิ่งนี้ แต่เป็นวิชาที่เปิดโอกาสให้ได้ทำในสิ่งที่อยากรู้ สิ่งที่ชอบ และได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน ซึ่งกะทิเชื่อว่าถ้าเรามีแพสชันกับสิ่งที่ทำก็จะทำสิ่งนั้นออกมาได้ดีที่สุด
“วิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ผมชอบมากที่สุด เพราะผมเป็นคนชอบใช้หลักเหตุผล แต่ที่ผ่านมาแค่รู้สึกเสียดายว่า พอหลังจากที่สอบเสร็จแล้ว ความรู้ที่ตั้งใจเรียนกลับนำมาใช้ได้น้อยเกินไป กระทั่งมาเจอวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ก็รู้สึกว่าเป็นวิชาที่ให้เกียรติต่อทุกความรู้ที่ผมมี เพราะผมสามารถนำความรู้เหล่านั้นไปใช้หาคำตอบกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ฝึกให้รู้จักตั้งคำถามในสิ่งที่สนใจ สืบค้นข้อมูลด้วยตนเอง ฝึกกระบวนการคิด การวางแผน และการทำงานทั้งหมด วิทยาศาสตร์ทำให้เข้าใจระบบของโลกนี้มากขึ้น”
‘โครงงานวิทยาศาสตร์’ เริ่มจากโจทย์ปัญหาในชีวิตประจำวัน
หลังจากปรับทัศนคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์แล้ว กะทิและเจไดก็เริ่มออกแบบโครงการวิทยาศาสตร์จากความสนใจของตัวเอง โดยโครงงานการศึกษาผลการใช้ไมโครแคปซูลในฟิล์มหลังคาดูดซับรังสียูวีที่สามารถคว้ารางวัลระดับนานาชาติ พวกเขาบอกว่ามีจุดเริ่มต้นมาจาก ‘ฟาร์มผักกาดหอม’
“เรามีโอกาสไปดูงานฟาร์มผักกาดหอม ได้เห็นกระบวนการเก็บเกี่ยวผลผลิตของเกษตรกร แล้วพบว่ามีผักกาดหอมที่เสียหายจากใบไหม้เยอะมาก ก็สงสัยว่าทำไมถึงมีผลผลิตเสียหายจำนวนมากขนาดนี้ ตอนนั้นคิดกันว่าจะช่วยเกษตรกรลดปริมาณผลผลิตที่เสียหายได้อย่างไร ปัจจัยอะไรที่ทำให้ผักกาดหอมเกิดความเสียหาย” เจไดเล่า ก่อนจะอธิบายกระบวนการทำงานร่วมกัน
“เราแบ่งกันไปหาข้อมูลและพบว่าสาเหตุที่ผักกาดหอมใบไหม้เกิดจากแสง ซึ่งแสงที่เป็นต้นเหตุ คือ รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) หรือที่เรียกว่า UV ขณะที่แสงสีน้ำเงินซึ่งมีคลื่นแสงอยู่ในช่วงที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (Visible Light) เป็นแสงที่มีประโยชน์เพราะผักกาดหอมจำเป็นต้องใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง จึงนำมาสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ฟิล์มหลังคาที่ช่วยดูดซับ UV ที่เป็นอันตรายและแปลงให้กลายเป็นแสงสีน้ำเงิน ซึ่งทำให้ให้ผักกาดหอมเจริญเติบโตได้ดีขึ้น เป็นการทำโครงงานวิทยาศาสตร์จากปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน”
แผ่นฟิล์มคลุมโรงเรือนผักกาดหอมพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีไมโครแคปซูล (Microencapsulation) เป็นการนำแคปซูลขนาดเล็กมาห่อหุ้มสารเมทิลซาลิไซเลต (Methyl salicylate) ที่มีสมบัติดูดซับแสง UV และเปลี่ยนให้เป็นแสงสีน้ำเงินไว้
กะทิเล่าต่อว่ากระบวนการขึ้นรูปแผ่นฟิล์ม ทั้งสองคนช่วยกันศึกษาในเรื่องขององค์ประกอบทางเคมี และเทคโนโลยีไมโครแคปซูล รวมทั้งทำจดหมายขออนุญาตเข้าไปใช้เครื่องมือที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เพื่อขึ้นรูปฟิล์มคลุมโรงเรือนด้วยตนเองทั้งหมด
“ระหว่างการทำงานพบปัญหาเยอะมาก ทั้งกระบวนการขึ้นรูปและการผลิต เราพยายามศึกษางานวิจัยก่อนหน้า แต่พอนำมาทดลองก็ยังไม่สำเร็จ ก็เลยศึกษาเรื่องขององค์ประกอบเคมีเพิ่มเติม จนได้เป็นเทคนิคใหม่ที่ยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน เรียกว่าเราพัฒนากระบวนการขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะสำเร็จแบบนี้ได้ก็ต้องผ่านการลองผิดลองถูกมาเยอะ”
ความยากในการทำโครงงานไม่ได้จบแค่การผลิตวัสดุฟิล์มคลุมโรงเรือน แต่ในกระบวนการนำฟิล์มมาทดสอบก็ยังมีอุปสรรคปัญหามากมายให้ได้เรียนรู้ เจไดเล่าย้อนถึงขั้นตอนของการนำแผ่นฟิล์มไมโครแคปซูลที่พัฒนาขึ้นมาทดสอบคลุมโรงเรือนปลูกผักกาดหอมขนาดเล็กที่จำลองขึ้นคล้ายๆ กล่องทดลอง จำนวน 5 ชุด โดยแต่ละกล่องจะปลูกผักกาดหอมไว้ 3 ต้น
“จริงๆ ตามหลักเราควรเพาะกล้าผักกาดหอมเองเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วก็นำไปปลูกในโรงเรือนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แต่ด้วยความที่ยังไม่มีความรู้ ก็เลยซื้อผักกาดหอมจากฟาร์มมาปลูก ทีนี้ก็เจอปัญหามากมากเลย ทั้งปลูกผักกาดหอมไม่ขึ้น โตไม่เท่ากัน รดน้ำเยอะไปก็เป็นเชื้อรา ซึ่งก็ได้คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาทำให้รู้ว่าการทดลองแบบนี้ เราต้องเพาะกล้าเองตั้งแต่ต้น เพื่อควบคุมปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่จะช่วยลดความผิดพลาด”
หลังจากได้ลองผิดลองถูกจนนำไปสู่การแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ ผลการทดสอบพบว่าแผ่นฟิล์มไมโครแคปซูลสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของผักกาดหอมได้มากขึ้น ช่วยลดผลผลิตที่เสียหายและลดการใช้ทรัพยากรน้ำได้มากขึ้น
“ทำโครงงานเดียวแต่ได้ใช้ทุกวิชาเลยครับ ทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ พูดได้ว่าเป็นประสบการณ์จริงๆ” กะทิกล่าวและเล่าว่า “ในทุกช่วงของการทำโครงงานมีปัญหาผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และการจัดการปัญหาค่อนข้างยาก แต่ด้วยเราแบ่งงานกันชัดเจน และช่วยกันแก้ปัญหาที่เข้ามา คอยให้กำลังใจกัน รวมทั้งยังมีอาจารย์ขุนทอง คล้ายทอง อาจารย์ที่ปรึกษาที่คอยสนับสนุนและให้คำแนะนำ ก็ทำให้เราทำโครงงานลุล่วงมาได้สำเร็จ”
มากกว่าเหรียญรางวัลคือ ‘ทักษะและประสบการณ์”
แม้โครงงานการศึกษาผลการใช้ไมโครแคปซูลในฟิล์มหลังคาดูดซับรังสียูวีจะได้รับรางวัลเหรียญทองแดงในการแข่งขัน Genius Olympiad 2025 ซึ่งแน่นอนว่าความรู้สึกแรกก็คือความภาคภูมิใจ แต่กะทิและเจไดบอกว่าคุณค่าที่ได้รับมากกว่านั้นคือ ‘ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์’ ซึ่งได้รับทั้งจากการทำโครงงานและเวทีการแข่งขัน
“การได้มีโอกาสทำโครงงานวิทยาศาสตร์ช่วยให้ผมโตขึ้นมากเลยครับ ได้องค์ความรู้ใหม่ๆ และยังได้ฝึกทักษะ Soft skill ที่เป็นประโยชน์มาก โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสาร ได้ฝึกการพูด การนำเสนอให้เป็นทางการมากขึ้น”
