Skip to content
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Family PsychologyDear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่น
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy
29 August 2025

Departures: คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่คำตัดสินของใคร เห็นความหมายในสิ่งที่ทำและยอมรับตัวเองอย่างหมดหัวใจ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Departures เป็นภาพยนตร์ดรามาสัญชาติญี่ปุ่น ในปี 2008 กำกับโดย Yojiro Takita และได้รับรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม จากเวทีออสการ์ครั้งที่ 81
  • ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของ ‘ไดโกะ’ หนุ่มนักเชลโลที่ตกงานกะทันหัน จนต้องย้ายกลับบ้านเกิดที่เมืองยามากาตะ ก่อนโชคชะตาจะพาเขาสู่เส้นทางของ ‘โนคังชิ’ หรือผู้ประกอบพิธีแต่งศพ
  • ท่ามกลางการดูถูกเหยียดหยามจากคนรอบข้าง ไดโกะมุ่งมั่นเต็มร้อยกับงานโนคังชิ และได้รับคำขอบคุณมากมายจากญาติผู้เสียชีวิต นั่นทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเอง โดยไม่ปล่อยให้อคติของคนอื่นมาตัดสิน

“ตอนที่ผมยังเด็ก ผมไม่เคยรู้สึกว่าฤดูหนาวจะหนาวถึงเพียงนี้ ผมย้ายจากโตเกียวมาอยู่ยามากาตะได้สองเดือนแล้ว มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากจะทำใจจริงๆ ผมน่ะสามารถทำงานนี้ได้จริงๆ เหรอ”

ประโยคเปิดเรื่องของ Departures ภาพยนตร์ดรามาสัญชาติญี่ปุ่นในปี 2008 ชวนให้ผมคิดว่าตัวเอกของเรื่องอาจกำลังรู้สึกท้อกับงาน แต่ในความจริงแล้ว สิ่งที่เขากำลังท้อแท้ คือทัศนคติของสังคมที่มีต่ออาชีพของเขาต่างหาก 

เรื่องราวเล่าถึง ‘ไดโกะ’ หนุ่มนักเชลโลจากโตเกียวที่ตกงานกะทันหันหลังวงออเคสตราที่เขาสังกัดถูกประกาศยุบตัว จนต้องย้ายกลับบ้านเกิดที่เมืองยามากาตะ ก่อนโชคชะตาจะพาเขาสู่เส้นทางของ ‘โนคังชิ’ หรือผู้ประกอบพิธีแต่งศพ (งานที่ต้องทำความสะอาด แต่งตัว แต่งหน้า และยกศพบรรจุลงโลงอย่างประณีต) 

หนึ่งในเสน่ห์ของภาพยนตร์ที่ตรึงใจผมคือ ‘การต่อสู้ดิ้นรน’ ของไดโกะที่ถูกเหยียดหยามจากภรรยา เพื่อน และคนรอบตัว เพราะสังคมมองว่าอาชีพของเขาต่ำต้อย หากินกับคนตาย สกปรก แถมยังน่ารังเกียจ   

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ภาพยนตร์เล่าว่าไดโกะเริ่มเล่นเชลโลตั้งแต่อนุบาล บางคนอาจมองว่าเขาโชคดีที่ค้นพบสิ่งที่รักตั้งแต่เด็ก ทั้งยังสามารถนำมาต่อยอดเป็นอาชีพได้ แต่ลึกๆ แล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเขาต้องขายเชลโลตัวเก่งเพื่อใช้หนี้ เขากลับรู้สึกดีราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก 

“นี่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตผม การขายเชลโล่ทิ้งทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ รู้สึกเหมือนได้ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการที่มัดผมไว้มานาน สิ่งที่ผมคิดว่ามันคือความฝัน แต่ความจริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นมาตั้งแต่แรก” 

ผมมองว่าการเป็นนักเชลโลอาจไม่ใช่ความฝันที่แท้จริงของไดโกะ อาจเพราะเวลาที่เล่นเชลโลเขาบรรยายความรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้หวนคิดถึงอดีต ซึ่งอดีตในที่นี้หมายถึงความทรงจำระหว่างเขากับพ่อที่ทิ้งเขาไป 

ดังนั้นการเล่นเชลโลอาจเป็นเพียงการโหยหาความทรงจำในอดีต หรืออาจสะท้อนภาพว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในเด็กที่พยายามทำตามความคาดหวังของผู้ใหญ่ที่ให้ค่ากับอาชีพนักเชลโล

ยิ่งไปกว่านั้น การที่ตัวละครรอบตัวต่างดูตื่นเต้นและยกย่องอาชีพนักเชลโลของเขา ผ่านเสียงชื่นชมที่มีต่อพ่อของไดโกะว่าเป็นคนมีสไตล์ถึงให้ลูกเรียนเชลโล หรืออาการปลื้มปริ่มของชาวเมืองยามากาตะในตอนแรกที่รู้ว่าไดโกะเป็นนักเชลโลประจำวงออเคสตราในกรุงโตเกียว ทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาวัยเด็กที่พวกผู้ใหญ่มักถามว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” พร้อมกับพยายามปลูกฝังค่านิยมที่ยกย่องเฉพาะบางอาชีพ เช่น หมอ ตำรวจ ผู้พิพากษา และวิศวกร ทั้งยังสอนให้เราประเมินคุณค่าอาชีพต่างๆ ผ่าน ‘รายได้’ บ่อยครั้งเด็กจึงเรียนรู้ที่จะทำตามค่านิยมของผู้ใหญ่มากกว่าตามความฝันของตัวเอง

ใน Departures ไดโกะจับพลัดจับผลูสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นบริษัททัวร์ที่กำลังมองหาใครสักคนมาช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการเดินทาง และแม้จะทราบความจริงภายหลังว่าประกาศสมัครงานพิมพ์ผิด เพราะตำแหน่งที่รับสมัครจริงๆ คือ ‘โนคังชิ’ แต่ด้วยเงินเดือนที่สูงลิ่ว เขาจึงจำใจตอบรับข้อเสนอและเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ…ราวกับซ่อนความผิดของตัวเอง

แม้จะเริ่มต้นอาชีพด้วยความลังเลและอคติ แต่เมื่อไดโกะได้ไปประกอบพิธีศพบ่อยครั้ง เขาก็เริ่มเปิดใจและเห็นคุณค่าของงานที่ทำ ผ่านพิธีการที่เต็มไปด้วยความเงียบอันงดงาม ความอ่อนโยน ความประณีต และความเคารพในการบอกลาครั้งสุดท้าย ซึ่งทั้งหมดล้วนปลอบประโลมหัวใจของครอบครัวผู้สูญเสีย

“ร่างที่เย็นเฉียบกลับดูฟื้นคืน กลับสู่ความงามอันเป็นนิรันดร์ ทั้งหมดนี้ทำด้วยความสุขุมและแม่นยำ และด้วยความรักที่แสนจะอ่อนโยนในการบอกลาครั้งสุดท้าย เพื่อส่งผู้ตายให้ออกเดินทางไป การตระเตรียมทุกอย่างทำออกมาได้อย่างสงบและงดงามยิ่ง” 

วันเวลาผ่านไป พร้อมๆ กับน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มและคำขอบคุณของญาติผู้เสียชีวิตได้หยดลงบนใจของไดโกะ ทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเองอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะครั้งหนึ่งที่เขาต้องทำพิธีแต่งศพให้สาว LGBTQ+ ที่ฆ่าตัวตายเพราะเธอไม่เป็นที่ยอมรับจากครอบครัว 

“ขอบคุณมากนะครับ ตั้งแต่โทเมโอะ(ผู้ตาย) กลายเป็นแบบนั้น เราก็ทะเลาะกันอยู่เรื่อย ผมน่ะไม่ยอมมองหน้าเขาอีกเลย แต่วันนี้ ตอนที่ผมได้เห็นรอยยิ้มของเขา  ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าถึงเขาจะแต่งตัวเหมือนกับเด็กสาว แต่ยังไงซะเขาก็ยังเป็นลูกชายคนเดิมของผม ขอบคุณครับ ขอบคุณคุณมากจริงๆ ครับ” พ่อของโทเมโอะกล่าว

ถึงจะได้รับการชื่นชมจากลูกค้า แต่อีกมุมหนึ่งชื่อเสียงของไดโกะก็ทำให้เขาถูกสังคมกดดันด้วยเช่นกัน เขาค่อยๆ ถูกเพื่อนแยกห่าง เพียงเพราะต้องการให้เขาหางานที่ ‘เหมาะสม’ กว่านี้ หรือภรรยาที่โกรธเกรี้ยวหลังทราบอาชีพที่แท้จริงของเขา พร้อมฝากคำพูดสุดท้ายก่อนหอบข้าวของหนีออกจากบ้าน

“ทำไมคุณถึงไม่บอกฉันล่ะ ที่คุณทำงานแบบนี้ไม่รู้สึกอายบ้างเลยหรือไง ฉันอยากให้คุณทำงานที่มันธรรมดา คุณไม่ต้องเถียงแล้ว เลิกทำงานนี้ซะ ฉันขอร้อง คุณฟังนะ ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยพูดอะไรเลย ตอนที่คุณบอกว่าอยากเลิกเล่นเชลโล่แล้วอยากกลับมาอยู่บ้านนอก ฉันเองก็ได้แค่ยิ้ม แต่จริงๆ แล้ว ฉันน่ะเสียใจมากนะ เพราะว่าฉันรักคุณ เพราะฉะนั้นขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว คุณฟังฉันหน่อยเถอะนะ คุณจะทำมันไปทั้งชีวิตเลยเหรอ งั้นฉันจะกลับบ้าน คุณเลิกทำเมื่อไหร่ค่อยมาหาฉัน อย่าแตะต้องฉันนะ บนตัวคุณมันสกปรก!”

ผมคิดว่าผู้อ่านหลายคนอาจเคยเผชิญสถานการณ์คล้ายๆ กับไดโกะ ถูกคนที่เรารักดูถูก และไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะอ้างเหตุผลหรือความรักความหวังดีใดๆ ผมพบว่ามันล้วนแฝงไปด้วยการยัดเยียดความต้องการของเขาให้กับเรา เพียงเพราะเขากลัวจะเสียหน้าหรือเสียผลประโยชน์บางอย่างของตัวเองมากกว่าจะมาสนใจความรู้สึกนึกคิดของเรา

สิ่งที่ผมชื่นชอบในบทของไดโกะ คือเขาอาจจะเซไปบ้างที่ถูกคนรอบตัวหมางเมินหรือโดนดูถูกเหยียดหยาม แต่เขายังคงมุ่งมั่นเต็มร้อยให้กับงานโนคังชิ เพราะมันช่วยให้เขาทบทวนคุณค่าชีวิตและเรียนรู้ที่จะซื่อสัตย์กับตัวเอง โดยไม่ยอมให้อคติของคนอื่นมาตัดสินคุณค่า เพราะเราเท่านั้นคือคนที่กำหนดคุณค่าของตัวเอง

นอกจากนี้ ภาพยนตร์ยังสะท้อนภาพให้เห็นตัวอย่างของคนที่ยืนหยัดกับสิ่งที่รัก เช่น คุณป้าเจ้าของโรงอาบน้ำเก่าแก่ประจำเมืองที่ถูกลูกชายกดดันให้เลิกกิจการที่ไม่ค่อยสร้างรายได้เพื่อนำที่ดินไปทำแมนชัน ทว่าเธอยังคงยืนหยัดในสิ่งที่รักตราบจนวาระสุดท้าย

“ถ้าไม่มีโรงอาบน้ำที่นี่แล้วลูกค้าจะทำยังไง เพราะงั้นในตอนที่ฉันยังแข็งแรง ฉันต้องทำ” 

หรือจะเป็นคุณลุงคนหนึ่งที่ทำอาชีพควบคุมการเผาศพ ก็ภูมิใจและเห็นคุณค่าในงานที่ทำอยู่ โดยเขาเปรียบเปรยว่าตนคือผู้เฝ้าประตูที่เชื่อมต่อจากโลกหนึ่งไปสู่อีกสถานที่หนึ่ง

“การทำงานที่นี่มานานหลายปี มันทำให้ฉันคิดอยู่บ่อยครั้งว่าความตายก็เป็นเหมือนประตู ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด เราแค่ก้าวผ่านมันไปเพื่อไปสู่อีกที่หนึ่ง มันเป็นประตูจริงๆ นั่นแหละ ในฐานะที่ฉันเป็นยามเฝ้าประตู ฉันได้ส่งคนมากมายให้ออกเดินทาง “ไปดีมาดีนะ แล้วเจอกันอีก” ฉันบอกพวกเขาอย่างนั้น”

ดังนั้น สิ่งสำคัญของ Departures จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของอาชีพโนคังชิ แต่คือการเดินทางของมนุษย์คนหนึ่งที่เรียนรู้ว่า ‘คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่สายตาของสังคมหรือคำตัดสินของใคร’ หากอยู่ที่การมองเห็นความหมายของสิ่งที่เราทำและการยอมรับตัวเองอย่างหมดหัวใจ เหมือนไดโกะที่เริ่มต้นการเป็นโนคังชิด้วยความลังเลและอับอาย แต่แล้วสิ่งที่เขาค้นพบคือความงดงามในการมอบประสบการณ์แห่งการจากลาที่เต็มไปด้วยความเคารพและทะนุถนอม ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงเยียวยาแค่ครอบครัวของผู้สูญเสีย แต่ยังย้อนกลับมาเยียวยาหัวใจของเขาด้วย 

และแม้ระหว่างทางเขาจะถูกคนรอบตัวกีดกันหรือทำให้รู้สึกแย่ไปบ้าง แต่ไดโกะก็ยังเลือกที่จะยืนหยัดอยู่บนเส้นทางที่เป็นของเขา ทั้งยังค้นพบความสงบ ความพึงพอใจ และศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ผมกลับมาสะท้อนคิดได้ว่า ‘การยอมรับตัวเองคือของขวัญที่ล้ำค่าที่สุด…ที่มนุษย์จะมอบให้แก่ชีวิตของตน’

Tags:

ภาพยนตร์คุณค่าของชีวิตDepartures

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Movie
    Ghostlight: การสูญเสียจะตามหลอกหลอนจนกว่าจะถึงเวลาเผชิญหน้ากับมัน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Matilda The Musical: เมื่อโลกไม่เข้าข้าง เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    รีวิวตัวละครเเม่ในหนังหลากสัญชาติที่บอกว่า ไม่ว่าหนังหรือชีวิตจริง แม่ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง

    เรื่อง The Potentialณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel