- กสศ. ร่วมกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เดินหน้าแก้ปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษา ด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย ตั้งเป้าพาเด็กกว่า 5.5 หมื่นคนกลับสู่เส้นทางการเรียนภายในปี 2568 ผ่านแนวคิด Thailand Zero Dropout
- เปิดโอกาสให้การศึกษาไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่ขยายไปสู่แหล่งเรียนรู้จากอาชีพจริง ชุมชน และชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้ทักษะชีวิตและอาชีพ ควบคู่ไปกับการสร้างรายได้และได้รับวุฒิการศึกษาที่เทียบเท่าการเรียนปกติ
- เรื่องราวของ ‘ฮักแพง’ และ ‘เบส’ เป็นตัวอย่างที่พิสูจน์ว่าการศึกษายืดหยุ่นช่วยให้เด็กกลับมาพร้อมความมุ่งมั่น มีเป้าหมายในชีวิต และเปลี่ยนแปลงตนเองได้จริง
เด็กทุกคนควรได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม ซึ่งการศึกษาที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ให้โรงเรียนหรือห้องเรียน แต่คือการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ชีวิตเพื่อบรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเอง
หากนี่คือโจทย์ของการสร้างคนเพื่อปูทางไปสู่การสร้างสังคมคุณภาพ การส่งเสริมให้เด็กไทยทุกคนอยู่ในเส้นทางการเรียนรู้ ถือเป็นภารกิจที่สำคัญ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม ขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) โดยตั้งเป้าใช้การศึกษายืดหยุ่นช่วยเด็กกลับมาเรียนไม่น้อยกว่า 5.5 หมื่นคน ในปีการศึกษา 2568 นี้
พัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า เปิดเรียนครั้งนี้ มีเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา และไม่สามารถกลับเข้าสู่การเรียนในระบบโรงเรียนได้ เพราะปัญหาที่มีความซับซ้อน เช่น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเดินทาง และข้อจำกัดในชีวิตอื่นๆ ราว 1,000 คน สามารถกลับมาเรียนด้วยแนวทางการจัดการศึกษายืดหยุ่น เรียนได้ทุกที่ มีรายได้ มีวุฒิการศึกษา ผ่านโครงการโรงเรียนเคลื่อนที่ Mobile School ที่ กสศ. ร่วมมือ สพฐ. และเครือข่ายศูนย์การเรียนโดยสถาบันทางสังคม ตามมาตรา 12 แห่งพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นหนึ่งใน13รูปแบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิต ภายใต้แนวคิดนำการเรียนไปให้น้องตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการที่ร่วมมือกับกสศ.

“ปัจจุบันประเทศไทยยังมีเด็กเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา กว่า 8.8 แสนคน เป็นตัวเลขที่ลดจากปีการศึกษา 2567 ที่มีอยู่ราว 1.02 ล้านคน ข้อค้นพบจากการทำงานช่วยเหลือน้องๆ คือ ระบบการศึกษาและการเรียนรู้ต้องปรับให้ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิต และปากท้อง
ปัจจุบันเรามีตาข่ายการศึกษาที่ช่วยโอบอุ้มรับเด็กๆ ในทุกข้อจำกัดไว้ ตั้งแต่โรงเรียนที่มีนวัตกรรม 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ สกร.(กรมส่งเสริมการเรียนรู้) และศูนย์การเรียนโดยสถาบันทางสังคม ที่จัดการศึกษาเหมือนกับสกร. แต่ต่างกันที่ผู้จัดการศึกษาไม่ใช่รัฐแต่เป็นสถาบันทางสังคมที่ไม่แสวงหาผลกำไร อยู่ภายใต้สังกัด สพฐ. เป็นการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ และพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับผู้เรียนรายบุคคล และบริบทชุมชน มีความยืดหยุ่นเรื่องเวลาและสถานที่ ที่สำคัญคือทุกคนเป็นครูของผู้เรียนได้ (มาตรา 53 พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542)”
ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า เปิดเทอมใหม่ เรียนได้ทุกที่ มีรายได้ มีวุฒิการศึกษา คือ การเรียนรู้ที่ไม่ต้องเรียนที่โรงเรียน แต่เรียนรู้ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต ทักษะวิชาการและประสบการณ์ต่างๆ จากแหล่งเรียนรู้อื่น ตามความถนัด ความสนใจของแต่ละคน และสอดคล้องกับบริบทพื้นที่เช่น ฟาร์มเกษตร นาข้าว ผืนป่า สวนผัก สวนผลไม้ ตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านตัดผม วงดนตรีหมอลำ หรือแม้แต่ผู้เรียนที่มีข้อจำกัดเรื่องสุขภาพ ก็สามารถออกแบบวิธีการเรียนให้น้องๆ สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของตัวเองได้ โดยคุณครูจากศูนย์การเรียนฯ จะวางแผนการจัดการเรียนการสอน ร่วมกับนักวิชาชีพต่างๆ ที่เป็นเจ้าของความรู้ในอาชีพนั้นๆ ไม่ว่าจะพ่อแม่ ปราชญ์ชุมชน กลุ่มแม่บ้าน ผู้นำชุมชน อบต. ท้องถิ่น นักวิชาชีพ ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชน ฯลฯ มีการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ร่วมกับหน่วยงาน องค์กร นักวิชาชีพต่างๆ ที่ร่วมจัดการศึกษา ที่สำคัญน้องๆ จะมีรายได้จากการได้ลงมือทำงานจริงในเส้นทางเรียนรู้รูปแบบนี้ด้วย
“ในปีการศึกษา 2568 กสศ. ได้รับความร่วมมือจากหุ้นส่วนการศึกษาทั้ง ชุมชนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ร่วมจัดการศึกษาและการเรียนรู้ ให้แก่น้องๆ ที่หลุดจากระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นร้านไก่ทอด KFC สำนักข่าวออนไลน์ The Reporters New Gen Entertainment หมอลำไอดอล แพลตฟอร์มShopee ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทในเครือ Sea Thailand ฟาร์มไก่โคราช พลูโตฟาร์ม สหกรณ์การเกษตรพืชผักอินทรีย์หนองสนิทจำกัด สวนทุเรียนแปลงใหญ่ อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี และอื่นๆ”
‘ฮักแพง’ วรัญญาภรณ์ วันทา อายุ 18 ปี เป็นตัวอย่างหนึ่งของเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา และสามารถกลับสู่เส้นทางการเรียนรู้ ภายใต้แนวคิดการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น ซึ่งปัจจุบันเธอกำลังเรียนชั้นมัธยมปลาย หลักสูตรหมอลำศึกษา ศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ พร้อมกับทำงานในตำแหน่งศิลปินผู้แสดงไปด้วย

โจทย์เรียนรู้ของฮักแพงคือการปรับจากการทำตาม ‘หน้าที่’ หรือมุมมองเฉพาะตามบทบาท สู่การคิดที่เชื่อมโยงมากขึ้น เช่น เรียนวิชาคณิตศาสตร์จากการหาพื้นที่ หรือสัดส่วนความกว้างยาวของเวที หรือเรื่องการแสดงก็จะโยงกับวิชาสังคมศึกษา วัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งสืบค้นไปได้ถึงรากวิถีชีวิตของคนในแถบภาคอีสาน การเรียนรู้ที่ผสมผสานมาจากงานที่ทำ สามารถดัดแปลงใช้ได้กับทุกอาชีพ และน่าจะช่วยได้มากสำหรับคนที่หลุดจากระบบการศึกษาไปแล้วให้มีช่องทางกลับมาเรียนอีกครั้ง เพื่อมีความหวังที่จะนำวุฒิไปเรียนต่อ มีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ และดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

“การติดตามบทเรียนต่างๆ แทบไม่ต่างจากการเรียนในห้องเลยค่ะ แค่วิธีนี้เราใช้ออนไลน์เป็นหลักและมีเวลาเรียนที่ไม่ตายตัวเท่านั้น ข้อดีของวิธีการนี้คือเราได้รับคำแนะนำจากครูได้ทันที และเป็นคำแนะนำรายคนที่ทำให้เห็นความก้าวหน้าหรือจุดบกพร่องของตัวเองทุกสัปดาห์ ไม่ต้องรอให้ถึงช่วงสอบและวัดผลทีเดียว นอกเหนือจากบทเรียน การที่ครูจัดกิจกรรมกลุ่มเป็นบางช่วง ยังช่วยเรื่องความรู้สึกว่าตนได้กลับสู่ safe zone ของ ‘ระบบการศึกษา’ อีกครั้ง เนื่องจากชีวิตที่เข้าสู่การทำงานแล้ว จะมีโอกาสน้อยมากสำหรับการพบเพื่อนใหม่ มีสังคมใหม่ ขณะที่การได้เข้ากลุ่ม ได้ทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนๆ ที่ตั้งใจกลับมาเรียนเหมือนกัน สามารถนำพาประสบการณ์ทางสังคมที่เคยได้รับในโรงเรียนกลับมา”
อีกหนึ่งรูปแบบของการเรียนรู้ที่ไม่ถูกจำกัดไว้แค่โรงเรียน ‘เบส’ คติกร ทองนรินทร์ นักเรียนโรงเรียนเคลื่อนที่ Mobile school ศูนย์การเรียนซีวายเอฟ อบต.หนองสนิท จ.สุรินทร์ เล่าว่าการเรียนในรูปแบบนี้ เป็นการเรียนรู้จากสิ่งรอบตัว เรียนรู้จากสิ่งที่มีอยู่ในชุมชน และสิ่งที่สนใจ ผ่านโครงงานหรือกิจวัตรประจำวันในชีวิต ทั้งในส่วนของงานบ้านและการประกอบอาชีพ

“งานหลักของผมคือ เป็นช่างตัดผม การเรียนแต่ละครั้ง จะมีการตั้งหัวข้อ ตั้งโจทย์การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับ 8 กลุ่มสาระวิชาหลักของ สพฐ. เพื่อให้สามารถนำไปวัดประเมินผลลัพธ์ เช่น วิชาคณิตศาสตร์ ก็จะมีการตั้งโจทย์ ให้ผมลองทำบัญชี รายรับรายจ่าย ของร้านตัดผม คำนวณต้นทุน ที่เกิดขึ้นในระหว่างการเปิดร้าน วิชาศิลปะก็จะให้โจทย์เรื่องการออกแบบทรงผม ตามความต้องการของลูกค้า”
เบส บอกว่า Mobile school ช่วยให้เขามีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดขึ้น สานฝันในการเป็นช่วงตัดผมประจำหมู่บ้านให้เป็นจริง เปลี่ยนชีวิตจากเด็กเกเรที่ไม่มีความรับผิดชอบ ให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น ทั้งในหน้าที่การเรียนและการทำงาน

“ทุกวันนี้ผมตัดผมได้วันละ 4-5 คน ผู้ใหญ่ผมตัดหัวละ 40 บาท ถ้าเด็กๆ เป็นทรงนักเรียนอยู่ที่หัวละ 20 บาท ก็อยู่ได้ครับ บางวันผมออกไปตัดผมให้คนเฒ่าคนแก่ในชุมชนถึงที่บ้าน เพราะหลายท่านเดินทางมาที่ร้านไม่ได้ ผมดีใจที่งานที่ผมชอบทำให้ทุกคนรักผม และเรื่องนี้สำคัญมาก มันเปลี่ยนโลกทั้งหมดของผมไปเลยครับ”