เจไดกล่าวก่อนจะขยายความว่า “การนำเสนอผลงานในเวทีแข่งขันระดับนานาชาติ ต้องฝึกทั้งภาษาอังกฤษ การยืน การวางท่าทาง การมองตากรรมการ ทุกอย่างต้องเรียนรู้และฝึกทั้งหมด ทำให้ได้ทักษะการ Pitching (การนำเสนอความคิด) ซึ่งมีคุณค่ามากสำหรับผมที่เริ่มมีฝันอยากเป็นนักธุรกิจในอนาคต”
“การทำโครงงานยังช่วยให้วางแผนงานอย่างเป็นระบบ แบ่งเวลาชัดเจนว่าวันไหนต้องทำอะไร รวมทั้งได้ฝึกกระบวนการคิด การหาข้อมูลงานวิจัยต่างๆ เพื่อมาอ้างอิง และตั้งแต่ที่ทำโครงงานแรกจบไป ก็ทำให้กล้าที่จะตั้งคำถามกับสิ่งที่พบเจอในแต่ละวัน หรือคิดต่อยอดแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆ เช่น ตอนนี้ผมกับเพื่อนร่วมกันตั้งทีมสานต่อโครงงานสำหรับนำไปใช้ในฟาร์มปศุสัตว์”
ขณะที่กะทิบอกว่า “ทักษะสำคัญที่ผมได้มาคือ องค์ความรู้และประสบการณ์” เขาเล่าต่อว่าหากเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนตอนนี้ค่อนข้างไปได้ไกลกว่าการเรียนเนื้อหาตามหลักสูตร เพราะได้เรียนในสิ่งที่สนใจ มีอิสระในการหาความรู้
“วิชาโครงงานไม่มีใครมานั่งสอบเราครับ ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องเรียนในเรื่องที่เขาสั่งให้เรียน เราสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจ และในอนาคตที่ต้องเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ผมเชื่อว่าต้องทำโครงงานอยู่ดี แต่ทำเป็น Thesis คืองานวิจัยที่กว้างขึ้น ซึ่งผมทั้งสองคนจะมีประสบการณ์มากกว่าคนอื่น เพราะรู้แล้วว่างานวิจัยทำอย่างไร และทำให้ไปได้เร็วกว่า
การพัฒนาศักยภาพอย่างก้าวกระโดดของกะทิและเจได ไม่เพียงเป็นผลพวงจากโรงเรียนที่สร้างนิเวศการเรียนรู้โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือทำเท่านั้น แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้มีประสบการณ์บนเวทีการแข่งขันระดับนานาชาติ ได้เรียนรู้และระเบิดพลังศักยภาพอย่างเต็มที่
กะทิกล่าวขอบคุณสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้จัดทำโครงการฯ ส่งเสริมให้นักเรียนไทยได้มีโอกาสไปแข่งขันในเวที Genius Olympiad
“สิ่งสำคัญที่เราได้กลับมาคือ เครือข่าย หรือ Connection เรามีเพื่อนใหม่ มีชุมชนนักวิทยาศาสตร์ มีช่องทางการติดต่อที่จะชวนกันมาร่วมงานหรือว่าแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันได้ นอกจากนี้คือการได้ไปเห็นโครงงานวิทยาศาสตร์ของประเทศอื่นๆ ช่วยเปิดมุมมองใหม่ เพราะเวลาที่แข่งขันกันในประเทศ หัวข้อโครงงานส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเกษตร แต่ในต่างประเทศจะมีหัวข้อวิจัยที่หลากหลายมาก เช่น ฟิสิกส์ เคมี หรือชีวะที่เป็นเชิงลึกเลย ทำให้เห็นว่าเขามีองค์ความรู้ที่ไปไกลถึงไหนแล้ว เพื่อที่เราจะนำกลับมาพัฒนาตนเอง”
ครูคือ ‘โค้ช’ ผู้ตั้งคำถามสร้างการเรียนรู้ และอยู่เบื้องหลังการเติบโต
แน่นอนว่าการทำโครงงานจะสำเร็จได้นอกจากความตั้งใจเต็มร้อยของกะทิและเจไดแล้ว แรงหนุนเสริมที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ครูขุนทอง คล้ายทอง อาจารย์ที่ปรึกษาที่ทำหน้าที่เป็น ‘โค้ช’ คอยตั้งคำถามเพื่อนำไปสู่กระบวนการคิดและวางแผนการทำงาน หรือแม้แต่เป็น ‘พี่และเพื่อน’ ที่คอยแนะนำการใช้ชีวิต
กะทิเล่าว่าอาจารย์ขุนทองเป็นครูที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตอาจารย์ไม่ใช่แค่สอนวิทยาศาสตร์ แต่เป็นโค้ชของชีวิตที่สอนทุกอย่างตั้งแต่รากฐาน มารยาท การสื่อสาร จิตวิทยา การบริหารงาน
“สำหรับมุมมองเรื่องวิทยาศาสตร์ อาจารย์สอนค่อนข้างเยอะว่า ความจริงแล้ววิทยาศาสตร์คือการสังเกต การเปรียบเทียบ ถ้าจะหาข้อมูลมาอ้างอิงได้ ต้องมีหลักการอย่างไร การสืบค้นต้องทำอย่างไร อาจารย์ขุนทองเป็นครูที่ทุ่มเทให้กับลูกศิษย์มาก”
“อาจารย์ขุนทองเป็นคนที่เปิดกว้างมาก อยากทำอะไรทำเลย อาจารย์จะแค่ให้คำแนะนำ หรือช่วยดูว่าสิ่งที่เราทำควรปรับแก้ไขตรงไหนหรือเปล่า แต่ไม่มาบังคับว่า คุณต้องทำ คุณต้องไม่ทำ และอาจารย์จะคอยเป็นนักถามที่ดี เขาจะคอยถามทุกจุด เช่น พอเราบอกว่า อาจารย์ครับ ผมอยากทำโครงงานเกี่ยวกับผักกาดหอม อาจารย์จะถามว่าทำไมต้องทำผักกาดหอม ปัญหาที่เราเจอมีทุกที่หรือเปล่า และจะถามเราไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะเข้าใจในสิ่งที่ทำจริงๆ ถ้าตอบไม่ได้ก็ไปหาข้อมูลเพิ่ม เป็นหลักการสอนที่ผมชอบมาก”

นอกจากความรู้ใหม่ๆ ที่ได้รับแล้ว กะทิบอกว่าการแข่งขันยังช่วยให้เขาเติบโตทางด้านความคิด สามารถนำความผิดหวังมาเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาตนเอง
“อาจารย์ขุนทองสอนผมไม่ให้เอาความผิดพลาดเก็บไว้ในใจ แต่เอามาพัฒนาตนเอง หรือเป็นการต่อยอด ทุกครั้งที่เราแข่งเสร็จ ไม่ว่าชนะหรือแพ้ เราจะมีคืนถอดบทเรียน คือเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำมาถาม วิจารณ์ว่าจะมีวิธีการนำข้อเสียนั้นมาพัฒนาอย่างไร ซึ่งผมว่าเป็นหลักการเรียนรู้ที่ค่อนข้างจะมีประสิทธิภาพอันหนึ่ง เพราะว่าตั้งแต่ที่ผมใช้หลักการนี้ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างที่เคยทำผิดพลาดไปปรับปรุงได้เสมอ และก้าวออกจากปัญหาได้เร็วขึ้น
เช่น ตอนประกาศว่าได้รางวัลเหรียญทองแดง จริงๆ รู้สึกผิดหวัง เพราะใจเราอยากคว้าเหรียญทองให้ได้ แต่อาจารย์สอนให้ผมเรียนรู้ว่ายังมีคนที่เก่งกว่าเราอีกมาก ฝึกให้ได้ทบทวนตนเองและเป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองเพิ่ม เราอาจจะต้องฝึกภาษาดีขึ้น เตรียมสไลด์ คือไม่จมว่าที่ได้เหรียญทองแดงเพราะเราไม่เก่ง แต่เรากำลังจะเก่งขึ้นต่างหาก จากความผิดหวังเป็นแรงผลักดันให้อยากกลับไปคว้าชัยชนะ และตอนนี้ผมมีความฝันชัดเจนว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลคนแรกของไทย นี่คือสิ่งที่ผมได้จากอาจารย์ขุนทอง คือการเปลี่ยนมายด์เซ็ตผมครับ”
เจไดกล่าวเสริมว่า “สิ่งที่ผมเห็นคือ ความรักและความจริงใจที่มีให้กับลูกศิษย์ทุกคนครับ อาจารย์ดูแลใส่ใจพวกเราในทุกเรื่อง เปิดใจรับฟัง และสอนทุกอย่างตั้งแต่กระบวนการคิดและการทำงาน ปัญหาของผมจะเป็นเรื่องของการนำเสนอ อย่างเช่น การยืน การมองตา เพราะว่าเป็นปีแรกของผมในการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ แต่อาจารย์คอยแนะนำตลอด บอกว่าผมมีจุดเด่นจุดด้อยตรงไหนบ้างแล้วก็ชี้แนะบอกให้ผมนำกลับไปแก้ไข”
สุดท้ายเมื่อถามถึงเทคนิคหรือเคล็ดที่อยากส่งต่อถึงเพื่อนๆ กะทิ บอกว่า อยากให้ทุกคน ‘กล้าออกมาจากกรอบของตัวเอง’
“หลายคนมักชอบบอกว่าทำไม่ได้หรอก ผมอยากบอกว่าทุกคนทำได้ครับ แค่ลงมือทำเท่านั้นเอง อย่าให้มีกรอบเล็กๆ ที่เรียกว่าความคิดของตัวเองมากั้นเราไว้ และที่สำคัญที่สุดคือ Passion ถ้าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ Potential จะมากขึ้นตาม”
“ผมอยากให้ทุกคนหาตัวเองให้เจอ” เจไดกล่าวเสริมและเล่าว่า ก่อนหน้านี้ตนเองไม่รู้เลยว่าจะเรียนอะไร สนจะไร เป็นคนที่เรียนอยู่ในระดับกลางๆ เรียนวิทยาศาสตร์ก็ไม่รู้ว่าจะนำไปปรับใช้ได้อย่างไร จนได้มาทำโครงงานซึ่งเหมือนเปลี่ยนโลกไปเลย
“ผมรู้สึกว่าการเรียนวิทยาศาสตร์สนุกขึ้นมาก ได้ทดลองสืบค้นข้อมูลด้วยตนเองจากแหล่งต่างๆ ได้ลองตั้งคำถามเอง ไม่ใช่แค่การนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องเรียน หรือการอ่านเพื่อไปสอบ แต่เป็นการหาข้อมูลในสิ่งที่เราสนใจมากจริงๆ ทำให้เราค้นพบความสนใจของตนเอง ได้เจอแสงสว่างที่ทำให้รู้ว่าเราจะเดินไปในเส้นทางไหน และต่อยอดไปสู่อนาคตได้อย่างชัดเจน”
ทั้งกะทิและเจไดสรุปมุมมองที่เปลี่ยนไปหลังจากได้เรียนวิทยาศาสตร์จากการทำโครงงานว่า
“วิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ทำให้พวกเราได้นำความรู้ที่เรียนมาใช้เพื่อหาคำตอบในสิ่งต่างๆ ที่เราสงสัย หรือนำมาใช้ในการแก้ปัญหาที่พบเจอในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็คือแก่นแท้ของการเรียนวิทยาศาสตร์”

โครงการการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition) เป็นเวทีการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนไทยได้มีโอกาสพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นนวัตกรรม ทั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน ในการสนับสนุนให้เยาวชนเข้าร่วมการแข่งขันการประกวดโครงงานในระดับนานาชาติ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/ysc GENIUS Olympiad เป็นการแข่งขันโครงงานระดับนานาชาติสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2-6 ที่มุ่งเน้นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ก่อตั้งโดย Terra Science and Education โดยมี Rochester Institute of Technology เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขัน GENIUS ซึ่งมีการแข่งขันใน 8 สาขาวิชาที่เน้นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ได้แก่ Science, Speech, Business, Robotics, Art, Musicม Short Film และ Coding |