- ‘ฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว’ เป็นหนังสือที่เขียนโดย ซุมิโนะ โยรุ แปลเป็นภาษาไทยโดย ธวัลยา เป็นหนังสืออีกเล่มที่ตั้งคำถามเรื่อง “ความสุขคืออะไร” แต่คำตอบที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ อาจแตกต่างจากที่คุณเคยคิดอย่างสิ้นเชิง
- หนังสือเล่มนี้ชวนเราไปสำรวจความหมายและนิยามของ ‘ความสุข’ ผ่านเรื่องราวของ ‘นาโนกะ’ เด็กหญิงวัยประถม ที่จะทำให้เราเห็นว่ามิตรภาพและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างความสุขในชีวิต
- ความสุขของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป แต่องค์ประกอบของความสุข ควรจะมีทั้งตัวเองและคนอื่นอยู่ในนั้น เพราะหากคุณมอบแต่ความรักและสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง โดยไม่ใส่ใจคนอื่นเลย คุณอาจมีความสุข แต่ก็มีหัวใจที่แข็งกระด้าง แต่หากคุณมอบแต่สิ่งดีๆ และความรักให้กับคนอื่น โดยไม่รักตัวเองเลย คุณอาจมีความสุข ที่แลกมากับหัวใจที่บอบช้ำ
นักคิดนักปรัชญาหลายสำนัก ต่างมีความเห็นตรงกันว่า ‘ความสุข’ คือเป้าหมายสำคัญของมนุษย์ แต่หากจะถามว่า ‘ความสุขคืออะไร’ คำตอบที่ได้น่าจะแตกต่างกันนับร้อยพันอย่าง
อริสโตเติล นักปรัชญากรีก เมื่อราวสองพันปีก่อน เชื่อว่าความสุขคือการมีชีวิตที่ดีงาม สอดคล้องกับหลักเหตุผลและคุณธรรม ส่วนอัลแบร์ กามูส์ นักเขียนรางวัลโนเบลชาวฝรั่งเศส มองว่าความสุขคือความสอดคล้องระหว่างตัวตนกับวิถีชีวิตที่เขาได้เลือกเอง ขณะที่ฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ นักเขียนวรรณกรรมแห่งชีวิตที่แสนทุกข์เข็ญชาวรัสเซีย กล่าวว่าคนเรามักจดจำแต่เรื่องราวระทมทุกข์ แต่มักหลงลืมสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุข และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเพียรพยายามค้นหาคำตอบว่า ความสุขคืออะไร
หนังสือเรื่อง ‘ฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว’ ซึ่งเขียนโดย ซุมิโนะ โยรุ แปลเป็นภาษาไทยโดย ธวัลยา เป็นหนังสืออีกเล่มที่ตั้งคำถามเรื่อง “ความสุขคืออะไร” แต่คำตอบที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ อาจแตกต่างจากที่คุณเคยคิดอย่างสิ้นเชิง
โคยานางิ นาโนกะ เป็นเด็กหญิงวัยประถม ที่ไม่มีเพื่อนในโรงเรียนเลยแม้แต่คนเดียว แถมยังถูกนินทาลับหลัง และบางครั้งก็พูดต่อหน้าว่า ‘ยายเพี้ยน’ แต่นาโนกะไม่ได้รู้สึกแคร์อะไร เพราะเธอเชื่อมั่นว่า ตัวเองเป็นคนฉลาด เรียนเก่ง รักการอ่าน และมีความมั่นใจในตัวเอง ขณะที่เด็กคนอื่น ล้วนแต่งี่เง่านิสัยไม่ดี อาจจะยกเว้นแค่ไม่กี่คน ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือ คิริว
คิริว ฮิคาริ คือเด็กผู้ชายร่วมชั้นเดียวกับเธอ เขาเป็นเด็กขี้กลัวและขี้อาย แทบไม่พูดเลย ถึงพูดก็เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่นาโนกะก็รู้ว่า คิริวคุง (แปลว่า คุณคิริว ซึ่งเป็นการเรียกแบบสุภาพของคนญี่ปุ่น ที่เรียกนามสกุล เว้นแต่จะสนิทสนมเป็นเพื่อนกัน จึงจะเรียกกันด้วยชื่อ) วาดรูปเก่งมาก ถึงขั้นมีพรสวรรค์เลยก็ว่าได้ เสียแต่ว่า คิริว ไม่กล้าให้คนอื่นดูรูปที่ตัวเองวาด นั่นคงเป็นเพราะพวกเด็กคนอื่นๆ ในห้อง มักชอบล้อเลียน เวลาที่เห็นคิริวกำลังวาดรูป
ถึงแม้คิริว จะไม่ใช่เด็กงี่เง่า แต่นาโนกะก็ไม่ได้นับเขาเป็นเพื่อนหรอก เธอคิดว่า คนที่เป็นเพื่อนกัน ควรจะได้กินข้าวด้วยกัน เล่นด้วยกันบ่อยๆ และพูดคุยในเรื่องสำคัญๆ ด้วยกัน ซึ่งเธอบอกตัวเองว่า คิริวยังไม่ถึงขั้นนั้น
นาโนกะ อาจไม่มีเพื่อนในโรงเรียนเลยสักคน แต่เธอไม่รู้สึกเหงา เพราะเธอมีเพื่อนนอกโรงเรียนตั้ง 4 คน (จริงๆ คือ 3 คน และ 1 ตัว) คือ คุณมินามิ เด็กสาวชั้นมัธยม ผู้ชอบกรีดข้อมือตัวเอง (พิลึกจริงๆเลย-นาโนกะคิด) คุณดอก หญิงสาวแสนสวย ผู้บอกว่าตัวเองมีอาชีพขายฤดูกาล คุณยายวัยชราใจดี ผู้อาศัยอยู่ลำพังคนเดียว และ ‘เธอ’ ซึ่งเป็นแมวหางสั้นกุด นิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ
วันหนึ่ง คุณครูฮิโตมิ ครูผู้สอนวิชาภาษาญี่ปุ่น สั่งให้เด็กๆ ในห้องทำรายงานประจำภาคการศึกษาในหัวข้อ ‘ความสุข คืออะไร’ โดยให้เด็กๆ จับคู่กับเพื่อน เพื่อช่วยกันค้นหาคำตอบว่า ความสุข คืออะไร และสุดท้าย ทุกคน จะได้ออกมานำเสนอหน้าชั้นว่า ความสุขของตัวเองคืออะไร
แน่นอน นาโนกะ เด็กหญิงแสนฉลาด แต่ไม่มีใครคบ จำเป็นต้องจับคู่กับ คิริว เด็กชายขี้ขลาด ผู้ที่ถูกทุกคนกลั่นแกล้ง ช่วยกันค้นหาคำตอบว่า ความสุขคืออะไร
ด้วยความที่คิริวไม่ค่อยพูด อีกทั้งนาโนกะก็เชื่อมั่นว่าตัวเองฉลาดกว่า จึงเป็นฝ่ายถามนำอยู่ตลอด เพื่อหาข้อสรุปว่า ความสุขคืออะไร โดยเริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เรารู้สึกเบิกบาน สนุกสนาน เช่น การได้กินไอศครีม หรือขนมอร่อยๆ
ในตอนนั้นเอง นาโนกะ นึกขึ้นได้ว่า คิริวน่าจะชอบวาดรูป จึงถามขึ้นว่า
“ตอนวาดรูป คิริวคุงไม่มีความสุขเหรอ”
“เอ๊ะ มะ…ไม่รู้สิ แต่ก็ชอบ…อยู่หรอก”
“ถ้างั้นนั่นก็เป็นความสุขข้อนึงนะ”
“แต่..แต่ว่า ถ้าวาดก็จะ…โดนล้อ”
สุดท้าย คิริวก็ไม่ยอมรับว่า การวาดรูปคือความสุขของตัวเอง นั่นทำให้นาโนกะยิ่งรู้สึกหนักใจ ดูทีท่าว่า รายงานหัวข้อนี้ของเธอ อาจจะไปไม่รอด อย่ากระนั้นเลย เธอไปขอคำปรึกษาจากเพื่อนนอกโรงเรียนของเธอดีกว่า
ความสุขของคุณมินามิ
นาโนกะ พบคุณมินามิเป็นครั้งแรก บนดาดฟ้าของตึกร้างหลังหนึ่ง ตอนนั้น คุณมินามิกำลังเอาคัตเตอร์กรีดข้อมือตัวเอง นาโนกะรีบเข้าไปหา เอาพลาสเตอร์ปิดแผลให้ ก่อนจะถามว่า ทำไมจึงทำแบบนั้น และคำตอบที่ได้ก็คือ ก็แค่ทำแล้วใจสงบ
ถึงแม้จะดูเป็นคนแปลกๆ แต่นาโนกะเชื่อว่า คุณมินามิไม่ใช่คนไม่ดี ไม่อย่างนั้นเจ้าแมวหางกุดซึ่งอยู่กับเธอด้วยในการพบกันครั้งแรกคงไม่ไว้วางใจถึงขนาดขึ้นไปนอนบนตักคุณมินามิแน่ นอกจากนี้ นาโนกะ ยังรู้สึกได้ว่า คุณมินามิ มีอะไรหลายอย่างคล้ายกับเธอ โดยเฉพาะความชื่นชอบในหนังสือนิทาน
นาโนกะ ค้นพบว่า คุณมินามิ เด็กสาวผู้แสนเศร้า เป็นนักเล่าเรื่องแสนสนุก เธอชอบเขียนนิทาน แต่ไม่ยอมให้ใครอ่าน ไม่เป็นไรหรอก สักวันหนึ่ง นาโนกะ จะพยายามโน้มน้าวให้คุณมินามิ ส่งนิทานที่เขียนไปตีพิมพ์เป็นหนังสือให้ได้
วันหนึ่ง นาโนกะ เล่าให้คุณมินามิฟังว่า เธอเพิ่งทะเลาะกับแม่ เพราะแม่ เคยรับปากว่าจะไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนที่โรงเรียนของนาโนกะ แต่พอใกล้ถึงวันนั้น แม่กลับบอกว่า แม่และพ่อไปไม่ได้เสียแล้ว เพราะมีงานต้องเดินทางต่างจังหวัด ซึ่งนาโนกะโกรธมาก จนถึงขั้นไม่คุยกับแม่เลยตั้งแต่วันนั้น ซึ่งก็ผ่านมาหลายวันแล้ว
ตอนนั้นเอง จู่ๆคุณมินามิ ก็จ้องหน้านาโนกะ แล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า
“นาโนกะ…สัญญากับฉัน ไม่สิ…จะคิดว่าเป็นคำขอจากฉันก็ได้ วันนี้พอกลับบ้านไป ไม่ว่าจะยังไงก็ไปขอคืนดีกับพ่อแม่ให้ได้นะ”
“มะ…ไม่เอาหรอก เรื่องแบบนั้นน่ะ ยังไงซะ…”
“ไม่งั้นจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตนะ!”
คุณมินามิ พูดทั้งน้ำตาว่า ตัวเธอเอง ไม่มีโอกาสได้คืนดี ได้ขอโทษพ่อแม่ หลังจากทะเลาะกัน เพราะทั้งสองประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัด และนั่นเอง เป็นสาเหตุทำให้คุณมินามิ กลายเป็นเด็กสาวผู้ไม่มีความสุขไปชั่วชีวิต
เพียงแค่รู้จักการให้อภัย เพียงแค่ละวางทิฐิ เพียงแค่เอ่ยปากขอโทษก่อน เธอก็คงค้นพบความสุข
สุดท้าย นาโนกะรับปากจะคืนดีกับพ่อแม่ พร้อมกับขอให้คุณมินามิ ซึ่งรู้แล้วว่า ความสุขของตัวเองคืออะไร พยายามแก้ไขความผิดของตัวเอง เพื่อเปลี่ยนจากเด็กสาวแสนเศร้า กลายเป็นเด็กสาวผู้มีรอยยิ้มอันเปี่ยมสุข และไม่ละทิ้งความฝันในการเป็นนักเขียน
ความสุขของคุณดอก
หลังจากคืนดีกับพ่อแม่แล้ว นาโนกะไม่เคยได้เจอคุณมินามิอีกเลย และดูเหมือนว่า จะไม่เคยมีใครรู้จักเด็กสาวคนนั้นด้วย แต่ช่างมันเถอะ คุณดอกบอกว่า สักวันหนึ่ง นาโนกะจะได้พบกับคุณมินามิอีกอย่างแน่นอน ซึ่งเธอก็เชื่อแบบนั้น
คุณดอก เป็นหญิงสาวแสนสวยผู้อยู่คนเดียวในอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง นาโนกะได้รู้จักกับคุณดอก เพราะเธอช่วยรักษาแผลให้เจ้าแมวหางกุด แม้ว่าทั้งคู่จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
คุณดอก บอกกับนาโนกะว่า เธอมีอาชีพขายฤดูกาล (ภาษาญี่ปุ่น คำว่า ขายบริการทางเพศ ใช้คำว่า ไบชุน ซึ่งแปลอีกอย่างว่า ขายฤดูใบไม้ผลิ) นาโนกะ ไม่รู้หรอกว่า มันหมายถึงอะไร เธอแค่รู้ว่า พี่สาวแสนสวยคนนี้ จิตใจดี อ่อนโยน และมีอะไรบางอย่างคล้ายกับเธอ
“ความสุขก็คือ การที่เราคิดถึงเรื่องของใครคนหนึ่งอย่างจริงจังได้ยังไงล่ะ” คุณดอก บอกกับนาโนกะ ก่อนจะขยายความว่า เวลาไปซื้อของ เธอมักจะคิดว่า ถ้านาโนกะมาหาเธอที่ห้อง เธอจะเตรียมขนมอะไรให้นาโนกะดีนะ
ตอนนั้น นาโนกะเพิ่งจะทะเลาะกับคิริว ทั้งๆ ที่นาโนกะอุตส่าห์หวังดีแท้ๆ เห็นเขาถูกเพื่อนๆ คนอื่นแกล้ง ก็พยายามช่วย แถมแนะนำให้คิริวตอบโต้กลับไปบ้าง แต่เจ้าตัวก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งอย่างเดียว สุดท้ายนาโนกะจึงโพล่งออกมาว่า
“ขี้ขลาด!”
เหมือนจะได้ผล นาโนกะ สามารถทำให้คิริว ตะโกนเสียงดังออกมาเป็นครั้งแรก เพียงแต่เด็กชายตะโกนใส่หน้าเธอว่า
“เกลียด! เกลียดทุกคนเลย! แต่ที่เกลียดที่สุดก็คุณโคยานางินั่นแหละ!”
นาโนกะเล่าเรื่องนี้ให้คุณดอกฟัง พร้อมประกาศว่า ต่อจากนี้เธอจะใช้ชีวิตคนเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่สนใจคนอื่นอีกต่อไป เพราะมิตรภาพก็เป็นแค่เรื่องจอมปลอมทั้งนั้น
คุณดอก ยิ้มอย่างอ่อนโยน จับมือนาโนกะไว้ แล้วเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังว่า ครั้งหนึ่ง เธอเคยเป็นเด็กที่ฉลาดและมั่นใจว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น เธอกลายเป็นคนที่ไม่สนใจใคร เพราะมองว่าทุกคนล้วนงี่เง่าทั้งนั้น สุดท้ายเธอกลายคนไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคอยอยู่ข้างๆ ในวันที่ล้มเหลว ไม่มีใครร่วมยินดีในวันที่เธอสำเร็จ
ยิ่งไปกว่านั้น คุณดอกกลายเป็นคนที่ไม่แยแสใคร แม้กระทั่งตัวเอง เธอใช้ร่างกายอย่างเหลวแหลก จนคิดจะจบชีวิตของตัวเอง บังเอิญว่าวันนั้น นาโนกะมาเคาะประตูห้องเธอเป็นครั้งแรก เพื่อขอความช่วยเหลือให้ช่วยรักษาบาดแผลให้กับเจ้าแมวหางกุด
นับจากวันนั้น เธอจึงค้นพบว่า ความสุข ก็คือการได้รักใครสักคน ได้มอบสิ่งดีๆ ให้กับคนๆ นั้น
ความสุขของคุณยาย
คำพูดของคุณดอก ทำให้นาโนกะกลับไปขอโทษและคืนดีกับคิริวได้ ซึ่งเธอก็ได้เรียนรู้ว่า เพื่อนกัน ไม่จำเป็นต้องบังคับให้อีกฝ่ายทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีหรอก หรือไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเหมือนๆ กัน เพียงแค่ยืนอยู่เคียงข้างกัน และไม่ทอดทิ้งกันก็เพียงพอแล้ว
ในที่สุด นาโนกะ ก็ยอมรับแล้วว่า คิริว คือเพื่อนอีกคนหนึ่งของเธอ
น่าแปลกจัง หลังจากวันนั้น นาโนกะไม่เคยพบเจอคุณดอกอีกเลย จู่ๆ ก็หายตัวไปเหมือนคุณมินามิ ขณะที่เพื่อนข้างห้องที่อพาร์ทเมนต์ ต่างพูดตรงกันว่า ไม่เคยมีคนชื่อคุณดอกอยู่ที่นี่มาก่อน
นาโนกะ ถามเรื่องนี้กับคุณยายใจดี และก็ได้คำตอบว่า สักวันหนึ่งเมื่อโตขึ้น เธอจะได้พบกับคุณดอกอย่างแน่นอน
คุณยาย เป็นคนแก่ใจดี ที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียว มักจะทำขนมอร่อยๆ ให้นาโนกะกินบ่อยๆ และมีอย่างหนึ่งที่ทำให้นาโนกะรู้สึกว่า คุณยายมีอะไรคล้ายกับเธอ ก็คือคุณยายเคยมีเพื่อนวัยเด็กที่วาดรูปเก่งเหมือนคิริวด้วย
เมื่อถูกถามว่า ความสุขคืออะไร คุณยายตอบว่า “ความสุขก็คือ การที่เราพูดได้ว่าตอนนี้เรามีความสุขจ้ะ”
ฟังดูเหมือนเป็นคำตอบง่ายๆ แต่การที่คนๆหนึ่งจะพูดได้เต็มปากว่า ตอนนี้เรามีความสุข อาจต้องอาศัยประสบการณ์ผ่านเรื่องราวในชีวิต ทั้งดีและร้าย และเมื่อมองในภาพรวมแล้ว เราจึงพูดได้อย่างมั่นใจว่า นี่คือชีวิตที่ดีและมีความสุข
ความสุขของนาโนกะ
สุดท้าย ทั้งคุณยายใจดีและเจ้าแมวหางกุดก็อันตรธานหายไป เหมือนกับคุณมินามิ และคุณดอก แต่นาโนกะก็เชื่อมั่นว่า สักวันหนึ่งในอนาคตเธอจะได้พบกับทุกคนอีก
แต่ในความเป็นจริง นาโนกะไม่เคยพบเพื่อนๆ เหล่านั้นอีกเลย
ในบทสุดท้ายของหนังสือ เฉลยว่า เรื่องราวทั้งหมด คือเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในวัยเด็กของนาโนกะ ซึ่งมักจะปรากฎเป็นความฝันอยู่บ่อยๆ (เหมือนดังชื่อเรื่อง)
เมื่ออ่านถึงตอนนี้ ผมอดคิดไม่ได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ทั้งคุณมินามิ คุณดอก และคุณยายใจดี แท้ที่จริงแล้วก็คือตัวนาโนกะในต่างเส้นเวลา คุณมินามิ ก็คือนาโนกะที่กลายเป็นเด็กสาวอมทุกข์ เพราะไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากขอโทษแม่ ส่วนคุณดอก ก็คือนาโนกะผู้ไม่เปิดใจให้ใคร เพราะคิดว่าตัวเองดีกว่าทุกคน สุดท้ายต้องกลายเป็นคนใช้ชีวิตเหลวแหลก ขณะที่คุณยาย ก็คือนาโนกะผู้ผ่านประสบการณ์หลายอย่างในชีวิตมาได้ แม้ว่าจะมีชีวิตที่มีความสุข แต่ก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวในวัยชรา
ทุกคนต่างปรากฎตัวมาพบเด็กหญิงโคยานางิ นาโนกะ เพื่อแนะนำ หรือตักเตือน ไม่ให้เด็กหญิงคนนั้น เลือกเส้นทางที่ผิด จนก้าวเข้าสู่ชีวิตที่ปราศจากความสุข
แม้ว่าเมื่อโตขึ้น นาโนกะจะไม่ได้พบกับเพื่อนๆ เหล่านี้ แต่ทุกคนก็ล้วนอยู่ในตัวเธอ อยู่ในจิตใจของเธอ นาโนกะกลายเป็นนักเขียนเหมือนคุณมินามิ กลายเป็นหญิงสาวจิตใจดีเหมือนคุณดอก และชอบทำขนมเหมือนคุณยาย แต่ว่าคงไม่ได้อยู่คนเดียวในวัยชราเหมือนคุณยายหรอก เพราะเธอมีชายคนรักที่อยู่เคียงข้างๆ ตั้งแต่วัยเด็กจนโต
ในการออกไปนำเสนอหน้าห้อง เพื่อปิดฉากรายงานหัวข้อ “ความสุขคืออะไร” คิริว ไม่ได้พูดว่า ความสุขของเขา คือการวาดรูป แต่เขาพูดว่า
“ความสุขของผม… คือการมีเพื่อนที่บอกว่า ชอบรูปที่ผมวาด นั่งอยู่ข้างๆผมครับ”
ขณะที่ความสุขของนาโนกะ คือ เวลาที่ได้ใส่ใจทั้งตัวเองและคนสำคัญ ใส่ใจทุกอย่าง ทุกการกระทำและคำพูด ซี่งทุกครั้งที่เธอฝันถึงเรื่องราวในวัยเด็ก ก็เป็นเหมือนการได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ตอนนี้เธอยังมีความสุขหรือเปล่า
ผมเชื่อว่า ทุกคนที่มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ คงจะอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า ความสุขคืออะไร ซึ่งแน่นอนว่า คำตอบของแต่ละคน ย่อมแตกต่างกันไป
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อ ก็คือองค์ประกอบของความสุข ควรจะมีทั้งตัวเองและคนอื่นอยู่ในนั้น หากคุณมอบแต่ความรักและสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง โดยไม่ใส่ใจคนอื่นเลย คุณอาจมีความสุข แต่ก็มีหัวใจที่แข็งกระด้าง แต่หากคุณมอบแต่สิ่งดีๆ และความรักให้กับคนอื่น โดยไม่รักตัวเองเลย คุณอาจมีความสุข ที่แลกมากับหัวใจที่บอบช้ำ