Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
Book
17 September 2021

‘อย่าเป็นคนฉลาดที่สุดในห้อง’ นักวิทย์โนเบลแนะวิธีเรียนให้รุ่ง

เรื่อง

  • ชวนฟังคำแนะนำวิธีเรียนอย่างไรให้รุ่งจากนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลอย่าง เจมส์ วัตสัน (James Watson) กับหนังสือ Avoid Boring People (ให้หลีกลี้คนน่าเบื่อ)
  • “อย่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในห้อง” วัตสันมองว่า แต่ละคนควรออกจากความเคยชินเดิมๆ การมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนหรือเพื่อนในแล็บเดียวกันที่เก่งมากจนสามารถบอกได้ว่า การให้เหตุผลของคุณมีช่องโหว่อย่างไร หรือรู้ข้อเท็จจริงที่สามารถใช้พิสูจน์ถูกผิดในข้อโต้แย้งของคุณ ย่อมต้องนับว่าเป็นเรื่องดี
  • “เมื่อเข้าฟังสัมมนาเรื่องที่คุณสนใจ ให้นั่งแถวหน้าสุด” ไม่ต้องกลัวว่าจะเบื่อหรือเผลอหลับโชว์คนอื่นในห้อง ถ้าฟังไม่ทัน ไม่รู้เรื่อง คุณก็มีโอกาสดีจะถามแทรกได้สะดวกเพราะอยู่ใกล้ ซึ่งจะเป็นโอกาสดีกับอีกหลายคนในห้องที่อาจจะตกอยู่ในอาการเดียวกับคุณ

ผมเชื่อว่ามีคนแนะนำวิธีการเรียนให้ประสบความสำเร็จไว้มากมาย ทั้งที่เป็นบทความและหนังสือเป็นเล่มๆ เรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังวันนี้ มาจากหนังสือชื่อ Avoid Boring People (ให้หลีกลี้คนน่าเบื่อ) ของเจมส์ วัตสัน (James Watson) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน หนึ่งในคู่หูมหัศจรรย์ที่ไขความลับเรื่องโครงสร้างของดีเอ็นเอสำเร็จ 

คู่หูอีกคนที่ช่วยกันไขความลับนี้เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ ฟรานซิส คริก (Francis Crick)   

สิ่งที่ทั้งคู่ทำนายไว้อย่างถูกต้องก็คือ ดีเอ็นเอต้องมีโครงสร้างเป็น ‘สายคู่’ ที่จับกันอย่างจำเพาะโดยเบส 4 ชนิดในดีเอ็นเอ มองเห็นเป็นโครงสร้างที่บิดเป็นเกลียวเรียกว่า double helix ซึ่งได้กลายมาเป็นชื่อหนังสือของวัตสัน คือ The Double Helix (ในภาษาไทยมีผู้แปลไว้นานแล้วในชื่อ ‘เกลียวชีวิต’) ที่กลายมาเป็นหนังสือบันทึกการแข่งขันและการค้นพบโครงสร้างของ ‘รหัสพันธุกรรม’ ในรูปของดีเอ็นเอ 

มาดูกันนะครับว่า นักวิทย์รางวัลโนเบลอย่างเจมส์ วัตสัน แนะนำว่าจะเรียนให้โลดจนรุ่งอย่างสุดๆ ต้องทำอย่างไรบ้าง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดเห็นของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ยังไม่ใช่ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน แต่ก็น่าสนใจอยู่ดีว่า เขาคิดว่าอย่างไร และทำไมจึงคิดเช่นนั้น 

1

คำแนะนำแรกของวัตสัน คือ “อย่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในห้อง” อ่านแว้บแรกจะงงว่าฉลาดที่สุดในห้องแล้วไม่ดียังไง? 

เขามองว่าแต่ละคนควรออกจากความเคยชินเดิมๆ ทางวิชาการ การมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนหรือเพื่อนในแล็บเดียวกันที่เก่งมากจนสามารถบอกได้ว่า การให้เหตุผลของคุณมีช่องโหว่อย่างไร หรือรู้ข้อเท็จจริงที่สามารถใช้พิสูจน์ถูกผิดในข้อโต้แย้งของคุณ ย่อมต้องนับว่าเป็นเรื่องดี 

การที่แวดล้อมไปด้วยคนที่มีความคิดแหลมคมแบบนี้ จะทำให้คุณมีความคิดเฉียบแหลมไปด้วยในที่สุด อ่านแล้วก็นึกถึงภาษิต ‘คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล’ อยู่นะครับ

แต่แกก็เตือนไว้ด้วยเหมือนกันว่า วิธีการคิดและทำแบบนี้นี่ ออกจะผิดธรรมชาติอยู่บ้าง โดยเฉพาะผู้ชายที่มีนิสัยประจำตัว คือ ต้องการเป็นผู้นำหมู่หรือจ่าฝูง แต่แกเห็นด้วยกับฟากที่เชื่อว่า เป็นนักเคมีที่เก่งน้อยที่สุดในภาควิชาเคมีที่เยี่ยมยอดสุดๆ ย่อมจะดีกว่าเป็นดาวรุ่งอยู่ในภาควิชาที่โดดเด่นน้อยกว่า 

พร้อมกันนี้ เขายกตัวอย่างของกรณีของไลนัส พอลิง (Linus Pauling) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ที่ในช่วงทศวรรษ 1950 เป็นคู่แข่งคนสำคัญและในวงการเชื่อกันว่า น่าจะเป็นคนไขความลับโครงสร้างของดีเอ็นเอได้เป็นคนแรก เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีใน ค.ศ. 1954 สำหรับงานวิจัยเกี่ยวกับ ‘ธรรมชาติของพันธะเคมีและการประยุกต์ใช้ความรู้ดังกล่าวในการไขความลับโครงสร้างของสารเชิงซ้อนหลายชนิด’

แต่ไม่ใช่จากการระบุโครงสร้างของดีเอ็นเอได้อย่างถูกต้อง

วัตสันมองว่าความเหนือกว่าของพอลิงต่อคนรอบข้าง ทำให้การสื่อสารกับคนรอบตัวของเขาเป็นแบบทางเดียว คือ เขาพูดและคนอื่นฟัง แทนที่จะเป็นแบบ 2 ทาง และนั่นก็ทำให้เขาต้องการฟังแต่คำชม และไม่ต้องการฟังคำวิจารณ์ ซึ่งมีส่วนทำให้เขาพ่ายแพ้ในการแข่งขันหาโครงสร้างดีเอ็นเอ ทั้งที่มีโอกาสมากกว่าและเป็นตัวเก็งที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจับตามอง เพราะเขาเพิ่งไขโครงสร้างโปรตีนสำคัญๆ หลายชนิดที่สลับซับซ้อนสำเร็จก่อนหน้านั้น

2

คำแนะนำข้อที่ 2 คือ “ให้เลือกผู้ร่วมทีมที่ฉลาดเท่าๆ กัน” 

กรณีนี้วัตสันมองตัวเขาเองกับคริกว่า การที่สองคนเก่งเท่าๆ กัน แต่ชำนาญคนละเรื่อง จะช่วยส่งเสริมกันและกันได้ดี เรียกว่าทำให้ 1+1 แล้วได้มากกว่า 2 การที่เขารู้เรื่องเทคนิคคริสตัลโลกราฟี (crystallography) น้อยมาก แต่คริกที่เก่งฟิสิกส์มากกว่าและชำนาญในเรื่องนั้น ขณะที่เขารู้เรื่องชีววิทยาลึกซึ้งกว่า กลับเป็นส่วนผสมที่เหมาะที่สุดสำหรับการไขความลับเรื่องโครงสร้างของดีเอ็นเอสำเร็จ  

เขาเชื่อว่าความร่วมมือแบบนี้เองที่ได้ช่วยทำให้ ‘ก้าวข้าม’ แนวคิดที่ไม่ได้เรื่องหรือมีจุดอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น 

บางคนอาจสงสัยว่าถ้าอย่างนั้น มีหลายคนขึ้นไปอีก เช่น เป็นทีม 3 หรือ 4 คนจะไม่ยิ่งดีหรอกหรือ? 

เขามองว่าถ้ามี 3 คนเมื่อไหร่ ไม่ช้าก็เร็วจะมีคนใดคนหนึ่งกลายเป็นผู้นำกลุ่มในที่สุด และยังอาจมีใครสักคนในกลุ่มที่เกิดความรู้สึกว่าตัวเองไม่สนิทเท่ากับอีก 2 คนที่เหลือที่เค้าสนิทกันด้วย ซึ่งจะทำให้สัมพันธภาพแบบ 3 คนล่มได้ง่ายมาก รวมไปถึงการที่อาจจะบังเอิญไม่อยู่ในตอนที่เกิดการค้นพบสำคัญ 

ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็คงแย่อยู่สักหน่อย 

นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการให้เครดิตที่ยากกว่าด้วย การบอกว่ามีส่วนร่วมในงานนี้เท่าๆ กัน 2 คน และต้องหารผลงานเป็น 2 ส่วน ทำได้ง่ายมาก เข้าใจไม่ยาก ขณะที่การแบ่งเครดิตสำหรับ 3 คนหรือ 4 คน  เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ 

นี่แค่ 3 – 4 คนนะครับ มากกว่านี้ก็ยิ่งซับซ้อนเข้าไปอีก 

คำแนะนำต่อไปของเขา ยิ่งหนักเข้าไปอีก เขาบอกว่าจากประสบการณ์ มีมหาวิทยาลัยหรือเมืองบางแห่งกระตือรือร้นจะหานักวิทย์โนเบลมาเพิ่มจากที่มีอยู่แล้วคนหนึ่ง แต่แทนที่สองนักวิทย์โนเบลจะช่วยกระตุ้นให้เกิดบรรยากาศวิชาการที่ดียิ่งขึ้น ดึงเอาอัจฉริยภาพของคนรอบข้างได้ดียิ่งขั้น ผลมักจะลงเอยในทางร้ายมากกว่าจะดี

ถือเป็นเรื่องธรรมดาอยู่เองที่นักวิทย์โนเบลแต่ละคนจะรู้สึกว่า ตัวเองต้องมีความสำคัญ และต้องไม่ด้อยกว่าอีกคน การวางตัวคุยเขื่องข่มอีกคนจึงอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นี่ยังไม่นับว่ากว่าจะได้รางวัลโนเบล ก็จะมักจะล่วงเลยเวลาที่นักวิทยาศาสตร์คนนั้นเก่งแบบ ‘ท็อปฟอร์ม’ ไปแล้วสัก 10 – 20 ปี 

มีบางรายต้องผ่านไปถึงราว 40 ปีทีเดียว เรียกว่าเป็น ‘ผู้มาก่อนกาล’ มากๆ การค้นพบนั้นแปลกใหม่และเหลือเชื่อจนกระทั่งวงการวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะคณะกรรมการโนเบล ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้หรือมีความสำคัญมากพอและมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากพอ จนเวลาได้พิสูจน์ความจริงนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างชัดเจนว่า เป็นการค้นพบที่จริงแท้แน่นอน

มีนักวิทย์โนเบลจำนวนหนึ่งที่แทบไม่ได้ค้นพบอะไรยิ่งใหญ่อีก หลังจากจบปริญญาเอกหรือทำโพสต์ด็อกที่ทำให้ค้นพบครั้งยิ่งใหญ่และได้รับรางวัลโนเบล ไม่ต้องอื่นไกล อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทย์ที่ดังที่สุดในโลกยุคใหม่ แทบไม่ได้ค้นพบอะไรที่ยิ่งใหญ่จริงๆ อีกเลย หลังจากปีมหัศจรรย์ ค.ศ. 1905 ที่เขาตีพิมพ์เปเปอร์สำคัญระดับเขย่าวงการติดๆ กันถึง 4 ฉบับ ความยิ่งใหญ่ของเขาเห็นได้จากการที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังส่วนหนึ่งบอกว่า อย่างว่าแต่ 4 ฉบับเลย แค่ฉบับเดียวก็เพียงพอจะทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลได้แล้ว   

วัตสันแนะนำว่าหากเลือกได้ ให้เลือกผู้ร่วมงานที่ยังไม่โด่งดังนัก อายุยังไม่มากนัก แต่เก่งมากๆ เพราะคนพวกนี้อยู่ในช่วงที่เยี่ยมยอดที่สุดในการสร้างผลงานทางวิทยาศาสตร์ วิธีนี้จะทำให้คุณได้พบกับความแปลกใหม่ และเกิด ‘ความกระชุ่มกระชวยทางวิชาการ’ ได้มากกว่า 

3

คำแนะนำต่อไป คือ “เมื่อเข้าฟังสัมมนาเรื่องที่คุณสนใจ ให้นั่งแถวหน้าสุด”

ตรงกันข้ามกับที่คนส่วนใหญ่มักเลือกทำ คือ นั่งอยู่ท้ายห้อง จะได้ลุกเดินหนีออกจากห้องได้ง่ายกว่าหากไม่เข้าใจหรือไม่สนุก เขาแนะนำว่าไม่ต้องกลัวว่าจะเบื่อหรือเผลอหลับโชว์คนอื่นในห้อง ถ้าฟังไม่ทัน ไม่รู้เรื่อง คุณก็มีโอกาสดีจะถามแทรกได้สะดวกเพราะอยู่ใกล้ ซึ่งจะเป็นโอกาสดีกับอีกหลายคนในห้องที่อาจจะตกอยู่ในอาการเดียวกับคุณ 

คำถามของคุณอาจเป็นคำถามดีๆ ที่ผู้พูดหรือผู้สอนต้องเก็บกลับไปคิดต่อ หรือต่อยอดความคิดเดิมให้เยี่ยมยอดมากขึ้นไปอีก  

การรอให้พูดจบหรือสัมมนาเลิกแล้วค่อยถาม ถือเป็น ‘ความสุภาพที่ชวนให้ป่วย (pathologically polite)’ แบบหนึ่งที่ไม่ควรทำ แย่ยิ่งกว่านั้น คือ คุณอาจจะลืมคำถามของตัวเองไปเรียบร้อยแล้วในตอนนั้น

4

คำแนะนำสุดท้ายได้แก่ “พยายามขยายขอบเขตความรู้ของคุณผ่านการลงเรียนวิชาที่เมื่อแรกได้ยินหรือได้เห็น อาจจะเกิดอารมณ์กลัวหรือชวนขนหัวลุก”  

เขาเล่าเรื่องตัวของเขาเองว่า การที่เลือกเรียนปักษีวิทยาในระดับปริญญาตรี เพราะเขาเรียนคณิตศาสตร์ไม่เก่ง แม้พยายามมากที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยได้คะแนนเกินเกรด B เลย และพยายามที่จะหลบเลี่ยงวิชาทำนองนี้ 

แต่การจะทำความเข้าใจระดับโมเลกุลได้ ก็หนีไม่พ้นจะต้องใช้ฟิสิกส์และคณิตศาสตร์มาช่วยด้วย ไม่มีทางเลยที่จะเข้าใจรูปทรง 3 มิติของโมเลกุลต่างๆ โดยไม่อาศัยคณิตศาสตร์ (สมัยนั้นยังไม่มีซอฟต์แวร์สำเร็จรูปช่วย) เขาจึงตัดสินใจลงเรียนคณิตศาสตร์ระดับสูงเพิ่มเติม เพื่อนำมาใช้กับงานวิจัยของตัวเอง เพื่อให้ทำงานวิจัยได้ดียิ่งขึ้น เข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น  

สุดท้าย แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ความรู้ด้านคณิตศาสตร์ทุกเรื่องทีเรียน แต่บางเรื่องที่ได้เรียน เช่น การวิเคราะห์การกระจายตัวแบบปัวซอง (Poisson distribution analysis) ก็จำเป็นสำหรับการทดลองส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับเฟจ (phage) หรือไวรัสที่ก่อโรคในแบคทีเรียที่ใช้ในการทดลอง ซึ่งเขาก็แฮปปี้มาก 

อ่านถึงตรงนี้คงจะเห็นได้ว่า คำแนะนำแบบนี้นำมาจากประสบการณ์ส่วนตัวมากๆ แต่ถ้าคุณเป็นคนเก่งหรือแม้แต่เป็นอัจฉริยะ ไม่แน่ว่าคำแนะนำแบบนี้อาจจะดีกับคุณก็ได้นะครับ

สำหรับคนที่ต้องการคำแนะนำมากกว่านี้ ลองไปหาหนังสือเล่มนี้อ่านเพิ่มเติมดูนะครับ   

Tags:

วัยรุ่นหนังสือจิตวิทยาชีวิตการทำงาน

Author:

Related Posts

  • Adolescent Brain
    Mindsight: บริหารสมองด้วยการทำสมาธิ ที่ช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และสังคม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to enjoy lifeBook
    งานทำคุณ หรือคุณทำงาน คำถามจากหนังสือ A LIFE AT WORK – ที่ทางของคุณบนโลกนี้

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • Voice of New Gen
    NEXTZY: เทคโนโลยีสำคัญต่อการทำงาน แต่การเจอหน้ากันสำคัญกว่า

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel