- ในสถานการณ์การบูลลี่ (Bully) ไม่ได้มีแค่ ‘ผู้กระทำ’ กับ ‘เหยื่อ’ แต่ยังมีเพื่อนที่ยืนดูเฉยๆ (Bystander) กองเชียร์ที่คอยสนับสนุน ครูในห้องเรียน พ่อแม่ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่บังเอิญผ่านมาเห็นเหตุการณ์ ทุกคนล้วนมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไป หรือจะช่วยหยุดมันไว้
- คุยกับ หมอจอย – ลลิต ลีลาทิพย์กุล กุมารแพทย์ด้านเวชศาสตร์และวัยรุ่น เรื่อง ‘การบูลลี่’ (Bully) ไม่ว่าจะในโรงเรียน หรือบนโลกออนไลน์ ใครบ้างที่เกี่ยวข้อง อะไรคือสาเหตุสำคัญ แล้วเราจะมีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไร พร้อมทั้งการรับมือเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์การบูลลี่
- ส่วนปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการบูลลี่ ก็มาจากการที่เราไม่เข้าใจในความแตกต่างของกันและกัน เพราะฉะนั้น คีย์เวิร์ดคือ ‘เข้าใจในความแตกต่าง และเข้าอกเข้าใจกันในฐานะเพื่อนมนุษย์’ ถ้าตรงนี้เกิดขึ้น บูลลี่ก็จะน้อยลงมากๆ
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เรื่องราวของการกลั่นแกล้งรังแก หรือ ‘การบูลลี่’ (Bully) ไม่ว่าจะในโรงเรียน หรือบนโลกออนไลน์ เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนออยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าจะมีความพยายามรณรงค์สร้างความเข้าใจในแง่มุมต่างๆ เพื่อให้สังคมช่วยกันถอดสลักความรุนแรงที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าปัญหาการบูลลี่ก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง
หมอจอย – ลลิต ลีลาทิพย์กุล เจ้าของช่อง MomJoy Channel คู่มือเลี้ยงลูกอย่างมีความสุข และกุมารแพทย์ด้านเวชศาสตร์และวัยรุ่น อาจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชวนทุกคนขยายมุมมองต่อการบูลลี่ที่เคยโฟกัสแค่ ‘ผู้กระทำ’ กับ ‘เหยื่อ’ เป็นการมองให้เห็นภาพของผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ทั้งหมด ทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรงและโดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนที่ยืนดูเฉยๆ (Bystander) กองเชียร์ที่คอยสนับสนุน ครูในห้องเรียน พ่อแม่ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่บังเอิญผ่านมาเห็นเหตุการณ์ ว่าทุกคนล้วนมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไป หรือจะช่วยหยุดมันไว้

เมื่อเกิดการบูลลี่มีใครบ้างที่เกี่ยวข้อง และอะไรคือสาเหตุสำคัญ
จริงๆ บูลลี่มันเกิดขึ้นได้ทั้งในโรงเรียนแล้วก็ในทุกบริบทเลยค่ะ มันเริ่มจากมีผู้กระทำ มีเหยื่อที่ถูกกระทำ แล้วก็ยังมีเพื่อนๆ รอบๆ ที่ยืนดู หรือที่เราเรียกว่า ไทยมุง หรือ Bystander ซึ่งก็ถือว่าเกี่ยวข้องเหมือนกัน แล้วที่สำคัญมากๆ คือครูอาจารย์ค่ะ
หลายครั้งบูลลี่ไม่ถูกจัดการ เพราะครูมองว่าเป็นเรื่องเล็ก เรื่องธรรมดา พอปล่อยไว้แบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้ปัญหายืดเยื้อออกไป หมอจึงมองว่าทุกคนมีส่วนหมดเลยจริงๆ ค่ะ
ส่วนปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการบูลลี่ ก็มาจากการที่เราไม่เข้าใจในความแตกต่างของกันและกันนี่แหละค่ะ ถ้าคอนเซ็ปต์ที่ทุกคนเติบโตมาคือ การยอมรับว่าคนเรามีความแตกต่างกัน และแต่ละคนก็มีทั้งข้อดีข้อด้อย บูลลี่มันแทบจะไม่เกิดเลยนะ แต่ปัจจุบันสิ่งที่เห็นบ่อยก็คือ มันจะมีคนหนึ่งที่มีอำนาจเหนือกว่าอีกคน แล้วก็ใช้ตรงนั้นไปล้อ ไปกลั่นแกล้งรังแก เพราะมองว่าคนนี้ด้อยกว่า ก็ยิ่งทำให้เหยื่อรู้สึกแย่ลงเรื่อยๆ เพราะงั้นจริงๆ คีย์เวิร์ดคือ ‘เข้าใจในความแตกต่าง และเข้าอกเข้าใจกันในฐานะเพื่อนมนุษย์’ ถ้าตรงนี้เกิดขึ้น บูลลี่ก็จะน้อยลงมากๆ ค่ะ
ปกติแล้วเด็กไทยมักเจอสถานการณ์บูลลี่แบบไหน
หลักๆ ต้องบอกว่า เด็กไทยโดน Cyber Bully (การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์) มากกว่าแบบ Traditional ค่ะ คือบูลลี่มันแบ่งเป็น 2 แบบ แบบ Traditional คือเจอกับตัวตรงๆ ทั้งร่างกาย จิตใจ วาจา ส่วน Cyber ก็คือผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งงานวิจัยบอกว่าเด็กไทยเจอ Cyber Bully มากกว่า 60% และติด Top 5 ของโลกเลยค่ะ ปัญหานี้ก็น่ากลัวกว่ามาก เพราะมันสัมพันธ์กับทั้งความกังวล ซึมเศร้า และแม้กระทั่งการฆ่าตัวตาย
สาเหตุเพราะ Cyber มันเกิดง่าย อยู่ที่ไหนก็เกิดได้ อีกทั้งยัง Anonymous คือไม่รู้ว่าใครทำ แล้วพอมันเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง มันก็ Permanent (คงอยู่ถาวร) และ Viral กดแชร์ กดเซฟ กระจายต่อไปได้เรื่อยๆ”
แต่ห้ามเด็กใช้อินเตอร์เน็ตก็คงไม่ได้ สิ่งสำคัญคือ ต้องใช้ให้ปลอดภัย เริ่มตั้งแต่พ่อแม่เลี้ยงลูก ปลูกฝังการรู้จักระวังตัว และคุยกันอย่างใกล้ชิด เช่น การเป็นเหยื่อหรือเป็นผู้กระทำ มักสัมพันธ์กับเวลาที่ใช้ ถ้าใช้เกิน 6 ชั่วโมงต่อวัน เด็กจะขาด Empathy และมีโอกาสเจอปัญหา Cyber Bully ได้มากขึ้น
ดังนั้น พ่อแม่ควร Active Participation คือคุย อัปเดต และกำหนดกติกาการใช้มือถือที่เหมาะสม ไม่ใช่ปล่อยทั้งวัน กุมารแพทย์ราชวิทยาลัยยังแนะนำไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวันในวัยรุ่นด้วยซ้ำ แต่ในทางปฏิบัติก็ต้องยืดหยุ่นให้เหมาะกับแต่ละครอบครัว อีกอย่างคือต้องสอนเรื่องความปลอดภัยและความรับผิดชอบบนโลกออนไลน์ เช่น ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่แชร์ข้อความที่อาจเป็น Scam หรือทำให้คนอื่นเสียใจ และไม่กดรีโพสต์สิ่งที่เป็นเท็จหรือบูลลี่คนอื่น เพราะจะยิ่งซ้ำเติมปัญหา
ส่วนพ่อแม่ต้องหมั่นสังเกต Red Flag ด้วย เช่น เวลาการใช้อินเตอร์เน็ตเปลี่ยนไปอย่างผิดปกติ จากเคยเล่น 2–3 ชั่วโมง กลับหยุดเล่นไปเลย หรือเล่นมากผิดปกติ หรือลูกไม่ยอมเล่าอะไร ปฏิเสธตลอดเวลา หรือบางคนหมกมุ่นเช็ก IG Story กลัวคนอื่นพูดถึง ไม่ก็อาจจะมีพฤติกรรมเก็บตัว ไม่อยากไปโรงเรียน ถ้าเจอแบบนี้ ต้องฟังลูกโดยไม่ตัดสิน และคุยกับเขาอย่างเป็นพื้นที่ปลอดภัย
สุดท้าย เวลาลูกโดน Cyber Bully เรามีหลักง่ายๆ 4 ข้อ คือ Stop – หยุด อย่าโต้ตอบ เพราะยิ่งโต้ยิ่งยาว Block – บล็อก ไม่ต้องไปยุ่ง เพราะเขาไม่ใช่เพื่อนที่มีค่า Capture – เก็บหลักฐาน เผื่อใช้ดำเนินคดี Tell – บอกผู้ใหญ่ ครู หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องค่ะ

ในส่วนของผู้กระทำ เราควรมีวิธีจัดการหรือรับมืออย่างไร
เวลาพูดถึงคนที่เป็นผู้กระทำ เราต้องหาสาเหตุเสมอค่ะ ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น เพราะจริงๆ แล้วมักจะมีอะไรซ่อนอยู่ข้างหลังเสมอ บางครั้งเขาได้รับอำนาจบางอย่าง ได้ผลประโยชน์ ได้เงิน หรือแม้กระทั่งการตอบแทนบางรูปแบบ อีกมุมหนึ่งก็คือ เขาอาจเคยถูกกระทำจากที่บ้านมาก่อน พอโดนแบบนั้นก็ไปทำต่อคนอื่นเหมือนกัน
ที่เจอบ่อยมากในปัจจุบันก็คือ คนที่เป็นผู้กระทำ เคยเป็นเหยื่อมาก่อน แล้วพอไม่ได้รับการดูแลเยียวยา เขาก็พยายามสร้างเกราะหรือพัฒนาตัวเองเพื่อให้เอาตัวรอดในสังคมนี้ กลายมาเป็นการกระทำกับคนอื่นต่อ
เพราะฉะนั้น เวลาจะดูแลเด็กที่เป็นผู้กระทำ เราต้องเริ่มจากการหาสาเหตุก่อนเสมอ ว่าเขาทำไปเพื่ออะไร อย่างที่บอกไป บางคนทำเพราะรู้สึกว่าได้พลัง ได้รับการยกย่องเชิดชู ถ้าเจอตรงนี้ เราต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่า การบูลลี่คนอื่นไม่ได้ทำให้เขามีอำนาจจริงๆ หรอก ที่สำคัญคือ เด็กกลุ่มนี้มักมีปัญหา Self-Esteem หรือการเห็นคุณค่าในตัวเองต่ำ เขาเลยต้องไปกดคนอื่นเพื่อเรียกพลังหรือความมั่นใจกลับมา
อีกส่วนที่ต้องดูคือ เขามีปัญหาสุขภาพจิตหรือโรคประจำตัวที่รักษาได้ไหม เช่น บางคนเป็นเด็กสมาธิสั้น ควบคุมอารมณ์ได้ยาก เวลาอารมณ์มาก็แสดงออกด้วยการกระทำรุนแรง หรือบางคนเคยเจอความรุนแรงที่บ้าน โดนตี โดนใช้คำหยาบ มีพ่อแม่ใช้สารเสพติด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เขาเติบโตมาในแบบนี้ การเข้าไปช่วยเหลือถึงครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน
สุดท้ายก็ต้องพูดถึงกรณีเหยื่อที่กลายเป็นผู้กระทำ อย่างที่บอกไว้ เด็กที่เคยถูกกระทำซ้ำๆ แล้วไม่ได้รับการเยียวยา พอโตขึ้นก็มักจะพัฒนาไปเป็นผู้กระทำต่อ เราจึงควรซักประวัติและรักษาตั้งแต่ต้นเหตุ เพื่อไม่ให้ปัญหามันวนซ้ำค่ะ
สำหรับผู้ถูกกระทำหรือ ‘เหยื่อ’ เราจะมีวิธีให้ความช่วยเหลือหรือช่วยให้เขาปกป้องตัวเองได้อย่างไร
ถ้าเป็นเหยื่อ หลักๆ เลยเราต้องให้เขารู้ก่อนว่า จริงๆ แล้วคนเราทุกคนมีสิทธิเท่ากัน การที่เขาโดนแกล้งไม่ได้แปลว่าเป็นเพราะตัวเขาเองนะคะ ส่วนใหญ่เด็กที่เป็นเหยื่อมักจะมีบางอย่างที่ทำให้ถูกมองว่าน่าแกล้ง เช่น เป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน ขี้กังวล ชอบอยู่คนเดียว ดูกล้าๆ กลัวๆ ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง คนกลุ่มนี้เวลาถูกแกล้งก็มักไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือ และสุดท้ายก็โทษตัวเอง
อันดับแรกที่สำคัญคือ ต้องบอกเขาให้ชัดว่า บูลลี่เป็นสิ่งที่เราไม่ยอมรับ ไม่ว่าจะในสังคมไทยหรือที่ไหนบนโลก เพราะคนทุกคนมีสิทธิขั้นพื้นฐานเหมือนกัน
เวลาหมอคุยกับน้องๆ ที่เป็นคนไข้ ก็จะยกตัวอย่างตรงๆ เลย เช่น ถ้าฟ้าโดนเพื่อนแกล้งมา แต่ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ เราจะบอกว่า จริงๆ บูลลี่มันซีเรียสนะ แล้วการที่ฟ้าขอความช่วยเหลือ มันไม่ได้ทำเพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่เพื่อไม่ให้เขาไปทำร้ายคนอื่นอีกด้วย แบบนี้เด็กจะเริ่มมีความมั่นใจขึ้นมา
เราก็จะบอกเขาด้วยว่า ฟ้าไม่เคยไปทำร้ายใครถูกไหม เพราะฉะนั้น ฟ้าก็ไม่ควรยอมให้ใครมาทำร้ายเหมือนกัน ฟ้ามีสิทธิในร่างกายของตัวเอง ตรงนี้แหละค่ะที่เรียกว่า การ Empower เหยื่อ ทำให้เขาฮึบขึ้นมา มี Self-Esteem ที่มากขึ้น
อีกเรื่องสำคัญคือการจัดการสถานการณ์ หลายคนไม่รู้ว่าควรเลี่ยงยังไง เพราะบูลลี่มักจะมาในแพทเทิร์นซ้ำๆ เช่น เหยื่อที่มักอยู่คนเดียวก็จะโดนกลุ่มเดิมๆ แกล้ง หรือบางทีพฤติกรรมของเหยื่อไปตอบสนองจนทำให้ผู้กระทำ ‘ได้ใจ’ เช่น เศร้ามาก ร้องไห้เสียงดัง หรือโวยวาย พอเห็นแบบนั้นผู้กระทำก็ยิ่งสนุก
สิ่งที่ทำได้คือคุยกับเขาว่า เวลามีคนแกล้ง ให้ลองสังเกตว่าผู้กระทำได้อะไรจากเราไหม ถ้าใช่ ก็หลีกเลี่ยง เช่น ถ้าเพื่อนดึงเก้าอี้แต่เรายังไม่หล่น เราก็หยุดนิ่ง ไม่ตอบสนอง เขาก็จะรู้สึกว่ามันไม่สนุก หรือถ้าสถานการณ์จริงจังมากๆ ก็ต้องพูดออกไปด้วยความมั่นใจ เช่น “หยุดนะ” หรือ “ไม่เอา” เพื่อบอกชัดๆ ว่าเราไม่ยอมให้ใครมายุ่งกับร่างกายเรา
สุดท้าย ถ้าเป็นคนที่โดนบ่อยๆ ซ้ำๆ เราต้องช่วยเหลือมากขึ้น ต้องประเมินว่าเขามีปัญหาทางอารมณ์ตามมาหรือเปล่า เช่น ความกังวล ซึมเศร้า ความคิดอยากฆ่าตัวตาย หรือไม่อยากไปโรงเรียน ถ้ามีตรงนี้ เราก็ต้องรีบดูแลอย่างจริงจังค่ะ

กองเชียร์หรือผู้สนับสนุนการบูลลี่มีผลต่อเหตุการณ์มากน้อยแค่ไหน
มีผลแน่นอนค่ะ เพราะจริงๆ กองเชียร์ไม่ได้ต่างอะไรเลยจากคนบูลลี่ แค่เขาไม่ได้เป็นคนทำด้วยมือตัวเองเท่านั้น ถ้ากองเชียร์ยังสนับสนุน เหตุการณ์ก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ คนที่เป็นเหยื่อก็จะถูกกระทำซ้ำๆ สุดท้ายอาจจบที่โรงพยาบาล หรือแย่ที่สุดก็คือไปงานศพของเหยื่อเลยก็ได้ ตอนหมอเคยทำเวิร์กช็อปเรื่องบูลลี่ เราให้เด็กๆ คิดต่อว่าถ้าไม่มีใครหยุด สุดท้ายมันจะลงเอยยังไง หลายกลุ่มทำภาพออกมาเป็นงานศพเลย เพราะจริงๆ เหยื่ออาจทำร้ายตัวเองจนถึงแก่ชีวิต กลายเป็นปัญหาตามมา
ส่วนสาเหตุที่กองเชียร์สนับสนุน ก็น่าจะเป็นเพราะความสะใจด้วยส่วนหนึ่ง บางครั้งก็เป็นทีมเดียวกับผู้กระทำ อาจเป็นกลุ่มใหญ่ในโรงเรียน พอทำแล้วมันสนุก มันสะใจ ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นพวกที่ขาดความเห็นอกเห็นใจ ไม่ค่อยมี Empathy ต่อคนอื่น ผู้สนับสนุนจึงแทบไม่ต่างจากผู้กระทำ เพียงแต่ไม่ได้ลงมือเอง แต่ใช้พลังของคนอื่นแทน เพราะงั้นเวลาจะแก้ปัญหากับกองเชียร์ ก็ต้องหาสาเหตุเหมือนกัน และทำให้เขาเรียนรู้จากบทลงโทษ ให้เขาเห็นว่าเมื่อทำหรือสนับสนุนไปแล้ว เขาต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นยังไง เราก็สามารถใช้วิธีรับมือเดียวกันกับผู้ที่บูลลี่ได้ค่ะ
เราจะทำอย่างไรให้ Bystander กลุ่มที่เพิกเฉย (Ignore) ต่อการบูลลี่ ลุกขึ้นมาเป็นพลังช่วยหยุดเหตุการณ์แทนที่จะนิ่งดูดาย?
คนที่ Ignore ก็มักจะคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องของเรา เลยไม่เข้าไปยุ่ง แต่ถ้าอยากสื่อสารให้เขาเห็น เราต้องทำให้เขาเห็นภาพว่า ถ้าเราปล่อยเรื่องนี้ไว้ มันจะลงเอยยังไง หรือถ้าวันหนึ่งตัวเขาเองกลายเป็นเหยื่อ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลักๆ คือการสอนให้มี Empathy ค่ะ ให้เขาลองคิดว่า ถ้าเราเป็นเหยื่อเอง แล้วไม่มีใครเข้ามาช่วยเลย มันจะรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว และเปล่าเปลี่ยวใจขนาดไหน
เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนจากคนที่เมินเฉย ให้กลายเป็นคนที่ลุกขึ้นมาช่วย หรือเป็น Defender ได้ ซึ่งหัวใจของเรื่องนี้ก็คือการปลูกฝัง Empathy ค่ะ
แล้วถ้าเราอยากการแก้ปัญหาบูลลี่ ควรเริ่มต้นจากใคร
จริงๆ ถ้าทำได้ ถ้าจะให้ผลเห็นมากจริงๆ ก็คงต้องแก้ระดับใหญ่เป็นนโยบาย แต่หมอคิดว่าถ้าเราจะทำจริงๆ เราควรเริ่มจากเรื่องเล็กๆ รอบๆ ตัวก่อน เช่น การเลี้ยงลูก สอนให้เขารู้จักเข้าใจความแตกต่างหลากหลาย การเคารพสิทธิความเป็นมนุษย์ ไม่ล้อ ไม่แกล้ง ไม่รังแกคนอื่นจนทำให้เกิดความรู้สึกแย่ เสียใจ หรือปัญหาทางอารมณ์และร่างกาย อันนี้เริ่มได้ตั้งแต่การเลี้ยงดูเลยค่ะ
สำหรับพ่อแม่ก็สำคัญมาก สนับสนุนให้พ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูกเยอะๆ มีเวลาคุณภาพในการเลี้ยงดูลูกตั้งแต่เล็ก ให้เข้าใจเรื่องความแตกต่างหลากหลายของคนในสังคม เริ่มตั้งแต่เลี้ยงลูกให้เข้าใจว่าความแตกต่างเป็นเรื่องธรรมชาติ คนเรามีทั้งผิวขาว ผิวดำ สูง เตี้ย บางคนอาจเจ็บป่วยเรื้อรัง มีความพิการ หรือแตกต่างทางเพศ แต่ทุกคนก็เป็นมนุษย์ที่มีสิทธิขั้นพื้นฐานในการใช้ชีวิตเหมือนกัน เราไม่ควรทำให้ใครเสียใจหรือเกิดปมด้อยได้เลย และพอลูกโตขึ้น ก็สอนเรื่องกฎกติกาสังคม ไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น ไม่ใช้คำพูดหรือการกระทำที่ทำร้ายคนอื่น
เวลาลูกมาเล่าว่าเพื่อนโดนแกล้ง เราก็สอนเขาได้เลยว่าจะช่วยเพื่อนยังไงดี และถ้าลูกเป็นเหยื่อเองก็ให้เขารู้ว่าเราจะอยู่ข้างๆ เขาเสมอ
อย่างในโรงเรียนก็เช่นกัน ต้องสอนให้รู้จักกฎกติกาของการอยู่ร่วมกัน และเหมือนเดิมคือให้เข้าใจในความแตกต่าง โรงเรียนสามารถใส่บทเรียนเรื่องบูลลี่เข้าไปตั้งแต่ชั้นเล็กๆ เหมือนที่ต่างประเทศทำกัน ปรับเนื้อหาให้เหมาะกับวัย เช่น ถ้าใครมีแนวโน้มจะเป็นเหยื่อ ใครเป็นผู้กระทำ หรือถ้าเราเป็น Bystander จะช่วยยังไง เขาเริ่มปลูกฝังตั้งแต่ระดับอนุบาล แล้วค่อยๆ เป็นขั้นตอนขึ้นมา
โรงเรียนแต่ละที่ควรมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน เพราะปัจจุบันโรงเรียนไทยต่างกันมาก โรงเรียนรัฐกับเอกชนต่างกันสุดขั้วเลย ครูในโรงเรียนรัฐ เงินเดือนน้อย งานหนัก ต้องทำตัวชี้วัดเยอะ ครูก็ไม่ค่อยมีเวลามาใส่ใจเรื่องการบูลลี่ เวลามีเด็กถูกแกล้ง หลายครั้งก็ถูกปล่อยปละละเลย ครูบอกช่างมันเถอะแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วครูอาจารย์เองก็มีบทบาทมาก บรรยากาศในโรงเรียนต้องเริ่มจากการที่ครูไม่ทำร้ายเด็ก เพราะเด็กเรียนรู้จากสิ่งที่เห็น ถ้าครูลงโทษด้วยการตี ใช้คำพูดทำร้ายเด็ก มันก็กลายเป็นต้นแบบว่าแบบนี้ทำได้ กลายเป็นปมในใจเด็ก แต่ถ้าครูเป็นตัวอย่างที่ดี เด็กก็จะซึมซับสิ่งดีๆ แทน
และเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ครูก็ต้องจัดการอย่างจริงจัง ต้องแยกให้ได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ ใครเป็นผู้ถูกกระทำ แล้วเข้าไปดูแล เช่น เหยื่อถูกกระทำซ้ำๆ เพราะไม่มีเพื่อนหรือเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ครูก็ต้องช่วย ส่วนผู้กระทำก็ต้องเข้าไปหาสาเหตุและแก้ไขตรงนั้น ไม่ใช่ปล่อยผ่าน เพราะบูลลี่ไม่ใช่เรื่องเล็กค่ะ
ถ้าเราจะวางระบบให้ยั่งยืน ต้องสนับสนุนนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาและสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ควบคู่ไปกับสถาบันครอบครัวที่เลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจ มีเวลาอยู่กับเขา และปลูกฝังให้เขาเห็นคุณค่าของความหลากหลายตั้งแต่เล็กๆ ค่ะ

ในมุมมองของคุณหมอ ควรแก้ที่พฤติกรรมบุคคล หรือนโยบายก่อน หากอยากลดปัญหานี้อย่างยั่งยืน?
ถ้าพูดถึงความยั่งยืนจริงๆ หมอคิดว่า ต้องเริ่มจากตัวบุคคลก่อนค่ะ เริ่มตั้งแต่การเลี้ยงลูก แล้วก็เริ่มจากตัวเราเองด้วย ถ้าผู้ใหญ่มีมายด์เซ็ตชัดๆ ว่า บูลลี่คือสิ่งที่เราไม่ยอมรับให้เกิดขึ้นในโลกใบนี้เลยนะคะ เมื่อไรก็ตามที่เราเจอเหตุการณ์ เราต้องหยุดทันที ไม่คิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น
พอมีลูกเราก็สอนลูกได้เหมือนกัน เช่น เวลาพูดกับลูก หมอจะเล่าให้ฟังเสมอว่า โลกใบนี้เต็มไปด้วยความแตกต่าง คนคนนั้นเป็นแบบนี้ คนคนนี้เป็นแบบนั้น อย่างเวลาเห็นคนที่เดินมาขอเงิน เราก็ไม่ได้สอนว่าเขาน่าสงสาร แต่บอกลูกว่า พี่เขาผ่านอะไรมาบ้าง ให้ลูกได้เรียนรู้ เข้าใจ และเคารพความแตกต่าง รวมทั้งเคารพกติกาการอยู่ร่วมกันในสังคม
ครูอาจารย์เองก็สำคัญมาก เพราะโรงเรียนคือบ้านหลังที่สองของเด็ก บางทียิ่งใหญ่มากกว่าบ้านจริงด้วยซ้ำ ถ้าครูมีมายด์เซ็ตว่า ‘บูลลี่ไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับได้ในโรงเรียน’ มันจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัย เป็นมิตร เด็กก็จะรู้สึกอยากมาโรงเรียน มีเพื่อน และคนที่มีปัญหาก็ยังได้รับการช่วยเหลือ อันนี้แหละค่ะที่หมอคิดว่าจะยั่งยืนที่สุด
ส่วนเรื่องนโยบาย แน่นอนว่าถ้าเราสร้างมายด์เซ็ตในระดับบุคคลและโรงเรียนได้ มันก็จะผลักดันไปสู่นโยบายในภาพใหญ่ได้เอง แต่ในความเป็นจริง นโยบายเมืองไทยหลายครั้งก็เป็นลักษณะชั่วคราว ทำเสร็จ ส่ง KPI แล้วก็หายไป เพราะฉะนั้น ถ้าจะยั่งยืนจริงๆ ต้องเริ่มจากการปรับมายด์เซ็ตคนก่อนค่ะ
แล้วถ้าเป็นผู้ใหญ่ทั่วไปที่บังเอิญเจอเหตุการณ์บูลลี่ ควรทำอย่างไร?
หลักๆ เลย ถ้าเจอเหตุการณ์บูลลี่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือหยุดสถานการณ์ค่ะ แต่ก่อนอื่นเราต้องแยกให้ออกก่อนว่า สิ่งที่เห็นมันใช่บูลลี่จริงๆ หรือไม่ เพราะบูลลี่จะมีคีย์เวิร์ดสำคัญ 3 อย่าง คือ Imbalance of power – ต้องมีคนที่อำนาจเหนือกว่า กับอีกคนที่อำนาจด้อยกว่า Intentional – ตั้งใจทำให้คนอีกฝ่ายรู้สึกแย่ และ Repeated – เกิดซ้ำๆ บ่อยๆ
ถ้ามีครบทั้ง 3 อย่าง นั่นแหละคือบูลลี่ แต่ถ้าเป็นเพื่อนล้อกันเล่น สนุกๆ เท่าเทียมกัน แบบนี้ไม่ใช่บูลลี่ ส่วนถ้าเป็นพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงเลย (Aggressive behavior) เช่น ท้าต่อย ยิงปืน แบบนี้ไม่ใช่แค่บูลลี่แล้ว ต้องแจ้งตำรวจเพราะเกินกำลังที่คนทั่วไปจะเข้าไปช่วย
ดังนั้น เวลาที่เราเจอสถานการณ์ ถ้าเป็นเพียงการเล่นกันเฉยๆ เดี๋ยววันรุ่งขึ้นเขาก็ดีกัน เราก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง แต่ถ้าเป็นบูลลี่จริงๆ สิ่งสำคัญคือเราต้อง Intervene Immediately หยุดไม่ให้มันดำเนินต่อไป จับแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน แล้วค่อยพูดคุยทีละฝั่ง ฝั่งเหยื่อก็ต้องดูว่ามีบาดเจ็บทางร่างกายไหม ต้องส่งโรงพยาบาลหรือเปล่า หรือว่าเจ็บปวดทางคำพูดและจิตใจมากกว่า แล้วจึงค่อยคุยต่อ
อันนี้ยอมรับว่า สำหรับบุคคลทั่วไปอาจจะยากนิดนึง แต่ถ้าเป็นหมอ เวลาเจอก็จะบอกเหยื่อเลยว่า เรื่องนี้ซีเรียสนะ เรา Take It Serious นะ เราจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น และจะสอนวิธีรับมือ เช่น หลีกเลี่ยงไม่ไปอยู่ในที่เสี่ยง ไม่ไปเล่นกับคนที่ทำร้ายเรา เพราะเขาไม่ใช่เพื่อนที่มีค่าอะไรสำหรับเรา ซึ่งผู้ใหญ่ทั่วไปก็สามารถทำในแนวทางเดียวกันได้ค่ะ
เมื่อบูลลี่ทิ้งร่องรอยลึกในใจลูก พ่อแม่ควรทำอย่างไรเพื่อช่วยเยียวยา?
จริงๆ หลักการอันแรกสำหรับพ่อแม่ที่อยู่กับลูก หนึ่งคือเป็นผู้ฟังที่ดีเลยค่ะ การตั้งใจฟัง ให้ลูกได้เล่าเหตุการณ์อะไรบางอย่างออกมา เราฟังแล้วไม่ตัดสินนะ เพราะว่าปัจจุบันคือต้องบอกว่าพ่อแม่ก็รักลูก มันจะมีทั้งความคาดหวัง คำแนะนำ “เออ ช่างมันเถอะ เรื่องเล่นๆ อย่าไปคิดมาก เดี๋ยวก็หายไป” อันนี้แหละ พอเป็นแบบนี้ปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลูกก็ไม่เล่าอะไรแบบนี้ เพราะเล่าไปก็คิดว่าพ่อแม่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องเล่นๆ
เพราะฉะนั้นการเป็นผู้ฟังที่ดี “เกิดอะไรขึ้นลูก เล่าให้แม่ฟังหน่อยได้ไหม ลูกโดนแล้วลูกรู้สึกยังไง” มันจะทำให้ลูกกล้าที่จะเล่าเพราะมันเป็นพื้นที่ปลอดภัย ถ้าเราเป็นผู้ฟังที่ดีนะ รับรองได้เลยว่าลูกมีปัญหาอะไร เราจะรู้ เราจะ Detect ได้ก่อนค่ะ
และต่อมาก็คือ คงต้องคุยเรื่องการจัดการอย่างจริงจัง วันหนึ่งถ้าลูกมาเล่าแล้วเรารู้สึกว่า เรื่องนี้ลูกเราน่าจะช่วยตัวเองได้ เราคุยกับเขา ให้ลูกเสนอวิธีการจัดการปัญหาได้นะคะ เขาบอกว่าพ่อแม่นั้นไม่จำเป็นต้องลงไปลุยก่อน ถ้ารู้สึกว่าลูกไหว มันเป็นการเสริมทักษะให้ลูกเราจัดการชีวิต แก้ปัญหาได้ แล้วก็คุยว่าลูกรู้สึกยังไง แล้วลูกแพลนว่าจะทำยังไงดีไม่ให้เกิดขึ้นอีก
อันที่สาม ถ้าเกิดไม่ไหวจริงๆ เจอบ่อยๆ เจอซ้ำๆ เด็กแก้ปัญหาเองไม่ได้ ผู้ใหญ่ก็ต้องมีส่วนค่ะ พ่อแม่ก็ต้องคุยกับอาจารย์ ก็ต้องคุยกับครู คุยกับผู้บริหารโรงเรียน ถ้าไม่ไหวจริง เกิดปัญหาอีกก็พบผู้เชี่ยวชาญได้ เดี๋ยวนี้ก็มีกุมารแพทย์ จิตแพทย์ ที่คอยให้ความช่วยเหลือแนะนำได้

สุดท้าย คุณหมออยากฝากอะไรถึงสังคมเเกี่ยวกับเรื่องการบูลลี่
จริงๆ ต้องบอกว่าบูลลี่เป็นปัญหาที่พบมากขึ้นเรื่อยๆ และคิดว่าถ้าไม่ได้รับการเพ่งเล็งเห็นความสำคัญ มันคงจะบานปลายไปจนถึงการสูญเสียชีวิตด้วยซ้ำค่ะ เพราะฉะนั้นจึงอยากเชิญชวนทุกๆ คนเห็นความสำคัญ เริ่มได้ง่ายๆ ตั้งแต่การสร้างลูกของเรานี่แหละค่ะ เลี้ยงลูกด้วยความรักความผูกพัน ให้เขามีภูมิคุ้มกันทางใจ ให้เขาเข้าใจในความแตกต่างหลากหลาย แล้วก็ออกไปเติบโตขึ้นในสังคมอย่างเคารพกฎกติกา และมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีน้ำใจซึ่งกันและกัน ให้อยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขค่ะ
รับรองว่าพอเราดูแลลูกของเราอย่างดีแล้วนั้น ปัญหานี้มันก็จะลดลง แต่ว่าเมื่อไรก็ตามที่เราเจอ เราก็ไม่เพิกเฉยค่ะ เพราะว่าหน้าที่การดูแลเด็กๆ และวัยรุ่นก็เป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคมนี้