- Departures เป็นภาพยนตร์ดรามาสัญชาติญี่ปุ่น ในปี 2008 กำกับโดย Yojiro Takita และได้รับรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม จากเวทีออสการ์ครั้งที่ 81
- ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของ ‘ไดโกะ’ หนุ่มนักเชลโลที่ตกงานกะทันหัน จนต้องย้ายกลับบ้านเกิดที่เมืองยามากาตะ ก่อนโชคชะตาจะพาเขาสู่เส้นทางของ ‘โนคังชิ’ หรือผู้ประกอบพิธีแต่งศพ
- ท่ามกลางการดูถูกเหยียดหยามจากคนรอบข้าง ไดโกะมุ่งมั่นเต็มร้อยกับงานโนคังชิ และได้รับคำขอบคุณมากมายจากญาติผู้เสียชีวิต นั่นทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเอง โดยไม่ปล่อยให้อคติของคนอื่นมาตัดสิน
“ตอนที่ผมยังเด็ก ผมไม่เคยรู้สึกว่าฤดูหนาวจะหนาวถึงเพียงนี้ ผมย้ายจากโตเกียวมาอยู่ยามากาตะได้สองเดือนแล้ว มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากจะทำใจจริงๆ ผมน่ะสามารถทำงานนี้ได้จริงๆ เหรอ”
ประโยคเปิดเรื่องของ Departures ภาพยนตร์ดรามาสัญชาติญี่ปุ่นในปี 2008 ชวนให้ผมคิดว่าตัวเอกของเรื่องอาจกำลังรู้สึกท้อกับงาน แต่ในความจริงแล้ว สิ่งที่เขากำลังท้อแท้ คือทัศนคติของสังคมที่มีต่ออาชีพของเขาต่างหาก
เรื่องราวเล่าถึง ‘ไดโกะ’ หนุ่มนักเชลโลจากโตเกียวที่ตกงานกะทันหันหลังวงออเคสตราที่เขาสังกัดถูกประกาศยุบตัว จนต้องย้ายกลับบ้านเกิดที่เมืองยามากาตะ ก่อนโชคชะตาจะพาเขาสู่เส้นทางของ ‘โนคังชิ’ หรือผู้ประกอบพิธีแต่งศพ (งานที่ต้องทำความสะอาด แต่งตัว แต่งหน้า และยกศพบรรจุลงโลงอย่างประณีต)
หนึ่งในเสน่ห์ของภาพยนตร์ที่ตรึงใจผมคือ ‘การต่อสู้ดิ้นรน’ ของไดโกะที่ถูกเหยียดหยามจากภรรยา เพื่อน และคนรอบตัว เพราะสังคมมองว่าอาชีพของเขาต่ำต้อย หากินกับคนตาย สกปรก แถมยังน่ารังเกียจ
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ภาพยนตร์เล่าว่าไดโกะเริ่มเล่นเชลโลตั้งแต่อนุบาล บางคนอาจมองว่าเขาโชคดีที่ค้นพบสิ่งที่รักตั้งแต่เด็ก ทั้งยังสามารถนำมาต่อยอดเป็นอาชีพได้ แต่ลึกๆ แล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเขาต้องขายเชลโลตัวเก่งเพื่อใช้หนี้ เขากลับรู้สึกดีราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก
“นี่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตผม การขายเชลโล่ทิ้งทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ รู้สึกเหมือนได้ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการที่มัดผมไว้มานาน สิ่งที่ผมคิดว่ามันคือความฝัน แต่ความจริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นมาตั้งแต่แรก”
ผมมองว่าการเป็นนักเชลโลอาจไม่ใช่ความฝันที่แท้จริงของไดโกะ อาจเพราะเวลาที่เล่นเชลโลเขาบรรยายความรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้หวนคิดถึงอดีต ซึ่งอดีตในที่นี้หมายถึงความทรงจำระหว่างเขากับพ่อที่ทิ้งเขาไป
ดังนั้นการเล่นเชลโลอาจเป็นเพียงการโหยหาความทรงจำในอดีต หรืออาจสะท้อนภาพว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในเด็กที่พยายามทำตามความคาดหวังของผู้ใหญ่ที่ให้ค่ากับอาชีพนักเชลโล
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ตัวละครรอบตัวต่างดูตื่นเต้นและยกย่องอาชีพนักเชลโลของเขา ผ่านเสียงชื่นชมที่มีต่อพ่อของไดโกะว่าเป็นคนมีสไตล์ถึงให้ลูกเรียนเชลโล หรืออาการปลื้มปริ่มของชาวเมืองยามากาตะในตอนแรกที่รู้ว่าไดโกะเป็นนักเชลโลประจำวงออเคสตราในกรุงโตเกียว ทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาวัยเด็กที่พวกผู้ใหญ่มักถามว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” พร้อมกับพยายามปลูกฝังค่านิยมที่ยกย่องเฉพาะบางอาชีพ เช่น หมอ ตำรวจ ผู้พิพากษา และวิศวกร ทั้งยังสอนให้เราประเมินคุณค่าอาชีพต่างๆ ผ่าน ‘รายได้’ บ่อยครั้งเด็กจึงเรียนรู้ที่จะทำตามค่านิยมของผู้ใหญ่มากกว่าตามความฝันของตัวเอง
ใน Departures ไดโกะจับพลัดจับผลูสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นบริษัททัวร์ที่กำลังมองหาใครสักคนมาช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการเดินทาง และแม้จะทราบความจริงภายหลังว่าประกาศสมัครงานพิมพ์ผิด เพราะตำแหน่งที่รับสมัครจริงๆ คือ ‘โนคังชิ’ แต่ด้วยเงินเดือนที่สูงลิ่ว เขาจึงจำใจตอบรับข้อเสนอและเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ…ราวกับซ่อนความผิดของตัวเอง
แม้จะเริ่มต้นอาชีพด้วยความลังเลและอคติ แต่เมื่อไดโกะได้ไปประกอบพิธีศพบ่อยครั้ง เขาก็เริ่มเปิดใจและเห็นคุณค่าของงานที่ทำ ผ่านพิธีการที่เต็มไปด้วยความเงียบอันงดงาม ความอ่อนโยน ความประณีต และความเคารพในการบอกลาครั้งสุดท้าย ซึ่งทั้งหมดล้วนปลอบประโลมหัวใจของครอบครัวผู้สูญเสีย
“ร่างที่เย็นเฉียบกลับดูฟื้นคืน กลับสู่ความงามอันเป็นนิรันดร์ ทั้งหมดนี้ทำด้วยความสุขุมและแม่นยำ และด้วยความรักที่แสนจะอ่อนโยนในการบอกลาครั้งสุดท้าย เพื่อส่งผู้ตายให้ออกเดินทางไป การตระเตรียมทุกอย่างทำออกมาได้อย่างสงบและงดงามยิ่ง”
วันเวลาผ่านไป พร้อมๆ กับน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มและคำขอบคุณของญาติผู้เสียชีวิตได้หยดลงบนใจของไดโกะ ทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเองอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะครั้งหนึ่งที่เขาต้องทำพิธีแต่งศพให้สาว LGBTQ+ ที่ฆ่าตัวตายเพราะเธอไม่เป็นที่ยอมรับจากครอบครัว
“ขอบคุณมากนะครับ ตั้งแต่โทเมโอะ(ผู้ตาย) กลายเป็นแบบนั้น เราก็ทะเลาะกันอยู่เรื่อย ผมน่ะไม่ยอมมองหน้าเขาอีกเลย แต่วันนี้ ตอนที่ผมได้เห็นรอยยิ้มของเขา ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าถึงเขาจะแต่งตัวเหมือนกับเด็กสาว แต่ยังไงซะเขาก็ยังเป็นลูกชายคนเดิมของผม ขอบคุณครับ ขอบคุณคุณมากจริงๆ ครับ” พ่อของโทเมโอะกล่าว
ถึงจะได้รับการชื่นชมจากลูกค้า แต่อีกมุมหนึ่งชื่อเสียงของไดโกะก็ทำให้เขาถูกสังคมกดดันด้วยเช่นกัน เขาค่อยๆ ถูกเพื่อนแยกห่าง เพียงเพราะต้องการให้เขาหางานที่ ‘เหมาะสม’ กว่านี้ หรือภรรยาที่โกรธเกรี้ยวหลังทราบอาชีพที่แท้จริงของเขา พร้อมฝากคำพูดสุดท้ายก่อนหอบข้าวของหนีออกจากบ้าน
“ทำไมคุณถึงไม่บอกฉันล่ะ ที่คุณทำงานแบบนี้ไม่รู้สึกอายบ้างเลยหรือไง ฉันอยากให้คุณทำงานที่มันธรรมดา คุณไม่ต้องเถียงแล้ว เลิกทำงานนี้ซะ ฉันขอร้อง คุณฟังนะ ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยพูดอะไรเลย ตอนที่คุณบอกว่าอยากเลิกเล่นเชลโล่แล้วอยากกลับมาอยู่บ้านนอก ฉันเองก็ได้แค่ยิ้ม แต่จริงๆ แล้ว ฉันน่ะเสียใจมากนะ เพราะว่าฉันรักคุณ เพราะฉะนั้นขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว คุณฟังฉันหน่อยเถอะนะ คุณจะทำมันไปทั้งชีวิตเลยเหรอ งั้นฉันจะกลับบ้าน คุณเลิกทำเมื่อไหร่ค่อยมาหาฉัน อย่าแตะต้องฉันนะ บนตัวคุณมันสกปรก!”
ผมคิดว่าผู้อ่านหลายคนอาจเคยเผชิญสถานการณ์คล้ายๆ กับไดโกะ ถูกคนที่เรารักดูถูก และไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะอ้างเหตุผลหรือความรักความหวังดีใดๆ ผมพบว่ามันล้วนแฝงไปด้วยการยัดเยียดความต้องการของเขาให้กับเรา เพียงเพราะเขากลัวจะเสียหน้าหรือเสียผลประโยชน์บางอย่างของตัวเองมากกว่าจะมาสนใจความรู้สึกนึกคิดของเรา
สิ่งที่ผมชื่นชอบในบทของไดโกะ คือเขาอาจจะเซไปบ้างที่ถูกคนรอบตัวหมางเมินหรือโดนดูถูกเหยียดหยาม แต่เขายังคงมุ่งมั่นเต็มร้อยให้กับงานโนคังชิ เพราะมันช่วยให้เขาทบทวนคุณค่าชีวิตและเรียนรู้ที่จะซื่อสัตย์กับตัวเอง โดยไม่ยอมให้อคติของคนอื่นมาตัดสินคุณค่า เพราะเราเท่านั้นคือคนที่กำหนดคุณค่าของตัวเอง
นอกจากนี้ ภาพยนตร์ยังสะท้อนภาพให้เห็นตัวอย่างของคนที่ยืนหยัดกับสิ่งที่รัก เช่น คุณป้าเจ้าของโรงอาบน้ำเก่าแก่ประจำเมืองที่ถูกลูกชายกดดันให้เลิกกิจการที่ไม่ค่อยสร้างรายได้เพื่อนำที่ดินไปทำแมนชัน ทว่าเธอยังคงยืนหยัดในสิ่งที่รักตราบจนวาระสุดท้าย
“ถ้าไม่มีโรงอาบน้ำที่นี่แล้วลูกค้าจะทำยังไง เพราะงั้นในตอนที่ฉันยังแข็งแรง ฉันต้องทำ”
หรือจะเป็นคุณลุงคนหนึ่งที่ทำอาชีพควบคุมการเผาศพ ก็ภูมิใจและเห็นคุณค่าในงานที่ทำอยู่ โดยเขาเปรียบเปรยว่าตนคือผู้เฝ้าประตูที่เชื่อมต่อจากโลกหนึ่งไปสู่อีกสถานที่หนึ่ง
“การทำงานที่นี่มานานหลายปี มันทำให้ฉันคิดอยู่บ่อยครั้งว่าความตายก็เป็นเหมือนประตู ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด เราแค่ก้าวผ่านมันไปเพื่อไปสู่อีกที่หนึ่ง มันเป็นประตูจริงๆ นั่นแหละ ในฐานะที่ฉันเป็นยามเฝ้าประตู ฉันได้ส่งคนมากมายให้ออกเดินทาง “ไปดีมาดีนะ แล้วเจอกันอีก” ฉันบอกพวกเขาอย่างนั้น”
ดังนั้น สิ่งสำคัญของ Departures จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของอาชีพโนคังชิ แต่คือการเดินทางของมนุษย์คนหนึ่งที่เรียนรู้ว่า ‘คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่สายตาของสังคมหรือคำตัดสินของใคร’ หากอยู่ที่การมองเห็นความหมายของสิ่งที่เราทำและการยอมรับตัวเองอย่างหมดหัวใจ เหมือนไดโกะที่เริ่มต้นการเป็นโนคังชิด้วยความลังเลและอับอาย แต่แล้วสิ่งที่เขาค้นพบคือความงดงามในการมอบประสบการณ์แห่งการจากลาที่เต็มไปด้วยความเคารพและทะนุถนอม ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงเยียวยาแค่ครอบครัวของผู้สูญเสีย แต่ยังย้อนกลับมาเยียวยาหัวใจของเขาด้วย
และแม้ระหว่างทางเขาจะถูกคนรอบตัวกีดกันหรือทำให้รู้สึกแย่ไปบ้าง แต่ไดโกะก็ยังเลือกที่จะยืนหยัดอยู่บนเส้นทางที่เป็นของเขา ทั้งยังค้นพบความสงบ ความพึงพอใจ และศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ผมกลับมาสะท้อนคิดได้ว่า ‘การยอมรับตัวเองคือของขวัญที่ล้ำค่าที่สุด…ที่มนุษย์จะมอบให้แก่ชีวิตของตน’