- สภาแคนาดาผลักร่างกฎหมาย แบนการทำการตลาดอาหารจังค์ฟู้ดในเด็กต่ำกว่า 13 ปี
- งานวิจัยมหาวิทยาลัยออตตาวาชี้ เด็กและวัยรุ่นกว่า 72 เปอร์เซ็นต์ ได้รับโฆษณาอาหารจากโซเชียลทุกๆ 10 นาที เด็กอายุ 2 ขวบเริ่มจดจำแบรนด์อาหารได้
- “นักโฆษณารู้ว่ามันมีอิทธิพล ถ้าคุณสร้างลูกค้าได้ตั้งแต่พวกเขาอายุ 10 ปี คุณได้ลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์ไปตลอดชีวิตเขา”
เคยไหมที่เด็กๆ รอบตัวร้องซื้อขนมเพราะเจ้าพรีเซนเตอร์การ์ตูนบนแพคเกจจิ้ง เคยไหมที่เด็กๆ รู้จักสินค้าบางแบรนด์เพียงเพราะจำได้จากในทีวี เคยไหมที่บางครั้งเด็กๆ ไม่ได้อยากกินขนมในนั้น เพียงอยากได้ของเล่นที่อยู่ในซอง
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเดียวกับที่ แนนซี กรีน เรเน (Nancy Greene Raine) อดีตรัฐมนตรีสภาแคนาดาพยายามผลักร่างกฎหมายด้านคุ้มครองสุขภาพเด็ก ในชื่อ S-228 ร่างกฎหมายที่ห้ามไม่ให้ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมเกินโภชนาการที่เด็กควรได้รับต่อวัน ทำการตลาดกับเด็กต่ำกว่า 13 ปี ช่องทางที่ว่าหมายถึง โทรทัศน์, อินเทอร์เน็ต, บิลล์บอร์ด, นิตยสาร, วิทยุ, โปสเตอร์บนรถขนส่งสาธารณะ กระทั่งโฆษณาบนแพคเกจจิ้งของผลิตภัณฑ์นั้นๆ เอง
แม้จะเป็นกฎหมายที่ผู้ปกครองหลายคนจับตาและเฝ้ามองตั้งแต่ตุลาคมปี 2018 ครั้งแรกที่ร่างกฎหมายนี้เป็นที่พูดถึง แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกชักเข้าชักออกจากสภาจำนวน 4 ครั้ง ล่าสุดวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทอาหารและโฆษณาหลายแห่ง รวบรวมรายชื่อและเขียนจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษรขอให้สภาพิจารณาเพิกถอนแนวความคิดนี้
นักวิจัยออตตาวาชี้ เด็กและวัยรุ่น 72 เปอร์เซ็นต์ ได้รับโฆษณาอาหารจากโซเชียลมีเดียทุกๆ 10 นาที
หากข่าวข้างต้นยังไม่น่าสนใจพอ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยออตตาวาอาจทำให้คุณต้องกลับมาทบทวนอิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่มีต่อคนยุคปัจจุบันมากขึ้น
“ตัวเลขที่ออกมาน่าตกใจมาก นี่ไม่ใช่การโฆษณาแบบเดียวกับที่คนรุ่นปู่ย่าตายายของเราเติบโตมา บริษัทอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้ทำงานร่วมกับนักประสาทจิตวิทยา (neuropsychologist) และใช้เครื่องมือ MRIs ทำวิจัยด้วย มันยากมากที่เราจะต้านทานแรงดึงดูดจากโฆษณา”
คือความเห็นของ โมนิค พอทวิน เคนท์ (Monique Potvin Kent) หัวหน้าทีมวิจัยและผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยออตตาวา เขาทำวิจัยกับเด็กและวัยรุ่นจำนวน 101 คน อายุระหว่าง 7-16 ปี ที่เมืองออตตาวา ประเทศแคนาดา ขอให้พวกเขาใช้สมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ตเข้าบัญชีโซเชียลมีเดียต่างๆ ให้ทำ 2 ช่วงเวลา ช่วงละ 5 นาทีต่อแอพพลิเคชั่นที่พวกเขาใช้งาน โดยระหว่างที่เล่นให้สวมแว่นตาพิเศษที่จะบันทึกทุกอย่างที่พวกเขาเห็น
ผลวิจัยพบว่า ในทุกๆ 10 นาที พวกเขาจะเจอโฆษณาจำนวน 2.1 ชิ้น เปรียบเทียบให้เห็นภาพ ในทุกๆ ชั่วโมง เด็กๆ จะได้เห็นโฆษณาอาหาร เครื่องดื่ม และสแน็ค มากกว่า 12 ชิ้น และ 90 เปอร์เซ็นต์ในจำนวนนี้ ไม่ดีต่อสุขภาพ
เมื่อไรกันที่โฆษณาเริ่มมีอิทธิพลต่อเด็กๆ? งานวิจัยชิ้นนี้พบว่า
เด็กตั้งแต่อายุ 2 ขวบขึ้นไปเริ่มจดจำแบรนด์สินค้าต่างๆ ได้ แต่จะเริ่มรู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือโฆษณาก็ต่อเมื่ออายุ 6 ขวบขึ้นไป แต่จะเริ่มคิด วิเคราะห์ วิพากษ์ มีความเห็นต่อโฆษณาเหล่านั้นได้ ต่อเมื่ออายุ 12 ปีขึ้นไป
งานวิจัยพบข้อสังเกตอีกว่า ในช่วงวัย 11 – 13 ปี พวกเขาก็เริ่มจะส่งคลิป หรือ โฆษณาที่ตัวเองสนใจ ต่อไปให้เพื่อนๆ ในช่วงวัยเดียวกันแล้ว
“นักโฆษณารู้ว่ามันมีอิทธิพล ถ้าคุณสร้างลูกค้าได้ตั้งแต่พวกเขาอายุ 10 ปี คุณได้ลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์ไปตลอดชีวิต” เรเนอธิบายและยืนยันว่าทำไมร่างกฎหมายนี้จึงสำคัญ และควรเร่งผลักให้มีผลบังคับจริง
แม้สภาแคนาดาจะยังอยู่ในช่วงต่อรองและหารือ แต่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคแห่งรัฐควิเบก ประเทศแคนาดาก็บังคับใช้พ.ร.บ. ดังกล่าวในรัฐของตัวเอง ห้ามโฆษณาอาหารจังค์ฟู้ดในเด็กต่ำกว่า 13 ปีแล้ว เช่นเดียวกับประเทศชิลี ที่ออกกฎเกี่ยวกับการโฆษณาอาหารในเด็กเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2018 เช่น ไม่ให้โฆษณาผลิตภัณฑ์ซีเรียลที่มีรสหวานจัด ห้ามมีรูปการ์ตูนที่ผลิตภัณฑ์ และแบนลูกอมบางประเภท เช่น Kinder Surprise ที่มักมีกลยุทธ์ล่อใจให้เด็กๆ ซื้อหากัน