- ลีโล & สติทช์ เป็นภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันจากดิสนีย์ที่สร้างจากแอนิเมชันชื่อเดียวกัน บอกเล่าเรื่องราวอันอบอุ่นหัวใจบนเกาะฮาวายของเด็กหญิงขี้เหงาและเอเลี่ยนสีฟ้า
- หนึ่งในสารสำคัญคือการสื่อว่า ‘โอฮาน่า’ หรือ ‘ครอบครัว’ ไม่ได้จำกัดแค่คนที่มีสายเลือดเดียวกันเท่านั้น แต่ยังขยายขอบเขตไปถึงผู้คนที่มอบความรักและเห็นคุณค่าในตัวเราอย่างแท้จริง
- ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย ดีน เฟลชเชอร์ แคมป์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ เบื้องหลังภาพยนตร์แอนิเมชัน Marcel the Shell with Shoes On
“โอฮาน่า แปลว่าครอบครัว
ครอบครัวแปลว่า เราจะไม่ทอดทิ้งใครเด็ดขาด”
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนคงเห็นข้อความนี้จากภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันเรื่องล่าสุดของดิสนีย์ Lilo & Stitch ในสื่อสังคมออนไลน์หลากหลายช่องทาง นั่นเป็นเพราะประโยคดังกล่าวพูดถึงนิยามของครอบครัวได้อย่างกินใจ
Lilo & Stitch บอกเล่าเรื่องราวอันอบอุ่นหัวใจบนเกาะฮาวายของ ‘ลีโล’ เด็กหญิงกำพร้าวัย 6 ขวบ และ ‘สติทช์’ เอเลี่ยนสีฟ้าที่ถูกสร้างมาเพื่อทำลายล้าง แต่กลับได้เรียนรู้ความหมายของความรักและการอยู่ร่วมกันในฐานะ ‘โอฮาน่า’ หรือครอบครัว จากการได้มาอยู่กับลีโล และพี่สาวของเธอ

[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์]
เดิมที สติทช์ หรือ สิ่งมีชีวิตทดลองหมายเลข 626 ถูกนักวิทยาศาสตร์ต่างดาวสร้างขึ้นเพื่อเป็นอาวุธชีวภาพอันทรงพลัง แต่เมื่อสหพันธ์กาแล็คติกรู้เข้า จึงเข้ามายับยั้งแผนร้ายและจับตัวสติทช์ไว้เพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ด้วยสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดเหนือซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สติทช์สามารถขโมยยานตำรวจและหลบหนีมายังโลกมนุษย์ จนเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่อบอวลไปด้วยความสนุกสนานและอบอุ่นตามสไตล์ถนัดของดิสนีย์
สิ่งที่ผมสนใจเป็นพิเศษ คือพัฒนาการทางจิตใจของสติทช์ สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อทำลายล้าง แต่กลับค่อยๆ เปลี่ยนแปลงหัวใจที่แข็งกร้าวของตัวเองให้อ่อนโยน เพราะได้รับความรักความห่วงใยจากลีโล ซึ่งเป็นประเด็นที่ช่วยให้ผมตระหนักว่า ความรักและสายใยความผูกพันในครอบครัวนั้นมีพลังในการเยียวยาและเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งสิ่งที่แข็งกระด้างที่สุด
ในช่วงแรก สติทช์ได้แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวชอบทำลายล้างตามสัญชาตญาณของมัน ไม่ว่าจะเป็นการก่อกวนหรือสร้างเรื่องวุ่นวายเสมอ กระทั่งครั้งหนึ่ง ความซุกซนของสติทช์ทำให้พี่สาวของลีโลถูกไล่ออกจากงาน จนเธอถึงกับยื่นคำขาดให้ลีโลนำสติทช์ไปส่งคืนที่ศูนย์กักกันสัตว์เพื่อความปลอดภัยและหยุดปัญหาทั้งหมด แน่นอนว่าสติทช์เองก็รู้สึกผิดอย่างมาก และหนีไปที่ศูนย์กักกันสัตว์ด้วยตัวเอง
เมื่อลีโลมาตามหา สติทช์กลับประหลาดใจที่ได้รับอ้อมกอดและคำปลอบใจ แทนการดุด่าอย่างที่มันเคยชินจากคนอื่นๆ
“มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ ใครๆ ก็เคยพลาด แกไม่ได้ไม่ดี บางครั้งแกแค่ทำเรื่องแย่ๆ ไปบ้าง โอฮาน่าแปลว่าครอบครัว และบางทีครอบครัวก็ไม่ได้เพอร์เฟ็กต์…แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่ดีนะ”
สำหรับผม คำพูดนี้ถือเป็นหัวใจของภาพยนตร์ที่บอกกับเราว่า ครอบครัวไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่คือพื้นที่ปลอดภัยที่พร้อมโอบกอดเราด้วยความรัก ความเข้าใจ และไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นอกจากการให้กำลังใจ ลีโลยังแสดงให้สติทช์เห็นว่าเธอยอมรับมันในฐานะสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่ง ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นกุญแจสำคัญที่ปลดล็อกให้สติทช์รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง พร้อมกับเรียนรู้ว่ามันก็สามารถเป็นที่รัก และรักคนอื่นได้เช่นกัน

มากไปกว่านั้น ผมยังเห็นถึงพัฒนาการทางความรู้สึกของสติทช์อย่างชัดเจนในฉากจมน้ำ 2 ฉาก ซึ่งเหมือนเป็นความจงใจที่จะใช้สถานการณ์ความเป็นความตายมาวัดใจ วัดระดับความรักความผูกพันของทั้งสติทช์และลีโล
การจมน้ำครั้งแรกเกิดขึ้นตอนที่สติทช์ถูกเอเลี่ยนไล่ล่าระหว่างเล่นเซิร์ฟบอร์ดกับลีโล เมื่อทั้งคู่ตกลงไปในน้ำ ลีโลสามารถลอยตัวขึ้นมาได้ แต่สติทช์กลับตะเกียกตะกายด้วยความตื่นตระหนกจนดึงลีโลจมลงไปด้วยกัน
ทว่าหลังจากที่ทั้งคู่มีความผูกพันกันมากขึ้น ในฉากจมน้ำท้ายเรื่อง ผมได้เห็นสติทช์เลือกที่จะ ‘เสียสละตัวเอง’ ยอมจมน้ำเพื่อให้ลีโลรอดชีวิต ซึ่งถือเป็นพัฒนาการสำคัญจากสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวสู่การเป็นเพื่อนแท้ หรือครอบครัวที่พร้อมปกป้องคนที่รักด้วยชีวิต
“นี่คือครอบครัวของผม ผมได้เจอครอบครัวด้วยตัวผมเอง ถึงจะเล็กและแตกแยก แต่ก็ยังดีอยู่ ใช่…ยังดีอยู่”
สติทช์กล่าวกับประธานสหพันธ์กาแล็คติก และทำให้ผมฉุกคิดว่าครอบครัวไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดเดียวกัน แต่ยังขยายขอบเขตไปถึงผู้คนที่ให้ความรักและเห็นคุณค่าในตัวเราได้เช่นกัน เหมือนลีโลกับสติทช์ที่ทำให้เห็นว่าบางครั้งเพื่อนคือครอบครัวที่เราเลือก และครอบครัวจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ

ในขณะเดียวกัน ลีโลเองก็เติบโตขึ้น เธอได้เรียนรู้ว่าความรักในครอบครัวไม่ได้หมายถึงการอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่คือการสนับสนุนให้คนที่เรารักได้เดินไปตามความฝันของตัวเอง เธอจึงเลือกที่จะอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์เพื่อให้พี่สาวได้ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยตามที่หวังไว้ เพราะเธอรู้ดีว่าตลอดมาพี่สาวได้เสียสละความสุขของตัวเองเพื่อเธอเสมอ
ดังนั้นสำหรับผม ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรูในภาพยนตร์ แต่คือภาพสะท้อนว่า แม้โลกใบนี้จะไม่สมบูรณ์แบบ
หากเรามีครอบครัว หรือคนที่โอบกอดเราด้วยความรัก ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของกันและกัน อยู่ข้างกันในวันที่ผิดพลาด และคอยประคับประคองกันในวันที่ล้ม ท้ายสุด…สายสัมพันธ์เหล่านี้จะช่วยเยียวยาและเติมเต็มหัวใจที่บอบช้ำ
และเมื่อความสัมพันธ์เหล่านี้ได้รับการทะนุถนอม มันก็จะหล่อเลี้ยงให้เราก้าวผ่านเรื่องยากๆ ได้อย่างแข็งแรงขึ้น และกลายเป็นพลังให้เราเติบโตทั้งในด้านจิตใจและจิตวิญญาณได้อย่างดงาม