Skip to content
ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์
Movie
26 May 2023

Vaathi: ครูดีอาจทำให้เด็กคนหนึ่งไปถึงฝัน แต่ระบบการศึกษาคุณภาพจะช่วยเด็กจำนวนมากเข้าถึงโอกาสในการมีชีวิตที่ดี

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Vaathi เป็นภาพยนตร์อินเดียแนวแอคชันดรามาในปี 2023 บอกเล่าเรื่องราวของบาลา ครูผู้ช่วยไฟแรงจากโรงเรียนเอกชนที่ถูกส่งไปสอนหนังสือในโรงเรียนชนบทอันห่างไกล 
  • จุดเด่นของภาพยนตร์คือการตีแผ่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา จิตวิญญาณของความเป็นครู รวมถึงการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างนักธุรกิจการศึกษากับนักการเมือง
  • ท่ามกลางความยากลำบากต่างๆ นานา ครูบาลาคือครูที่เปี่ยมด้วยเมตตาและมี Empathy นอกจากความรู้แล้ว เขายังคอยให้กำลังใจและผลักดันเด็กทุกคนให้ก้าวไปถึงฝั่งฝันของตัวเองให้ได้

[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน]

ผมเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่พ่อแม่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะให้ลูกเข้าเรียน ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมชายผู้แสนประหยัดอย่างพ่อถึงยอมเสีย ‘แป๊ะเจี๊ยะ’ ร่วมแสนให้กับโรงเรียนที่อีกสิบสองปีจากนั้นผมจะต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อไปให้ทันเคารพธงชาติ

พ่อบอกผมเพียงสั้นๆ ว่าอยากให้ผม ‘เก่งภาษาอังกฤษ’ และ ‘มีสังคมที่ดี’ ซึ่งคำว่าสังคมที่ดีในความหมายของพ่อไม่ใช่การที่ทุกคนในโรงเรียนเป็นคนดี แต่หมายถึงการ ‘ซื้อโอกาส’ ให้ผมได้อยู่ท่ามกลางลูกเถ้าแก่และลูกของผู้มีอำนาจในสังคมเพื่อที่ว่าในอนาคตพวกเราอาจได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคิดแบบเด็กๆ ว่าทำไมพ่อต้องพยายามมากมายอะไรขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ตัวของพ่อเองก็จบแค่โรงเรียนวัดที่ไม่มีชื่อเสียงหรือโด่งดังเลยสักนิด

ผมคิดถึงเรื่องเหล่านี้อีกครั้ง หลังจากได้ชมภาพยนตร์อินเดียเรื่อง Vaathi ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารจัดการโรงเรียนรัฐ จนเกิดเป็นช่องโหว่ให้สมาคมโรงเรียนเอกชนอาสาเข้ามาช่วยแก้ปัญหาผ่านการส่งครูไปช่วยอุดรอยรั่วในโรงเรียนที่ขาดแคลน โดยหารู้ไม่ว่านี่คือแผนซ้อนแผนที่ตั้งใจจะทำให้คุณภาพของโรงเรียนรัฐยิ่งตกต่ำลง เนื่องจากครูที่ถูกส่งไปช่วยตามโรงเรียนรัฐขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นเพียงครูผู้ช่วยชั้นปีสาม ซึ่ง ‘ครูบาลา’ พระเอกหนุ่มของเรื่องก็เป็นหนึ่งในนั้น

ประเด็นที่ผมรู้สึกอินมากๆ อย่างแรกคือเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดย Vaathi ฉายให้เห็นภาพการบริหารจัดการโรงเรียนรัฐที่ล้มเหลวของกระทรวงศึกษาธิการ(อินเดีย) ส่งผลให้บรรดาพ่อแม่ชนชั้นกลางต่างพาลูกเข้าไปสมัครเรียนในโรงเรียนเอกชนที่แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าต้องจ่ายแป๊ะเจี๊ยะ แต่พอนึกถึงครูที่มีคุณภาพและคอนเนกชั่นทางสังคม พวกเขาจึงต้องกัดฟันเพื่ออนาคตของลูกไม่ต่างอะไรกับพ่อของผม

สำหรับผม ฉากสำคัญที่ทำให้ปีศาจการศึกษาเผยตัวออกมา คือซีนที่โรงเรียนพระเอกจัดงานเฉลิมฉลองแก่นักเรียนชั้นม.5 หลังสอบเลื่อนชั้นผ่าน 100% มากกว่าอัตราเฉลี่ยของโรงเรียนเอกชนซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 75% ทำให้ประธานสมาคมโรงเรียนเอกชนถึงกับควันออกหู พร้อมเดินทางมาต่อว่าลูกจ้างอย่างครูบาลาโทษฐานที่ทำผลงานเกินหน้าเกินตาและผิดต่อจุดประสงค์ในการทำลายชื่อเสียงโรงเรียนรัฐ

“อยากได้การศึกษาที่ดีก็ต้องจ่าย…

ค่าธรรมเนียมศูนย์ การศึกษาศูนย์ 

ค่าธรรมเนียมสูง การศึกษาสูง 

นี่คือสมัยนิยมตอนนี้…ใครที่อยากเรียนก็ต้องจ่ายเพราะเงินเท่านั้นที่ซื้อความรู้ได้”

ไม่ว่าจะในจอหรือนอกจอ นี่คือความจริงอันแสนเจ็บปวด โดยเฉพาะในประเทศไทยที่หลายคนต้องกล้ำกลืนฝืนทนกับความอยุติธรรมนี้ และน่าแปลกที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่รัฐบาล ปัญหาคุณภาพทางการศึกษากลับดูถอยหลังลงคลองมากขึ้นทุกที ทั้งๆ ที่กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณปีละหลายแสนล้านบาท แต่กลับบริหารเม็ดเงินจำนวนนี้อย่างไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของโรงเรียนตามชนบทถูกถ่างให้กว้างขึ้น 

ด้วยความที่บ้านของผมเป็นบ้านกึ่งบริษัททำให้ผมมีโอกาสได้คลุกคลีกับลูกของคนงานวัยเดียวกันซึ่งเรียนโรงเรียนวัดแถวบ้าน ผมพบว่าแม้เขาจะหัวดีเรียนหนังสือได้เป็นอันดับต้นๆ ของชั้น แต่พอผมเห็นแบบเรียนวิชาภาษาอังกฤษของเพื่อน ผมกลับรู้สึกเศร้าใจแทนเพราะขณะที่เพื่อนกำลังฝึกท่อง ABC ผมกลับเรียนไปถึงเรื่องการใช้กิริยา 3 ช่อง นอกจากนี้หลังจากที่เพื่อนเริ่มเรียน Grammar ในปีถัดๆ ไปโดยมีผมคอยเป็นติวเตอร์ให้ในวันเสาร์ สิ่งที่ผมจำได้ไม่รู้ลืมคือคำพูดเพื่อนที่ว่า “ทำไมนายถึงสอนรู้เรื่องกว่าครูที่โรงเรียนอีก”

ดังนั้น ผมมองว่าหากระบบการศึกษาไทยจะดีขึ้นได้ การเมืองจะต้อง ‘โปร่งใส’ ก่อน เพราะเงินนับแสนล้านบาทไม่ใช่น้อยๆ ที่จะจัดหาครูเก่งๆ และทำให้การศึกษากลายเป็นเรื่องของความเสมอภาค นอกจากนี้หากใครเป็นสาวกโซเชียลจะเห็นว่าไม่กี่สัปดาห์ก่อน กระแสเรื่องแบบเรียนที่ค่อนข้างล้าหลังไม่เข้ากับยุคสมัยของน้องๆ ชั้นประถมกลายเป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง พร้อมกับบทสรุปที่ชวนให้ตั้งคำถามต่อไปยังกระทรวงศึกษาธิการว่าแท้จริงแล้วมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่

อีกหนึ่งประเด็นใน Vaathi ที่ผมสนใจคือเรื่อง ‘จิตวิญญาณความเป็นครู’ โดยตัวของครูบาลาแม้จะเป็นครูจากศูนย์ฝึกโรงเรียนเอกชน แต่กลับมีความมุ่งมั่นตั้งใจกว่าครูผู้ช่วยด้วยกัน เพราะตอนไปถึงโรงเรียนในชนบท ครูบาลาเป็นเพียงคนเดียวที่พยายามไปเกลี้ยกล่อมพร้อมกับชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อให้บรรดาพ่อแม่ยอมส่งลูกกลับมาเรียนหนังสือ เนื่องจากพ่อแม่เหล่านี้ส่วนมากมีฐานะยากจนจึงจำเป็นต้องให้ลูกออกมาทำงานจุนเจือครอบครัว

เมื่อปัญหาหนึ่งจบ ครูบาลาก็ต้องเผชิญปัญหาต่อไปเรื่อยๆ ทั้งการที่นักเรียนแบ่งแยกกันตามชนชั้นวรรณะ หรือการถูกสมาคมโรงเรียนเอกชนจ้องเล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกือบจะถอดใจ

ท่ามกลางอุปสรรคปัญหาทั้งหมด ผมชื่นชอบฉากที่เด็กนักเรียนทะเลาะกันเรื่องที่นั่ง เนื่องจากเด็กที่เกิดในวรรณะสูงไม่อนุญาตให้เพื่อนที่วรรณะต่ำกว่ามานั่งด้วยกัน

แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการขึ้นเสียงใส่เด็กๆ ครูบาลากลับใช้วิธีการแบ่งคลาสสอนเด็กตามวรรณะ โดยกลุ่มหนึ่งให้เรียนเรื่องอัตราความเร็ว ส่วนอีกกลุ่มเรียนเรื่องความเร็ว ก่อนประกาศให้มีการสอบบทเรียนทั้งสองในวันรุ่งขึ้นทำเอานักเรียนบ่นกันระงมว่าครูบาลาไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

ฟากครูบาลาก็ถือโอกาสนี้สอนเด็กๆ ให้เห็นถึงอคติเรื่องวรรณะที่เป็นเหมือนกำแพงที่คั่นกลางชีวิตของพวกเขามากกว่า 17 ปี

“ถ้าได้งานดีหลังเรียนจบแล้วหัวหน้าเธอเป็นคนต่างวรรณะจะทำยังไง จะลาออกไหม ทุกวันนี้ครูมาอยู่นี่ ครูวรรณะอะไรว่ามา ไม่อยากรู้เหรอ เพราะว่าครูเป็นคนสอนหนังสือและพวกเธอต้องการครู พวกเธอเลยไม่อะไรกับวรรณะครู…ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะความต้องการของเราไม่รู้วรรณะ เช่นเดียวกันไม่มีใครที่ไม่เป็นที่ต้องการ พอรู้อย่างนี้แล้วเธอจะลืมความต่างเล็กๆ พวกนั้น”

แน่นอนว่าภายหลังจากที่ครูบาลาพูดประโยคนี้ พวกนักเรียนสองกลุ่มพากันสำนึกผิดและขอร้องให้ครูบาลาสอนอีกรอบ แต่ครูบาลาแทบจะปฏิเสธในทันที ทำให้นักเรียนสองกลุ่มจับกลุ่มติวกันเองจนเป็นที่มาของมิตรภาพอันแน่นแฟ้นในภายหลัง

สาเหตุที่ผมประทับใจฉากนี้มากก็เพราะครูบาลาคือครูที่เปี่ยมด้วยเมตตาและมี Empathy เขารู้ว่าเด็กแต่ละคนแต่ละวรรณะรู้สึกยังไง ดังนั้นเขาจึงใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา ทั้งยังสามารถทำให้เด็กทั้งสองกลุ่มกลายเป็นมิตรที่ดีต่อกันในที่สุด ซึ่งหากเรื่องนี้เกิดในบ้านเรา ผมเชื่อว่าครูหลายคนจะเลือกวิธีการขึ้นเสียงด้วยความฉุนเฉียวมากกว่าจะคิดหาวิธีอธิบายด้วยเหตุผล

ผมมองว่าการที่ครูบาลาได้ใช้เมตตาและปัญญาในการสอนหนังสือ คือการสื่อให้เราเห็นว่า แม้ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย ครูสามารถผลักดันเด็กคนหนึ่งให้ก้าวไปถึงฝั่งฝันของตัวเองได้ 

ซึ่งในภาพยนตร์ นอกจากความรู้แล้วครูบาลายังคอยให้กำลังใจและผลักดันเด็กทุกคนเสมอ โดยเฉพาะฉากท้ายเรื่องที่ครูบาลาถูกตำรวจทำร้ายกลั่นแกล้งจนต้องย้ายกลับไปอยู่บ้าน เขาก็ยังหาวิธีสอนผ่านวิดีโอและลักลอบเข้าหมู่บ้านมากับคณะละครเพื่อไขข้อสงสัยทางวิชาการให้กับเด็กๆ ทำให้นักเรียนทุกคนตั้งใจเรียนสุดฤทธิ์เพื่อตอบแทนครูที่เปรียบเสมือนเทพเจ้าของพวกเขา

แม้ผมจะได้เรียนในโรงเรียนที่ครูมีคุณภาพในการสอน แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมตั้งเครื่องหมายคำถามถึงจิตวิญญาณความเป็นครู เพราะยุคนั้นผมต้องเผชิญกับปัญหา ‘ครูกั๊กวิชา’ ถึงขั้นที่โรงเรียนออกกฎว่าหากพบว่าครูในโรงเรียนแอบไปสอนพิเศษให้นักเรียนเป็นการส่วนตัวจะมีบทลงโทษถึงขั้นไล่ออก แต่ถึงอย่างนั้นพวกคุณครู โดยเฉพาะครูวิชาคณิตศาสตร์กลับไม่เกรงกลัวสักนิด ทั้งยังชักชวนให้เพื่อนๆ ของผมหลายคนมาเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง ซึ่งดูเหมือนครูจะเอาแนวข้อสอบมาสอนพวกนั้นก่อน ทำให้เวลาสอบจริงเพื่อนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่สอบผ่านแบบแลนด์สไลด์ ทั้งยังได้คะแนนในลำดับต้นๆ ของห้อง

อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าปัจจุบันยังมีครูดีๆ ที่เปี่ยมด้วยหัวจิตหัวใจของความเป็นครูแบบครูบาลาอยู่ แต่ครูประเภทนี้อาจมีไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนเด็กนักเรียนนับล้านทั่วประเทศ ดังนั้นวิธีการที่ดีกว่าการรอคุณครูฮีโร่หรือพระเอกขี่ม้าขาว น่าจะเป็นการที่รัฐบาลจริงจังกับการแก้ปัญหาทางการศึกษาและบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง พร้อมจัดทำนโยบายที่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพทางการศึกษาและการพัฒนาครูให้ดียิ่งขึ้นเพื่อให้โรงเรียนทุกแห่งมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้ประเทศชาติหลุดพ้นจากโคลนติดล้อที่ฉุดรั้งระบบการศึกษาและถ่วงความเจริญของประเทศชาติมานานหลายทศวรรษ 

เหมือนท่อนหนึ่งในเพลงประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่น่าจะเป็นบทสรุปของความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับธุรกิจการศึกษา และความสำคัญของสิทธิการศึกษาที่สร้างโอกาสและความเท่าเทียม

“แผ่นดินสั่นไหวโดยการกระทำของผู้มีอำนาจ สั่นลงไปถึงกระดูกสันหลัง 

เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้อิสระเสรี การศึกษากลายเป็นเลือดใหม่ ความรู้เป็นของฟรี แต่มันถูกขายโดยคนต่ำช้า 

จำไว้ การศึกษาคือสิทธิโดยกำเนิด เธอต้องยอมรับการศึกษา เธอต้องปูทางสายใหม่”

Tags:

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเยาวชนVaathiครูความเหลื่อมล้ำการศึกษา

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    OMG2: ‘เพศศึกษา’ เรื่องที่ครูไม่ได้สอน แต่กลับคอยซ้ำเติมความเชื่อผิดๆ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Social Issues
    All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ทำไมครูควรมีมุมมอง พหุวัฒนธรรมศึกษา (Multicultural Education)

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel