- การเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่หลายคนติดหล่มการเปรียบเทียบจนทำให้ตนเองเป็นทุกข์ บทความนี้ชวนทุกคนทำความเข้าใจการเปรียบเทียบทั้งในเชิงบวกและลบ เพื่อเปลี่ยนมันให้เป็นประโยชน์
- เมล ร็อบบินส์ ผู้เขียน The Let Them Theory กล่าวว่าการเปรียบเทียบสองรูปแบบที่ผู้คนกระทำกันคือ การเปรียบเทียบที่เป็น ‘เครื่องทรมาน’ และเป็น ‘ครูสอน’ ดังนั้นจงถามตัวเองว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่เวลาที่คุณเปรียบเทียบ
- เมล แนะนำ 3 สเต็ปเพื่อเอาชนะโรคชอบเปรียบเทียบ เริ่มจากการมองให้เห็นปัญหา แล้วยอมรับความจริงว่าโลกไม่ยุติธรรม จากนั้นจึงลงมือแก้ปัญหาด้วยการใช้ ‘ทฤษฎีปล่อยเขา’ เปลี่ยนความอิจฉามาเป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนตัวเองสู่เส้นทางชีวิตที่คู่ควร
“การเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เรามักจะมองไปรอบตัวและดูว่าคนอื่นกำลังทำอะไรอยู่ และเราเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับพวกเขา”
เมล ร็อบบินส์ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจชาวอเมริกันกล่าวไว้ใน The Let Them Theory ว่าการเปรียบเทียบเป็นธรรมชาติ เพียงแต่ธรรมชาตินี้มักเล่นตลกกับผมเสมอ ราวกับลงโทษให้ผมกลายเป็น ‘โรคชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น’ จนเผลอจิตตกและรู้สึกแย่กับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง
ผมรู้ดีว่าการเปรียบเทียบเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ แต่ก็ไม่อาจห้ามกลไกในสมองได้เลย โดยเฉพาะเวลาที่เห็นเพื่อน (ที่เคยบูลลี่ผมว่าอ้วน) โพสต์อวดหุ่นลีนๆ ที่ผมแทบไม่มีทางทำได้ หรือเวลาที่พ่อแม่ดูใจดีกับคนอื่นมากกว่าผม…ทุกครั้งมันทำให้ผมรู้สึกเป็นทุกข์และกดดันตัวเองหนักขึ้น
ผมยอมรับว่าผมหวังจะเห็นคำปลอบใจจากเมล แต่แทนที่จะอุ่นใจ ข้อความของเธอแต่ละบรรทัดกลับเหมือนน้ำเย็นที่สาดใส่หน้าของผม ผ่านความจริงที่ผมไม่อยากฟัง ว่าชีวิตนั้นไม่ยุติธรรม และตัวผมนี่แหละคือปัญหาสำคัญในสมการนี้
“เมื่อคุณมองว่าชีวิตของคนอื่นคือหลักฐานที่บ่งบอกถึงความล้มเหลวในตัวคุณ บ่งบอกว่าคุณไม่มีเสน่ห์หรือไม่ดีพอ ตัวคุณนั่นแหละคืออุปสรรคใหญ่สุดของตัวเอง
คุณเลื่อนหน้าจอดูโซเชียลทีเดียอย่างไร้สติ หรือไม่ก็รู้สึกด้อยกว่าคนอื่นจนทำอะไรไม่ได้ สิ้นหวังและต้องเป็นฝ่ายตามหลังคนอื่นอยู่ตลอดกาล คุณกำลังทรมานตัวเองโดยไม่มีเหตุผลเลย คุณยอมให้คนอื่นทำให้คุณตื้อตันไม่ขยับออก ซึ่งนำไปสู่การผัดวันประกันพรุ่งและการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง”
เมลกล่าวว่า หากอยากเอาชนะโรคชอบเปรียบเทียบ จะต้องทำตาม 3 สเต็ปที่เธอแนะนำ เริ่มจากการมองให้เห็นปัญหา เพราะมนุษย์มักทุ่มเทเวลาและพลังงานมากมายไปกับการบ่นว่าโลกไม่ยุติธรรม และเอาตัวเองไปเปรียบกับคนที่โดดเด่นกว่า ซึ่งไม่เพียงไม่ช่วยยกระดับตัวเอง แต่ยังพาให้จมปลักอยู่กับความหงุดหงิดท้อแท้ที่ค่อยๆ นำพาเราไปสู่กับดักของความสมบูรณ์แบบจนไม่ลงมือทำอะไรเลย
“ฟังนะ ฉันเข้าใจคุณ! มันเลวร้ายมากที่เวลามองไพ่ในมือแล้วรู้สึกว่าตัวเองกำลังถือไพ่ที่ห่วยที่สุดในโลก มันง่ายที่จะพูดว่า ‘ทำไมต้องเป็นฉัน!’ มันง่ายที่จะสงสารตัวเอง มันง่ายที่จะมองคนอื่นแล้วทำให้ตัวเองรู้สึกแย่…แต่การเปรียบเทียบชีวิตของคุณกับความโชคดีในชีวิตของคนอื่นเป็นการเสียเวลาเปล่า
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเรามีแนวโน้มชอบเปรียบเทียบ ปัญหาคือสิ่งที่เราทำเมื่อเปรียบเทียบต่างหาก ดังนั้นจงถามตัวเองว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่เวลาที่คุณเปรียบเทียบ กำลังทรมานตัวเอง หรือกำลังสอนบทเรียนสำคัญให้ตัวเอง”
เมื่อมองเห็นปัญหาแล้ว สเต็ปที่สองคือ การยอมรับความจริงว่าโลกไม่ยุติธรรม ยังไงย่อมต้องมีคนที่โชคดีกว่า ประสบความสำเร็จกว่าเราเสมอ แต่เราไม่ควรปล่อยให้มันกัดกินใจจนบั่นทอนตัวเอง เมลจึงชวนให้เราทำความเข้าใจความจริงข้อนี้ใหม่ว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การเปรียบเทียบ แต่เป็นการไม่รู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์
“ความจริงก็คือมีการเปรียบเทียบสองรูปแบบที่ผู้คนกระทำกัน นั่นคือการใช้การเปรียบเทียบเป็น ‘เครื่องทรมาน’ หรือใช้เป็น ‘ครูสอน’
หากจะใช้การเปรียบเทียบให้เป็นประโยชน์ คุณจะต้องระบุให้ได้ก่อนว่าคุณกำลังเปรียบเทียบแบบไหน การแยกความแตกต่างนั้นง่ายมาก การเปรียบเทียบประเภทแรกเป็นการทรมาน คุณรู้สึกว่าตัวเองหมกมุ่น เอาแต่คิดกังวล หรือตำหนิตัวเองในเรื่องที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ การเปรียบเทียบจะรู้สึกเป็นความทรมานเมื่อคุณจดจ่อไปยังลักษณะถาวรของชีวิตคนอื่น ตัวอย่างเช่น รูปร่างหน้าตา พ่อแม่ ประสบการณ์ในอดีต พรสวรรค์ทั้งหลาย…
นักจิตวิทยาจะบอกคุณว่า รากเหง้าของภาวะผิดปกติหลายอย่าง คือความปรารถนาอย่างหมกมุ่นที่จะควบคุมสิ่งต่างๆ …เมื่อใดก็ตามที่คุณพยายามควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มันจะยิ่งทำให้คุณรู้สึกไร้การควบคุมและไร้อำนาจมากกว่าเดิม
การเปรียบเทียบประเภทที่สองเป็นขุมสมบัติสำหรับคุณเลยละ คือการเปรียบเทียบที่ช่วยสอนบทเรียน คุณจะได้รู้ว่าการเปรียบเทียบเช่นนี้เป็นเรื่องดี เพราะคุณกำลังเพ่งมองไปที่แง่มุมของชีวิตหรือความสำเร็จของคนอื่นที่คุณสามารถสร้างให้เกิดขึ้นกับตัวเองได้…
หากใครสักคนทำสิ่งที่ดีกว่า ยิ่งใหญ่กว่า หรือดูเท่กว่าที่คุณเคยจินตนาการไว้ ปล่อยเขา ปล่อยเขาได้รับความสำเร็จนั้น ปล่อยเขาให้ทำได้ดีกว่าคุณ ปล่อยเขาให้ทำได้อย่างฉลาดหลักแหลมและดูดีที่สุด ความสำเร็จของพวกเขาจะให้สูตรสำเร็จกับคุณ
เมื่อคุณมองการเปรียบเทียบเป็นครู คุณจะตระหนักว่าคนอื่นไม่ได้พรากสิ่งใดไปจากคุณ แต่พวกเขากำลังมอบบางสิ่งให้ต่างหาก
คนอื่นมีศักยภาพอันงดงามที่จะแสดงให้คุณเห็นชิ้นถึงส่วนอนาคตของคุณที่ตัวคุณยังมองไม่เห็นภาพสมบูรณ์ พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่คุณไม่รู้ว่ามีอยู่จริง หรือเป็นสิ่งที่คุณบอกตัวเองว่าไม่สามารถที่จะทำได้สำเร็จ”
และสเต็ปสุดท้าย คือการลงมือแก้ปัญหาด้วยการใช้ ‘ทฤษฎีปล่อยเขา’ ผ่านการเปรียบเทียบให้เป็นประโยชน์ เปลี่ยนความอิจฉามาเป็นแรงบันดาลใจ เพื่อนำความสำเร็จของคนอื่นมาเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนตัวเองสู่เส้นทางชีวิตอันน่าอัศจรรย์ที่คู่ควรกับเรา
“ใครหรืออะไรก็ตามที่ทำให้คุณอิจฉา ดีแล้ว ความสำเร็จและชัยชนะของพวกเขาไม่ได้ลดทอนโอกาสที่คุณจะสร้างสิ่งที่ต้องการ แต่พวกเขากลับขยายให้มันใหญ่ขึ้นด้วย ปล่อยเขาให้นำทางคุณไป เปลี่ยนความอิจฉาให้กลายเป็นแรงบันดาลใจ ดูว่าสิ่งใดเป็นไปได้ผ่านทางตัวอย่างจากพวกเขา คนที่คุณเปรียบเทียบตัวเองด้วยจะทำหน้าที่เป็นเหมือนกระจกเงาสะท้อนโอกาสเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น…
ดังนั้นจงปล่อยเขาทำให้คุณโกรธแทบบ้า คุณควรขอบคุณคนที่ทำให้คุณโกรธด้วยซ้ำ เพราะที่จริงแล้วคุณไม่ได้โกรธเขาหรอก ความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในใจของคุณ คือความโกรธตัวเอง เพราะคุณรู้ว่าตัวเองควรทำสิ่งนั้นให้เร็วกว่านี้ รู้ว่าคุณมีความสามารถที่จะคิดวิธีทำสิ่งนี้ได้ แต่ว่าคุณไม่ทำเอง
ช่วงเวลาเหล่านั้นมันเจ็บปวดจริงๆ และจะเกิดขึ้นหลายครั้งในชีวิต ดังนั้นเตรียมใจไว้ได้เลย เมื่อคุณใช้ทฤษฎีปล่อยเขา คุณจะดูออกว่าความรู้สึกอิจฉากำลังสอนอะไรให้คุณ
ความอิจฉาเป็นการแง้มประตูสู่อนาคตให้คุณเห็น หน้าที่ของคุณคือต้องมองให้ออกว่าอะไรเกิดขึ้น ถีบประตูให้เปิด แล้วเดินออกไป
เมื่อคุณปล่อยให้คนอื่นเป็นผู้นำทาง คุณจะตระหนักว่าภายใต้ความกลัว ข้ออ้าง และเวลาที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ คือชีวิตที่คุณต้องการตลอดมา ตอนนี้สิ่งเดียวที่ฉุดรั้งคุณจากการควบคุมชีวิตของตัวเองก็คือข้ออ้าง ความกลัว และอารมณ์ต่างๆ นี่คือจุดที่คุณจะเปลี่ยนจากการพยายามควบคุมสิ่งที่คนอื่นคิด รู้สึก หรือกระทำ ไปเป็นการใช้เวลาและพลังงานไปกับการสร้างบทที่ดีที่สุดของชีวิตคุณเอง”
ในฐานะของคนที่เป็นโรคชอบเปรียบเทียบ ผมชอบตอนหนึ่งที่เมลยกประโยคของ ‘ทอม เบรดี’ ตำนานนักอเมริกันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่บอกว่าเราไม่จำเป็นต้อง ‘พิเศษ’ แต่ต้องเป็นในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เป็น นั่นคือการเป็นคนสม่ำเสมอ มุ่งมั่น และเต็มใจทำสิ่งที่ยากซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะนี่ต่างหากคือหนทางที่จะค่อยๆ พาเราไต่ขึ้นไปยืนบนยอดเขาแห่งความสำเร็จ ไม่ใช่การนั่งฝัน นั่งจินตนาการ และนั่งเปรียบเทียบให้ตัวเองติดกับดักของความทรมานโดยไม่ลงมือทำอะไรเลย