Skip to content
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    How to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroomHealing the traumaRelationship
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)
Book
6 December 2025

ไม้บรรทัดของยมทูต: เมื่อความตายคือจุดหมายของชีวิต

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘ไม้บรรทัดของยมทูต’ เป็นผลงานนิยายแฟนตาซีร่วมสมัย แฝงด้วยแง่คิดชวนสะกิดใจ ของ อิซากะ โคทาโร แปลเป็นภาษาไทยโดย ฐิติพงศ์ ศิริรัตน์อัสดร โดยดำเนินเรื่องไปในโทนของเรื่องสั้น 6 เรื่อง
  • นิยายเล่าเรื่องราวของยมทูตชื่อ ‘ชิบะ’ ผู้เข้าไปคลุกคลีกับมนุษย์หลากหลายชีวิต ซึ่งชิบะเรียนรู้ความงามและความเปราะบางของมนุษย์ ก่อนจะตัดสินใจชะตาของแต่ละคนตามสิ่งที่เห็นใน 7 วันสุดท้าย
  • บทบาทและเรื่องราวของชิบะ อาจทำให้เราได้ฉุกใจคิดว่า แท้ที่จริงแล้ว ความตาย คือจุดหมายปลายทางและส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้

“ระหว่างมีชีวิต ส่วนใหญ่มนุษย์ไม่ได้ใช้ชีวิตหรอก ใช้แค่เวลา”

ตัวละครสำคัญในหนังสือที่ผมเพิ่งอ่านจบ พูดประโยคนี้ โดยไม่ได้บอกว่า เป็นคำพูดของใคร แค่บอกใบ้ว่าเป็นนักคิดที่มีอายุเมื่อราวสองพันปีก่อน

ประโยคที่ว่านี้ ติดค้างอยู่ในใจผมจนต้องไปค้นหาข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ตว่า ใครเป็นคนพูดประโยคนี้ แต่น่าเสียดายที่ผมหาไม่เจอ

ที่ใกล้เคียงที่สุด ก็คือ Lucius Annaeus Seneca หรือ ลูเชียส แอนเนียส เซเนกา นักปรัชาญาชาวกรีก ซึ่งกล่าวไว้ว่า

“It is not we have short time to live, but that we waste much of it”

“เราไม่ได้มีชีวิตที่สั้นหรอก แต่เราใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปอย่างสูญเปล่าเสียมากกว่า”

ใช่ครับ คนเรามักจะใช้ชีวิตไปอย่างสูญเปล่า เหมือนแค่ใช้เวลาให้หมดลง ครั้นพอถึงช่วงเวลาที่ความตายกำลังจะมาเยือน หลายคนพร่ำบ่นโอดครวญว่า ทำไมชีวิตของเขาจึงแสนสั้นนัก

และนั่นคือส่วนหนึ่งในหลากหลายความคิดที่ผมได้รับ หลังจากอ่านหนังสือเรื่อง ‘ไม้บรรทัดของยมทูต’ นิยายแฟนตาซีผลงานของ อิซากะ โคทาโร หนึ่งในนักเขียนร่วมสมัยที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น

ยมทูต คือเทพแห่งความตาย ซึ่งปรากฎอยู่ในทุกอารยธรรมของโลก ไม่ว่าจะเป็น ธานาทอส (Thanatos) เทพแห่งความตายของกรีกยุคโบราณ, ยมทูต Grim Reaper ซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นโครงกระดูกในชุดเสื้อคลุมสีดำ ถือเคียวด้ามยาวคอยเกี่ยววิญญาณ หรือ พระยม (Yama) เจ้าแห่งยมโลก ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ของอินเดีย

ยมทูตแทบทุกอารยธรรม ล้วนทำหน้าที่มารับวิญญาณคนตายไปสู่ปรโลก ซึ่งอาจต้องผ่านกระบวนการพิพากษาอีกครั้งว่า วิญญาณดวงนั้น สมควรจะได้ไปสู่สรวงสวรรค์  หรือต้องลงไปชดใช้กรรมในนรก ขณะที่การตัดสินใจว่า คนๆ นั้น สมควรจะหมดอายุขัยแล้วหรือไม่ ไม่ใช้หน้าที่ของยมทูต แต่เป็นบทบาทของเทพองค์อื่น หรือสิ่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น พระประสงค์ของพระเจ้าสูงสุด, เทพแห่งโชคชะตา หรือกระทั่งเวรกรรมที่ทำไว้ในขณะยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อน

แต่ในหนังสือเรื่อง ‘ไม้บรรทัดของยมทูต’ ของอิซากะ ยมทูต มีบทบาทและหน้าที่มากกว่านั้น คือ กึ่งๆ จะเป็นผู้ตัดสินใจว่า มนุษย์คนนั้นสมควรถูก ‘รับไว้’ ซึ่งหมายถึง หมดอายุขัย หรือ ‘ปล่อยไป’ อันหมายถึง ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไป

โดยที่ยมทูตจะใช้เวลา 7 วัน ในการตัดสินใจว่า คนๆ นั้นสมควรได้รับโอกาสให้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ยมทูตจะปรากฎกายในรูปลักษณ์ของคน เข้าไปผูกมิตรทำความรู้จักกับคนที่เป็น ‘เป้าหมาย’ และใช้เวลา 7 วันสุดท้ายนั้นเก็บเกี่ยวทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเป็นเครื่องชี้ชะตาความเป็น-ตายของคนๆ นั้น

ฟังดูอาจไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ ที่ยมทูต หรือใครสักคน จะสามารถใช้เวลาแค่หนึ่งสัปดาห์ เรียนรู้นิสัยใจคอได้มากพอที่จะตัดสินว่า คนๆ นั้นควรได้รับโอกาสให้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไป หรือสมควรแก่เวลาแล้วที่เขาควรจะจากลาโลกใบนี้ไปเสีย

ถ้าตัวเองต้องรับบทเป็นยมทูต ผมคงปล่อยให้เป้าหมายได้มีชีวิตอยู่ต่อไปเสียเป็นส่วนใหญ่ เว้นเสียแต่ คนๆ นั้นเป็นคนเลวทรามต่ำช้าอย่างชัดเจน เช่น เป็นฆาตกรใจบาป แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีทางเลยที่เราจะมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ในหัวใจของคนที่ดูโฉดชั่วอย่างชัดเจน ไม่ได้มีประกายแห่งความดีงามอยู่ข้างในลึกๆ

เราไม่มีทางรู้เลยว่า มนุษย์แต่ละคน มีเหตุผลอะไรในการทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นความเลวทราม

และเราไม่มีทางมั่นใจได้เลยว่า หญิงชราใจดีที่มีแต่รอยยิ้มและความอ่อนโยนให้ทุกคน แม้ว่าชั่วชีวิตของเธอ จะต้องพบแต่ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก คนเช่นนี้ ควรที่ ‘ปล่อย’ ให้เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไป หรือควรที่จะ ‘รับไว้’ เพื่อให้เธอได้พักผ่อนคลายความอ่อนล้าของชีวิตเสียที

งานเขียนของอิซากะ อาจเป็นแค่นิยายร่วมสมัย ซึ่งไม่ว่าจะมองในแง่มุมใด ก็ไม่ได้ใกล้เคียงความเป็นวรรณกรรมเลย ทว่า หนังสือทุกเล่มของเขา ล้วนแฝงด้วยแง่คิดชวนสะกิดใจ ตั้งแต่ปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการบุลลี่ในโรงเรียน อคติที่ผู้ใหญ่มักมีต่อเด็ก หรือปัญหาเชิงจริยธรรมที่ชวนให้ขบคิดจนปวดหัว อย่างเช่น ความเป็นครอบครัว ถูกสร้างขึ้นจากสายเลือด-พันธุกรรม หรือจริงๆ แล้วมาจากการเลี้ยงดู

สำหรับผลงานเรื่อง ‘ไม้บรรทัดของยมทูต’ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย ฐิติพงศ์ ศิริรัตน์อัสดร ดำเนินเรื่องไปในโทนของเรื่องสั้น 6 เรื่อง เชื่อมโยงกันโดยตัวละครหลัก คือ ยมทูตชื่อ ‘ชิบะ’ โดยที่แต่ละเรื่อง จะบอกเล่าช่วงเวลา 7 วันสุดท้าย ที่ชิบะได้เข้าไปคลุกคลีอยู่กับเป้าหมาย ก่อนตัดสินใจว่า เป้าหมายนั้น สมควรจะถูกรับไว้หรือไม่

ในหนังสือเล่มนี้ บอกกับเราว่า ยมทูต ไม่ได้มีแค่คนเดียว ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผล เพราะในโลกที่มีประชากรกว่าแปดพันล้านคน ในแต่ละวัน มีคนถึงฆาตเสียชีวิตโดยเฉลี่ยสามแสนคน ดังนั้น หากมียมทูตแค่คนเดียว คงไม่เพียงพอต่อการทำหน้าที่นี้แน่

ชิบะ บอกกับเราว่า ยมทูตส่วนใหญ่ ไม่ได้จริงจังกับงานในช่วง 7 วันสำคัญนี้สักเท่าไหร่ เพราะทุกคนต่างคิดง่ายๆ ว่า เมื่อเป้าหมายถูกเลือกมาแล้ว ก็แปลว่า คนๆ นั้นกำลังจะหมดอายุขัยแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องไปลงความเห็นที่ ‘แตกต่าง’ ซึ่งรังแต่จะทำลายความราบรื่นของระบบราชการแห่งโลกยมทูตเสียเปล่าๆ (อันนี้ ผมเติมเอง เพราะแหม คุณอิซากะ อุตส่าห์ชงมาเสียขนาดนี้แล้ว)

ในบทแรกของหนังสือ ชิบะ ซึ่งปรากฎร่างในรูปลักษณ์ของหนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ ต้องเข้าไปตีสนิทกับเป้าหมายที่เป็นหญิงสาวหน้าตาธรรมดา ชื่อ ฟุจิคิ คะซึเอะ เธอกำลังอยู่ในช่วงที่เบื่อหน่ายกับชีวิต จนถึงขั้นที่เปรยออกมาบ่อยๆ ว่า อยากตายเหลือเกิน ตายพรุ่งนี้เลยก็ยังได้

คะซึเอะมีเหตุผลที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต หรือควรพูดอีกอย่างว่า คะซึเอะขาดเหตุผลดีๆ ที่ควรจะมีชีวิต เธออยู่ตัวคนเดียว ทำงานเป็นพนักงานบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า หน้าที่ของเธอคือรับโทรศัพท์ลูกค้าที่ร้องเรียนปัญหาของสินค้าที่ซื้อไป ขณะที่ช่วงเวลาวันหยุดของเธอ หมดไปกับการทำงานบ้าน เธอไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก แทบไม่เคยไปเดทกับผู้ชายด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงหลายวันมานี้ คะซึเอะยังต้องทนกับโทรศัพท์ของลูกค้าโรคจิต ที่มักโทรเข้ามาก่อกวน โดยเริ่มจากการอ้างว่า สินค้าที่ซื้อไปมีข้อบกพร่อง บอกให้เธอพูดขอโทษซ้ำๆ หลายครั้ง หนักๆ เข้า ถึงขั้นให้เธอร้องเพลงให้ฟัง ก่อนจะบอกว่า อยากเจอตัวคะซึเอะ

ทั้งหมดคือเรื่องที่คะซึเอะเล่าให้ชิบะฟัง หลังจากที่ทั้งคู่ได้รู้จักและเจอกันหลายครั้ง ชิบะเชื่อว่าลูกค้าคนนั้นคงเป็นพวกโรคจิตที่เล็งคะซึเอะเป็นเหยื่อ แต่นั่นก็เป็นเรื่องนอกเหนือหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา ยิ่งไปกว่านั้น คะซึเอะก็มีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่เกิน 7 วันอยู่แล้ว

กระทั่งใกล้ครบกำหนดเวลา 7 วัน ชิบะเจอคะซึเอะนั่งอยู่คนเดียวที่สวนหย่อมกลางถนน เหมือนกำลังรอใครคนหนึ่งอยู่ แล้วก็มีชายวัยกลางคน แต่งตัวในชุดสีดำทั้งชุด บุคลิกท่าทางแตกต่างจากคนทั่วไป เดินตรงไปหาคะซึเอะ พูดคุยกันสักพัก ก่อนจะพยายามคว้ามือเธอฉุดลากไปสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง

ลูกค้าโรคจิตที่โทรมาหาคะซึเอะบ่อยๆ นั่นเอง ชิบะไม่รู้เหมือนกันว่า หมอนั่นพูดยังไงถึงหลอกให้คะซึเอะออกมาเจอได้ และเขาก็รู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะเข้าไปแทรกแซง แต่พอคะซึเอะตะโกนว่า “คุณชิบะ! ช่วยด้วย!” เขาก็ตัดสินใจเข้าไปช่วย ขณะที่หญิงสาววิ่งหนีไปด้วยความตกใจกลัว

ทว่า เรื่องราวกลับไม่เป็นอย่างที่คิด แท้ที่จริงแล้ว ลูกค้าโรคจิตคนนั้น คือโปรดิวเซอร์มือทองของวงการเพลง เขาบังเอิญได้ยินเสียงของคะซึเอะ และรู้ทันทีว่า กำลังค้นพบเพชรเม็ดงามแห่งวงการเพลง

หลังจากแกล้งโทรศัพท์มาร้องเรียนเพื่อฟังเสียงคะซึเอะหลายต่อหลายครั้ง โปรดิวเซอร์อัจฉริยะ มั่นใจว่าเขาคิดไม่ผิดแน่ จึงนัดเจอคะซึเอะ และพยายามชักชวนเธอเข้าสู่วงการ โดยเริ่มต้นจากการชักชวนไปร้องคาราโอเกะ แต่กลับยิ่งทำให้เธอเข้าใจผิดและกลัว จนร้องเรียกให้ชิบะเข้ามาช่วย

ใช่ครับ สุดท้าย ยมทูตชิบะผู้หลงไหลในการฟังเพลง (เพราะในโลกของยมทูต ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ดนตรี) ตัดสินใจ ‘ปล่อย’ ให้คะซึเอะได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อ เพื่อที่จะได้รอดู (และรอฟัง) ว่า พรสวรรค์ของเธอจะได้รับการเจียระไนจากโปรดิวเซอร์อัจฉริยะ จนกลายเป็นนักร้องเสียงสวรรค์จริงหรือไม่

เรื่องราวของคะซึเอะ บอกอะไรหลายๆ อย่างกับผม อาทิ ชีวิตคนเราอาจพลิกผันได้ในชั่วพริบตา หากเราสามารถค้นพบเหตุผลที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อ หรือแม้แต่ การให้โอกาสคน อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ที่แม้แต่ตัวเรา หรือตัวคนๆ นั้นก็คาดไม่ถึง

นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีอีกหลายตอนในหนังสือที่ผมชอบมาก ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้าระหว่างชิบะกับหญิงชรา ผู้ผ่านพ้นการสูญเสียคนที่เธอรักตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็ยังคงความสดใส น่ารัก และใจดีกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ชิบะ ซึ่งเธอรู้ด้วยลางสังหรณ์ว่า ชายคนนี้คือยมทูตที่กำลังมารอพาเธอไปสู่ปรโลก

ในตอนนี้ อิซากะตั้งใจเขียนตอนจบแบบปลายเปิด ให้คนอ่านได้จินตนาการเองว่า ชิบะตัดสินใจที่จะ ‘รับไว้’ หรือ ‘ปล่อย’ ให้คุณยายได้มีชีวิตอยู่ต่อ แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่า เขาน่าจะรับไว้มากกว่า เพราะคุณยายได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ชีวิตของเธอได้รับการเติมเต็มจนครบสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าเธอจะสูญเสียคนที่เธอรักไปหลายครั้ง แต่เธอก็เข้าใจและยอมรับว่า ความตายคือสิ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธได้

เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่ชื่อ โอกิฮาระ เขาเป็นชายหนุ่มจิตใจดี เป็นที่รักของทุกคน และกำลังจะได้เริ่มต้นความรักหวานชื่นกับ ฟุรุคาวะ อะซามิ หญิงสาวน่ารัก ผู้พักอาศัยอยู่ที่แมนชั่นฝั่งตรงข้าม

อันที่จริงแล้ว ชิบะเป็นคนที่ทำให้โอกิฮาระเข้าไปทักทายทำความรู้จักกับอะซามิ หลังจากที่ได้แค่แอบชอบ แต่ไม่กล้าเข้าไปคุยด้วย โดยชิบะพูดว่า ชีวิตคนเราแสนสั้นนัก อะไรที่อยากทำก็ควรทำ อยากคุยกับใครก็ควรเข้าไปคุยเสีย

ความรักของโอกิฮาระกับอะซามิ เพิ่งจะเริ่มผลิบาน แต่ใครจะรู้ว่า ความรักนั้นอาจมีอายุขัยที่แสนสั้นเหมือนชีวิตของเขา โอกิฮาระ ถูกคนร้ายที่ตามรังควานอะซามิใช้มีดแทง ซึ่งในตอนนั้น ชิบะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้โอกาสโอกิฮาระได้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่

“ต่อให้ไม่เกิดเรื่องนี้ ชีวิตผมก็ไม่ยืนยาวหรอก”  โอกิฮาระบอกกับชิบะด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น พร้อมลมหายใจรวยริน

โอกิฮาระป่วยเป็นมะเร็ง ซึ่งหมอบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี

“ผมไม่อยากตายหรอก แต่ถ้ายังไงก็ต้องตาย ได้ตายเพื่อคนที่เรารักก็ดีเหมือนกัน” โอกิฮาระ พูดพร้อมแววตาเลื่อนลอย “ถึงจะไม่เยี่ยมยอด แต่ก็ใช่ว่าจะเลวร้ายที่สุด”

ในความเชื่อของทุกวัฒนธรรม ยมทูตล้วนให้ภาพจำที่น่ากลัว เพราะทุกคนไม่มีใครอยากตาย แต่บทบาทและเรื่องราวของยมทูตที่ชื่อชิบะ อาจทำให้เราได้ฉุกใจคิดว่า แท้ที่จริงแล้ว ความตาย คือจุดหมายปลายทางและส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้

ไม่ว่าชีวิตจะแสนสั้น หรือยืนยาวเนิ่นนาน แต่หากเราได้ใช้มันไปจริงๆ ไม่เพียงแค่ใช้เวลาอย่างสูญเปล่า ชีวิตนั้นก็พึงนับเป็นสิ่งที่งดงาม และความตายก็เช่นกัน เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต

Tags:

วรรณกรรมร่วมสมัยความตายนิยายชีวิตไม้บรรทัดของยมทูต

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ความตายขับเคลื่อนชีวิต (2): เมื่อการระลึกถึง ‘ความตาย’ ทำให้เข้าใจความหมายของ ‘ชีวิต’

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    เดอสแตดนิง (Döstädning): มากกว่าจัดบ้านคือจัดการชีวิต ศิลปะการละทิ้ง(ก่อนตาย) สไตล์ชาวสวีเดน

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Book
    The Last Lecture: ปาฐกถาในวาระสุดท้ายที่บอกว่า ‘อะไรมีความหมายที่สุดในชีวิต’

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • BookMyth/Life/Crisis
    ไม่ต้องแตกสลายเพื่อจะพบแสงสว่าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel