- หากมีโอกาสสามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้เมื่อนั่งเก้าอี้พิเศษในคาเฟ่เล็กๆ แห่งนี้ แต่เเค่เพียงช่วงเวลากาแฟยังอุ่น และไม่ว่าจะพยายามสักเพียงไหน ความจริงจะไม่เปลี่ยนแปลง คุณจะอยากกลับไปไหม และอยากกลับไปพบใคร
- พล็อตเรื่องการย้อนเวลาสุดคลาสสิค ที่ถูกหยิบมาเล่าด้วยกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่น ที่ชวนผู้อ่านตั้งคำถามถึงห้วงเวลาสำคัญต่อหัวใจในอดีตและการประคับประคองหัวใจดวงเดิมที่อาจมีบาดแผลต่อไปในอนาคต
- หนังสือเล่าเรื่องราว 4 รูปแบบความสัมพันธ์ของคนสี่คน ที่เลือกใช้โอกาสนี้เดินทางข้ามเวลา ทั้งในฐานะคนรัก สามีภรรยา พี่น้อง และแม่ลูก
ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชื่อ Funiculi Funicula มีตำนานประจำเมืองเล่าขานว่า เมื่อได้นั่งเก้าอี้ตัวหนึ่งในร้าน จะสามารถเดินทางข้ามเวลากลับไปในอดีตได้ ลูกค้ามากมายจากทั่วสารทิศจึงเดินทางมาเพื่อลิ้มรสประสบการณ์นี้ …
การย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต เป็นเรื่องที่ใครหลายคนปรารถนา อย่างที่เราเห็นกันในพล็อตหนังและนิยาย Sci-fi หลายต่อหลายเรื่อง บางคนอาจส่ายหน้ากับพล็อตนี้ ในขณะที่บางคนกับโดนดึงดูดได้ในเพียงเสี้ยววินาที แตกต่างกันไปตามประสบการณ์และเรื่องราวที่อดีตประทับไว้ในใจ
สารภาพว่าเราเป็นคนกลุ่มแรกที่ปวดหัวกับเส้นเรื่องการเดินทางข้ามเวลา และไม่ได้แยแสกับการแก้ไขอดีตนัก แต่กลับโดนหนังสือเล่มนี้ดึงดูดตั้งแต่สบตากับหน้าปก และคงเพราะความแตกต่างของเงื่อนไขการย้อนเวลาในหนังสือเล่มนี้ ที่มีกฏอยู่จำนวนหนึ่ง คือ คุณจะต้องนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวนี้เท่านั้น คุณจะพบได้เฉพาะคนที่เคยมาที่ร้านกาแฟแห่งนี้ โดยมีเวลาแค่เพียงชั่วกาแฟยังอุ่นและต้องดื่มกาแฟให้หมดถ้วยก่อนที่จะเย็นชืดเพื่อเดินทางกลับสู่ปัจจุบัน และที่สำคัญ แม้จะย้อนเวลากลับไปได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด ความจริงที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่อาจเปลี่ยนแปลง
รู้แบบนี้แล้ว คุณยังอยากย้อนเวลากลับไปอีกไหม?
หากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลง นั่นยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่า อดีตไม่สามารถแก้ไขได้ แล้วการย้อนเวลาได้จะมีความหมายอะไร?
ด้วยกฏอันซับซ้อนมากมายที่กล่าวมา อาจทำให้ใครหลายคนหันหลังให้กับโอกาสนี้เช่นเดียวกับลูกค้ามากมายในหนังสือที่เลือกจะไม่ย้อนกลับไป แต่มีลูกค้า 4 ราย ใน 4 รูปแบบความสัมพันธ์ เลือกที่จะใช้โอกาสนี้
หนึ่ง หญิงสาว ในฐานะ คนรัก ที่แฟนหนุ่มชวนออกมาพบที่ร้านกาแฟ เธอออกไปซื้อชุดสวยเพราะใจหวังว่าจะถูกขอแต่งงาน แต่กลับมาเจอกับถ้อยคำบอกลาก่อนที่แฟนหนุ่มจะเดินทางไปทำงานที่สหรัฐอเมริกา
สอง นางพยาบาล ในฐานะ ภรรยา ที่สามีกำลังเผชิญกับอาการของโรคอัลไซเมอร์ และความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องของเธอกำลังค่อยๆ หายไป ในขณะที่สามีของเธอจะมานั่งที่ร้านกาแฟแห่งนี้ทุกวันเพราะหวังจะย้อนเวลากลับไปหาใครบางคน
สาม เจ้าของร้านขายขนมที่กิจการกำลังไปได้ดี ในฐานะ พี่สาวและลูกสาว ที่ตัดสินใจหนีออกจากบ้านตั้งแต่วัยรุ่น เพราะไม่อยากสืบทอดกิจการของครอบครัว เธอทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง ย้ายมาอยู่ในเมือง เริ่มต้นชีวิตใหม่ สร้างกิจการของตัวเอง และปฏิเสธคำชวนกลับบ้านของน้องสาวที่มาตามเธอทุกเดือนอยู่นานหลายปี
สี่ ภรรยาเจ้าของร้าน ในฐานะ ว่าที่คุณแม่ ใครที่ได้รู้จักต่างชื่นชมว่าเธอคือผู้ที่มีพรสวรรค์ในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เธอกำลังตั้งครรภ์แม้รู้ว่าโรคประจำตัวที่มีมาแต่กำเนิดนั้นอาจส่งผลให้ร่างกายของเธออ่อนแอเกินกว่าจะรับมือการคลอดไหว และการเลือกเก็บเด็กไว้อาจนำไปสู่ทางเลือกระหว่างการรักษาชีวิตของลูกหรือของแม่
เรื่องราวทั้งสี่ถูกถ่ายทอด ร้อยเรียงอย่างละเมียดละมุนผ่านเหตุการณ์ในร้านกาแฟเล็กๆ ที่อดชื่นชมในใจไม่ได้ว่ามีแต่คนญี่ปุ่นเท่านั้นแหละที่จะเขียนนิยายรสชาติแบบนี้ได้ เราเชื่อว่าไม่ว่าตอนนี้คุณจะอยู่ในฐานะไหน กำลังดื่มด่ำหรือใกล้หมดศรัทธากับความรักในความสัมพันธ์รอบตัว ต้องมีสักเรื่อง สักจุดยืนหนึ่งของตัวละครในเรื่องนี้ ที่เชื่อมโยงได้อย่างง่ายดาย และอาจเผลอเสียน้ำตาให้โดยไม่รู้ตัว
ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และท่ามกลางกระแสและข่าวรายวันอันร้อนแรงเต็มหน้าฟีด การได้ออกห่างจากโซเชียลมีเดียและใช้เวลากับหนังสือสักเล่มเป็นเสมือนการได้นั่งตากพัดลมในบ่ายวันอาทิตย์ที่อากาศร้อนเกิน 33 องศาเซลเซียส แถมหนังสือเล่มนี้ยังเป็นโชคสองชั้น ที่เหมือนพาเราไปนั่งรื่นรมย์กับมุมมองการใช้ชีวิตเคล้ากลิ่นมอคค่าในร้านกาแฟอีกด้วย และแม้ช่วงเวลากาแฟยังอุ่นจะจบลง แต่ความอบอุ่นหัวใจหลังได้อ่าน จะอยู่ต่อไปอีกหลายวันเลยล่ะค่ะ
นิยายเรื่องนี้แปลมาจากนิยายญี่ปุ่นขายดีชื่อ Coffee Ga Samenai Uchi Ni มียอดขายกว่า 850,000 เล่มในญี่ปุ่น และถูกนำไปทำเป็นภาพยนตร์ ชื่อ Cafe Funiculi Funicula (2018) ซึ่งชื่อ Funiculi Funicula มาจากเพลงภาษาอิตาเลียน
บนปกโปรยไว้ว่า “นิยายเรื่องนี้จะทำให้คุณเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการย้อนเวลา” เราขอเสริมอีกนิดว่า หนังสือเล่มนี้ยังจะทำให้คุณเข้าใจความหมายของการมีชีวิตและการยังมีเวลาให้ได้ใช้ร่วมกัน แม้อาจจะเป็นคำที่ฟังดูเชยแสนเชยกับการตอกย้ำ “ความสำคัญของวันนี้” แต่ก็เป็นมนุษย์อีกนั่นแหละมิใช่หรือ ที่ยังคงผิดพลาดซ้ำเดิมและอ้อนวอนต่อพระเจ้าให้ส่งโอกาสครั้งที่สองมาให้
คำถามคือ ถ้าพระเจ้าส่งโอกาสมาให้แล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรและใช้มันได้คุ้มค่ากับที่วิงวอนขออยู่ทุกคืนหรือเปล่า
และถ้าวันนี้ คือ present หากมีเวลาได้พบหน้าและสนทนากัน แม้เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น วันนี้คุณอยากชวนใครไปดื่มกาแฟด้วยกันคะ
🙂