Skip to content
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy
Movie
19 September 2025

The Iron Claw: ท่าไม้ตายของพ่อแม่ คือการแสดงความรักอย่างปราศจากเงื่อนไข

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • The Iron Claw เป็นภาพยนตร์อเมริกันดรามาจากสตูดิโอ A24 ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของครอบครัว วอน เอริช ซึ่งโด่งดังในวงการมวยปล้ำยุค 70-90 กำกับและเขียนบทโดย ฌอน เดอร์กิน
  • ภาพยนตร์สะท้อนภาพของการเลี้ยงลูกที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและความคาดหวังของพ่อแม่ที่ยัดเยียดความต้องการของตนให้กับลูก พร้อมกับประเมินคุณค่าของลูกแต่ละคนผ่านผลลัพธ์ที่ตนต้องการ
  • แฟนภาพยนตร์หลายคนเห็นตรงกันว่า นี่คือหนึ่งในการการแสดงที่ดีที่สุดของ ‘แซค เอฟรอน’ ในบท ‘เควิน วอน เอริช’ พี่ชายที่ต้องสูญเสียน้องๆ ไปทีละคน

“คำว่าพ่อแม่รักลูกทุกคนเท่ากันมันน้ำเน่า”  

“นิ้วมือยังมีห้านิ้ว ยังไงกูก็รักพวกมึงไม่เท่ากัน” 

“ใครทำตามที่กูสั่งได้ กูก็รักคนนั้นมากกว่า”

เสียงของพ่อที่เคยกรอกหูผมสมัยเด็กดังขึ้นมาอีกครั้ง ระหว่างนั่งดู The Iron Claw ภาพยนตร์ที่สร้างจากโศกนาฏกรรมจริงของ วอน เอริช ตระกูลนักมวยปล้ำชื่อโด่งดังยุค 70-90 เพราะสิ่งที่พ่ออย่าง ‘ฟลิตซ์’ พูดกับลูกชายทั้งสี่ แทบไม่ต่างอะไรจากคำที่ผมเคยได้ยินมาเลย

‘ฟลิตซ์’ เป็นอดีตนักมวยปล้ำผู้ดุดัน เขามีท่าไม้ตายอันโด่งดัง ‘The Iron Claw’ (กรงเล็บเหล็ก) ที่บดขยี้กะโหลกคู่ต่อสู้จนคว้าชัยมานับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายกลับถูก ‘การเมืองในวงการ’ ปิดกั้นไม่ให้ชิงแชมป์โลก เขาจึงผลักดันลูกชายทั้งสี่ให้สานต่อฝันนั้น พร้อมจัดอันดับความรักของลูกแต่ละคนตามผลงานบนเวที และย้ำว่า ‘อันดับเปลี่ยนแปลงได้เสมอ’ ดังนั้นความรักในครอบครัววอน เอริช จึงกลายเป็นเหมือนรางวัล…ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องพิสูจน์   

ลูกก็คือลูก ลูกไม่ใช่เครื่องมือชดเชยความฝันที่ไม่สำเร็จของพ่อแม่

ฟลิตซ์คือภาพแทนของพ่อแม่ที่นำความฝันของตนเองมาผูกไว้กับลูก โดยใช้ความรักเป็น ‘เหยื่อล่อ’ ให้ลูกเชื่อว่าความรักต้องแลกมาด้วยผลงานและความสำเร็จ สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ‘คำสาปแห่งวอน เอริช’ ที่พรากลูกชายไปทีละคน ซึ่งสะท้อนชัดเจนผ่านคำพูดของเควิน ลูกชายคนรอง

“ตั้งแต่เด็ก คนเอาแต่พูดว่าครอบครัวผมถูกสาป เราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้เลย ผมไม่รู้ว่าตอนนั้น น้องๆ ผมเชื่อหรือเปล่า แต่เรื่องร้ายชอบเกิดขึ้นกับเราเสมอ แม่พยายามใช้พระเจ้าปกป้องเรา ส่วนพ่อใช้มวยปล้ำปกป้องพวกเรา พ่อบอกว่าถ้าเราแกร่งที่สุด แข็งแรงที่สุด ประสบความสำเร็จที่สุด จะไม่มีอะไรทำร้ายเราได้ ผมเชื่อพ่อ พวกเราทุกคนด้วย พวกเรารักพ่อและเรารักมวยปล้ำมาก” 

สำหรับเด็ก พ่อแม่เปรียบดั่งพระเจ้า ทุกถ้อยคำและการกระทำของพ่อแม่ล้วนทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ในใจ ดังนั้นการที่เควินกับน้องๆ บอกว่ารักมวยปล้ำและอยากเป็นแชมป์โลกจึงอาจไม่ใช่ความปรารถนาที่แท้จริง หากแต่เป็นการพยายามไขว่คว้าหาความรักจากพ่อ…แต่น่าเสียดายที่ฟลิตซ์กลับผูกความรักเข้ากับผลงานและชัยชนะบนสังเวียน ทำให้ลูกๆ ต้องวิ่งตามเงื่อนไขที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม

เมื่อฟลิตซ์ติดกระดุมเม็ดแรกผิด คำสาปแห่งวอน เอริช ก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน เริ่มจาก ‘เดวิด’ ที่ทุ่มเทฝึกซ้อมจนร่างกายพังและเสียชีวิตกะทันหัน  

สิ่งที่ผมจุกอกคือ ในงานศพของเดวิด ฟลิตซ์ไม่เพียงสั่งลูกว่าห้ามแสดงความอ่อนแอหรือร้องไห้ แต่ยังบอกลูกๆ ในคืนเดียวกันว่าอย่าปล่อยให้ความตายนี้เป็นอุปสรรคต่อผลงานและเป้าหมายในการเป็นแชมป์โลก

“ถอดแว่นกันแดดออกให้หมดทุกคนเลย ไม่ต้องแอบซ่อน พระเจ้าได้ตัดสินใจแล้วว่าถึงเวลาที่เดวิดต้องไป เราต้องยอมรับให้ได้ ชีวิต 25 ปีของมัน ใช้มาเหมือน 75 ปี” ฟลิตซ์กล่าวกับลูกๆ อย่างไม่แยแส

ตัวละครถัดมาที่ต้องคำสาป คือ ‘ไมเคิล’ ลูกคนเล็กที่ไม่ชอบมวยปล้ำแต่รักดนตรี โชคร้ายที่เขาถูกพ่อแม่กีดกัน ทั้งยังบังคับเขาให้เข้าวงการมวยปล้ำ จนสุดท้ายสิ้นหวังและจบชีวิตตัวเอง

“ผมกลัวมากครับแม่ ผมไม่ใช่เดวิด ทุกคนอยากให้ผมเป็นเดวิด แต่ผมแทนที่พี่ไม่ได้หรอก” ไมเคิลบอกแม่ แต่น่าเสียดายที่แม่ไม่สนใจจะช่วยหรือลองหาทางคุยกับพ่อ แถมยังเอาแต่อ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นพระประสงค์บางอย่างของพระเจ้า

ส่วนลูกรักอย่าง ‘แครี่’ ที่ทำความฝันพ่อสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวท นอกจากเขาดูจะไม่มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว ยังเคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุจนต้องถูกตัดขา จนในที่สุดก็เลือกจบชีวิตลง เพราะนอกจากมวยปล้ำแล้ว เขาไม่เคยเห็นคุณค่าอื่นใดในตัวเอง  

“ฉันกลัวมากเลยพี่ ฉันกลัวคิดอะไรไม่ออกแล้ว ฉันเจ็บมาก ฉันเจ็บปวดตลอดเวลา ฉันมันพิการ แอบซ่อนมันไม่ไหวอีกแล้ว พวกนั้นไม่ให้สัญญาฉบับใหม่ฉัน จากนี้ไปให้ปล้ำแต่ในโชว์ พวกนั้นไม่ต้องการฉันอีกแล้ว ฉันไม่มีที่ไป ฉันไม่เหลือใคร…ฉันต้องการใครสักคน ฉันอยากมีครอบครัว แต่ฉันจะให้ลูกๆ ของพี่เห็นฉันในสภาพนี้ไม่ได้หรอก ฉันอยากให้ทุกอย่างมันจบจริงๆ ฉันมันถูกสาป ฉันอยากตาย คำสาปอยู่กับฉันแล้ว ฉันเป็นของมัน” แครี่โทรมาระบายความในใจกับเควินเป็นครั้งสุดท้าย 

ในฐานะลูกที่ถูกตั้งเงื่อนไขในความรัก ผมขอย้ำอีกครั้งว่าการกระตุ้นให้ลูกสนองความต้องการของพ่อแม่โดยเอาความรักเป็นเหยื่อล่อคือความเลวร้าย 

เพราะเด็กๆ ต่างต้องการเป็นที่รักของพ่อแม่ เขาจึงยอมทุ่มเททำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองกลายเป็นที่รัก แม้ว่าระหว่างทางจะต้องแลกมาด้วยการฝืนความต้องการของตัวเอง การมองพี่น้องเป็นคู่แข่ง หรือการประสบปัญหาทางสุขภาพจิต แต่น่าเสียดายที่พ่ออย่างฟลิตซ์มองลูกๆ ของเขาในฐานะเครื่องมือสู่ความสำเร็จ จนลืมไปว่าที่สุดแล้ว ลูกก็คือลูก…ไม่ใช่นักกีฬา

อย่าลืมความเจ็บปวดที่โดนทำร้าย อย่ากลายเป็นคนแบบที่เราเกลียด

บาดแผลที่ฝังลึกของฟลิตซ์คือการถูกการเมืองในวงการ ‘ปล้นโอกาส’ ชิงแชมป์โลกไปจากตัวเอง แต่มันก็ช่างย้อนแย้งราวกับตลกร้ายฉากใหญ่ เมื่อเขาผันตัวมาเป็นโปรโมเตอร์ และเลือกทำซ้ำในสิ่งที่เขารังเกียจกับลูกชาย โดยเฉพาะ ‘เควิน’ ผู้ที่แบกความหวังไว้เต็มสองบ่า แต่กลับถูกกีดกันด้วยข้ออ้างและเหตุผลนับร้อยที่ฟลิตซ์ใช้กลบเกลื่อน ทั้งที่ความจริงคือการเลือกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม

แม้เควินจะเป็นแชมป์เท็กซัส เคยชนะแชมป์โลกอย่าง ‘ฮาร์ลีย์ เรซ’ แบบไม่เป็นทางการ และมีฝีมือที่คู่ควรกับโอกาสที่สุด แต่เมื่อถึงเวลาต้องเลือกตัวแทนขึ้นชิงเข็มขัดที่รอคอย พ่อกลับเลือกเดวิดเพียงเพราะเขามี ‘ภาพลักษณ์และฝีปาก’ ที่ ‘ขายได้’ มากกว่า  

“ฉันทำใจไม่ค่อยได้ที่แกแซงหน้าฉัน ฉันโกรธมาก ไม่ได้โกรธแกนะ แต่โกรธสถานการณ์ทั้งหมด แต่ฉันเองไม่ได้อยากได้แชมป์ขนาดนั้น ฉันแค่สนุกกับการออกไปปล้ำกับพวกแก มันเป็นอย่างเดียวที่สำคัญสำหรับฉัน” เควินเปิดใจกับเดวิดด้วยความปวดร้าว

และแม้เดวิดจะเสียชีวิตลงกะทันหัน ฟลิตซ์ก็ยังอุตส่าห์ใช้วิธีคัดเลือกลูกที่จะขึ้นมาเป็นตัวแทนของเดวิด ด้วยการโยนเหรียญเสี่ยงทายระหว่างเควินกับแครี่ กระทั่งแครี่ประสบอุบัติเหตุจนต้องตัดขาทิ้ง เควินถึงได้ขึ้นชิงแชมป์โลกเป็นครั้งแรกกับ ‘ริค แฟลร์’ 

ในการแข่งครั้งประวัติศาสตร์แห่งวงการมวยปล้ำ เควินใช้ท่าไม้ตาย ‘กรงเล็บเหล็ก’ บดขยี้กะโหลกของริค แฟลร์ ราวกับจะให้แหลกคามือ โดยไม่สนใจว่าริค แฟลร์จะเอื้อมไปสัมผัสเชือก หรือกรรมการจะสั่งให้เขาปล่อยมือ เควินก็ไม่ยอมหยุด…จนถูกปรับแพ้ฟาวล์ทันที 

บางคนอาจมองว่าการกระทำของเควินนั้นช่างไร้น้ำใจนักกีฬา บางคนอาจบอกว่าเควินอาจก่อกบฏเลยต้องโชว์เหนือ…เพราะมวยปล้ำก็แค่การแสดงที่ผู้จัดล็อกผลให้ ริค แฟลร์ เป็นฝ่ายชนะมาตั้งแต่แรก แต่ผมมองว่าฉากดังกล่าวคือ การระเบิดความแค้นความเจ็บปวดที่สะสมมาทั้งชีวิต ซึ่งเป็นสัญญาณกรีดร้องของหัวใจที่แหลกสลาย และไม่เคยได้รับการเยียวยาของเด็กในร่างผู้ใหญ่คนหนึ่ง

หลังจากนั้น ภาพยนตร์ก็ตัดภาพไปที่เควินที่ผันตัวไปอยู่เบื้องหลังเหมือนพ่อของเขา คำถามสำคัญของผมก็ตามมาว่าเมื่อเควินเป็นพ่อ เขาจะเดินซ้ำรอยฟลิตซ์ หรือเลือกเส้นทางที่ตรงกันข้าม? 

และภาพยนตร์ก็ได้มอบคำตอบอันงดงามผ่านฉากที่เควินเผลอร้องไห้ต่อหน้าลูกชาย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พ่อขอโทษที่ต้องให้ลูกมาเห็นพ่อในสภาพแบบนี้…พ่อก็แค่เคยเป็นพี่ชาย แต่ตอนนี้พ่อไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว” แต่ลูกชายของเขาไม่ได้แสดงท่าทีผิดหวังหรือตกใจ ทั้งยังตอบพ่อด้วยความอ่อนโยน “ไม่เป็นไรครับพ่อ พ่อร้องไห้เถอะ ใครๆ ก็ร้องไห้ทั้งนั้น…งั้นให้ผมเป็นน้องชายของพ่อก็ได้นะครับ” 

ผมคิดว่าช่วงเวลาดังกล่าวคือช่วงเวลาที่ ‘คำสาปแห่งวอน เอริช’ ถูกทำลายลง เพราะมันทำให้เควินเลือกที่จะไม่เป็นผู้ใหญ่ในแบบที่เขาเกลียด เขารักลูก เพราะลูกเป็นลูก ลูกที่ทำให้เขารู้ว่าผู้ชายก็ร้องไห้ได้ อ่อนแอได้ และยังคงมีคุณค่าเสมอ

ท้ายที่สุด ผมคิดว่าหัวใจของภาพยนตร์คือการบอกเราว่า ความรักของลูกที่มีต่อพ่อแม่นั้นไม่ได้ถูกวัดด้วยความสมบูรณ์แบบหรือเกียรติยศ แต่เป็นหัวใจที่โหยหาการยอมรับเสมอ ดังนั้นหน้าที่ของพ่อแม่จึงไม่ใช่การสร้างเงื่อนไข หากแต่เป็นการมองเห็นคุณค่าในตัวลูก และรักลูกในแบบที่เขาเป็น เพื่อจะได้ไม่เผลอเดินซ้ำรอยกลายเป็นผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ในแบบเดียวกับที่ตัวเองเคยเกลียด…โดยที่เราอาจไม่เคยรู้ตัว   

Tags:


Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Book
    The Let Them Theory (2): เปลี่ยน ‘การเปรียบเทียบ’ อันขมขื่น ให้เป็นบทเรียนที่นำเราไปสู่ศักยภาพซ่อนเร้น

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    ‘เด็กบึง’ เหยื่ออคติผู้พลิกชีวิตด้วยความใฝ่รู้: ปมรักในบึงลึก

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Sorry, Baby: ขอแค่มีเธอที่เข้าใจ ต่อให้เจอเรื่องร้ายๆ ก็ยังยิ้มได้แม้ในวันที่โลกไม่สวย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    ในสวนลับ: เมื่อความหวังผลิบาน ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ

    เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี

  • Book
    มีเพียงหัวใจและการยอมรับตัวเองเท่านั้น ที่จะไขความลับของจักรวาลใจ: Aristotle and Dante Discover the Secrets of the Universe

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel