- The Iron Claw เป็นภาพยนตร์อเมริกันดรามาจากสตูดิโอ A24 ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของครอบครัว วอน เอริช ซึ่งโด่งดังในวงการมวยปล้ำยุค 70-90 กำกับและเขียนบทโดย ฌอน เดอร์กิน
- ภาพยนตร์สะท้อนภาพของการเลี้ยงลูกที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและความคาดหวังของพ่อแม่ที่ยัดเยียดความต้องการของตนให้กับลูก พร้อมกับประเมินคุณค่าของลูกแต่ละคนผ่านผลลัพธ์ที่ตนต้องการ
- แฟนภาพยนตร์หลายคนเห็นตรงกันว่า นี่คือหนึ่งในการการแสดงที่ดีที่สุดของ ‘แซค เอฟรอน’ ในบท ‘เควิน วอน เอริช’ พี่ชายที่ต้องสูญเสียน้องๆ ไปทีละคน
“คำว่าพ่อแม่รักลูกทุกคนเท่ากันมันน้ำเน่า”
“นิ้วมือยังมีห้านิ้ว ยังไงกูก็รักพวกมึงไม่เท่ากัน”
“ใครทำตามที่กูสั่งได้ กูก็รักคนนั้นมากกว่า”
เสียงของพ่อที่เคยกรอกหูผมสมัยเด็กดังขึ้นมาอีกครั้ง ระหว่างนั่งดู The Iron Claw ภาพยนตร์ที่สร้างจากโศกนาฏกรรมจริงของ วอน เอริช ตระกูลนักมวยปล้ำชื่อโด่งดังยุค 70-90 เพราะสิ่งที่พ่ออย่าง ‘ฟลิตซ์’ พูดกับลูกชายทั้งสี่ แทบไม่ต่างอะไรจากคำที่ผมเคยได้ยินมาเลย
‘ฟลิตซ์’ เป็นอดีตนักมวยปล้ำผู้ดุดัน เขามีท่าไม้ตายอันโด่งดัง ‘The Iron Claw’ (กรงเล็บเหล็ก) ที่บดขยี้กะโหลกคู่ต่อสู้จนคว้าชัยมานับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายกลับถูก ‘การเมืองในวงการ’ ปิดกั้นไม่ให้ชิงแชมป์โลก เขาจึงผลักดันลูกชายทั้งสี่ให้สานต่อฝันนั้น พร้อมจัดอันดับความรักของลูกแต่ละคนตามผลงานบนเวที และย้ำว่า ‘อันดับเปลี่ยนแปลงได้เสมอ’ ดังนั้นความรักในครอบครัววอน เอริช จึงกลายเป็นเหมือนรางวัล…ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องพิสูจน์
ลูกก็คือลูก ลูกไม่ใช่เครื่องมือชดเชยความฝันที่ไม่สำเร็จของพ่อแม่
ฟลิตซ์คือภาพแทนของพ่อแม่ที่นำความฝันของตนเองมาผูกไว้กับลูก โดยใช้ความรักเป็น ‘เหยื่อล่อ’ ให้ลูกเชื่อว่าความรักต้องแลกมาด้วยผลงานและความสำเร็จ สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ‘คำสาปแห่งวอน เอริช’ ที่พรากลูกชายไปทีละคน ซึ่งสะท้อนชัดเจนผ่านคำพูดของเควิน ลูกชายคนรอง
“ตั้งแต่เด็ก คนเอาแต่พูดว่าครอบครัวผมถูกสาป เราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้เลย ผมไม่รู้ว่าตอนนั้น น้องๆ ผมเชื่อหรือเปล่า แต่เรื่องร้ายชอบเกิดขึ้นกับเราเสมอ แม่พยายามใช้พระเจ้าปกป้องเรา ส่วนพ่อใช้มวยปล้ำปกป้องพวกเรา พ่อบอกว่าถ้าเราแกร่งที่สุด แข็งแรงที่สุด ประสบความสำเร็จที่สุด จะไม่มีอะไรทำร้ายเราได้ ผมเชื่อพ่อ พวกเราทุกคนด้วย พวกเรารักพ่อและเรารักมวยปล้ำมาก”
สำหรับเด็ก พ่อแม่เปรียบดั่งพระเจ้า ทุกถ้อยคำและการกระทำของพ่อแม่ล้วนทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ในใจ ดังนั้นการที่เควินกับน้องๆ บอกว่ารักมวยปล้ำและอยากเป็นแชมป์โลกจึงอาจไม่ใช่ความปรารถนาที่แท้จริง หากแต่เป็นการพยายามไขว่คว้าหาความรักจากพ่อ…แต่น่าเสียดายที่ฟลิตซ์กลับผูกความรักเข้ากับผลงานและชัยชนะบนสังเวียน ทำให้ลูกๆ ต้องวิ่งตามเงื่อนไขที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม
เมื่อฟลิตซ์ติดกระดุมเม็ดแรกผิด คำสาปแห่งวอน เอริช ก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน เริ่มจาก ‘เดวิด’ ที่ทุ่มเทฝึกซ้อมจนร่างกายพังและเสียชีวิตกะทันหัน
สิ่งที่ผมจุกอกคือ ในงานศพของเดวิด ฟลิตซ์ไม่เพียงสั่งลูกว่าห้ามแสดงความอ่อนแอหรือร้องไห้ แต่ยังบอกลูกๆ ในคืนเดียวกันว่าอย่าปล่อยให้ความตายนี้เป็นอุปสรรคต่อผลงานและเป้าหมายในการเป็นแชมป์โลก
“ถอดแว่นกันแดดออกให้หมดทุกคนเลย ไม่ต้องแอบซ่อน พระเจ้าได้ตัดสินใจแล้วว่าถึงเวลาที่เดวิดต้องไป เราต้องยอมรับให้ได้ ชีวิต 25 ปีของมัน ใช้มาเหมือน 75 ปี” ฟลิตซ์กล่าวกับลูกๆ อย่างไม่แยแส
ตัวละครถัดมาที่ต้องคำสาป คือ ‘ไมเคิล’ ลูกคนเล็กที่ไม่ชอบมวยปล้ำแต่รักดนตรี โชคร้ายที่เขาถูกพ่อแม่กีดกัน ทั้งยังบังคับเขาให้เข้าวงการมวยปล้ำ จนสุดท้ายสิ้นหวังและจบชีวิตตัวเอง
“ผมกลัวมากครับแม่ ผมไม่ใช่เดวิด ทุกคนอยากให้ผมเป็นเดวิด แต่ผมแทนที่พี่ไม่ได้หรอก” ไมเคิลบอกแม่ แต่น่าเสียดายที่แม่ไม่สนใจจะช่วยหรือลองหาทางคุยกับพ่อ แถมยังเอาแต่อ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นพระประสงค์บางอย่างของพระเจ้า
ส่วนลูกรักอย่าง ‘แครี่’ ที่ทำความฝันพ่อสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวท นอกจากเขาดูจะไม่มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว ยังเคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุจนต้องถูกตัดขา จนในที่สุดก็เลือกจบชีวิตลง เพราะนอกจากมวยปล้ำแล้ว เขาไม่เคยเห็นคุณค่าอื่นใดในตัวเอง
“ฉันกลัวมากเลยพี่ ฉันกลัวคิดอะไรไม่ออกแล้ว ฉันเจ็บมาก ฉันเจ็บปวดตลอดเวลา ฉันมันพิการ แอบซ่อนมันไม่ไหวอีกแล้ว พวกนั้นไม่ให้สัญญาฉบับใหม่ฉัน จากนี้ไปให้ปล้ำแต่ในโชว์ พวกนั้นไม่ต้องการฉันอีกแล้ว ฉันไม่มีที่ไป ฉันไม่เหลือใคร…ฉันต้องการใครสักคน ฉันอยากมีครอบครัว แต่ฉันจะให้ลูกๆ ของพี่เห็นฉันในสภาพนี้ไม่ได้หรอก ฉันอยากให้ทุกอย่างมันจบจริงๆ ฉันมันถูกสาป ฉันอยากตาย คำสาปอยู่กับฉันแล้ว ฉันเป็นของมัน” แครี่โทรมาระบายความในใจกับเควินเป็นครั้งสุดท้าย
ในฐานะลูกที่ถูกตั้งเงื่อนไขในความรัก ผมขอย้ำอีกครั้งว่าการกระตุ้นให้ลูกสนองความต้องการของพ่อแม่โดยเอาความรักเป็นเหยื่อล่อคือความเลวร้าย
เพราะเด็กๆ ต่างต้องการเป็นที่รักของพ่อแม่ เขาจึงยอมทุ่มเททำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองกลายเป็นที่รัก แม้ว่าระหว่างทางจะต้องแลกมาด้วยการฝืนความต้องการของตัวเอง การมองพี่น้องเป็นคู่แข่ง หรือการประสบปัญหาทางสุขภาพจิต แต่น่าเสียดายที่พ่ออย่างฟลิตซ์มองลูกๆ ของเขาในฐานะเครื่องมือสู่ความสำเร็จ จนลืมไปว่าที่สุดแล้ว ลูกก็คือลูก…ไม่ใช่นักกีฬา
อย่าลืมความเจ็บปวดที่โดนทำร้าย อย่ากลายเป็นคนแบบที่เราเกลียด
บาดแผลที่ฝังลึกของฟลิตซ์คือการถูกการเมืองในวงการ ‘ปล้นโอกาส’ ชิงแชมป์โลกไปจากตัวเอง แต่มันก็ช่างย้อนแย้งราวกับตลกร้ายฉากใหญ่ เมื่อเขาผันตัวมาเป็นโปรโมเตอร์ และเลือกทำซ้ำในสิ่งที่เขารังเกียจกับลูกชาย โดยเฉพาะ ‘เควิน’ ผู้ที่แบกความหวังไว้เต็มสองบ่า แต่กลับถูกกีดกันด้วยข้ออ้างและเหตุผลนับร้อยที่ฟลิตซ์ใช้กลบเกลื่อน ทั้งที่ความจริงคือการเลือกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม
แม้เควินจะเป็นแชมป์เท็กซัส เคยชนะแชมป์โลกอย่าง ‘ฮาร์ลีย์ เรซ’ แบบไม่เป็นทางการ และมีฝีมือที่คู่ควรกับโอกาสที่สุด แต่เมื่อถึงเวลาต้องเลือกตัวแทนขึ้นชิงเข็มขัดที่รอคอย พ่อกลับเลือกเดวิดเพียงเพราะเขามี ‘ภาพลักษณ์และฝีปาก’ ที่ ‘ขายได้’ มากกว่า
“ฉันทำใจไม่ค่อยได้ที่แกแซงหน้าฉัน ฉันโกรธมาก ไม่ได้โกรธแกนะ แต่โกรธสถานการณ์ทั้งหมด แต่ฉันเองไม่ได้อยากได้แชมป์ขนาดนั้น ฉันแค่สนุกกับการออกไปปล้ำกับพวกแก มันเป็นอย่างเดียวที่สำคัญสำหรับฉัน” เควินเปิดใจกับเดวิดด้วยความปวดร้าว
และแม้เดวิดจะเสียชีวิตลงกะทันหัน ฟลิตซ์ก็ยังอุตส่าห์ใช้วิธีคัดเลือกลูกที่จะขึ้นมาเป็นตัวแทนของเดวิด ด้วยการโยนเหรียญเสี่ยงทายระหว่างเควินกับแครี่ กระทั่งแครี่ประสบอุบัติเหตุจนต้องตัดขาทิ้ง เควินถึงได้ขึ้นชิงแชมป์โลกเป็นครั้งแรกกับ ‘ริค แฟลร์’
ในการแข่งครั้งประวัติศาสตร์แห่งวงการมวยปล้ำ เควินใช้ท่าไม้ตาย ‘กรงเล็บเหล็ก’ บดขยี้กะโหลกของริค แฟลร์ ราวกับจะให้แหลกคามือ โดยไม่สนใจว่าริค แฟลร์จะเอื้อมไปสัมผัสเชือก หรือกรรมการจะสั่งให้เขาปล่อยมือ เควินก็ไม่ยอมหยุด…จนถูกปรับแพ้ฟาวล์ทันที
บางคนอาจมองว่าการกระทำของเควินนั้นช่างไร้น้ำใจนักกีฬา บางคนอาจบอกว่าเควินอาจก่อกบฏเลยต้องโชว์เหนือ…เพราะมวยปล้ำก็แค่การแสดงที่ผู้จัดล็อกผลให้ ริค แฟลร์ เป็นฝ่ายชนะมาตั้งแต่แรก แต่ผมมองว่าฉากดังกล่าวคือ การระเบิดความแค้นความเจ็บปวดที่สะสมมาทั้งชีวิต ซึ่งเป็นสัญญาณกรีดร้องของหัวใจที่แหลกสลาย และไม่เคยได้รับการเยียวยาของเด็กในร่างผู้ใหญ่คนหนึ่ง
หลังจากนั้น ภาพยนตร์ก็ตัดภาพไปที่เควินที่ผันตัวไปอยู่เบื้องหลังเหมือนพ่อของเขา คำถามสำคัญของผมก็ตามมาว่าเมื่อเควินเป็นพ่อ เขาจะเดินซ้ำรอยฟลิตซ์ หรือเลือกเส้นทางที่ตรงกันข้าม?
และภาพยนตร์ก็ได้มอบคำตอบอันงดงามผ่านฉากที่เควินเผลอร้องไห้ต่อหน้าลูกชาย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พ่อขอโทษที่ต้องให้ลูกมาเห็นพ่อในสภาพแบบนี้…พ่อก็แค่เคยเป็นพี่ชาย แต่ตอนนี้พ่อไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว” แต่ลูกชายของเขาไม่ได้แสดงท่าทีผิดหวังหรือตกใจ ทั้งยังตอบพ่อด้วยความอ่อนโยน “ไม่เป็นไรครับพ่อ พ่อร้องไห้เถอะ ใครๆ ก็ร้องไห้ทั้งนั้น…งั้นให้ผมเป็นน้องชายของพ่อก็ได้นะครับ”
ผมคิดว่าช่วงเวลาดังกล่าวคือช่วงเวลาที่ ‘คำสาปแห่งวอน เอริช’ ถูกทำลายลง เพราะมันทำให้เควินเลือกที่จะไม่เป็นผู้ใหญ่ในแบบที่เขาเกลียด เขารักลูก เพราะลูกเป็นลูก ลูกที่ทำให้เขารู้ว่าผู้ชายก็ร้องไห้ได้ อ่อนแอได้ และยังคงมีคุณค่าเสมอ
ท้ายที่สุด ผมคิดว่าหัวใจของภาพยนตร์คือการบอกเราว่า ความรักของลูกที่มีต่อพ่อแม่นั้นไม่ได้ถูกวัดด้วยความสมบูรณ์แบบหรือเกียรติยศ แต่เป็นหัวใจที่โหยหาการยอมรับเสมอ ดังนั้นหน้าที่ของพ่อแม่จึงไม่ใช่การสร้างเงื่อนไข หากแต่เป็นการมองเห็นคุณค่าในตัวลูก และรักลูกในแบบที่เขาเป็น เพื่อจะได้ไม่เผลอเดินซ้ำรอยกลายเป็นผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ในแบบเดียวกับที่ตัวเองเคยเกลียด…โดยที่เราอาจไม่เคยรู้ตัว