- ‘ป้าจิ๊บฟาร์ม’ เป็นพื้นที่ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กๆ ได้สัมผัสกับวิถีชีวิตไทยแบบดั้งเดิม เช่น การทำนา ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากในเมืองใหญ่ ช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้คุณค่าของธรรมชาติและวัฒนธรรมไทย
- นอกจากความสนุกสนานแล้ว การมาเยือนป้าจิ๊บฟาร์มยังช่วยพัฒนาทักษะสำคัญต่างๆ ของเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็น ทักษะชีวิต ทักษะการเข้าสังคม และทักษะการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้ที่จะรักและดูแลธรรมชาติ
- ที่นี่เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเด็กๆ ที่ต้องการได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด และเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง
ในยุคนี้ที่เด็กๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ห่างไกลจากธรรมชาติและวิถีชีวิตแบบไทยมากขึ้นทุกที ฟาร์มเล็กๆ ในจังหวัดนนทบุรี แนะนำตัวในฐานะพื้นที่เรียนรู้ที่มอบประสบการณ์นอกห้องเรียนที่จะทำให้เด็กๆ ได้รับทักษะชีวิตและสังคมติดตัวไป
The Potential คุยกับ วิน สินธุประมา เจ้าของปัจจุบันของ ‘ศูนย์การเรียนรู้วิถีไทยแบบธรรมชาติ’ หรือ ‘ป้าจิ๊บฟาร์ม’ ที่ออกแบบกิจกรรมให้เด็กในเมืองได้สัมผัสกับธรรมชาติและวิถีชีวิตดั้งเดิม เพื่อให้เขาได้เรียนรู้และเห็นถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับชีวิตของทุกคน
“ปัจจุบันพอเทคโนโลยีเริ่มเข้ามาเยอะๆ พวกวิถีชีวิต หรือการเล่นดีๆ ที่เราเคยได้สัมผัสกันมาในอดีตก็เริ่มจางหายไป ก็เลยเกิดไอเดียขึ้นว่า คงจะดีถ้าให้เด็กๆ ได้ลองทำกิจกรรมแบบไทยๆ อย่างที่รุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราได้สัมผัสกันในสมัยก่อน เช่น การเล่นกับดิน เล่นกับน้ำ หรือการได้สัมผัสกับสัตว์” วินกล่าว
นอกจากความสนุกสนานแล้ว การมาเยือนป้าจิ๊บฟาร์มยังเป็นการพัฒนาทักษะต่างๆ ของเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษะชีวิต หรือทักษะการเข้าสังคม และที่สำคัญคือการได้เรียนรู้ที่จะรักและดูแลธรรมชาติอีกด้วย
ป้าจิ๊บฟาร์ม จึงเป็นพื้นที่ที่มอบโอกาสให้เด็กๆ ได้เติบโตอย่างรอบด้าน และเป็นการสืบสานวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไปในยุคดิจิทัล
จากหน้าจอสู่ท้องนา วิชาชีวิตที่เด็กออกแบบเอง
ความตั้งใจของวิน คืออยากให้สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่เด็กๆ สามารถเข้ามาเรียนรู้วิถีชีวิตไทยอย่างใกล้ชิด โดยนำกิจกรรมที่คุ้นเคยในอดีตมาดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน แต่ยังคงไว้ซึ่งความสนุกสนานและสาระความรู้ จึงออกแบบกิจกรรมเป็นฐานต่างๆ เช่น การปลูกข้าว ดำนา จับกบ จับปลา และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเกษตรกรรม เพื่อให้เด็กๆ ได้สัมผัสประสบการณ์จริงและเรียนรู้ทักษะต่างๆ ที่เป็นประโยชน์
“เหตุผลหลักๆ ที่เราเลือกวิถีไทยเลยก็คือ เพราะเราเกิดในประเทศไทย ซึ่งพ่อแม่ หรือปู่ย่าตายายเราก็เคยเติบโตมาแบบนี้ แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ความเป็นไทยก็เริ่มเจือจางเลือนหายไป อย่างผมเองตอนเด็กๆ ก็มีเล่นแบบวิถีแบบไทยเช่นกัน ผมก็เลยอยากเอาส่วนนี้ไปเติมประสบการณ์ให้น้องๆ ได้สัมผัสกับสิ่งดีๆ ที่เราเองก็เคยได้รับ เลยอยากหยิบชีวิตในวิถีไทยมาปลูกฝังให้เด็กๆ ได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ครับ
ยิ่งในยุคนี้ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น แถมสมัยนี้เด็กๆ แทบจะไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอไอแพด หน้าจอโทรศัพท์กันเลย ซึ่งถึงแม้ว่าของพวกนี้จะมีข้อดีในหลายๆ ด้าน แต่การใช้เวลากับหน้าจอนานเกินไปก็อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการต่างๆ ของเด็กได้เหมือนกัน
เราก็เลยเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาทักษะอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย และอยากเติมในส่วนที่ขาดหายไปให้กับเด็กๆ ให้เขาได้รับประสบการณ์ ให้เด็กๆ ได้ออกมาวิ่งเล่น เจอแดด เจอลม เจอธรรมชาติ
เพราะกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กๆ ได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติและมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นในการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กๆ ครับ”
ทั้งนี้กิจกรรมของฟาร์มจะเน้นวิถีชีวิตไทยแบบดั้งเดิม โดยให้เด็กๆ ได้สัมผัสประสบการณ์จริง ผ่านการเรียนรู้วิถีชีวิตไทยแบบครบวงจรในหนึ่งวัน
รับบท ‘เกษตรกรตัวจิ๋ว’ เรียนรู้จากประสบการณ์ในท้องทุ่ง
เมื่อก้าวเข้าสู่ฟาร์มแห่งนี้ เด็กๆ จะได้พบกับประสบการณ์อันน่าประทับใจมากมาย เริ่มต้นด้วยการให้อาหารควาย ขี่ควายตัวเป็นๆ และยังมีกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการและความรู้ เช่น การส่องวิถีชีวิตของปูนา ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศและการดูแลสัตว์น้ำ กิจกรรมให้ลองสัมผัสลูกเจี๊ยบและอุ้มแม่ไก่ เรียนรู้วงจรชีวิตของสัตว์ปีก โดยเด็กๆ จะได้เรียนรู้ขั้นตอนการฟักไข่ เก็บไข่ และนำไข่ไปประกอบอาหาร รวมถึงลองทำไอติมหลอดทานเองเพื่อคลายร้อน ซึ่งกิจกรรมส่งเสริมให้เด็กๆ มีทักษะชีวิตพื้นฐานในการดูแลตัวเองเบื้องต้น
นอกจากการทำความรู้จักกับสัตว์เลี้ยงและการทำอาหารแล้ว ยังมีกิจกรรมเก็บผักสวนครัว ฝึกร่อนปุ๋ยไส้เดือน เพ้นท์กระถาง และเรียนรู้การผสมดินและปลูกผักสลัด เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเกษตร และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
และเด็กๆ ยังได้มีโอกาสดำนาปลูกข้าว ลองลุยโคลน จับปลา จับกบ ปิดท้ายด้วยการเล่นสไลเดอร์โคลน และปาร์ตี้โฟม ที่จะทำให้เด็กๆ ได้สนุกสนาน ได้ปลดปล่อยพลังงานอย่างเต็มที่
“เรามีการออกแบบกิจกรรมโดยการแกะจากวิถีชีวิตแบบไทยสมัยก่อนที่เขาทำกันเป็นปกติมา ว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง แล้วก็อะไรที่เด็กเล่นแล้วจะชอบ สนุกแล้วก็ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ดีๆ กลับไป รวมถึงได้ทักษะดีๆ กลับไปบ้านด้วย
ซึ่งเด็กที่มาที่นี่มีทั้งเด็กโรงเรียนไทยและเด็กอินเตอร์ครับ บางครั้งก็มีเด็กฝรั่งมาด้วยบ้าง แต่ส่วนใหญ่เด็กที่มาจะเป็นเด็กไทย สำหรับเด็กไทยก็จะไม่ค่อยมีปัญหาในการบรรยาย เพราะเขาฟังรู้เรื่องอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเป็นเด็กฝรั่งเนี่ยเราก็อาจจะมีการเน้นให้ลงมือทำมากขึ้นร่วมกับการบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้เขาเข้าใจมากขึ้น
แต่ไม่ว่าจะเด็กไทยหรืออินเตอร์ ตอนทำกิจกรรมเด็กๆ เขาก็มีกลัวไม่กล้าเล่นอยู่บ้าง อย่างเช่น ฐานจับกบ แต่เราก็จะไม่บังคับ สามารถให้เขานั่งฟังบรรยายอย่างเดียวได้ แต่ส่วนใหญ่เด็กเขาก็จะเรียนรู้จากสังคม คือเห็นเพื่อนจับ เขาก็อาจจะมีความกล้าที่อยากลองจับบ้าง
โดยเวลาที่ทำกิจกรรม ผู้ปกครองจะสามารถเข้าประกบลูกที่เล็กๆ ได้ 1 คน แต่ถ้าเด็กสามารถดูแลตัวเองได้แล้วก็จะแค่คอยยืนสังเกตดูข้างๆ หรือไม่ก็เข้ามาร่วมทำกิจกรรมด้วยกันก็ได้ครับ”
ติดตั้งทักษะชีวิตและสังคมผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย
จากกิจกรรมที่เด็กเข้าร่วมในป้าจิ๊บฟาร์ม ทักษะอย่างแรกที่วินต้องการให้เด็กมีคือ ทักษะชีวิต (Life Skill) ผ่านการทำกิจกรรมบางฐาน เช่น การให้ทำอาหาร เพื่อที่เด็กเล็กจะได้เรียนรู้ในทักษะพื้นฐานในการดูแลตัวเอง
นอกจากทักษะชีวิตแล้ว ทักษะการรับรู้ด้านประสาทสัมผัส (Sensory skill) ก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากเป็นทักษะที่สำคัญกับเด็กปฐมวัยมาก เพราะการที่เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 อย่างในการสำรวจธรรมชาติ จะช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ดีขึ้น และยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคม เพราะเด็กๆ ก็จะได้เคลื่อนไหวร่างกาย ฝึกกล้ามเนื้อ เรียนรู้ที่จะควบคุมร่างกายของตนเอง
นอกจากนี้ การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติยังช่วยให้เด็กได้ผ่อนคลายจิตใจ ลดความเครียด และมีความสุข รวมถึงส่งเสริมให้เขาพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปตลอดชีวิตอีกด้วย
สำหรับ ทักษะการเข้าสังคม (Social Skill) ก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่วินคาดหวังว่าเด็กๆ จะได้รับไป เนื่องจากการมาทำกิจกรรมที่นี่ เด็กๆ จะได้พบเพื่อนใหม่มากหน้าหลายตา หลากหลายช่วงวัยตั้งแต่อายุ 2-10 ขวบ ซึ่งการได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น การสื่อสาร และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี จะช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้อย่างราบรื่น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว โดยการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้การแบ่งปัน การรอคอย การให้เกียรติผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
สิ่งสุดท้ายที่วินอยากให้เด็กๆ มีคือ การรักสัตว์ เพราะวินมองว่าการที่เด็กๆ รู้จักรักสัตว์นั้นจะทำให้เขามีความอ่อนโยนมากขึ้น
“ผมว่าเป็นข้อดีมากๆ เลย เพราะถ้าเด็กรักสัตว์ เขาก็จะมีความอ่อนโยนในจิตใจเพิ่มขึ้น เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ส่วนตัวผมมองว่าการปลูกฝังในเรื่องนี้จะทําให้เขาเติบโตอย่างดีครับ”
ประสบการณ์นอกห้องเรียนที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน
“จริงๆ ป้าจิ๊บฟาร์มไม่ได้จำกัดแค่เด็กๆ เท่านั้นนะครับ เรายินดีต้อนรับทุกช่วงวัย หากผู้ใหญ่ท่านไหน หรือกลุ่มไหนที่สนใจเรียนรู้วิถีชีวิตแบบไทยดั้งเดิม เราก็สามารถออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละกลุ่มได้
สำหรับเด็กๆ หากมาแบบ Private Group ก็ปรับกิจกรรมได้เหมือนกัน เพราะเรามีกิจกรรมที่หลากหลายตามวัย ถ้าเด็กเล็กมากเราก็จะเน้นประสาทสัมผัส สอนบรรยายไม่เยอะมาก แต่เน้นลงมือทํา ถ้าโตขึ้นมาหน่อย เราก็จะเน้นเพิ่มความรู้เข้าไปให้เขาในเชิงของทางวิชาการนิดๆ แต่ต้องมีความสนุก ไม่น่าเบื่อ
ซึ่งฟาร์มเรามีให้จองเข้ามาร่วมกิจกรรม 2 แบบ คือ รอบ Join และ รอบ Private Group โดยรอบ Join จะจัดวันเสาร์อาทิตย์ ผ่านการสมัครเข้าร่วมมาในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งกลุ่มนี้เขาจะได้เพื่อนใหม่ที่เป็นเพื่อนต่างโรงเรียน หรือวัยใกล้กันค่อนข้างเยอะ เพราะเขามาเดี่ยวๆ เหมือนกัน ส่วนอีกรอบคือแบบ Private Group ซึ่งเป็นการเปิดรอบกรุ๊ปแยก เด็กๆ จับกลุ่มมากันเอง โดย Private Group จะเป็นรอบวันธรรมดาครับ”
วินกล่าวเชิญชวนพ่อแม่ผู้ปกครองที่อยากให้ลูกมีประสบการณ์นอกห้องเรียนว่า “ผมก็อยากจะให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ลองพาลูกหลานเข้ามาที่ป้าจิ๊บฟาร์มดูครับ ผมมั่นใจว่าหลังจากที่มาจะได้รับทั้งทักษะ ความสนุก และรอยยิ้มกลับไปแน่นอนครับ”
ป้าจิ๊บฟาร์ม ตั้งอยู่ที่ ถนนฉลองราชย์ ร.9 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี โดยเปิดให้เข้าร่วมกิจกรรมแบบ Join วันเสาร์-อาทิตย์ เป็น 2 รอบ โดยรอบเช้า เวลา 9.00 – 13.00 น. และ รอบบ่าย เวลา 14.00 – 18.00 น. ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.pajeepfarm.com |