- ‘แค่แหงนมองฟ้า เทพยดาก็จะปรากฏ’ เขียนโดย โชจิ ยูกิยะ แปลโดย เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒ ที่หยิบยกเอาเรื่องราวของเทพเจ้าตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น ว่ามีทวยเทพใช้ชีวิตปะปนกับผู้คนในเมืองใหญ่ ปรากฏตัวเหมือนคนธรรมดา และแทบไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือหากมีก็ไม่ได้ใช้อย่างเทพเจ้าตามตำนานที่เราคุ้นเคย
- เรื่องราวของเหล่าเทพในหนังสือเล่มนี้ ทำให้เราตระหนักว่าแท้ที่จริงแล้ว เทพยดาไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ที่เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย พวกเขาก็ไม่ต่างจากมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา เพียงแค่ทำหน้าที่ของตนที่ได้รับมอบหมายมาพร้อมกับชื่อของเทพ
- การดำรงอยู่ของเหล่าทวยเทพนับแปดล้านองค์ มีเป้าหมายร่วมกันเพียงอย่างเดียวคือ ทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต และใช้มันอย่างดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงกระทำได้
คุณเชื่อเรื่องเทพยดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มั้ยครับ ไม่ว่าคุณจะตอบว่า “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า เป็นสิ่งที่คงอยู่คู่กับมนุษยชาติมาแต่ยุคโบราณกาล จวบจนกระทั่งปัจจุบัน ในยุคที่เรามีเทคโนโลยีทรงอานุภาพ ที่สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ทัดเทียมเทพเจ้าในยุคโบราณ แต่ความเชื่อเรื่องทวยเทพอันศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังคงมีอยู่ ไม่มากก็น้อย ในหลายๆ สังคม
โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อกันว่า ในโลกของเรา มีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำ ก้อนหินใหญ่ ทุ่งนา ป่าลึก หรือกระทั่งหม้อหุงต้มในบ้านเรือนคน ก็ยังเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้า จนมีคำกล่าวว่า เทพยดาของญี่ปุ่น มีจำนวนถึง 8 ล้านองค์
แม้ว่าคำว่า ‘แปดล้าน’ จะไม่ได้หมายเลขตัวเลขจริงๆ ตามนั้น หากแต่เป็นแค่สำนวนที่หมายถึงจำนวนที่มากมาย ไม่ต่างจากคำว่า ‘ร้อยแปดพันเก้า’ ในภาษาไทย ที่หมายถึงมีจำนวนมากมาย แต่การมีเทพยดาสิงสถิตตามที่ต่างๆ มากมาย เป็นความเชื่อที่ส่งผลต่อทัศนคติและการมองโลกของคนญี่ปุ่น ทำให้ชนชาตินี้ได้ชื่อว่า มีความรักและเคารพในธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะเชื่อว่า มีเทพเจ้าสิงสถิตอยู่
มีหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ผมเพิ่งอ่านจบไปเมื่อไม่นานมานี้ ได้หยิบยกเอาเรื่องราวของเทพเจ้าตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นมาเล่าได้อย่างน่าสนใจ เพราะเป็นมุมมองเทพเจ้าในแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อน โดยให้เหล่าทวยเทพปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของคนธรรมดา ใช้ชีวิตอยู่ปะปนกับผู้คนในโลกยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเข้ากับเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
หนังสือเล่มนี้ มีชื่อว่า แค่แหงนมองฟ้า เทพยดาก็จะปรากฏ เขียนโดย โชจิ ยูกิยะ และแปลโดย เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒ เป็นเรื่องราวของเหล่าทวยเทพ ที่ใช้ชีวิตปะปนกับผู้คนในเมืองใหญ่ ปรากฎตัวในรูปลักษณ์ที่ไม่ต่างจากคนธรรมดา และที่สำคัญ ทวยเทพในเรื่องนี้ แทบจะไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใดๆ เลย หรือถึงจะมี ก็ไม่ได้เอามาใช้เหมือนเทพเจ้าในตำนานปรำปราที่เราเคยอ่าน ไม่ว่าจะเป็น…
ยมทูตหนุ่มหล่อ งานดี เทสต์ดี ผู้ปรากฎตัวให้ เอโนะโมโตะ ฮันนะ เห็นครั้งแรกในบาร์ร้านประจำของเธอ เป็นการปรากฏตัวอย่างปุบปับ แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครรู้สึกตกใจ ซึ่งหลังจากนั้น ยมทูตหนุ่มผู้มีรอยยิ้มเหมือน ฮิวจ์ แจ็กแมน ยังไปปรากฎตัวที่แมนชั่นของฮันนะในเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยท่าทีสบายๆเหมือนเป็นเพื่อนสนิทของเธอที่แวะเวียนมาเป็นประจำ
หญิงสาวมั่นใจว่า ชายหนุ่มคนนี้ คือ ยมทูตตัวจริงเสียงจริง เพราะร่างของเขาไม่มีเงาเมื่อถูกแดดส่อง แต่ไม่รู้เพราะอะไร เธอไม่ได้รู้สึกตกใจกับสิ่งเหนือธรรมชาติแบบนี้ ตรงกันข้าม เธอกลับรู้สึกดีที่จะได้ผูกมิตรกับเทพแห่งความตายผู้นี้
ยมทูตเล่าว่า เขาสามารถพูดคุยกับฮันนะได้ เพราะเธอทำพิธีอัญเชิญและทำสัญญากับเขา ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะตอนนั้น ยมทูตกำลังปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบและยืนยันการเสียชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งในบาร์ ฮันนะ ซึ่งนั่งดื่มอยู่คนเดียวตรงเคาน์เตอร์บาร์ ทำเหล้าหกโดยไม่ได้ตั้งใจ และเหล้าที่หกนั้นก็ราดบนร่างของยมทูต ผู้ที่ยังไม่มีใครมองเห็นตัว
เนื่องจากว่า เหล้า เป็นหนึ่งในสิ่งเซ่นไหว้ทวยเทพ เหล้าที่ราดรดบนร่างยมทูต จึงเท่ากับการอัญเชิญให้เขาปรากฏกาย หลังจากที่ยมทูตเผยร่าง ทั้งฮันนะและคนอื่นๆ ในบาร์ กลับไม่มีใครตกใจ ราวกับว่า เขานั่งอยู่ในนั้นมาตั้งนานแล้ว แต่เมื่อเขาเดินออกจากบาร์ ทุกคนจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นจนหมด ยกเว้นแต่ฮันนะ เพราะนอกจากจะเป็นผู้อัญเชิญยมทูตแล้ว เธอยังได้ทำสัญญากับเขา ด้วยการเอ่ยปากเลี้ยงเหล้า ซึ่งทำให้ยมทูต สามารถไปปรากฎร่างข้างๆ ฮันนะได้ทุกที่ที่เธอต้องการ
ในนิยายเล่มนี้ ยมทูต ไม่ได้เป็นผู้นำดวงวิญญาณมนุษย์ไปสู่โลกหลังความตาย หน้าที่ของเขาเป็นแค่ตรวจสอบและยืนยันว่า มนุษย์ผู้นั้นหมดสิ้นอายุขัยแล้วจริง ไม่ต่างจากหัวหน้างาน ที่คอยตรวจสอบและยืนยันว่า ลูกน้องของตนทำงานที่สั่งเสร็จสมบูรณ์แล้ว หน้าที่ของยมทูต มีเพียงแค่นั้น ทำซ้ำๆ ทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี
หรือเรื่องราวของเทพแห่งความยากจน ซึ่งก็เป็นไปตามชื่อ คือทำให้คนบางคนยากจนลงด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การทำให้บางคนหมกมุ่นกับงานอดิเรกที่ต้องใช้เงิน หรือกลายเป็นคนเสพติดการช็อปปิ้ง หรือทำให้บางคนต้องตกงาน ทั้งที่เส้นทางสายอาชีพกำลังรุ่งโรจน์
เทพแห่งความยากจนในเรื่องนี้ ปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของชายวัยกลางคน ชื่อโอบะ เป็นพนักงานบริษัท นิสัยหัวอ่อน ขี้ขลาด ไม่สู้คน ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ โอบะ มีเป้าหมายในการทำงานของตนอยู่ที่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง
มาซาโตะ เด็กหนุ่มคนที่ว่า เกิดในครอบครัวยากจน ไม่ว่าพ่อพยายามทำงานหนักเท่าไหร่ ก็ไม่เคยพาครอบครัวหลุดพ้นความจนไปได้ เด็กหนุ่มไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่เหมือนโชคเข้าข้างเขาตลอด ตอนสอบ ข้อสอบมักจะออกตรงกับที่เขาอ่านก่อนสอบแค่คืนเดียว หรือตอนที่ทำงาน เขาก็มักได้งานใหม่อย่างง่ายดาย ทั้งที่เพิ่งก่อเรื่องจนโดยไล่ออกจากที่ทำงานเก่า
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเด็กหนุ่มคนนั้นเกิดมาพร้อมกับความโชคดี เขาผ่านพ้นอุปสรรคหลายเรื่องได้อย่างง่ายดาย ทว่า โชคของเขาก็ไปไม่สุดเสียที เพราะเทพแห่งความยากจน เกาะติดตามตัวเขาอยู่
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หรือเทพแห่งโรคระบาด ซึ่งปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของหญิงสาวสวมชุดกิโมโนสีกรมท่า ทุกที่ที่เธอไปจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงโรคร้ายที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
คุณหมอโมริยามะ ฮารุยูกิ หมอหนุ่มเนื้อหอม และจิกะจัง หลานสาว ที่ทำหน้าที่เป็นพยาบาลผู้ช่วย คือสองคนในเรื่องที่มองเห็นหญิงสาวในชุดกิโมโนแสนสวย น้าหลานช่วยกันสืบหาว่า สาวสวยลึกลับผู้นี้เป็นใคร หรือจะเป็นวิญญาณที่มีจิตมุ่งร้ายต่อมนุษย์
คุณหมอโมริยามะ และพยาบาลจิกะจัง ได้มีโอกาสพูดคุยกับหญิงสาวในชุดกิโมโน จนได้รู้ว่า เธอคือเทพแห่งโรคระบาด ผู้มีชื่อเล่นว่า ซายูริ เธอยอมรับว่า หน้าที่ของเธอ คือ การนำพาโรคภัยไข้เจ็บมาสู่มนุษย์ แต่เธอก็ยังยืนยันว่า เป้าหมายของเธอ ไม่ใช่การมุ่งปองร้ายหมายชีวิตของคน
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ในหนังสือเล่มนี้ ยังมีเรื่องราวของเทพอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทพแห่งถนนหนทาง ผู้คอยชี้ทางเดินที่ถูกต้องให้แก่มนุษย์ผู้หลงทางในชีวิต หรือเทพประจำข้าวของเครื่องใช้ ซึ่งสิงสถิตอยู่ในหม้อหุงข้าวแบบโบราณ และกลายเป็นหม้อพูดได้ที่เป็นเพื่อนคุยของชินยะ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยทำงาน
หรือจะเป็นเทพแห่งโชคลาภ ที่ปรากฎตัวในรูปลักษณ์ของเพื่อนร่วมงานแสนดี ที่ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบและแย่งชิงผลงานในการทำงานไปเป็นของตัวเอง
หรือจะเป็นเทพแห่งภูเขา ผู้คอยปกป้องคุ้มครองผู้คนที่อาศัยอยู่บนภูเขา แต่สุดท้าย เทพแห่งภูเขา กลับกลายเป็นเทพไร้ที่สิงสถิต เพราะภูเขาและพงไพรถูกทำลายจนหมดสิ้น
เรื่องราวของเหล่าทวยเทพแปดล้านองค์ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้เราตระหนักว่า แท้ที่จริงแล้ว เทพยดาเหล่านี้ ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ที่ดลบันดาล หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย พวกเขาก็ไม่ต่างจากมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา เพียงแค่ทำหน้าที่ของตนที่ได้รับมอบหมายมาพร้อมกับชื่อของเทพ
แล้วหน้าที่ของเทพ คืออะไร
“แน่นอนค่ะว่าฉันนำพาโรคภัยไข้เจ็บมาให้มนุษย์… แต่ฉันไม่ได้ทำเพื่อให้มนุษย์ถึงแก่ความตาย หรือทำให้พวกเขาต้องเป็นทุกข์” เทพแห่งโรคระบาด ในรูปลักษณ์ของสาวสวยสวมชุดกิโมโน กล่าว แต่เธอก็ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม บอกเพียงแค่ว่า ให้คุณหมอโมริยามะ และพยาบาลจิกะจัง กลับไปลองคิดดูเอาเอง
หมอหนุ่ม ครุ่นคิดก่อนจะได้คำตอบว่า เวลาที่เด็กๆ ป่วย สิ่งแรกที่พวกเขาได้รับจากพ่อแม่ ก็คือ สัมผัสเยียวยา ไม่ว่าจะเป็นการใช้หลังมือแตะหน้าผาก การใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อเช็ดตัว การป้อนข้าวป้อนน้ำ หรือแม้กระทั่งการใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนปลอบประโลม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนมีผลช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น ไม่แพ้ยาที่หมอจ่ายให้เลย
ในตอนนั้นเอง คุณหมอโมริยามะ จึงตระหนักว่า เป้าหมายสูงสุดของเทพแห่งโรคระบาด คือ การทำให้มนุษย์หันกลับมาดูแลกันและกัน เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะว่าไปแล้ว คือสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำต่อคนที่รักอยู่แล้ว แต่บางครั้ง เราอาจหลงลืมไปเพราะเหตุผลต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยปละละเลย เผลอเรอ หรือมุ่งแต่ทำงานทำการอย่างเดียว
เช่นเดียวกัน การมีอยู่ของเทพประจำข้าวของ ไม่ใช่แค่ต้องการให้คนเห็นคุณค่าของข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านเท่านั้น หากแต่ยังเป็นสื่อกลางให้เราหวนระลึกถึงคนที่ทำให้ข้าวของเครื่องใช้เกิดคุณค่าขึ้นมาอีกด้วย
การได้พูดคุยกับหม้อหุงข้าวพูดได้ ทำให้ชินยะหวนระลึกความเป็นครอบครัว โดยเฉพาะรสชาติแสนอร่อยของข้าวที่หุงด้วยมือแม่ รวมถึงคำพูดของยายที่สอนเขาตั้งแต่เด็กๆ ว่า อย่าใช้เท้าเหยียบหมอน เพราะมีเทพแห่งหมอนสิงสถิตอยู่ ซึ่งคำสอนนั้น นอกจากจะทำให้ชินยะตระหนักถึงการทะนุถนอมข้าวของเครื่องใช้ ยังทำให้เขาหวนระลึกถึงความอบอุ่นที่ได้รับจากยายอีกด้วย
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วเทพแห่งความยากจน ดำรงอยู่เพราะอะไร การทำให้คนบางคนยากจนมีข้อดีอย่างไร ในหนังสือเล่มนี้ โอบะ หรือร่างมนุษย์ของเทพแห่งความยากจน เฉลยว่า มาซาโตะ ชายหนุ่มที่เขาตามติดชีวิต และทำให้เขาไม่อาจร่ำรวยขึ้น เกิดมาพร้อมกับโชคดีที่ล้นเหลือ ซึ่งการที่ใครสักคนมีโชคดีมากมายในชีวิต มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนที่เสียผู้เสียคนได้ง่าย
หากโอบะไม่เข้ามาทำให้ชีวิตของมาซาโตะต้องตกต่ำ โชคชะตาจะนำพาให้เด็กหนุ่มคนนั้นกลายเป็นดาราดัง หรือไม่ก็ถูกล็อตเตอรีรางวัลใหญ่ แต่ต้องลงเอยด้วยชีวิตที่เหลวแหลก ครอบครัวแตกแยก สูญเสียแม่ ซึ่งตรงข้ามกับชีวิตจริงในปัจจุบันของมาซาโตะ ที่แม้ว่าครอบครัวจะยากจน แต่ก็เป็นครอบครัวที่แสนอบอุ่น ตัวเขาเองแม้จะตกงานบ่อยๆ แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อกับชีวิต ยังคงลุกขึ้นสู้ได้ทุกครั้ง
หรือพูดง่ายๆว่า เป้าหมายของเทพแห่งความยากจน ก็คือ สอนให้เราเรียนรู้ถึงการต่อสู้กับความยากลำบาก และไม่ย่อท้อต่อปัญหาต่างที่ผ่านเข้ามา ซึ่งหากชีวิตเรามีแต่ความราบรื่น ปูลาดด้วยกลีบกุหลาบ มีโชคดีอยู่ตลอด เราคงไม่ได้เรียนรู้ที่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งแบบนี้
แต่เทพที่ทำให้ผมประทับใจมากที่สุด ก็คือ ยมทูต ผู้สอนให้เรายอมรับความจริงว่า ทุกชีวิต ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวย ล้วนแต่มีจุดสิ้นสุด นั่นคือ ความตาย หรือการพ้นไปจากโลกนี้ ส่วนโลกหน้าจะมีจริงหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้
ความตายอาจเป็นเรื่องน่าหดหู่ แต่ก็ทำให้เราได้ตระหนักว่า ชีวิตที่ยังมีลมหายใจอยู่ ช่างสวยสดงดงามเพียงใด การได้กินของอร่อยๆ ช่างมีความสุขจริง การได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ช่างเป็นเรื่องน่าประทับใจจริงๆ หรือแม้กระทั่งการได้นอนหลับสบายทั้งคืน ก็ช่างน่ารื่นรมย์เสียจริงๆ
การดำรงอยู่ของเหล่าทวยเทพนับแปดล้านองค์ จึงมีเป้าหมายร่วมกันเพียงอย่างเดียวคือ ทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต และใช้มันอย่างดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะพึงกระทำได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเทพยดาแม้สักองค์เดียว