- เราต่างงดงามแล้วจางหาย (On Earth We’re Briefly Gorgeous) นิยายกึ่งอัตชีวประวัติของโอเชียน วอง (Ocean Vuong) กวีชาวเวียดนาม ผู้เติบโตในอเมริกา ที่บอกเล่าเรื่องราวความงดงามอันแสนสั้นของชีวิต
- หนังสือเล่าเรื่องชีวิตของเด็กหนุ่มชาวเวียดนามผู้มีรสนิยมรักร่วมเพศ ที่ครอบครัวอพยพมาอยู่ในสังคมอเมริกัน
- ชีวิตไม่ใช่สิ่งสวยงามทั้งหมดหรอก ชีวิตก็คือชีวิต อาจมีบางชีวิตที่สมบูรณ์เพียบพร้อม อาจมีบางชีวิตที่หมดจดงดงาม และอาจมีบางชีวิตที่บัดซบผุพัง แต่ทัศนคติและวิธีที่เราใช้ชีวิตต่างหาก ที่ทำให้ชีวิตนั้นงดงาม
“Life is beautifiul-ชีวิตคือสิ่งสวยงาม” คำกล่าวสวยหรูที่ได้ยินได้อ่านบ่อยเกินจะบ่อย บ่อยจนอาจลืมคิดไปว่า เป็นเช่นนั้นจริง หรือแค่คำปลอบประโลมจิตใจที่แพ้พ่ายต่อชีวิต
หากชีวิตคือสิ่งสวยงามจริง แล้วชีวิตที่ผุพังล่ะ ยังนับเป็นชีวิตที่งดงาม…กระนั้นหรือ
ชีวิตของเด็กหนุ่มชาวเวียดนาม ที่ครอบครัวอพยพมาอยู่ในในสังคมอเมริกันผิวขาว ช่วงยุคหลังสงครามเวียดนาม เด็กหนุ่มผู้มีรสนิยมรักร่วมเพศ ในสลัมต่ำชั้นที่ความเป็นชายคือความยิ่งใหญ่ เด็กหนุ่มผู้มีแม่ป่วยจิต ถูกแม่ตบบ่อยครั้งพอๆ กับโอบกอด เด็กหนุ่มผู้มียายขี้หลงขี้ลืม ฟั่นเฟือนเพราะบาดแผลจากสงคราม และเด็กหนุ่มผู้มีรักครั้งแรกกับเพื่อนรักเพียงคนเดียว เพื่อนรัก-คนรัก ที่จากไปเพราะเสพยาเกินขนาด
ชีวิตผุพังเช่นนี้ ยังนับ เป็นชีวิตที่งดงาม..กระนั้นหรือ
-1-
เราต่างงดงามแล้วจางหาย หรือ ชื่อภาษาอังกฤษว่า On Earth We’re Briefly Gorgeous คือ นิยายกึ่งอัตชีวประวัติของโอเชียน วอง (Ocean Vuong) กวีชาวเวียดนาม ผู้เติบโตในอเมริกา ที่บอกเล่าเรื่องราวความงดงามอันแสนสั้นของชีวิต
ไม่สิ ไม่ใช่ นิยายหรอก นี่คือบทกวีแห่งชีวิตต่างหาก
บทกวี ที่ใช้ถ้อยคำเป็นอาวุธ กรีดแทงคนอ่านด้วยคมมีดแห่งอักษร โถมทุบด้วยก้อนหินแห่งถ้อยลำนำ ก่อนกระทืบซ้ำด้วยความครุ่นคำนึงถึงบาดแผลแห่งอดีต
คนอ่านที่รอดพ้นจากทัณฑ์ทรมานโดยหนังสือเล่มนี้ ได้แต่ยิ้ม ถอนหายใจบางเบาๆ ก่อนจะเอ่ยกระซิบว่า…
ชีวิตช่างงดงามจริงๆ
-2-
โอเชียน วอง เป็นกวีผู้ช่ำชองในการใช้ในการใช้ถ้อยคำ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึก
หนังสือเล่มนี้ เป็นนิยายเล่มแรกในชีวิตของเขา ทว่า เป็นนิยายที่ถ้อยคำและจังหวะ สละสลวยราวบทกวี ผสมปนเปทั้งเรื่องเล่า เรื่องจริง เศษเสี้ยวจากอดีต และความใฝ่ฝันในปัจจุบัน ทาบทับ-พาดผ่าน สอดประสานกลายเป็นเรื่องราวของชายหนุ่ม ผู้เคยถูกเรียนขานในชื่อ ไอ้หมาน้อย
ไอ้หมาน้อยของแม่ ไอ้หมาน้อยของยาย และไอ้หมาน้อยของชายคนรัก อพยพหลบลี้ไฟสงครามในเวียดนาม มาลงหลักปักฐานในเมืองฮาร์ตฟอร์ด หนึ่งในเมืองที่เคยมั่งคั่งของอเมริกา ทว่า กลับกลายเป็นเมืองที่ยากจนข้นแค้นในปัจจุบัน
ว่ากันว่า ผู้คนในเมืองฮาร์ตฟอร์ด ไม่ได้ทักทายกันด้วยคำว่า “สวัสดี” แต่แค่เอ่ยคำสั้นๆว่า “ดี” ไม่ต้องสุดยอด ดีเลิศ สมใจ แค่ “ดี” ก็ ดีพอแล้ว อย่างที่ไอ้หมาน้อยรำพึงไว้ว่า
“ที่นี่ แค่เจอเหรียญหนึ่งดอลลาร์ในท่อน้ำทิ้งก็ถือว่าดี แค่วันเกิดที่แม่มีเงินพอเช่าหนังมาดูก็ถือว่าดี… หรือแค่รู้ว่ามีคนยิงกันแล้วพี่ชายของคุณคือคนที่รอดกลับบ้าน ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
อเมริกา อาจเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพและโอกาส แต่ก็ไม่น่าจะใช่สำหรับคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ด้วยความที่ไม่ได้ภาษา ทำให้แม่เป็นได้แค่ลูกจ้างในร้านทำเล็บ ที่อบอวลด้วยสารเคมี และด้วยความอ่อนด้อยทางภาษา (ในช่วงแรกที่เพิ่งอพยพเข้ามาใหม่ๆ) ทำให้ไอ้หมาน้อยถูกล้อเลียนและรังแกจากเด็กๆเจ้าถิ่นผิวขาว
ค่ำคืนหนึ่งที่ขุดค้นจากซอกหลืบความทรงจำ คนต่างด้าวสามคน-แม่ ยาย และหลาน จูงมือกันไปซูเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้าน หมายมั่นจะซื้อหางวัวและเนื้อลายหินอ่อน เพื่อทำอาหารเก็บไว้กินช่วงฤดูหนาว ทว่า เมื่อไม่สามารถถ่ายทอดความต้องการออกมาเป็นคำพูดภาษาอังกฤษได้ แม่ทำได้แค่พยายามสื่อสารผ่านภาษากาย ด้วยการเอานิ้วชี้วางไว้ที่ก้นแทนหางวัว ส่วนนิ้วมืออีกข้างแปลงร่างเป็นเขาวัว
ความพยายามข้ามพรมแดนภาษาของแม่ กลายเป็นการแสดงจำอวดเรียกเสียงหัวเราะจากผู้คนในตลาด แม่ ยาย และหลาน จูงมือกันกลับบ้านโดยปราศจากสิ่งของที่ต้องการ และในค่ำคืนนั้น ไอ้หมาน้อยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นปากเป็นเสียง เป็นล่ามให้กับแม่
ที่สำคัญที่สุด ไอ้หมาน้อยต้องการให้คนอื่นรับฟัง คาดหวังให้ผู้อื่นมองเห็น เพื่อที่จะได้รับรู้ถึงการ ‘มีอยู่’ ของเขาและครอบครัว
ไอ้หมาน้อย เชื่อว่า ‘เราจะงดงามได้ก็ต่อเมื่อถูกมองเห็น’ แต่ไอ้หมาน้อยยังไม่รู้ว่า ‘เมื่อถูกมองเห็นเราย่อมถูกล่า’ เพราะในโลกนี้ ‘บางสิ่งถูกล่าเพราะเราลงความเห็นว่างดงาม’
-3-
หนังสือเล่มนี้ ถูกเขียนขึ้นในรูปของจดหมายที่ไอ้หมาน้อยจ่าหน้าถึงแม่ จดหมายที่ปลดเปลื้องความในใจทั้งหมดทั้งมวล จดหมายที่กอบรวมเศษเสี้ยวความทรงจำทั้งหมดทั้งมวล จดหมายที่เขียนถึงแม่ผู้อ่านหนังสือไม่ออกแม้สักตัว
จดหมายที่เป็นเหมือนบันทึกของครอบครัว-ครอบครัวที่ประกอบด้วยสมาชิกที่บอบช้ำ พิกลพิการ จนถึงขั้นที่เรียกว่าเป็น ‘สัตว์ประหลาด’
ว่ากันว่า พ่อแม่ที่ทรมานจากอาการป่วยทางจิตหลังผ่านพ้นเหตุการณ์รุนแรง มักมีแนวโน้มจะทำร้ายลูกตัวเอง นั่นอาจเป็นเหตุผล หรือข้ออ้างที่แม่ใช้ความรุนแรงกับไอ้หมาน้อย
เด็กชายจำได้ว่า ได้ลิ้มรสฝ่ามือของแม่ครั้งแรกตอนอายุสี่ขวบ หลังจากนั้นก็มีครั้งที่สอง สาม ถึงนับไม่ถ้วน จวบจนอายุสิบสาม ไอ้หมาน้อยจึงกล้าบอกกับแม่ว่า “พอได้แล้ว”
“แม่ไม่ใช่สัตว์ประหลาดสักหน่อย” ครั้งหนึ่ง แม่เคยพูดขึ้น ราวกับแก้ต่างให้ตัวเอง ไอ้หมาน้อยไม่ตอบ หากคิดในใจว่า “แม่เป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ แต่ผมก็ด้วย-นี่เองผมจึงไม่อาจละทิ้งแม่ได้”
-4-
ในช่วงวัยเยาว์ ไอ้หมาน้อยเคยถูกล้อเลียนด้วยถ้อยคำต่างๆนานา ไม่ว่า ‘ไอ้ตุ๊ด’ หรือ ‘อีกะเทย’ แต่เมื่อเวลาผ่านไป จึงรู้ว่า ถ้อยคำเหล่านี้ คืออีกชื่อเรียกของคำว่า ‘สัตว์ประหลาด’
รสนิยมทางเพศที่แตกต่าง ทำให้ไอ้หมาน้อยถูกมองเป็นสัตว์ประหลาดตั้งแต่เด็ก
บางคนอาจบอกว่า สัตว์ประหลาด ถูกไล่ล่าเพราะความแปลกประหลาด-แตกต่างจากคนอื่น แต่สำหรับไอ้หมาน้อย สัตว์ประหลาดถูกล่าเพราะความงดงามต่างหาก
ถึงแม้จะเป็นสัตว์ประหลาด ถึงแม้จะถูกไล่ล่า แต่ชีวิตสัตว์ประหลาดก็ยังมีครอบครัว และความรักจากคนในครอบครัว
ค่ำคืนหนึ่ง ไอ้หมาน้อยบอกกับแม่
“ผมไม่ได้ชอบผู้หญิง”
“แกไม่ได้ชอบผู้หญิง” แม่กล่าวซ้ำ “งั้นแกชอบอะไร…”
“ผมชอบผู้ชาย”
“ผมไปก็ได้นะฮะแม่ ถ้าแม่ไม่ต้องการผม ผมจะไม่อยู่เป็นปัญหาและไม่ต้องให้ใครรู้เลยก็ได้…แม่ อย่างเงียบสิฮะ”
“แกไม่ต้องไปไหนหรอก เหลือแค่แกกับฉันแล้ว ไอ้หมาน้อย ฉันไม่มีใครแล้ว” ตาแม่แดงระเรื่อ
-5-
ยาย ผู้ตั้งชื่อให้ตัวเองว่า ลาน (ภาษาเวียดนาม-แปลว่าดอกกล้วยไม้) ตั้งชื่อลูกสาวว่า โรส หรือดอกกุหลาบ แต่เรียกหลานชายว่า ไอ้หมาน้อย ด้วยเหตุผลว่า สิ่งงดงามมักถูกตามล่า ความน่าเกลียดชิงชังสิ คือ เกราะกำบัง คืออีกหนึ่งชีวิตที่พิกลพิการราวกับสัตว์ประหลาด เพราะไฟสงคราม
แม้จะหอบลูกสาวและหลานชายหลบหนีไฟสงครามมาตั้งรกรากในอเมริกา แต่บ่อยครั้งที่ยายยังหลงลืมว่า ตัวเองยังอยู่ในไซ่ง่อน ท่ามกลางเสียงกระสุนปืนรัวกระหน่ำ
บ่อยครั้งที่ยายหลงอยู่ในอดีต และบ่อยครั้งที่ยายหลงอยู่ในเรื่องเล่า จนไม่มีใครแยกออกว่า คำพูดไหนของยายคือเรื่องจริง
แต่ที่บ่อยครั้งที่สุด ยายยังหลงอยู่ในช่วงวัยเยาว์ของตัวเอง ช่วงวัยที่งดงามที่สุด แม้เป็นช่วงเวลาที่แสนสั้นชั่วพริบตาก็เถอะ
ยายลาน มักขอให้หลานถอนผมหงอก-ยายเรียกมันว่าหิมะในผม ราวกับว่า การทำเช่นนั้น จะพายายกลับไปสู่ช่วงเวลาอันแสนงดงามได้
“ช่วยยายที เจ้าหมาน้อย… เอาหิมะออกไปจากชีวิตยายที… เสกยายให้เป็นสาวหน่อยสิวันนี้”
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต หลังทำใจยอมรับความจริงว่า ความตายจะมาถึงในอีกไม่ช้า ยายลาน บอกกับหลานอย่างมีสติครบถ้วนสมบูรณ์ว่า
”เมื่อก่อนยายก็เคยเป็นสาวนะ แกรู้ไหม เจ้าหมาน้อย”
-6-
ชีวิตที่พิกลพิการสามชีวิต สามชั่วรุ่น ถูกร้อยรัดมัดเกี่ยวกันด้วยสายใยแห่งความรัก ทำให้ชีวิตที่ ‘พัง’ ขนาดนั้น กลับกลายเป็นความงดงามขึ้นมาได้ แม้เพียงช่วงเวลาแสนสั้น เหมือนดังคำกล่าวของไอ้หมาน้อย หรือโอเชียน วอง ที่ว่า
ชีวิตคนเราล้วนแสนสั้น อย่างที่เขาว่าชั่วพริบตา เช่นนั้น การจะหมดจดงดงาม แม้จะยาวนานตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย ก็นับว่างดงามแค่เพียงชั่วยาม
ถึงที่สุดแล้ว ชีวิตไม่ใช่สิ่งสวยงามทั้งหมดหรอก ชีวิตก็คือชีวิต อาจมีบางชีวิตที่สมบูรณ์เพียบพร้อม อาจมีบางชีวิตที่หมดจดงดงาม และอาจมีบางชีวิตที่บัดซบผุพัง
ทัศนคติที่เรามีต่อชีวิตต่างหาก วิธีที่เราใช้ชีวิตต่างหาก ที่ทำให้ชีวิตนั้นงดงาม ถึงแม้เป็นความงดงามเพียงชั่วพริบตา แต่จะคงเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำไปอีกนานแสนนาน