- ภายใต้วิสัยทัศน์ Thailand Zero Dropout สังคมที่ไม่มีเด็กและเยาวชนหลุดรอดออกจากระบบการศึกษา ก่อเกิดเป็น Lampang One Team ‘ตำบลต้นแบบ Zero Dropout’ และ ตำบลแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่ขับเคลื่อนด้วยชุมชน ตำบลลำปางหลวง จังหวัดลำปาง
- จุดเริ่มต้นเกิดจาก เทศบาลตำบลลำปางหลวง ได้นำบทเรียนจาก 2 โครงการ ภายใต้การสนับสนุนของ กสศ. บูรณาการสู่การจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น รองรับความต้องการของคนทุกช่วงวัย โดยทำงานร่วมกับเครือข่ายหลากหลาย ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม
- ในการดึงเด็กกลับสู่ระบบการศึกษา โดยกลุ่มอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ที่ลงไปถึงบ้านเด็กๆ เพื่อพาเขากลับมาสู่เส้นทางการเรียนรู้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การ ‘ช้อน’ ให้พ้นจากความเสี่ยง แต่ต้องมีระบบรองรับที่ทำให้เขาได้พัฒนาและยืนหยัดได้ในระยะยาว โดยเปิดโอกาสทางการศึกษา และสร้างเส้นทางอาชีพ
แนวคิด It takes a village to raise a child ที่มองว่าการเลี้ยงดูและพัฒนาเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพต้องอาศัยพลังจากทั้งชุมชน ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของครอบครัวหรือโรงเรียน หากแต่ต้องมีโครงสร้างสนับสนุนที่แข็งแรง ตั้งแต่ระดับชุมชน ตำบล จังหวัด ไปจนถึงระดับประเทศ กำลังเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมที่ ตำบลลำปางหลวง จังหวัดลำปาง
ที่นี่ภาคีเครือข่ายหลากหลาย ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม จนถึงเครือข่ายสนับสนุนระดับประเทศ ทำงานสอดประสานกันภายใต้วิสัยทัศน์เดียวคือ Thailand Zero Dropout สังคมที่ไม่มีเด็กและเยาวชนหลุดรอดออกจากระบบการศึกษา จนก่อเกิดเป็น Lampang One Team
ในเวทีเสวนา ‘Synergy for Change: Lampang One Team’ ที่จัดขึ้น ณ โรงเรียนอนุบาลเกาะคา (น้ำตาลอนุเคราะห์) จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ตัวแทนจากทุกภาคส่วนได้ถ่ายทอดภาพความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม สะท้อนการเป็นต้นแบบในการมุ่งแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้เป็นศูนย์ โดยมี สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดลำปาง ทำหน้าที่เป็นแกนนำหลัก และ สมัชชาการศึกษานครลำปาง เป็นทีมเลขานุการ เชื่อมโยงและบูรณาการกับการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ (ABE) เพื่อมุ่งลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเท่าเทียม
จุดเริ่มต้นเกิดจาก เทศบาลตำบลลำปางหลวง ได้นำบทเรียนจาก 2 โครงการ ภายใต้การสนับสนุนของ กสศ. นั่นคือ โครงการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน และ โครงการพัฒนาต้นแบบความร่วมมือระดับท้องถิ่น มาบูรณาการสู่การจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น รองรับความต้องการของคนทุกช่วงวัย โดยทำงานร่วมกับเครือข่ายหลากหลาย เช่น โรงเรียนอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดลำปาง, สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน, สภาเด็กและเยาวชน, กลุ่มลำปาง Move, สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และศูนย์การเรียนรู้ CYF
นอกจากนี้ ภาคเอกชน เช่น มูลนิธิ KFC ประเทศไทย ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเสริมพลัง เพื่อมุ่งสู่การเป็น ‘ตำบลต้นแบบ Zero Dropout’ และ ตำบลแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่ขับเคลื่อนด้วยชุมชนอีกด้วย
ทุกคนควรร่วมมือกันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร กรรมการบริหารและอนุกรรมการการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ รวมถึงพัฒนาเยาวชนและแรงงานนอกระบบ กสศ. ได้สะท้อนภาพสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในปัจจุบัน พร้อมมุมมองต่อทิศทางการทำงานที่ทุกภาคส่วนควรร่วมกันขับเคลื่อน
“ทุกคนมีส่วนร่วมได้หลายทางนะครับ อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ สถานการณ์ของประเทศไทยในตอนนี้ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ เราจำเป็นต้องช่วยกันอย่างไร และทำไมมันถึงสำคัญที่เราทุกคนต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาคม เราทุกคนควรร่วมมือกันพัฒนาและโอบอุ้มเด็กไทยและเยาวชน เดินไปข้างหน้าด้วยกันครับ”

สรวิศ เล่าว่า กสศ. ทำหน้าที่เป็น ‘ตัวเชื่อม’ และ ‘ตัวเหนี่ยวนำ’ ให้ทุกภาคส่วนมาร่วมกันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยมีวิสัยทัศน์ คือ การทำให้เด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสทุกคน เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเต็มศักยภาพและเท่าเทียม และมีภารกิจหลัก คือ ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา พัฒนาครูและหน่วยจัดการเรียนรู้ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งกสศ.เอง มี 3 เสาหลักสำคัญ
“เสาหลักใหญ่ๆ ของเรามีอยู่ 3 ด้านนะครับ ด้านแรก คือ การให้หลักประกันโอกาสทางการศึกษา หรือการให้ทุนการศึกษากับเด็กที่มีฐานะยากจน เพื่อให้เขามีโอกาสเรียนต่อได้
ด้านที่สองคือ การสร้างต้นแบบการจัดการเรียนรู้ที่มีทางเลือกและยืดหยุ่น สามารถเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยได้ เราต้องการปรับระบบการศึกษาให้ตอบโจทย์ชีวิตจริงมากขึ้น
และด้านที่สาม ซึ่งสำคัญมากสำหรับวันนี้ คือ การที่ทุกภาคส่วนมามีส่วนร่วม ช่วยกันสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้เกิดขึ้นได้ ทั้งในพื้นที่ของตัวเองและทั่วประเทศครับ”
สร้างพื้นที่ปลอดภัย จัดการศึกษาที่ตอบโจทย์ชีวิต
อีกหนึ่งในบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการทำงานเชิงรุกในพื้นที่ และเป็นเหมือน ‘หมุดยึด’ ของเครือข่าย คือ หมอตุ้ย – สันติพงษ์ ศิลปไพบูลย์ ผู้ซึ่งทำงานในชุมชนมานานหลายทศวรรษ โดยจุดเริ่มต้นของการทำงานมาจากความตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกกลุ่ม โดยมองว่าไม่ใช่ภาระของใครเพียงคนเดียว แต่เป็นงานของทุกคนในพื้นที่ ภายใต้การสนับสนุนของ กสศ. หมอตุ้ยได้เริ่มทำงานเชื่อมเครือข่ายกับสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (สกร.) และสำนักพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาและอาชีพให้กับคนในชุมชน
“คำว่า ‘หมอตุ้ย’ แต่ผมไม่ได้จบแพทย์นะครับ เป็นหมออนามัยมาตลอด และถ้าใครเคยทำงานกับผมก็คงรู้จักในนาม ‘หมออนามัยไฮเปอร์’ เพราะเราทำทุกเรื่องที่ทำให้ชุมชนมีความสุข และสิ่งที่ผมพบคือ ถ้าเราทำแต่เรื่องสุขภาพอย่างเดียว แต่ชาวบ้านก็ยังขาดความรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งมายด์เซ็ต และทักษะอาชีพ ทำให้พวกเขายังเวียนวนอยู่ในวัฏจักรของความเหลื่อมล้ำ ทั้งด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม ถึงแม้เราจะแก้ปัญหาสุขภาพได้ แต่ถ้าเรื่องอื่นยังไม่ถูกแก้ มันก็จะวนกลับมาเหมือนเดิมครับ”
โดยปี 2564 หมอตุ้ยและทีมงานเริ่มเสนอโครงการต่อ กสศ. โดยมีเป้าหมายแรกคือพัฒนาการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและคนพิการ แต่ไม่นานก็พบว่าเด็กและเยาวชนในชุมชนเริ่มมีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา จึงขยายการทำงานไปสู่กลุ่มนี้ด้วย

“เราใช้ Active Learning ให้ผู้เรียนออกแบบการเรียนรู้เองให้ผู้เรียนได้ออกแบบการเรียนรู้ด้วยตัวเอง พร้อมสร้างกลไกและพื้นที่ให้เขาได้เรียนรู้ในแบบที่เหมาะกับตัวเอง ซึ่งเราก็พบว่าทุกคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน เราจึงจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความสนใจ และวางเส้นทางไปสู่สายพานอาชีพของแต่ละคน”
หมอตุ้ย เล่าว่า จากการสำรวจของกลุ่มอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) พบว่าจากวัยรุ่นกว่า 700 คน สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มหลุดจากระบบ สำหรับกลุ่มสุดท้าย โรงเรียนในพื้นที่และศูนย์การเรียน CYF ช่วยกันดึงกลับมาเรียนใหม่ ผลลัพธ์คือจากเด็ก 11 คนแรก จบการศึกษาไปแล้วเกินครึ่ง
“สิ่งที่เราสร้างขึ้นคือพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กๆ กลับมาเรียนรู้ พร้อมอบรม มอบใบรับรอง และฝึกอาชีพ เช่น งานช่าง เพื่อให้เขามีทักษะไปต่อยอดในชีวิตได้”
ลงพื้นที่ติดตามและดึงเด็กกลับสู่ระบบ
นอกจากบทบาทของหมอตุ้ยที่เป็นหัวแรงหลักในเชิงนโยบายและการสร้างระบบแล้ว กลไกสำคัญอีกด้านหนึ่งคือ ‘ทีมภาคสนาม’ ที่ลงไปถึงบ้านเด็กๆ เพื่อพาเขากลับมาสู่เส้นทางการเรียนรู้ ซึ่งก็คือกลุ่มอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.)
ศรีทอน สมนา ตัวแทน อพม. เล่าว่า เส้นทางนี้ไม่ง่ายเลย เพราะต้องใช้ทั้งความอดทน ความไว้วางใจ และความต่อเนื่องในการติดตามเด็กและสร้างความเข้าใจให้กับพ่อแม่ผู้ปกครอง
“กว่าจะมาถึงวันนี้ ทีมงาน อพม. จากทั้ง 13 หมู่บ้าน ได้มีการหารือและปรึกษากัน ขั้นแรกคือเราเข้าไปหาเด็กๆ ซึ่งตอนแรกเขาคิดว่าเรามาหลอก แต่เราก็พยายามสู้ พูดคุยและปรึกษากับพ่อแม่ผู้ปกครอง โดยเชิญมาคุยกัน เพื่อโน้มน้าวว่าพวกเราจะช่วยพาลูกหลานไปสู่ความสำเร็จค่ะ
ปัญหาคือ เด็กที่หลุดออกไปแล้ว มักไม่อยากกลับเข้ามาเรียน เราจึงบอกพวกเขาว่า ผอ. มีโครงการและอยากให้มาฟังนโยบาย พ่อแม่ก็มาเฝ้า มาฟัง และมองว่าเป็นโครงการที่ดี ที่จะช่วยให้ลูกหลานประสบความสำเร็จ เพราะก่อนหน้านี้เด็กไม่เรียน เอาแต่มั่วสุม พ่อแม่เห็นว่าโครงการนี้ดี ลูกหลานมีโอกาสเรียนต่อ ไม่มั่วสุมเหมือนก่อน ก็เริ่มเปิดใจ”

จากนั้นทีม อพม. จะติดตามเด็กๆ อย่างใกล้ชิด บางครั้งต้องไปตามหลายครั้งกว่าที่จะยอมกลับมาเรียน และเมื่อครอบครัวเห็นว่ามีทุนสนับสนุนจาก กสศ. เพื่อใช้ต่อยอดสร้างอาชีพ ความเชื่อมั่นก็เพิ่มขึ้น ซึ่งศรีทอนเล่าว่า ภาพวันที่เด็กๆ ได้รับวุฒิการศึกษา คือช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มที่ไม่สามารถบรรยายได้
“ในวันที่เห็นเด็กๆ มารับวุฒิ ตัวเราเองก็นั่งร้องไห้ เพราะทั้งซึ้งใจและดีใจกับพวกเขา จากเด็กที่เคยถูกตราหน้าว่าเรียนไม่จบ กลายเป็นเด็กที่ได้ไปเรียนต่อตามสายต่างๆ
บางคนไปเรียนสายเทคนิค บางคนไปเรียนสายอาชีพ และสักวันหนึ่ง เด็กๆ เหล่านี้ก็จะเติบโตเป็นผู้นำที่ดี นำความดีและโครงการดีๆ กลับมาสู่ชุมชน และวันที่ทุกคนในชุมชนได้เห็นน้องๆ ประสบความสำเร็จ นั่นคือวันที่เราภูมิใจที่สุดค่ะ”
แหล่งพักพิง คุ้มครองและสร้างความเข้มแข็งให้เด็กและเยาวชน
การดึงเด็กกลับสู่ระบบการศึกษาโดยทีม อพม. ไม่ได้หยุดอยู่แค่การ ‘ช้อน’ ให้พ้นจากความเสี่ยง แต่ยังต้องมีระบบรองรับที่ทำให้เขาได้พัฒนาและยืนหยัดได้ในระยะยาว ซึ่งตรงนี้เองภาคีอย่าง บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดลำปาง ภายใต้การนำของ อัณณ์ณิชา นิธิสุวรรณภาคิณ เข้ามามีบทบาทสำคัญ ผ่านการทำงานร่วมกับเทศบาลตำบลลำปางหลวงและเครือข่ายในพื้นที่
บ้านพักเด็กและครอบครัวมีภารกิจหลากหลาย ตั้งแต่ดูแลเด็กที่ถูกทอดทิ้ง เด็กเร่ร่อน เด็กที่พ่อแม่ไม่สามารถอุปการะได้ ไปจนถึงสตรีที่ประสบปัญหาต่างๆ ทั้งตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ การถูกทารุณกรรม หรือการตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

“บ้านพักเด็กของเราดูแลภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และอีกสองฉบับที่เกี่ยวข้อง เราทำหน้าที่เป็นสถานแรกรับ ดูแล สงเคราะห์ และคุ้มครองเด็กตั้งแต่แรกเกิด ไปจนถึงกรณีที่พ่อแม่ติดสารเสพติด ถูกจำคุก หรือมีปัญหาสุขภาพจิต จนต้องให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงดู ซึ่งบางครอบครัวก็ทำได้เพียงตามอัตภาพ” อัณณ์ณิชาอธิบาย
นอกจากภารกิจด้านการคุ้มครองแล้ว บ้านพักเด็กยังเป็นแหล่งสนับสนุนงบประมาณสำหรับโครงการเชิงสร้างสรรค์ที่ช่วยพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ โดยงบประมาณนี้ถูกนำไปใช้ในกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ พัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชน เช่น การเต้นบาสโลป และทำร้านสร้างสรรค์ออกตลาดนัด
“เราเชื่อว่าน้องๆ จะสานต่องบประมาณของเราในปีถัดไป ซึ่งทางเราก็ยินดีที่จะสนับสนุนงบประมาณเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับน้องๆ ของตำบลลำปางหลวงค่ะ” อัณณ์ณิชา กล่าว
สานพลังทุกภาคส่วน สร้างกลไกการทำงานในทุกระดับ
บทบาทของบ้านพักเด็กและครอบครัวในการสนับสนุนงบประมาณและกิจกรรมสร้างสรรค์ ทำให้เด็กและเยาวชนที่ อพม. ช่วยดึงกลับมา สามารถมีพื้นที่ต่อยอดศักยภาพได้จริง แต่ความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากมีกลไกภาพรวมที่แข็งแรงคอยกำกับและประสานงานในทุกระดับ
นี่คือหน้าที่ของ สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดลำปาง ภายใต้การดูแลของ ผอ.โกสินทร์ แสงสะอาด ซึ่งทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 103 แห่งในจังหวัด

“เราถือว่าโชคดีที่ลำปางมีต้นทุนการทำงานด้านการศึกษาที่ดี และได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะกับนโยบาย Thailand Zero Dropout ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปี 2568 ซึ่งเป็นปีที่ 28 ของการทำงาน และยังมีแผนจะเดินหน้าต่ออีก 5 ปีตามแนวทางที่กำหนด
ปัจจัยความสำเร็จของลำปางอยู่ที่กลไกการทำงานที่เข้มแข็งในทุกระดับ ระดับ จังหวัดมีคณะทำงานระดับจังหวัด ระดับอำเภอมีนายอำเภอเป็นหัวหน้าคณะทำงาน และระดับตำบลมีผู้บริหารท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นนายกเทศมนตรีหรือนายก อบต. ทำหน้าที่ประธานคณะทำงาน ขับเคลื่อนงานภายใต้แนวทางของ กสศ. โดยมีคณะทำงานสหวิชาชีพ และทีม CM ที่ลงพื้นที่เก็บข้อมูล วางแผน และให้ความช่วยเหลือเด็กเป็นรายกรณีครับรวมถึงวางระบบตาแนวทางของ กสศ.มาโดยตลอด”
โดย ผอ.โกสินทร์สรุปบทบาทหลักไว้ 3 ด้าน คือ ข้อแรกคือ ขับเคลื่อนให้มีกลไกครบทุกอำเภอและตำบล ซึ่งตอนนี้ครบถ้วนแล้ว ข้อสองคือเสริมความเข้าใจและศักยภาพของคณะกรรมการทุกระดับเพื่อทำงานได้มีประสิทธิภาพ และข้อสุดท้ายคือ อำนวยการให้เกิดการประสานงานสอดคล้องกับภาคีเครือข่าย เพื่อจัดการศึกษาที่เหมาะสม ยืดหยุ่น และเปิดโอกาสให้ผู้ที่หลุดจากระบบกลับมาเรียนได้อีกครั้ง
หัวใจหลักด้านการศึกษา เชื่อมโยงนโยบายสู่พื้นที่
การทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ ผอ.โกสินทร์เล่ามา จะเห็นได้ว่ามีโครงสร้างและกลไกในพื้นที่ที่แข็งแรง แต่เพื่อให้กลไกเหล่านี้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน จำเป็นต้องมีหัวใจหลักในด้านการศึกษาที่เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับจังหวัดลงสู่ตำบล ซึ่งเป็นบทบาทของ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดลำปาง โดยมี ชิดชล ตั้งสุขีย์ศิริ นักวิชาการศึกษาชำนาญการ แกนนำสำคัญในการขับเคลื่อน Thailand Zero Dropout ในพื้นที่ มาอธิบายบทบาทการทำงานของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด
“นโยบายจาก Thailand Zero Dropout สู่ลำปาง Zero Dropout ต้องได้รับทั้งงบประมาณและการสนับสนุนจาก กสศ. เพราะลำปางเป็นหนึ่งใน 25 จังหวัดที่ได้รับการคัดเลือกในปีที่แล้ว และในปีนี้ ในระดับประเทศ ทางกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการก็ได้มีคำสั่งมาจากต้นสังกัดจนถึงระดับจังหวัด ว่าเราต้องช่วยกันขับเคลื่อนงานนี้
ชิดชลเล่าว่า ในจังหวัดลำปางได้มีคำสั่งแต่งตั้งทีมขับเคลื่อนครบทุกระดับ ตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ไปจนถึงตำบล พร้อมทั้งทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 40 แห่ง ทั้งจากภาคการศึกษาและสถานประกอบการในพื้นที่ เพื่อร่วมกันให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ

“หน่วยงานทางการศึกษาที่อยู่ในระบบ ทั้งของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงหน่วยงานทางพระพุทธศาสนาและโรงเรียนกีฬา จังหวัดลำปางมีหน่วยงานทางการศึกษาที่สามารถจัดการศึกษาได้หลากหลายมาก ทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา สำนักงานกีฬา และการศึกษาทางเลือก เช่น สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสำคัญต่อการช่วยเหลือแบบยืดหยุ่น
ในระบบ เราจะเห็นภาครัฐทำงานตามบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน แต่ในส่วนของนอกระบบการศึกษา ก็มีการจัดรูปแบบใหม่ๆ เช่น สพฐ. จัดทำโรงเรียนหนึ่งโรงเรียนสามรูปแบบ, โมบายสคูล รวมถึงให้สถานประกอบการเข้ามาร่วมจัดการศึกษาได้ เช่น ปัญญาภิวัฒน์ และบางกอกคาร์โมเดล ซึ่งได้เรียนรู้แนวทางจาก CYF ที่เป็นการศึกษาทางเลือกแบบยืดหยุ่น สำหรับน้อง ๆ ที่รู้สึกว่าการเรียนในระบบไม่ตอบโจทย์” ชิดชล เล่า
การขับเคลื่อน Lampang One Team แสดงให้เห็นว่าการทำให้ Zero Dropout เกิดขึ้นจริง ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ชุมชนจนถึงระดับชาติ ภายใต้กลไกที่แข็งแรงและยืดหยุ่น ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และหน่วยงานสนับสนุน ทำงานประสานกันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เปิดโอกาสทางการศึกษา และสร้างเส้นทางอาชีพให้เด็กและเยาวชน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแท้จริง