Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Education trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skills
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
Book
4 September 2025

ในสวนลับ: เมื่อความหวังผลิบาน ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ

เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี

  • ‘ในสวนลับ’ (The Secret Garden) เป็นวรรณกรรมเยาวชน เขียนโดย ฟรานเซส ฮอดจ์สัน เบอร์เน็ตต์ แปลเป็นภาษาไทยโดย เนื่องน้อย ศรัทธา จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์แพรวเยาวชน
  • เรื่องราวปาฏิหาริย์ในสวนลับไม่ได้มาจากเวทมนตร์ใดๆ แต่คือการที่เด็กชายผู้เชื่อว่าตนเองกำลังจะตาย กับเด็กหญิงที่สุดแสนเอาแต่ใจ ได้เติมเต็มหัวใจที่ขาดพร่องของกันและกัน
  • ปาฏิหาริย์มีอยู่ทุกที่ เกิดขึ้นได้ทุกนาที และกำลังกระซิบบอกอย่างอ่อนโยนว่า ชีวิตเราไม่ต่างอะไรกับสวนลับแห่งมิสเซลธ์เวท พืชทุกต้นและดอกไม้ทุกดอกสามารถงอกงามใหม่ได้เสมอ ตราบที่ยังคงมีความหวังเบ่งบานในหัวใจ

“สิ่งแปลกอย่างหนึ่งในบรรดาหลายๆ สิ่งของการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ของคนเรา คือ สิ่งที่เป็นประหนึ่งปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นแก่คนท้อถอยในชีวิต ทำให้คนคนนั้นเกิดมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

นี่เป็นประโยคจาก ‘ในสวนลับ’ หรือ The Secret Garden วรรณกรรมเยาวชนคลาสสิก ผลงานจากปลายปากกาของ ฟรานเซส ฮอดจ์สัน เบอร์เน็ตต์ นักเขียนคนสำคัญในแวดวงวรรณกรรมสำหรับเด็ก หนังสือเล่มนี้ถูกยกย่องว่าเป็นผลงานอมตะยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งของเบอร์เน็ตต์

เราเชื่อว่า ในช่วงเวลาหนึ่งทุกคนต่างเคยพบเจอกับความทุกข์ ความผิดหวัง ความล้มเหลว จนบางคนเกิดความคิดว่า ชีวิตหมดหนทางจะไปต่อ หรือไม่ก็อยากจะยอมแพ้กับทุกสิ่งให้รู้แล้วรู้รอด 

เรื่องน่าแปลกที่บางคนพบคือ ในช่วงเวลานั้นกลับมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน อาจเป็นเพียงแค่สิ่งเล็กๆ เช่น แสงแดดอ่อนในตอนเช้า กลิ่นกาแฟหอมกรุ่น รอยยิ้มของคนแปลกหน้า หรือแค่คำพูดธรรมดาจากใครสักคน สิ่งเหล่านี้มอบ ‘ความหวัง’ ที่เปรียบเสมือน ‘ปาฏิหาริย์’ เพียงพอให้เราลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่ง

หนังสือเล่มนี้พาเราไปสัมผัสเรื่องราวปาฏิหาริย์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากมนตร์วิเศษเหมือนในหนังแฟนตาซี แต่เริ่มต้นจากความงดงามที่ธรรมชาติมอบให้ 

มิสเซลธ์เวท เป็นคฤหาสน์ใหญ่ทึมอายุกว่าหกร้อยปี ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันไร้เสียงใด ได้ยินก็แต่เสียงลมพัดหวีดหวิว มี ‘สวนลับ’ ซ่อนตัวอยู่ในบริเวณคฤหาสน์  สวนแห่งนี้ใส่กุญแจปิดตาย ถูกทิ้งร้างมานับสิบปี ไม่มีใครพูดถึง ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครเหยียบย่างเข้าไปเป็นเวลานาน ราวกับว่าไม่มีใครในโลกต้องการสวนแห่งนี้อีกแล้ว 

มารี เลนนอกซ์ เด็กหญิงตัวน้อยๆ วัยสิบปีบังเอิญพบกุญแจสวนลับนี้เข้า วินาทีที่บานประตูสวนลับแง้มออก วินาทีนั้นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้น ต้องเล่าก่อนว่า มารีเกิดและเติบโตในประเทศอินเดีย แต่หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตด้วยโรคอหิวาห์ เธอถูกส่งตัวไปอยู่กับคุณลุงที่ชื่อมิสเตอร์อาร์ชิบอลด์ คราเวน เจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ในชนบทประเทศอังกฤษ

มารีเป็นเด็กหญิงผอมกะหร่อง หน้าตาบูดบึ้ง อารมณ์ร้อน และร้ายกาจเสียจนได้รับสมญาว่า ‘คุณหนูมารีผู้ขวางโลก’ เธอไม่เคยพอใจหรือรู้สึกชอบอะไรสักอย่าง เพราะถูกเลี้ยงมาอย่างพ่อแม่ไม่อินังขังขอบ ไม่เคยแสดงความรัก มัวแต่ยุ่งกับธุระตัวเองจนไม่มีเวลาสนใจลูกสาวแบบบาง ขี้โรค

เธอถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจโดยพี่เลี้ยงและคนรับใช้มากมาย ไม่ว่าต้องการอะไร คนเหล่านี้จะสนองให้ทุกครั้ง ไม่มีใครกล้าขัดใจสักคน ทำให้เธอยิ่งร้ายกาจเกินจะบรรยาย หากพูดให้เข้าใจง่ายๆ คุณหนูมารีคนนี้เป็นเด็กประเภทที่มักถูกเรียกว่า ‘เด็กมีปัญหา’ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพ พฤติกรรม อารมณ์ จิตใจ เธอก็เหมาหมดทุกปัญหา

นอกจากคุณหนูมารีคนขวางโลก เรายังมี คอลลิน คราเวน มหาราชาองค์น้อยแห่งมิสเซลธ์เวทที่ร้ายกาจ มีปัญหาพอกันกับมารี เขาเป็นเด็กไร้ชีวิตชีวาอย่างยากจะหาเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเปรียบเทียบได้

คอลลิน เป็นลูกชายของมิสเตอร์คราเวน เกิดมาพร้อมร่างกายอ่อนแอ ขี้โรค นายน้อยคนนี้ถูกเลี้ยงดูแบบผิดๆ เขาไม่เคยได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากผู้เป็นพ่อ ถูกตามใจจนเสียเด็ก หากมีอะไรไม่ได้ดั่งใจ เขาจะร้องไห้ อาละวาดจนไม่มีใครได้หลับได้นอนทั้งคืน

เรามองว่า มารีและคอลลินมีสภาพไม่ต่างจากสวนลับที่พูดถึงในตอนแรก ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจไยดี เด็กสองคนนี้คือผลผลิตของการเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย (Uninvolved Parenting Style) 

ทั้งคู่เหมือนกันตรงที่ถูกเลี้ยงมาอย่างพ่อแม่ไม่มีเวลาใกล้ชิด ไม่เคยแสดงความรัก ความอาทรต่อลูก ทั้งมารีและคอลลินจึงไม่รู้จักความรู้สึกดังกล่าว กลายมาเป็นเด็กร้ายกาจ หัวใจด้านชา โดยที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะเป็น

เรื่องน่าสังเวชใจอย่างหนึ่งคือ มิสเตอร์คราเวนกลัวว่าคอลลินจะโตมาหลังค่อมเหมือนตน จึงปล่อยให้ลูกชายนอนแซ่วบนเตียงตลอดสิบปี ร่างกายเขาจึงอ่อนแอลงเรื่อยๆ

ในขณะที่เด็กคนอื่นวิ่งเล่นสนุกสนานกลางแดดจ้า แต่คอลลินกลับขังตัวอยู่แต่ในห้องทึมๆ  ไม่เคยได้สัมผัสแสงแดด ไม่เคยรู้ว่าข้างนอกหน้าต่างมีฤดูใบไม้ผลิเวียนมาอยู่ทุกปี 

เด็กคนนี้มีอายุแค่สิบขวบ ตลอดทั้งชีวิตเขาจมอยู่กับความคิดลบว่าตนจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน คงไม่มีโอกาสโตเป็นผู้ใหญ่ ร่างกายอ่อนแอจากการนอนเฉยๆ ก็ยิ่งส่งเสริมให้จินตนาการไปว่า ตัวเองจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว

การพบกันของเด็กที่ขึ้นชื่อว่าร้ายกาจ อย่างมารีและคอลลินค่อยๆ เยียวยากันและกัน นับตั้งแต่มาอยู่มิสเซลธ์เวท มารีไม่มีพี่เลี้ยงคอยตามติดหรือเอาใจตลอดเวลา เธอพบเรื่องน่าตื่นเต้นมากมาย มีโอกาสได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เห็นความสวยงามของพืชนานาพันธ์ุ ฟังเสียงนกร้อง วิ่งเล่นกลางแดด และรู้จักสร้างความผูกพันกับผู้อื่น เป็นครั้งแรกที่เด็กหญิงสนใจสิ่งอื่นมากกว่าตัวเอง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้มารีมีจิตใจอ่อนโยนขึ้น ราวกับว่า แสงแดดอุ่นของฤดูใบไม้ผลิค่อยๆ ละลายหัวใจด้านชาของเธอ

ด้านของคอลลิน เด็กชายที่เอาแต่ร้องไห้จะเป็นจะตายเพราะคิดว่ามีปุ่มงอกบนหลัง คิดว่าตัวเองเป็นโรคร้ายกำลังจะตายอยู่ตลอดเวลา มารีเป็นคนเดียวที่ปราบเขาอยู่หมัด เธอกล้าพูด กล้าขัดใจคอลลิน เด็กหญิงย้ำแล้วย้ำอีกว่า อาการป่วยของเขาเกิดจากอารมณ์ร้าย คอลลินไม่ได้เจ็บป่วยอะไรอย่างที่เขาคิดว่าเขาเป็น ร่างกายอ่อนแอแบบนี้เพราะเอาแต่นอนหงายหลัง ไม่ยอมลุกไปไหน เล่นเอาเด็กชายที่กำลังอาละวาดหยุดร้องไห้ หลังจากได้ยินสิ่งที่ไม่เคยมีใครพูดกับเขามาก่อน 

นอกจากคำพูดเตือนสติ มารียังเล่าเรื่องแผนการฟื้นคืนชีพ ‘สวนลับ’ ให้คอลลินฟัง เขาสนอกสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษถึงขนาดเก็บเอาไปฝัน ความสวยงามของหมู่แมกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดสว่างไสว กลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้ ค่อยๆ ไล่ความคิดลบในหัวของคอลลิน มีประโยคหนึ่งในเรื่อง กล่าวว่า

Where you tend a rose, my lad,

A thistle cannot grow

ที่ใดที่เจ้าฟูมฟักปลูกกุหลาบ

ที่นั้นพงหนามย่อมมิอาจโต

เรามองว่า ความคิดเป็นสิ่งทรงพลังมาก หลายครั้งมนุษย์จมอยู่กับความคิดลบจนลืมไปชั่วขณะว่ายังมีสิ่งสวยงามอยู่รอบตัว ความคิดแย่ๆ ทำให้เรามองไม่เห็นความสวยงามนั้น ท้ายที่สุดความคิดลบต่างๆ ส่งผลต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจเราทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเช่นเดียวกับคอลลิน

“การยอมปล่อยให้ความคิดเศร้าหมองหรือความคิดชั่วร้ายเกาะกินจิตใจของเราเป็นอันตรายไม่ต่างอะไรกับปล่อยให้เชื้อโรคร้ายอย่างไข้อีดำอีแดงเข้าสู่ร่างกาย ถ้ายอมให้มันเกาะกินอยู่นานๆ อาจจะไม่มีวันหายอาจจะต้องติดตัวอยู่จนตาย”

โชคยังดีที่ภารกิจพลิกฟื้น ‘สวนลับ’ ช่วยเปลี่ยนแปลงความคิด ฟื้นฟูร่างกายปวกเปียกของเด็กทั้งสองให้แข็งแรงขึ้นได้ เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของมารีและคอลลินไปพร้อมๆ กับสวนลับที่งามวันงามคืน

สวนลับเป็นดั่ง ‘ปาฏิหาริย์’ เมื่อหัวใจที่แห้งแล้งได้สัมผัสความงดงามของธรรมชาติ มอบความหวังให้คอลลินมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ เป็นเรื่องน่ายินดีที่เขาบอกกับทุกคนว่า “ฉันจะต้องหาย! ฉันจะต้องสบายดีในไม่ช้า ฉันจะมีชีวิตยืนนาน! นานเท่านาน!” 

หลังใช้เวลาทั้งวันไปกับการขุดดิน ถอนหญ้า เฝ้ามองดูดอกไม้ผลิบานด้วยความหวังจะฟื้นฟูสวนลับให้กลับมางดงาม เสมือนว่าธรรมชาติได้มอบของขวัญแก่เด็กทั้งสอง มารีไม่ใช่เด็กหญิงขวางโลกที่รักใครไม่เป็น และคอลลินไม่ใช่เด็กชายที่ไม่เคยคิดถึงสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากเรื่องที่ว่าตัวเองกำลังจะตายอยู่ตลอดเวลาอีกต่อไป

ความง่ายงามของหนังสือเล่มนี้คือ ข้อความธรรมดาที่บอกกับเราว่า ปาฏิหาริย์ที่พูดถึงไม่ได้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่แต่อย่างใด อาจเป็นแค่สักวันหนึ่งที่คนท้อถอยในการมีชีวิตอยู่ มีโอกาสได้ยืนจ้องมองดวงอาทิตย์ยามเช้า มองท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสี มองแสงดาวพร่างพราวในคืนเดือนมืด หรือมองดูดอกไม้ผลิบานตามรอยแตกปริของกำแพง  แล้วเกิดความรู้สึกมีกำลังใจอย่างน่าประหลาด นั่นก็นับว่าได้รับปาฏิหาริย์แล้ว 

เฉกเช่นมารีและคอลลิน ปาฏิหาริย์ปรากฏแก่พวกเขาหลังจากได้เข้าไปยืนในสวนลับ

หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ เราเชื่อว่า ปาฏิหาริย์มีอยู่ทุกที่ เกิดขึ้นได้ทุกนาที และกำลังกระซิบบอกอย่างอ่อนโยนว่า ชีวิตเราไม่ต่างอะไรกับสวนลับแห่งมิสเซลธ์เวท อาจมีบางช่วงที่ต้นไม้ไม่ได้รับการตกแต่งกิ่ง อาจมีบางคราวที่ดอกไม้นานาพันธ์ุบากบั่นต่อสู้กับความมืดมิดในฤดูหนาว แต่เมื่อฤดูกาลใหม่มาถึง พืชทุกต้นและดอกไม้ทุกดอกสามารถงอกงามใหม่ได้เสมอ ชีวิตเราก็เช่นกัน ตราบที่ยังคงมีความหวังเบ่งบานในหัวใจ

Tags:

พ่อแม่หนังสือครอบครัวชีวิตวรรณกรรมเยาวชนThe Secret Garden

Author:

illustrator

บุญญิสา รัตนมณี

Related Posts

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    พ่อแม่ไม่ใช่อรหันต์ ปล่อยวางความคาดหวังแล้วหันมา ‘ใจดีกับตัวเอง’ 

    เรื่อง อัฒภาค

  • Movie
    Shrinking : ชั่วโมงบำบัดพ่อลูกหัวใจพังทลาย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family PsychologyBook
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel